บทที่ 16
เซอร์ไพร์สในเซอร์ไพร์ส
หลังจากกลับมาจากทริปเร่งด่วนที่บางแสน ผมและหมอกก็ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ตื่นเช้า ไปเรียน กินข้าวเที่ยง เรียนเสร็จช่วงบ่ายตอนเย็นก็ออกไปเที่ยวบ้างประปราย ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น
แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันกลับอบอุ่นใจเสมอ
ยกเว้นอาทิตย์นี้ที่ผมกลับไม่อุ่นใจอย่างที่เคยเป็น...หลังจากที่หมอกส่งผมที่หน้าคอนโดเหมือนทุกวันแล้ว ผมก็จะรีบวิ่งกลับห้องไปเพื่อทำอะไรบางอย่าง...แล้วก็เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องคนเดียวอย่างใช้ความคิดมาราวๆห้าวันแล้ว
“ทำ...ไม่ทำ...”
เดินวนไปวนมาในห้องแล้วก็พึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น จนท้ายที่สุดผมก็มองตัวเองในกระจกแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาวะ!
“ทำก็ทำโว้ย!!”
พูดให้กำลังใจตัวเองแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ทั้งห้องมืดสนิทแต่ผมยังคงลืมตาโพลงในความมืด คิดวางแผนไปต่างๆนานา จนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย
.
..
...
วันนี้ผมมีเรียนแค่ถึงตอนเที่ยงเท่านั้น ส่วนหมอกมีเรียนถึงเย็นเลย ซึ่งทำให้ทางของผมสะดวกมากขึ้น ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในคณะแพทยศาสตร์หลังจากลังเลอยู่นานว่าควรจะเข้าไปดีมั้ย มือก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะทักหาใครบางคน
Punnawit thanawatchai : เรามาถึงที่คณะแล้วนะ
พอทักปุ๊บ ฝ่ายนั้นก็อ่านข้อความของผมทันที ก่อนจุด 3 จุดจะเด้งขึ้นมาให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ตอบ
I-tim wattanawutsakul : อยู่ที่ป้ายหน้าคณะเลยเหรอ เดี๋ยวลงไปรับ
Punnawit thanawatchai : ใช่ๆ อยู่ข้างหน้าเลย
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบผม ยืนรออยู่หน้าคณะแพทยศาสตร์ได้ไม่ถึงห้านาที ร่างของเดือนคณะแพทยศาสตร์ที่ตัวเล็กกว่าผมประมาณ 2-3 ซม.ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า
“มานานรึยัง” ไอติมถามผมก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในคณะ
“ไม่นานหรอก พึ่งมาถึงน่ะ”
“แดดแรงเนอะ ดูสิหน้าแดงหมดแล้ว”
ไอติมว่า ผมไม่รู้เลยว่าผมหน้าแดงขนาดไหน เพราะอากาศข้างนอกมันร้อนเอามากๆ ผมที่เดินจากคณะวิทยาศาสตร์มาที่คณะของไอติมถึงกับเหงื่อโชกไปทั้งร่าง พอเดินเข้ามาในตึกของคณะแพทยศาสตร์ที่เปิดแอร์เย็นช่ำเลยรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง
