12_
Buried Alive In The Blues
“วันนี้ไปด้วยกันสิ” เดฟชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนอน ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำ เสื้อแจ็คเก็ตหนังพาดลวกๆ อยู่บนบ่ากว้าง กับผมที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง
“ไปไหน” ผมถามออกไป และนึกแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ
“ที่คลับ”
เดฟมักจะพาผมไปที่นั่นที่นี่เสมอถ้าผมไม่ต้องไปทำงาน พาไปร้านอาหาร พาไปที่ร้านขายแผ่นเพลง ยืนดูเขาเลือกซื้อเพลงที่ผมไม่เคยฟัง พาไปแม้กระทั่งที่เดอะรูท
แต่เขาไม่เคยพาผมไปที่คลับมาก่อน
ผมพอจะรู้แล้วว่าเดฟทำงานเกี่ยวกับอะไร พอจะรู้ว่าคลับในที่นี้ หมายถึงสถานที่ที่พวกเขาไปรวมตัวกัน มันคือสังคมของเดฟอย่างแท้จริง สังคมเพื่อนฝูง พี่น้อง ครอบครัวและการทำงาน
และแน่นอนว่าผมก็ไม่รู้อีกเหมือนเคย ว่าผมจะไปทำอะไรที่นั่น แต่หลังจากหลายๆ ครั้งที่ผมถามคำถามเชิงนั้นออกไป และไม่เคยได้รับคำตอบตรงๆ กลับมา
ผมก็ล้มเลิกการตั้งคำถามนั่นไปเองโดยไม่รู้ตัว
ประโยคที่เดฟพูดนั่น ก็ไม่ใช่แค่คำเชิญชวน มันเป็นเหมือนคำสั่งที่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องทำตามเพื่อความพึงพอใจของเขาอยู่ดี
“ไปสิ” ผมพูด ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ผมตื่นมาอาบน้ำไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เพราะไม่มีอะไรให้ทำต่อ ไม่มีข้างนอกให้ไป และห้องรับแขกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือพิมพ์นั่นก็ฟุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่ที่ผมเอียน ผมถึงได้ซมซานกลับมานั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียง และไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษโดยสมบูรณ์แบบ
เดฟยิ้มกว้างให้ผมหนึ่งครั้ง ก่อนที่เขาจะหายไปหลังบานประตูที่เปิดกว้าง ผมลุกขึ้น พาร่างของตัวเองในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำสนิทออกจากห้อง
เดฟยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน พร้อมกับของในมือที่ทำให้ผมชะงักฝ่าเท้าลงทันที
มันคือเสื้อแจ็คเก็ตหนัง สีดำสนิท คล้ายๆ กับของเดฟ เพียงแค่ตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันคือของใคร
ผมไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกไปหลังจากที่เห็น เดฟก็ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการอธิบายอะไรออกมาด้วย เขาแค่ยื่นเสื้อตัวนั้นให้ผม และพยักหน้าเป็นเชิงให้สวมใส่มัน
ผมทำตามอย่างง่ายๆ ไร้ข้อโต้แย้ง.. และหันไปมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกบานยาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าประตู
แค่เสื้อตัวเดียว ทำให้ผมดูแตกต่างจากเดิมได้ในพริบตาเดียวที่สวมใส่
“ชอบหรือเปล่า” เขาถาม พิงต้นแขนเข้ากับผนังพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก ดวงตาสีเข้มไล่มองผมอย่างพิจารณา “มันเหมาะกับนาย”
“มันราคาเท่าไหร่” นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมคิดได้ ก่อนจะเป็นเรื่องของความชอบ
