chapter 12.2
ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่ใจผมเต้นระส่ำจนเหมือนจะขาดใจ โปรออกไปไหนตอนเกือบตีสอง ไปหาพี่พริ้มอะไรของมันใช่ไหม ไปหาเขาใช่ไหม ผมวางมือกดที่หน้าอกที่ดูเหมือนช่วงนี้มันจะอ่อนแอขึ้นทุกที ผมเป็นบ้าอะไรวะ ทั้งที่เรื่องก็ไม่มีอะไร แต่ทำไม่สมองผมเสือกประมวลผลความรู้สึกออกมาว่า
...เสียใจ... .
.
.
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆตอนตีสี่ ทำให้ผมที่นั่งอ่านกระทู้ดราม่าในพันทิปนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากแล็บท๊อป พับหน้าจอลงแล้วจ้องไปที่ประตูด้วยขอบตาที่หย่อนคล้อยเต็มทนจากการอดนอน ก่อนคนที่ตั้งใจจะแอบย่องเข้ามาเงียบๆ จะถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นผมนั่งตาเหลือกอยู่บนโซฟาอย่างอ่อนแรง... สาบานว่าสภาพนี้ เขายังเรียกกูว่าคน
หมีขาวที่ขวัญกระเจิงในคราแรกรีบปั้นหน้ากลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้ามาในให้ห้องอย่างสตรอง ผมเสตามองตามมันไปโดยไม่ได้พูดอะไร ไม่ใช่ว่าดราม่าน้ำท่วมปากไม่กล้าพูดหรืออะไรนะ แต่คือนี่สมองประมวลผลห่าอะไรไม่ได้แล้วไง ระดับการไต่ตรองของสตินี่อยู่ที่ศูนย์เลยทีเดียว
"นอนไม่หลับหรอ"คงทนสายตาอันหลอนจิตของพี่ไม่ไหวแล้วสินะน้อง
"อือ"ตอบห้วนๆ "เผลอรับโทรศัพท์ให้นะ แต่ไม่ได้พูดอะไร"ผมใช้นิ้วปลายนิ้วเลื่อนโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะกระจกไปทางเจ้าของ
"อาฮะ"หยิบโทรศัพท์ไปดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนเกินไป "อยากถามอะไรก็ถามมา"
"ไปหาเขามาหรอ"มองกดดันด้วยขอบตาคล้ำๆที่หย่อนคล้อย
"กูไปบ้านมา"พูดจบก็โยนกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกำลังดีมาที่ผมอย่างไร้อารมณ์สุดๆ
ผมนิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะหยิบกล่องไม้เนื้อดีที่มีสีเข้มเกือบดำขึ้นมา พลิกด้านฝาที่เป็นกระจกขึ้นอย่างอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อนัยน์ตาที่แดงก่ำเพราะอดนอนได้สบไปเห็นของที่อยู่ด้านใน ไอ้การแสดงออกที่แลเป็นภัยในตอนแรกก็เหมือนจะเป็นมิตรกับคนที่โยนมันขึ้นมาทันที
"แหวนหรอ"ตาที่แสบพร่าเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น ใจพี่นี่เต้นรัวเลยฮะ
"โซ่ล่ามหมามั้งไอ้สัตว์"ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะคว้ากล่องในมือผมไปเปิดเอง "กูกะจะให้ตอนวันเกิดกู แต่เราเลิกกันก่อน"ตีหน้านิ่งแล้วดึงมือผมไปแล้วสวมแหวนให้แบบส่งๆ "ถือว่าจองไว้ก่อน"