เราเดินมาถึงที่ห้องสมุดคณะแพทย์ฯ ไอติมสแกนบัตรนักศึกษาเข้าไป แล้วผมก็เดินตามไปเงียบๆเพราะในนี้มีนักศึกษาแพทย์หลายคนกำลังอ่านหนังสือกันอย่างตั้งใจ ไม่อยากรบกวนสมาธิว่าที่คุณหมอทั้งหลายน่ะครับ จนเมื่อมาถึงโต๊ะมุมที่ติดหน้าต่างที่ไม่ค่อยมีใครนั่งอยู่แถวนั้น มีเพียงผู้ชายที่หน้าตาคล้ายกับหมอกยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองผม ก็คลี่ยิ้มเล็กๆให้
“ว่าไงบลู ไม่ได้เจอกันนานเลย ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่กัน” ควันถาม แล้วมองหน้าผมสลับกับไอติมที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ไอติมเลยเดินไปนั่งที่ตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้ามควัน แล้วกวักมือให้ผมนั่งด้านข้าง
“บลูบอกว่าวันศุกร์นี้เป็นวันเกิดหมอก”
“วันศุกร์นี้เหรอ...อ้อ! ใช่ๆ เกือบลืมไปเลยว่าจะถึงวันเกิดแล้วนี่หว่า” ควันเกาหัวแล้วยิ้มแห้งๆเหมือนคนมีความผิด ผมแอบเห็นไอติมที่มองคนตรงข้ามแล้วส่ายหน้าอย่างระอา
“เหอะ วันเกิดตัวเองยังลืม คุยกันเองแล้วกันว่าจะทำอะไร” ไอติมว่าอย่างนั้นแล้วก็เปิดหนังสือที่คั่นเอาไว้ขึ้นมาอ่านต่อ ผมที่เกรงใจว่าจะคุยกับควันแล้วรบกวนไอติมที่อ่านหนังสืออยู่ แต่ควันก็โบกมือทำนองว่าไม่เป็นไร
“คุยในนี้แหละ ไอติมมันไม่รำคาญหรอก ว่ามาสิ จะทำอะไรงั้นเหรอ”
“คือเราอยาก...” ผมอธิบายสิ่งที่ผมคิดเอาไว้มาหลายคืนแล้ว ควันพยักหน้ารับฟังเป็นระยะๆ ไอติมที่อ่านหนังสือก็เลิกอ่านแล้วเท้าคางนั่งฟังผมพูดตาใส เมื่อผมอธิบายสิ่งที่ผมคิดจบแล้ว ควันก็ยิ้มออกมา
“ดีเลย ทำเลยนะไม่ต้องห่วง วันศุกร์คงไม่กลับห้องหรอก เพราะว่าสอบเสร็จคงจะไปฉลองกันต่ออยู่ดี เดี๋ยวเอาคีย์การ์ดเราไปใช้ก็ได้นะ”
“ขอบคุณมากนะควัน” ผมยิ้มกว้างอย่างโล่งใจเมื่อควันเห็นดีเห็นงามกับความคิดผม
“จริงๆทั้งเราแล้วก็ไอ้หมอกน่ะไม่ได้ใส่ใจกับวันเกิดตัวเองมานานแล้ว ถ้ามันรู้ว่าบลูทำอะไรให้ มันต้องดีใจมากแน่ๆ”
.
..
…
เช้าวันศุกร์มาถึง ผมยืนรอหมอกมารับที่คอนโดเพื่อไปเรียนตอนเช้าด้วยกันเหมือนทุกวัน ปกติแล้วทุกวันศุกร์ผมและหมอกจะเลิกเรียนเวลาเดียวกัน และหมอกจะมารับผมไปนอนเล่นที่ห้องของหมอกจนค่ำถึงมาส่งที่คอนโด ไม่ก็พาผมไปเดินเล่นในห้างแก้เบื่อบ้าง แต่วันนี้หมอกกลับทำหน้าเซ็งเล็กๆยามที่ผมกำลังจะออกจากรถเมื่อถึงที่คณะ
“วันนี้คงไม่ได้มารับนะ” หมอกบอก ผมเลยแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะหันไปหาอีกคนด้วยแววตาสงสัย
“ทำไมล่ะ มีเรียนชดเชยเหรอ”
“เปล่า วันนี้ต้องกลับบ้านน่ะ ไม่รู้ไอ้ควันมันผีเข้าหรืออะไรถึงได้บังคับให้กลับบ้านขนาดนี้”
“งั้นก็กลับบ้านเถอะ เรากลับเองก็ได้ ไม่ต้องห่วงนะ”
“งั้นเดี๋ยวดึกๆไปหาที่คอนโดดีมั้ย” หมอกหันกลับมามองผม ผมเลยส่ายหน้าหวือทันที
“ไม่เอาอ่ะ อยู่บ้านนั้นแหละ พรุ่งนี้ค่อยมาหาเราก็ได้”
“แต่...”