ชอบหรือไม่ชอบ มันจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าผมไม่มีปัญญาจ่ายเงินเพื่อซื้อมันมาครอบครอง
เดฟฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าผมจะถามแบบนั้นออกไป
“คิดซะว่าฉันให้ แทนคำขอโทษเมื่อวันก่อน ที่ลากให้นายต้องไปเจอเรื่องพวกนั้น”
ผมส่ายหน้า ถอดมันออก และรู้คำตอบของคำถามที่ถามไปได้โดยไม่ต้องไล่ซักเดฟอีก “คำขอโทษราคาแพงเกินไป ผมคงรับไว้ไม่ได้”
ตัวเลข 331.00 ที่ติดอยู่บนแท็กราคาตรงคอเสื้อ ผมส่ายหน้าอีกครั้งและปล่อยเสื้อออกจากมือ จนเดฟต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่มันจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้น
“แต่ฉันซื้อมาแล้ว.. ถ้านายไม่ยอมใช้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นการสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ มากกว่าเหรอ” เดฟก้มหน้าและช้อนตามองผม เขากำลังกดดัน ผมรู้ข้อนั้นดี และเขาจะกดดันทุกวิถีทางให้ผมยอมรับเสื้อตัวนั้นแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าคุณก็ควรจะคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะซื้ออะไรมา” ผมหลบตา “เพราะคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ยอมรับอะไรฟรีๆ”
แล้วเราก็ตกอยู่ในวังวนความเงียบอีกครั้ง เดฟยังคงมองมา ส่วนผมก็เอาแต่หลบเลี่ยงและทิ้งสายตาลงบนพื้น
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จนเดฟเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาหนักๆ
“โอเค ถ้างั้นฉันขายต่อให้นาย สัก 10 เหรียญพอไหม ยังไงมันก็กลายเป็นขยะอยู่แล้วถ้านายไม่เอา” เขาขยับเข้ามาใกล้ เสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ผมจำกัดคำนิยามไว้ว่าสวยถูกจับอ้อมไปด้านหลัง ก่อนที่เขาจะสวมมันคลุมทับไหล่ของผมและถอยออกไป
ดวงตาสีเข้มนิ่งเรียบ ขัดกับรอยยิ้มเย็นที่ถูกวาดขึ้นบนปาก
“10 เหรียญคงไม่ถือว่าฉันหน้าเลือดเกินไปนะ สำหรับขยะที่ไม่มีใครอยากได้”
ผมเงยหน้าขึ้นจ้องเดฟทันที และเขาจ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้
บางครั้งผมก็นึกสงสัย ว่ามีอะไรในโลกนี้บ้างไหม ที่ผู้ชายคนนี้ไม่เก่ง.. แม้แต่การประชดประชัน ผมยังไม่คิดว่าสามารถสู้เขาได้ด้วยซ้ำ
“คุณกำลังทำให้ผมเคยตัว แล้วก็ทำให้ผมมีนิสัยเห็นแก่ตัว รู้หรือเปล่า” ผมยอมแพ้ ขยับฝ่ามือสอดเข้าไปในช่องวงแขนเสื้อ ความรู้สึกพ่ายแพ้มาเยือนอีกครั้งเมื่อเดฟโคลงหัวรับคำแล้วก็แสดงสีหน้าพออกพอใจออกมา
“ฉันไม่เห็นว่าการเห็นแก่ตัวจะเป็นอะไรที่ไม่ดีตรงไหน”
ผมขัดผู้ชายคนนี้ไม่เคยได้เลยจริงๆ ให้ตาย
“พวกเราทำอะไรไม่ได้.. พวกตำรวจที่มีอยู่ก็อ่อนแอเหมือนกับเด็กผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย พวกมันแกล้งทำเป็นปิดหูปิดตาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้.. สาบานได้ว่าถ้า FBI รู้เรื่องแล้วกระโดดเข้ามาแจมด้วย เราจบเห่กันมากกว่านี้แน่”
“พวกโคลเตนเริ่มไม่เชื่อใจการจัดการของเราแล้วด้วย... เรารอคำสั่งของนายอยู่”
“ไบรสันเพื่อนนายจะมาที่นี่วันนี้ด้วยใช่ไหม มันจะโผล่หัวมากี่โมง”