"โห เต็มใจปะเนี่ย"ผมบ่นทั้งที่หน้าตึงเพราะยิ้มอย่างคนบ้า
"เรื่องมากนักก็เอาคืนมา"
"ไม่"รีบบิดตัวหนี "แต่เราไม่ใส่ได้ไหมอ่ะ เดี๋ยวเป็นรอย"ไอ้โปรก็พยักหน้าแกนๆ
"ตามใจ ของๆมึง"
ในขณะไอ้คนเพิ่งกลับมานั้นเข้าไปอาบน้ำ ผมก็ถอดแหวนมาเก็บไว้ในกล่อง ดีนะที่ช่วงบนผมแม่งไม่ตันตามตูดตามขา ไม่งั้นคงได้เสียเงินเสียทองไปขยายไซส์อีก
เก็บแหวนลงในตู้ใส่เครื่องประดับในห้องแต่งตัวเสร็จ ผมก็ออกมานั่งยิ้มแย้มอารมณ์ดี ราวกับโดนเจ้เพ็ญประศรีตบโบนัสชีวิต ด้วยการบอกว่า 'ไม่ต้องแก้พ้อยแล้วค่ะ' แต่ยิ้มไปไม่ถึงเสี้ยวนาที อิสมองส่วนคิดวิเคราะห์ที่สลบไสลพักงานไปเป็นชั่วโมง ก็ตื่นขึ้นมาเสียกะทันหัน
ถ้าแค่ไปเอาแหวน มันเอาให้ผมพรุ่งนี้ก็ได้ปะวะ ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องกลับบ้านกันอยู่แล้ว จะถ่อสังขารไปเพื่ออะไร กลบเกลื่อนชัดๆเลย เอดร็อกกก แต่ถามว่าดีใจไหม หน่องซีก็คงตอบได้แค่ว่า... มาก
เดินกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความง่วง คือตอนนี้ผมโคตรเข้าใจอารมณ์คุณแม่บ้านที่ยอมอดหลับอดนอน นั่งรอผัวกลับตอนตีสี่ตีห้าแล้วว่ะ ทั้งที่เมื่อก่อน ผมแม่งค่อนข้างจะไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมคนเราต้องทำร้ายตัวเองเพื่อคนหนึ่งคนด้วยวะ อะไรมันจะต้องขนาดนั้นเลยหรอ ขาดเขาเราก็ยังไม่ตายก็ได้มั้ง ซึ่งวินาทีนี้ ผมก็ยังยืนยันว่ามันไม่ตายนะ
... แค่มันไม่โอเค...
.
.
.
ทานมื้อเช้าเสร็จ ผมก็โบกมือลาเสี่ยร้านทอง ที่ผมไม่เข้าใจว่าจะต้องประโคมเครื่องประดับมามากมายทำไม ถ้าลุงจะแค่นั่งกระดิกตีน อ่านเท็กซ์บุ๊คอยู่บ้านเฉยๆน่ะ
เช้าวันอาทิตย์นั้นรถติดพอสมควร แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ผมหงุดหงิดได้ เพลงเกาหลีที่ผมยังไม่เข้าใจ ยังดังคลอเคล้าบรรยากาศที่เงียบสงบภายในรถ เหลือบมองคนที่ใส่แว่นสายตาอีกที อยากถามแม่งให้จบไปเลยนะ แต่คิดไปคิดมา ก็ได้แต่ถามตัวเองว่า... กูมีสิทธิ์ขนาดไหน
"กูว่าขามึงมันตันเกินไปแล้วนะ"ไอ้โปรเปิดประเด็นในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง "มึงออกกำลังกายบ้างไหมเนี่ย"
"ออกแล้วไง เมื่อคืนก่อน ฮ่าๆๆ"ผมหัวเราะกรุ่มกริ่มในขณะที่ไอ้โปรกรอกตามองบนอย่างอ่อนใจ ที่ปากดีแบบนี้ คือแผลพี่หายแล้วไงน้อง "ตอบดีๆก็ได้ ไม่รู้จะเล่นอะไร ว่ายน้ำแม่งก็ว่ายไม่เป็น"