“ไปเรียนแล้วนะหมอก เจอกันพรุ่งนี้เลยแล้วกัน บาย~” ผมตัดบทแล้วรีบลงจากรถทันที หมอกยังอ้ำอึ้งอยู่ที่เดิม ผมแอบยิ้มขำแล้วก็โบกมือไล่เพราะรถคันข้างหลังก็รอขับเข้ามาจอดแทนที่อยู่ หมอกจึงจำเป็นต้องขับรถออกไปจากหน้าคณะของผม
ผมหันหลังเดินเข้าอาคารเรียนแล้วแอบพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ขอให้แผนในวันนี้มันเป็นไปตามที่ผมวางไว้ด้วยเถอะ
.
..
...
ผมเรียนเสร็จแล้วก็มานั่งรอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการเตรียมเซอร์ไพร์สครั้งนี้ที่หน้าคณะแพทยศาสตร์เช่นเดิม นั่งอยู่ที่ม้านั่งเงียบๆมาได้หนึ่งชั่วโมงเต็ม เสียงนักศึกษาที่ดังขึ้นก็เรียกความสนใจของผมให้หันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 กำลังเดินออกมาจากตึกเรียน ผมก็ยืมรอจนเห็นไอติมและควัน ควันยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะแยกไปอีกทาง ทิ้งไอติมที่ยืนอยู่ที่เดิมกับผม
“ไปกันเลยมั้ย”
“อืม” ผมพยักหน้าและเดินตามไอติมไปที่ลานจอดรถ
แอบตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้คุย ได้ใกล้ชิดกับไอติมขนาดนี้ เพราะถึงผมกับไอติมจะผ่านการประกวดดาว-เดือนมาด้วยกัน แต่เพราะไอติมเป็นคนเงียบๆไม่เข้าหาใครก่อน ประกอบกับหน้าตาที่ถ้าไม่ยิ้มแล้วทุกคนก็ไม่กล้าเข้าหา เลยกลายเป็นทำให้เจ้าตัวดูเข้าถึงยาก แต่พอผมได้ลองทำความรู้จักแล้วก็พบว่าไอติมไม่ใช่คนที่เข้าหายากเลยสักนิด เพียงแต่เพราะไอติมไม่ค่อยยิ้มเหมือนมีเรื่องราวอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดเวลาจนลิดรอนรอยยิ้มสว่างไสวไปจนหมด ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวันไอติมจะหาคนที่ทำให้เจ้าตัวยิ้มได้กว้างๆสักที
“บลูจะแวะไปซื้อของก่อนมั้ย”
เสียงของไอติมทำให้ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ หันมามองคนขับรถตาปริบๆพอประมวลผลได้ว่าไอติมถามว่าอะไร ผมก็รีบบอก
“ไม่ต้องๆ ซื้อมาหมดแล้ว อยู่ในกระเป๋านี่แหละ ไปที่ห้องของควันเลย”
เมื่อมาถึงที่ห้องของหมอก ไอติมก็ใช้คีย์การ์ดที่ควันฝากมาสแกนบัตรแล้วก็เปิดประตูเข้าไป ผมมองห้องที่เงียบสนิทและเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็รีบลงมือจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆโดยที่มีไอติมคอยช่วยอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีเสียงร้องบ่นจากคนตัวเล็กเลย พวกเราใช้เวลาเตรียมทุกอย่างอยู่ชั่วโมงนิดๆ ผมกับไอติมก็ไปหาซื้อเค้กกันต่อ ก่อนที่ไอติมจะพาผมกลับคอนโดเพื่อไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่ เพราะชุดเดิมนั้นเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลหมดแล้ว