เสียงถกเถียงกันที่ดังมาจากด้านใน ดึงสายตาผมให้สบกับเดฟที่มองมา เขาก้มหน้า ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ผมตีความหมายไม่ได้บนริมฝีปาก ฝ่ามือจับค้างอยู่ที่ประตูไม้บานใหญ่
“ทำตัวสบายๆ” เขาพูดแค่นั้น ก่อนที่จะออกแรงผลักประตูให้เปิดออก และทันทีที่เดฟปรากฎตัว ทุกเสียงที่ตีปนกันอยู่ก็เงียบทันที สายตานับสิบคู่จ้องมองมาทางเรา แต่เดฟดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร เขาเดินเอื่อยเฉื่อยไปหยุดยืนตรงบาร์ใหญ่ ปล่อยให้พวกที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมในสุดมองมาไม่หยุด
“ขวดนึง กันเตอร์.. ขอบใจ” เขาผงกหัวเล็กๆ คว้าขวดเบียร์ที่ผู้ชายตัวใหญ่หลังเคาน์เตอร์สไลด์ให้มาถือ และพยักเพยิดมาทางผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ “นี่ฟลอยด์”
สายตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความแปลกใจ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ และมีหนวดขึ้นเต็มกรอบหน้า สวมใส่เสื้อกั๊กหนังไม่มีแขน กับเสื้อยืดสีขาวคอกลม “ฟลอยด์..” เขาพึมพำ เบียร์ขวดหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาวางนิ่งๆ ตรงหน้าผม “คิดซะว่าเป็นของขวัญที่ได้รู้จักกัน”
“ขอบคุณครับ” ผมรับมาถือ ความเย็นเยียบจากขวดให้ความรู้สึกเหมือนกับถือของแปลกปลอม ผมไม่ได้ดื่มมันมานานมากแล้ว นานตั้งแต่หนีออกจากเนวาด้า
แต่รสหวานปนขมปร่าตรงต้นคอก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมเกลียด ผมยกขวดขึ้นจรดริมฝีปาก รับมิตรภาพที่กันเตอร์ยื่นให้
“ไปทางนั้นเถอะ พวกสอดรู้สอดเห็นรอกันอยู่เต็มไปหมด” กันเตอร์พยักหน้าไปทางโต๊ะใหญ่ แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ พวกเขาทุกคนก็ยังคงมองมาไม่ละสายตา
เดฟส่งเสียงหัวเราะในลำคอตอนได้ยินประโยคนั้น เขาเลิกคิ้ว “มานี่”
และผมเดินตาม
เข้าใกล้โต๊ะมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มมองเห็นผู้คนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา ผมเคยเจอพวกเขาจากที่บาร์เก่านั่น ถึงวันนั้นเราจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยก็ตาม แต่ผมก็มั่นใจว่าพวกเขาก็จำผมได้เช่นกัน
“ไอ้หนุ่มคนนั้นนี่..?” ผู้ชายคนหนึ่งถามขึ้นมาเสียงสูง มองผมอย่างสนอกสนใจ “นายพาเขามาที่นี่ทำไม”
แล้วเขาก็หันหน้ามาทางผม “นายอยู่กับเขาเหรอ”
“เปิดหูเปิดตา อยู่แต่บ้านก็กลัวจะเบื่อตาย” เดฟพูดเสียงเฉื่อย พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง คำตอบนั้นตอบคำถามที่ผมเพิ่งได้รับไปพร้อมๆ กัน
เสียงฮือฮาและผิวปากดังขึ้นในหมู่พวกเขา
ผมกัดปากล่าง ความรู้สึกเหมือนทำตัวไม่ถูกจู่โจมเข้ามา
“นายแม่งโชคดีเป็นบ้า รู้ไว้ว่าเขาไม่ยอมอยู่กับใครง่ายๆ.. พวกโลกส่วนตัวสูงในที่สุดก็ยอมลดผนังลงจนได้” ผู้ชายอีกคนในชุดเสื้อหนังสีดำจากด้านซ้ายพูดขึ้น เขามีแบนดาน่าสีแดงตัดขาวคาดอยู่บนหัว เส้นผมสีบลอนด์อ่อน กับดวงตาสีน้ำตาลหยีมองผม
เสียงไฟแช็กทำงาน เดฟเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาสูบบุหรี่อย่างไม่ทุกข์ร้อนต่อคำกล่าวนั้น ดวงตาสีเข้มเหลือบมองผมที่ยืนอยู่
ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายที่ถูกล้อ แต่สายตาที่มองมาจากเจ้าตัว พลิกให้กลายเป็นผมที่รู้สึกกระดากอายแทนขึ้นมาได้ในทันที
“ก็ถึงว่า ทำงานทำการก็ลากเขาไปด้วย เห็นเขาเป็นดาเบรียหรือยังไง ถึงได้ติดกันขนาดนั้น” ผู้ชายตัวใหญ่อีกคนพูดแซวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
เดฟพาดแขนเข้ากับพนักเก้าอี้ เขายกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะขยับยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเลยกับการแซวหมู่ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
“ฉันสงสัยอะไรอย่าง” ผู้ชายที่ดูเด็กที่สุดในกลุ่มร้องขึ้นมาเสียงดัง เขาปัดป่ายปลายนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่ไปทางเดฟ “เขาเก่งเรื่องอย่างว่า อย่างที่ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาจริงหรือเปล่าวะ”
คำถามโผ่งผ่างนั้นเรียกให้ทุกความร้อนในร่างกายไหลมาสุมอยู่ตรงหูและหลังคอ เสียงหัวเราะดังลั่นออกจากทุกคน แม้แต่แอชที่นั่งกอดอกอยู่นิ่งๆ มาตั้งแต่แรกยังหลุดรอยยิ้มออกมา
เดฟขมวดคิ้ว “แน่ใจว่านายควรหุบปาก ริค.. ก่อนที่นายจะเจอดี”
“พักก่อนแล้วกัน รอจนกว่าไบรสันเพื่อนของนายจะมาที่นี่ แล้วเราค่อยคุยกันต่อ” แอชเปลี่ยนเรื่อง เขาจ้องตาผู้ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับผมที่สุด อีกฝ่ายแค่พยักหน้ารับคำเบาๆ ก่อนที่จะเบนสายตาออกจากแอช มายังผมที่ยืนอยู่
ดวงตาสีเขียวจ้องผมไม่กะพริบ
“นาย ขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนหรือตรงบาร์ก่อนก็ได้ ไป” เดฟหันมาพูดกับผม ใบหน้าติดยิ้มมีร่องรอยความตึงเครียดแฝงอยู่ ขณะที่ทุกคนพากันลุกออกจากโต๊ะแล้วเคลื่อนที่ไปยังโต๊ะพูล แอชเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
เดาว่าเขาคงอยากคุยอะไรกัน ที่ผมไม่มีส่วนรู้เห็น และแน่นอนว่าจะดีกว่าถ้าไม่มีส่วนรู้เห็น
ผมพยักหน้า ผละตัวออกจากโต๊ะ แล้วเดินไปยังบันไดริมผนังอีกฝั่งที่เดฟชี้ให้ดู บันไดเล็กๆ แคบๆ ดังเอี๊ยดอ๊าดตอนที่ผมก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบ ข้างบนก็มืดสลัว แต่ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่ต้องนั่งอยู่ในที่มืดนัก
“ตกใจเป็นบ้า” เสียงทักดังขึ้นแผ่วเบาด้านหลัง ผมชะงักปลายนิ้วที่ลูบผ่านเนื้อโต๊ะไม้ ทั้งร่างแข็งชากับประโยคทักถัดมา และผมไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองคนพูดด้วยซ้ำ
“ทำไม เจนินที่โด่งดังคนนั้น ถึงได้มายืนอยู่ที่นี่.. ตอนนี้กันนะ”
ผมจ้องเขม็งไปที่โต๊ะไม้ที่จับอยู่ เข็มเวลาเคลื่อนผ่านไปข้างหน้าช้าๆ ให้ความรู้สึกยาวนานกว่าทุกวินาทีที่ผมเคยพบเจอ
ด้านหลัง มีอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากหันกลับไปมอง
ภาพอดีตของตัวผมเอง…
“หรือว่าฉันเข้าใจผิดไปเองกันนะ นายดูเหมือนเขามาก” เสียงนั้นยังคงพูดไปเรื่อยๆ ด้วยความดังที่มากขึ้น เสียงฝีเท้ากดดันผมอยู่จากด้านหลัง ก่อนที่ผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งจะปรากฎตัวขึ้นในสายตา
เขาคือผู้ชาย ที่นั่งร่วมโต๊ะกับเดฟเมื่อครู่ ดวงตาสีเขียวหยียิ้ม มองผมอย่างพินิจวิเคราะห์ “เหมือนแม้กระทั่ง..”
!