“รอนานรึเปล่า”
ผมถามไอติมที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอผมอยู่อย่างเกรงใจ ไอติมหันกลับมาและส่ายหน้าเร็วๆ
“ไม่นานหรอก...รีบไปกันเถอะ ควันบอกว่ากำลังจะออกจากที่บ้าน”
“อ้อ...ไปสิ”
ผมว่าและรีบปิดห้องให้เรียบร้อย ไอติมบึ่งรถพาผมมาถึงคอนโดของหมอกอย่างรวดเร็ว และพาผมมาส่งถึงห้องก่อนจะปิดห้องให้สนิทแล้วไอติมก็จากไป แต่ไอติมก็ยังส่งข้อความที่ได้จากควันมาอีกทีรายงานสถานการณ์ผมเป็นระยะๆ ผมเดินไปเดินมาในห้องของหมอกว่าควรจะไปหลบอยู่ที่ไหนดี จนเมื่อเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง
I-tim wattanawutsakul : หมอกมาถึงแล้วนะ ตอนนี้กำลังจะขึ้นห้อง
พอผมเห็นข้อความนั้นผมก็รีบปิดไฟในห้องโถงทันที แล้วเดินฝ่าความมืดไปหลบในห้องนอนหมอกอีกที นั่งลงเงียบๆหลังผ้าม่านเพื่อว่าหมอกจะได้ไม่เห็นตอนเดินเข้ามา ผมนั่งอยู่อย่างนั้นราวๆห้านาทีก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกห้อง พอเห็นแสงไฟที่ลอดเข้ามาจากช่องใต้ประตูก็รู้แล้วว่าหมอกคงมาถึงแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ให้หมอกเห็นว่าผมเตรียมอะไรไว้ให้
พรึ่บ!
ไฟในห้องสว่างวาบ ผมแอบมองคนตัวสูงผ่านผ้าม่าน เห็นหมอกยืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูอย่างนั้น ดวงตาเรียวนั้นเบิกขึ้นเล็กน้อย ผมแอบอมยิ้มที่ทำให้หมอกตกใจได้ขนาดนี้
ผมมองลูกโป่งสีฟ้าสลับกับสีขาวที่ลอยเต็มห้องนอน ลูกโป่งตัวอักษร H B D แปะอยู่ที่ผนังห้อง พร้อมกับกล่องของขวัญสีฟ้าที่ผมทำเองกับมือวางอยู่บนที่นอนของหมอก ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้กล่องของขวัญของผม แต่ก่อนที่หมอกจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องของขวัญ ร่างสูงก็เบนปลายเท้ามาทางที่ผมนั่งหลบอยู่แทน รู้งั้นเหรอว่าผมแอบอยู่ที่นี่!
“มาทำเซอร์ไพร์สให้ทั้งที มานั่งแอบอะไรอยู่ในนี้หืม?”
“รู้ได้ไงว่าเราอยู่ตรงนี้” ผมมุ่นคิ้ว นี่คิดว่านั่งนิ่งๆแล้วนะทำไมถึงถูกจับได้เร็วขนาดนี้ล่ะ
“ก็เห็นเงาในกระจกนั่นไง ออกมาได้แล้ว” ผมมองตามกระจกที่หมอกว่าแล้วก็ตบหน้าผากตัวเองเบาๆอย่างจนใจ ตอนเข้ามาแอบในนี้ผมก็ลืมนึกไปเลยว่ากระจกมันจะสะท้อนเงาของผมทำมุมกับที่หมอกยืนอย่างนี้
ผมลุกขึ้นตามแรงดึงของหมอก ใบหน้าหล่อยังมีรอยยิ้มเจืออยู่บนใบหน้านั้นก็ทำให้ผมดีใจแล้ว หมอกนั่งลงบนเตียงแล้วก็ดึงแขนให้ผมนั่งด้วยกัน
“ข้างในเป็นอะไร” หมอกยกกล่องของขวัญขึ้นมาแล้วลองเขย่าเบาๆดูอย่างตื่นเต้น
“ลองแกะดูสิ” ผมว่าและนั่งมองหมอกที่แกะของขวัญอย่างประณีตราวกับเด็กที่ตื่นเต้นยามที่ได้ของขวัญวันเกิด