ผมสะดุ้ง เท้าเผลอก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างเมื่อฝ่ามือแข็งแรงกระชากเข้าที่คอเสื้อผมแล้วออกแรงดึง
อีกฝ่ายจ้องผมนิ่ง “เหมือนแม้กระทั่งขี้แมลงวันตรงไหปลาร้า”
“คุณเป็นใคร” ผมถาม ถึงแม้เกินครึ่งในใจจะรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว
ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเหยียดยิ้มเย็นออกมา “เสียใจนะเนี่ยที่จำกันไม่ได้ นายขี้ลืมขนาดนั้นเชียวเหรอ”
ผมหรี่ตา ความระแวดระวังถูกสร้างขึ้นเป็นเกราะป้องกันทันที ผมถอยหลังอีกหนึ่งก้าว “ผมจำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือหน้าของคุณก็ตาม.. ดังนั้น คุณก็เป็นแค่คนแปลกหน้า”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นทันที
เขาขยับเข้าใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว
“คนแปลกหน้า.. ที่เคยนอนกับนายเลยนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบา เรียกให้ปลายเล็บผมจิกเข้าฝ่ามือจนเจ็บ
ควรจะเจ็บ.. แต่ความกดดันที่เกิดขึ้นและความชาทั่วทั้งร่างกาย ผมทำทุกอย่างไปโดยไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
ผมเบือนหน้าหนี ก่อนที่ผิวแก้มจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารด “คนแปลกหน้าคนไหนก็มีอะไรกับผมได้ทั้งนั้น มันไม่ได้ทำให้คุณพิเศษกว่าคนอื่นขึ้นมาเลย”
“นายยอมรับแล้ว” เขายิ้มกว้าง “ว่านายคือเจนินคนนั้นน่ะ”
“ต้องการอะไร” ผมตรงเข้าประเด็น จะไม่มีการอ้อมค้อมป่วนประสาทเกิดขึ้นอีกต่อไป ผมพอแล้วกับชีวิตพวกนั้น ผมพอแล้วกับตัวตนห่วยๆ นั่นและความทรงจำที่เกิดขึ้นในอดีต
จะไม่มีมันอีกต่อไป
“ฉันน่ะ.. โคตร.. โคตรเสียใจเลยรู้ไหม ตอนที่กลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อพบนาย แต่ต้องพบกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวที่พร้อมจะวีนทุกคนของยัยบ้านั่น กับคำพูดว่านายหนีออกไปแล้ว.. ทำไมล่ะ เป็นที่รักที่ต้องการของผู้ชายเกือบทั้งเมือง ไม่ดีหรือไง ถึงได้หนีมันมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้” เขาพึมพำ ก่อนจะหลุดรอยยิ้มขันออกมา “แม้แต่ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์ยังต้องการจะนอนกับนายสักครั้งนึงเลย ไม่รู้สึกว่าตัวเองครอบครองสถานที่นั้นไว้ในมือบ้างเหรอ”
“ผมถามว่าต้องการบ้าอะไรกันแน่!” ผมตะคอก เหมือนเส้นความอดทนในหัวถูกปั่นขยี้จากคำพูดพวกนั้น ผมกัดฟัน
มากกว่าความรู้สึกเจ็บใจที่ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้พูดใส่ คือผมนึกเจ็บใจการตัดสินใจของตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ
ปลายนิ้วอุ่นสัมผัสกับแก้มผมเบาๆ เขาเกลี่ยไล้มันช้าๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับผมที่ยืนนิ่งและรู้สึกเหมือนโลกใบนี้มันขวางหูขวางตาและทำให้ผมสะอิดสะเอียน
ทั้งๆ ที่ออกจากที่นั่นมาแล้วแท้ๆ ..
“อย่ามองฉันแบบนั้นสิที่รัก ฉันก็แค่คิดถึงนายมากๆ เท่านั้นเอง” อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปในเส้นผมของผมช้าๆ “ทำให้หายคิดถึงสิ.. มองฉันเหมือนตอนที่นายเคยใช้ปากให้ฉันไม่ได้เหรอ”
“นี่แม่งบ้าอะไรกันเนี่ย” ผมกัดฟันแน่น เปลือกตาปิดแน่นเมื่อได้ยินเสียงที่ดังแทรกขึ้นมา เดฟอยู่ที่นี่ ผู้ชายคนนั้น.. อยู่ที่นี่
สัมผัสที่จับต้องใบหน้าผมอยู่ค่อยๆ ผละออกไปช้าๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับถอยหลังไปเล็กน้อย “ไง ไม่ได้คุยส่วนตัวกันนาน เดฟ”
“นายทำอะไร” เดฟถามขึ้น ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้ามา
มือไม้เย็นเฉียบไปหมด.. ผมกลายเป็นคนโง่ที่ทำได้แค่ยืนหลับตาเพื่อหลบหนีทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้
ทั้งๆ ที่ผมไม่ควรจะรู้สึกอะไร แต่การที่เดฟเดินเข้ามาในเวลานี้ เหมือนยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง เขาเป็นหนึ่งคน ที่ผมไม่อยากให้ได้ยินเรื่องเส็งเคร็งทั้งหมดนั่น
เขาเป็นหนึ่งคน.. ที่ผมจงใจซ่อนอดีตพวกนั้นของตัวเอง
“ได้ยินว่านายสองคนอยู่ด้วยกันนี่ .. ทำไมนายถึงมาเอาผู้ชายคนนี้ล่ะ ตกต่ำลงเยอะเหรอ”
“ระวังปาก เทรซ” ข้อมือของผมถูกคว้า ก่อนที่ร่างของผมจะขยับตามแรงดึงเบาๆ “บอกสิว่านายขึ้นมาทำเหี้ยอะไรบนนี้กับคนของฉัน”
ประโยคนั้นควรจะสร้างความรู้สึกไว้วางใจ
ตรงกันข้าม.. เพราะคำถามนั้น คำถามนั้นเรียกสายตาผมให้เปิดลืมขึ้นทันที ผมสบตาผู้ชายที่ชื่อเทรซนิ่ง พยายามกดทุกความกลัวที่เกิดขึ้น สบตา และขอร้องอีกฝ่ายผ่านความเงียบ
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจงใจเพิกเฉยคำขอนั้น เขาแสยะยิ้ม มองเดฟด้วยแววตายียวน
“ฉันก็สงสัย ว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่สเป็คของนายลดลงมาจนต้องมาเอาผู้ชายที่ขายตัวแบบนี้”
เดฟนิ่งไปแทบจะในทันทีที่ได้ยิน ผมเม้มปาก พอจะเดาออกแล้วว่ารูปแบบของบทสนทนาครั้งนี้จะจบลงด้วยรูปแบบไหน ฝ่ามือเริ่มบิดออกจากการจับกุม และเดฟบีบข้อมือผมแน่นขึ้น ประกาศความต้องการชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยให้ผมไปในตอนนี้
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังรนหาที่หรืออะไร แต่ฟลอยด์อยู่ในการดูแลของฉันตอนนี้ พูดขอโทษซะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ กระแสความจริงจังสอดแทรกตัวอยู่ในทุกพยางค์ที่เปล่งออกมา ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขัดกับดวงตาดุดัน “ไม่งั้นระหว่างเรามีปัญหาแน่”
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความนิ่ง
เดฟนิ่ง.. นิ่งพร้อมกับกดดันเทรซด้วยแววตาและท่าทางข่มขู่
เทรซนิ่ง.. นิ่งเพื่อวัดใจ ว่าเดฟจะทำอะไรต่อไป นิ่งเพื่อตัดสินใจว่าตัวเองควรจะทำอะไรเช่นกัน
ผมเองก็ตกอยู่ในความนิ่ง.. ราวกับนิ่งรอ ให้มีใครสักคนตัดสินความผิดบาปให้ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นเลย
“หึ ขอโทษก็ได้” แล้วเทรซก็เป็นฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่เขาจะเดินถอยหลังหนึ่งก้าว พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้
“โอเค เห็นแก่ธุรกิจของแก็งค์เรา เดฟ วันหนึ่งนายจะเสียใจที่เลือกกดดันฉันคนนี้ แทนที่จะเป็นเจนินที่ยืนอยู่ข้างนาย”
เดฟเองก็หลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่สื่อความหมาย ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นเรื่องไร้สาระ
“ฉันมองว่าเราคบค้ากันมานานนะ รู้ไว้เหอะ ว่าพวกนี้น่ะ..” เขาเบือนสายตากลับมาจ้องผม “เลี้ยงไว้ไม่ได้”
มือของเดฟกำข้อมือผมแน่นขึ้น ความเจ็บแล่นริ้วเข้ากระดูก แต่ผมก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดทักอะไรออกไป และทันทีที่เทรซเดินลงบันไดไป เดฟก็ปล่อยมือผมทันที
ดวงตาสีเข้มจ้องผมไม่กะพริบ เขามองผมนิ่ง ไม่มีเสียงพูด ไม่มีคำถาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น นอกจากการจ้องมอง