พอเปิดกล่องของขวัญแล้ว หมอกก็หยิบขวดแก้วใสขึ้นมาดู ผมมองคนที่ทำตาพราวระยับ มองดูสวนด้านในที่ผมลงมือจัดแต่งเอง และด้านบนสวนผมก็หาตุ๊กตาเซรามิครูปผู้ชายสองคนนั่งอยู่ด้วยกันมาวางเอาไว้เป็นตัวแทนของผมและหมอก
“เอาตั้งไว้เวลาอ่านหนังสือเหนื่อยๆ มองอะไรที่เป็นสีเขียวๆจะได้สบายตาขึ้น” ผมบอกจุดประสงค์ที่ผมเลือกทำสวนเล็กๆให้หมอก เพราะว่าเราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด และวิชาที่หมอกเรียนต้องอ่านหนังสือหนักมาก ผมเลยอยากหาอะไรที่ทำให้หมอกผ่อนคลายเวลาอ่านหนังสือได้บ้าง และสวนในขวดแก้วก็ตอบโจทย์ผมมากที่สุด
“จะตั้งเอาไว้ในห้องเลย” หมอกยังไม่ยอมหุบยิ้ม เจ้าตัวเดินถือขวดแก้วไปวางที่โต๊ะหนังสือ พอหามุมที่ตัวเองพอใจแล้วก็เดินกลับมาหาผมที่ยังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงแล้วหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาดูอีกรอบ ถึงเห็นของขวัญอีกชิ้นที่ผมตั้งใจทำให้
หมอกเปิดการ์ดสีฟ้าอ่อนซึ่งตกแต่งง่ายๆแล้วอ่านออกเสียงให้ผมได้ยินด้วย
“สุขสันต์วันเกิดนะหมอก...ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี สุขภาพแข็งแรง มีความสุขมากๆนะ-บลู”
คำอวยพรสั้นๆที่ผมนั่งคิดทั้งคืน ไม่รู้จะเขียนอะไรนอกจากคำอวยพรทั่วๆไปที่คนอื่นก็พูดแบบนี้ แต่ผมคิดว่าความเรียบง่ายมันดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องร้อยเรียงคำพูดให้เข้าใจยาก ขอแค่หมอกเข้าใจในสิ่งที่ผมบอก ผมก็พอใจแล้ว
“ขอบคุณนะที่ทำให้ขนาดนี้ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับวันเกิดตัวเองมานานมากแล้วล่ะ”
“ยังไม่ได้เป่าเค้กเลยนะ” ผมว่าแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียง หมอกทำท่าจะเดินตามผมออกไปด้วย แต่ผมก็รีบเบรกเจ้าของห้องไว้ก่อน “รออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวเรียก”
หมอกยอมทำตามที่ผมขอแต่โดยดี แววตานั้นยังคงพราวระยับไปด้วยความตื่นเต้น ผมออกมาจากห้องนอนของหมอกก็รีบหยิบเค้กที่ซื้อมาแกะกล่องออก ปักเทียนตามเลขอายุของหมอก จากนั้นก็หยิบสายไฟสีส้มที่เตรียมมาวางเป็นทางเดินจากห้องของหมอกอย่างรวดเร็ว พอเสียบปลั๊กไฟแล้ว ไฟสีส้มดวงเล็กๆก็สว่างเป็นทางไปจนถึงเค้กที่ผมวางไว้ที่โต๊ะ จุดเทียนเสร็จเรียบร้อยก็ปิดไฟในห้องนั่งเล่น แล้วเดินไปเคาะประตูห้องนอนหมอก
“ออกมาเร็วหมอก”
ประตูห้องเปิดออกมา ผมก็ร้องเพลงคลอให้เจ้าของวันเกิดเบาๆ หมอกยังยืนอึ้งกับภาพตรงหน้าที่ผมจัดแสงไฟยาวไปจนถึงโต๊ะที่ตั้งเค้กอยู่ ผมเลยจับมือใหญ่ด้านข้างแล้วจูงมือคนตัวโตให้เดินตามผมมา
“Happy birthday to you~ Happy birthday to you~”