ผมไม่รู้เลย ว่าเดฟกำลังมีความคิดแบบไหนอยู่ในหัวตอนนี้
ผมไม่รู้เช่นกัน ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่.. เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะตีกันจนเละไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ความสับสนมีมากพอๆ กับความกลัวลึกๆ ที่ว่าเดฟจะไม่พอใจหรือโกรธผม
เพราะเดฟเป็นคนที่เข้าใกล้ผมที่สุดในตอนนี้.. ถ้าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นระหว่างเรา
คงเป็นผมเองแน่นอน ที่เสียใจที่สุดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีต
เดฟถอยหลังช้าๆ ดวงตายังไม่ผละออกไปจากใบหน้าของผม เขาถอยไปเรื่อยๆ จนถึงตรงบันได ฝ่ามือแข็งแรงบีบเข้าที่ราว ก่อนที่เสียงทุ้มจะออกคำสั่งด้วยโทนนิ่งเรียบ ไม่ต้องกับสีหน้าของเจ้าตัว
“รออยู่ที่นี่”
เดฟหายไปด้านล่างเกือบสองชั่วโมง และปล่อยให้ผมสงบสติ นั่งนิ่งๆ ทบทวนและจัดเรียงความคิดในหัวตัวเองใหม่ เขากลับขึ้นมา ด้วยท่าทางที่แข็งกระด้างเหมือนเดิม ไม่มีการคุยเล่น ไม่มีรอยยิ้ม เขาโผล่หัวขึ้นมา และดึงให้ผมเดินตามลงไป ขึ้นซ้อนฮาร์เลย์ และหุบปากเงียบๆ อยู่บนเบาะหลังจนถึงบ้าน
เสียงประตูบ้านที่ปิดลงเสียงดัง พอจะบอกให้รู้ได้ว่าเดฟไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก
เขากดให้ผมนั่งลงบนโซฟา บุหรี่หนึ่งมวนถูกหยิบขึ้นจุด ก่อนที่เขาจะจ้องมองผมด้วยสายตานิ่งงัน เหมือนกันกับที่บาร์นั่น
“ผมขอโทษ..” ผมพูดออกไป สอดปลายนิ้วเข้าหากันและออกแรงบีบ ใบหน้าของเดฟไม่ได้ดึงดูดให้ผมมองในตอนนี้ ตรงกันข้าม ฝ่ามือที่สอดประสานอยู่บนตักตัวเองกลับเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวที่ผมมีตอนนี้
เดฟไม่ตอบรับคำนั้น เขายืนสูบบุหรี่ไปเงียบๆ มองผมด้วยสายตาที่อยู่สูงกว่า
ความอึดอัดแผ่ขยายตัวอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น และมันกำลังมีอิทธิพลโดยตรงกับทุกอย่างในตัวผม
“ใครคือเจนิน” เขาว่า
ผมจิกปลายเล็บเข้าที่ด้านข้างของนิ้วชี้ที่เริ่มชา “ขอโทษ”
และนั่นเป็นคำเดียวที่ผมคิดออกในสมองกลวงๆ ตอนนี้
เสียงหัวเราะฝืดเฝื่อนดังออกมาให้ได้ยิน เดาได้ว่าเดฟเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เผลอๆ อาจจะเข้าใจตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มอ้าปากถามผมด้วยซ้ำ ผมเริ่มกัดริมฝีปากตัวเอง เพราะความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้ต้องระบายลงกับอะไรสักอย่าง เช่นร่างกายตัวเอง
“เพราะอะไร” นั่นเป็นคำถามที่สองที่ผมได้ยิน
และผมไม่มีความสามารถที่จะตีความมันได้เลยในตอนนี้ เขากำลังอยากรู้อะไร
เพราะอะไร ผมถึงเป็นเจนิน ทั้งๆ ที่ผมคือฟลอยด์ หรือว่า เพราะอะไร ผมถึงขอโทษ หรือว่าอะไรกันนะ
“นายไม่บอกฉัน” เขาถามซ้ำ หลังจากที่ผมเอาแต่นั่งเงียบแล้วก้มหน้ามองมือตัวเอง
ผมเหยียดยิ้ม เงยขึ้นสบตากับเดฟที่มองตรงมา หัวใจเต้นหน่วงหนืด และผมโคตรเกลียดสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้เลย ให้ตายสิวะ
“แล้วผมควรจะพูดว่าอะไร” ผมถาม มองอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตาอีกต่อไป “คุณยอมรับได้ไหม เหรอ? หรือว่ายังไงล่ะ?”
เดฟไม่ตอบ
และผมหลุดเสียงหัวเราะแปลกแปล่งออกมา “ผมเคยขายตัว ขายจริงจังด้วยไม่ใช่แค่ลองขายสองสามครั้ง ผมขายร่างกายห่วยๆ นี่ของตัวเอง ผมอ้าขาของตัวเองแลกกับเศษเงิน ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า ผมไม่ได้ผ่านแค่คนสองคน แต่เป็นผู้ชายทั้งเมือง..”
พอครั้งหนึ่งได้หลุดพูดสิ่งที่เก็บไว้ออกมา.. เราก็หลุดพูดมันออกมาเรื่อยๆ จนหมด
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดตัวเอง ดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนยังไม่ละสายตาจากหน้าของอีกฝ่าย น้ำอุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ผมทำได้แค่พยายามกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้แสดงตัวออกมามากไปกว่านี้
และเดฟที่กำลังกำมือแน่น เป็นเหมือนกุญแจที่ปลดล็อคให้ผมเผยทุกอย่างที่เก็บไว้ออกมามากขึ้นอีก
เพราะว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมได้พูดเรื่องเส็งเคร็งนี่กับเขา
“ผมไม่ได้แม้แต่จะชื่อฟลอยด์ แล้วก็ไม่ได้มาจากลอสแอนเจลิส ผมไม่เคยได้ยินชื่อหาดลาโฮย่าห่าอะไรนั่นด้วยซ้ำ ผมหลอกคุณ แล้วผมก็ปิดบังคุณ ผมใช้ชีวิตไร้ค่ามามากกว่าครึ่งหนึ่งที่ตัวเองมี” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องเดฟที่กำลังพยายามควบคุมตัวเองไม่ต่างกัน “นั่นเพื่อนคุณใช่ไหม เทรซคนนั้น.. ได้ยินตรงนี้ด้วยหรือเปล่า เขาบอกว่าผมเคยใช้ปากให้เขา แต่เรื่องตลกก็คือผมจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าหรือชื่อของผู้ชายคนนี้ ทั้งหมดนี่คือผมเอง พอผมบอกแล้ว คุณจะรับผมได้ไหม นี่งั้นเหรอ จะให้ผมพูดแบบนี้เหรอ!”
“เออ ใช่! ฉันรับได้” เดฟตะคอกกลับมา เขากระชากต้นแขนผมและบังคับให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงผมจนหลังกระแทกผนัง กองหนังสือพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนชั้นข้างๆ ถูกแรงกระแทกจนล้มลงไประเกะระกะอยู่ที่พื้น ขณะที่เดฟใช้ฝ่ามืออีกข้างบีบเข้าที่กรอบหน้าของผมแรง
“พูดอีกสิ พูดออกมาให้หมด!” เขาออกแรงเขย่าเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ น้ำเสียงทุ้มกระซิบรอดไรฟัน “พูดออกมาสิ อะไรก็ได้”
ผมเม้มปาก น้ำตาหยดแรกไหลลงจากดวงตา
ผมไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้.. ถึงขั้นจะใช้คำว่าเกลียด
ความรู้สึกเศร้าและอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ในอก ผมเหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นวิธีการที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากมัน
“ผมจะไปเอง”
เดฟนิ่งชะงักไปแทบจะในทันทีที่ผมพูดจบ เขาเบิกตากว้าง
“แม่ง..” ฝ่ามือที่บีบอยู่เริ่มคลายลง เดฟกดหน้าผากตัวเองเข้ากับผนังห้อง มือที่เคยล็อคหน้าผมค่อยๆ เลื่อนทาบบนผนังอีกฝั่งเพื่อปิดช่องว่าง เขายืนขวางทาบผมอย่างสมบูรณ์
ผมไม่เคยรู้หรือเข้าใจมาก่อน
ว่าเพราะอะไร เดฟถึงได้เอาตัวเองลงมายุ่งหรือผูกกับผมมากขนาดนี้
ในตอนนี้เอง.. ความเข้าใจนั้นก็ยังไม่จางหายไป แต่กลับเพิ่มมากขึ้นจนผมนึกสับสนในทุกอย่าง
“พูดอะไรก็ได้ ที่จะปลดนายให้เป็นอิสระจากเรื่องพวกนั้น.. อะไรก็ได้ แล้วฉันจะรับฟัง” เขาพึมพำเสียงแผ่ว “แต่อย่า.. อย่าพูดเรื่องไปอะไรนั่นให้ฉันได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง เข้าใจที่พูดใช่ไหม”
“…”
“ให้คำสัญญา เดี๋ยวนี้”
____
1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ
Cinzano 505.