จนมาถึงโต๊ะที่มีเค้กวางเอาไว้ ผมก็ยกเค้กขึ้นมาตรงหน้าหมอก เมื่อร้องเพลงจบแล้วผมก็ยิ้มให้กับคนตรงหน้า
“อธิษฐานแล้วเป่าเทียนนะ”
หมอกทำตามผมอย่างว่าง่าย ดวงตาเรียวหลับตาลงพร้อมประสานมือในท่าอธิษฐานขอพร ก่อนจะลืมตาขึ้นมาและเป่าเทียนตรงหน้าผมให้ดับ
“หมดแล้วเหรอเซอร์ไพร์สสำหรับวันนี้” หมอกถามเมื่อผมเดินไปเปิดไฟให้สว่างทั่วทั้งห้อง ผมเผลอขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพยักหน้ายอมรับว่าที่เตรียมเอาไว้หมดแล้ว
“แค่นี้ไม่พอเหรอ” ผมถามอย่างเสียเซลฟ์ ที่ทำไปทั้งหมดหมอกยังไม่พอใจอีกเหรอ
“เปล่า แค่นี้ก็พอมากแล้ว แต่ไม่มีอะไรอีกสักนิดสักหน่อยเหรอ” หมอกยังไม่หยุดถาม ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนผมต้องเงยหน้ามองหมอกที่ยังพูดอะไรวกไปวนมา
“หมอกจะสื่อว่าอะไร เราไม่เข้าใจว่าหมอกต้องการอะไร”
“ก็ต้องการแบบนี้ไง”
“!!!”
ผมเบิกตากว้างเมื่อสัมผัสอุกอาจโฉบลงมาที่ริมฝีปากของผม ถึงนี้จะไม่ใช่จูบแรกระหว่างเรา แต่ผมแทบเข่าทรุดเมื่อริมฝีปากร้ายบดคลึงริมฝีปากของผมพร้อมกับแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้ามา ผมตาพร่าเบลอไปหมดจนต้องยอมแพ้กับสัมผัสที่หมอกมอบให้และหลับตาลง ปล่อยให้หมอกเป็นคนนำทางคนที่ไม่ประสาในเรื่องนี้อย่างผม
ริมฝีปากร้อนค่อยๆไล่เล็มทีละนิดอย่างไม่รีบร้อน ต่างจากใจผมที่เต้นรัวแรงจนเกือบหายใจผิดจังหวะ หมอกยังไม่ยอมละริมฝีปากออกจากผม ยิ่งเมื่อสัมผัสได้ว่าเรียวลิ้นร้อนนั้นกวาดต้อนทั่วโพลงปากก่อนจะปล่อยให้ผมได้พักหายใจหายคอก็ไม่วายกัดริมฝีปากล่างผมเบาๆ
“หมอก...”
ผมพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วผมก็ถูกปิดปากอีกครั้งด้วยสัมผัสเดิมจากร่างสูงที่ยังกอดรัดผมไว้แนบกาย ผมรับสัมผัสที่หมอกปรนเปรอให้อย่างเต็มใจ และขยับริมฝีปากจูบตอบเจ้าของวันเกิดอย่างกล้าๆกลัวๆ ได้ยินเสียงคำรามอยู่ในลำคอของหมอกแล้วผมก็แอบสะดุ้ง ครั้นจะผละตัวออก มือหนาก็จับท้ายทอยผมไว้แล้วล็อกให้ใบหน้าของเราอยู่ในองศาที่พอเหมาะสำหรับจูบในครั้งนี้
“อื้ออออออ...ปล่อย”
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ไม่รู้ แต่อากาศที่เริ่มจะหมดลงทำให้ผมละล่ำละลักบอกร่างสูง มือดันอกหนาที่ห่างกันเพียงแค่อากาศกั้นให้ห่างออกจากร่างกาย เมื่อเห็นว่าผมเริ่มต่อต้านหมอกก็ยอมคลายจูบออกช้าๆ ผมสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พอหมอกจะเข้ามาจูบอีกครั้งผมก็รีบปิดริมฝีปากของคนตรงหน้าทันที
“พะ...พอได้แล้ว...ไม่เอาแล้ว”
“อยากชิมของหวานอีก ยังไม่อิ่มเลย”
“ขะ...ของหวานอะไรล่ะ! กินเค้กสิ” ผมลนลานไปหมด หยิบเค้กที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยมือสั่นๆไปที่เค้าน์เตอร์ครัวเพื่อที่จะตัดเป็นชิ้นเล็กๆให้หมอกได้ทาน แต่พอวางเค้กลงแล้วหันไปหยิบมีดด้านหลังก็มีร่างสูงใหญ่ยืนกั้นอยู่ตรงหน้า
“ถอยไปหมอก เดี๋ยวจะตัดเค้กให้”
“เรื่องเค้กนั้นปล่อยมันไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกินก็ได้ แต่วันนี้อยากกินอย่างอื่นแล้ว”
“กะ...กินอะไร...เออ...หิวเหรอ งั้นไปหาอะไรกินป่ะ” ผมถามเสียงสั่น หัวใจยังไม่หยุดเต้นรัว ยิ่งเผลอมองริมฝีปากคนตรงหน้าผมยิ่งรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาดื้อๆ ดวงตาเรียวที่ยากจะคาดเดาความคิดนั้นจ้องมองจนผมวูบวาบไปทั่วช่องท้อง
หมอกไม่ตอบผมแล้วยกตัวผมขึ้นลอยหวือแปะลงที่เค้าน์เตอร์ ร่างสูงแทรกเข้าที่หว่างขาของผม เมื่อสายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน หมอกก็ดึงดูดผมเข้าไปใกล้ด้วยดวงตาเรียวคู่นั้น
“จะไปหาไกลทำไม ก็ของที่อยากกินอยู่ตรงหน้าแล้ว”
“...”
ผมพูดไม่ออก เมื่อเสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหูสื่อความนัยว่าผมคือของที่อยากกินของหมอก ใบหน้าหล่อได้รูปขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง และก่อนที่อะไรจะเลยเถิด ผมก็รีบพูดเร็วๆทันที
“วันนี้ให้แค่จูบเข้าใจมั้ย”
หมอกชะงักเพียงนิด ผมได้ยินเสียงขานรับเบาๆก่อนที่หมอกจะแตะสัมผัสลงมาที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง ร่างกายผมถูกดึงเข้าไปแนบกับแผ่นอกแกร่ง ผมหลับตาลงแล้วใช้สองแขนโอบลำคอของคนตรงหน้าเอาไว้
จูบในครั้งนี้มันยิ่งร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากร้อนผ่าวดูดดึงกลีบปากของผมจนมันเกิดเสียงน่าเกลียด ก่อนที่ผมจะหมดลมหายใจหมอกก็ผละออกแล้วลากไล้ริมฝีปากประทับจูบไปทั่วใบหน้าของผม ทั้งหน้าผาก...แก้มทั้งสองข้าง...จมูก...ปลายคาง...และสัมผัสนั้นก็ลากเลื้อยไปถึงต้นคอ
ยามที่ผมกำลังหลงมัวเมาอยู่กับรสจูบที่หมอกเป็นคนมอบให้ สัมผัสร้อนชื้นที่ประทับลงที่ต้นคอราวกับเหล็กร้อนก็ขบเม้มเบาๆจนผมสะดุ้ง นาทีนั้นเมื่อรู้ว่าหมอกกำลังทำอะไรผมก็ผลักอกหนาออกอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
“นี่...ทำอะไร บอกว่าแค่จูบไง”
ผมจับลำคอตัวเองที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง แต่เห็นรอยยิ้มของหมอกที่มองมันอย่างภูมิใจแล้วผมยิ่งรู้สึกว่าหน้าตัวเองมันต้องแดงเอามากๆแน่
“ก็แค่จูบไง...
คิสมาร์กก็จูบเหมือนกันนะที่รัก : )”
tbc.
ก็บอกแล้วว่าหมอกมันร้ายยยยยย
เซอร์ไพร์สมา เซอร์ไพร์สกลับไม่โกง อิ___อิ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