พี่นี่คิดไปถึงสมัยที่เฝ้ามนุษย์แฟนเก่าตัวหยวกว่ายน้ำวันอาทิตย์เลย ไอ้โปรแม่งก็ว่ายไปเถอะ ผมก็เอาอิแตะมาลอยเล่นเป็นกองทัพเรือดำน้ำสู้กัน คิดไปคิดมากูก็อายนะ... กูทำอะไรลงไป
"จ๊อกกิ้งในหมู่บ้านไง ขามึงได้ลด"เป็นข้อเสนอที่จัดว่าเหี้ยค่ะ ให้กุวิ่งคนเดียวนี่เคว้งคว้างมากนะ
"ไม่มีรองเท้าวิ่ง"ความจริงคือพี่นี่เหงา พวกที่วิ่งเปลี่ยวๆอยู่คนเดียวเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง ท่ามกลางผู้คนที่มาเป็นคู่ เป็นฝูงได้นี่แม่งเก่งเนอะ... ยอมใจ "โปรแวะทำไมหรอ"ผมถามอย่างงงๆ เมื่ออีกคนตบไฟเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าข้างหน้า
ถูลู่ถูกังผมเข้ามาถึงร้านรองเท้าแบรนด์หนึ่ง ก่อนที่จะเลือกๆหยิบๆอยู่สักพัก ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งเบาะหนังตัวยาวไม่มีพนักพิง ไอ้โปรเดินเข้ามาหาผมด้วยรองเท้าข้างหนึ่งที่ดูจากขนาดแล้วตีนมันไม่น่าจะยัดลง
โปรคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ก่อนจะงัดรองเท้าหนังอย่างหรูของผมออกจากตีน แล้วยัดรองเท้าผ้าใบที่มันถือมาเข้าไปแทน ผมมองซ้ายมองขวาอย่างวิตกกับสายตาสังคม แต่เพราะมันแทบจะไม่มีคน ผมก็เลยปล่อยไปเลยตามเลย
"ขอไซส์เล็กกว่านี้หน่อยครับ"หันไปสั่งพนักงงาน หลังจากบีบๆปลายตีนผมผ่านรองเท้าสองสามที
เมื่อไซส์ที่ต้องการมาถึง ไอ้มนุษย์หมีขาวที่'ทำห่าอะไรไปไม่เคยถงเคยถามความสมัครใจกูสักคำ' ก็สวมรองเท้าให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะถอดออกมา แล้วส่งให้พนักงาน ก่อนจะเดินไปยื่นการ์ดให้ตรงหน้าแคชเชียร์
นี่ถ้ารู้ว่าเอาตัวเข้าแลกแล้วชีวิตจะดีขนาดนี้ หน่องซีจะตามหาตัวมันตั้งแต่ป.4 แล้วพลีกายให้ตั้งแต่ป.6 แล้ว... พี่นี่ทีมเห็นแก่เงินเลยฮะ
"ห้าพันสอง"ถึงกับสะดุ้ง
"ไม่ได้ซื้อให้เราหรอ"เอียงคอทำตาปริบๆ เพราะรู้ว่าแม่งแค่กวนตีน
"ซื้อให้มึงแล้วกูได้อะไร"กอดอกฉีกยิ้มอย่างกวนส้นตีนสุดๆ
"เนี่ย เดี๋ยวให้เป็นแฟนเราไง"ผมพูดจบ ไอ้โปรก็ตีสีหน้าประมาณว่า 'แล้วไง' กลับมา "ถ้าเป็นแฟนเราแล้วโปรจะไม่ผิดหวังเลย"ไอ้โปรขมวดคิ้ว "เพราะว่าหวังเหี้ยไรไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วไง"ผมพูดจบ ไอ้โปรก็หลุดขำ แล้วหมุนตัวเดินถือถุงนำลิ่วๆออกไปจากร้าน
ก่อนจะปล่อยผมลงไปที่หน้าบ้านแม่ผม เราสองคนก็นัดแนะกันออกไปวิ่งตอนห้าโมงเย็น ผมวิ่งถือสัมภาระและถุงรองเท้าเข้ามาในบ้านอย่างสุขสันต์ แม่มองตามผมยิ้มๆ ก่อนจะหันไปทำงานต่อ
ผมรู้สึกเหมือนช่วงนี้เป็นเหมือนช่วงทองของชีวิตยังไงก็ไม่รู้ จะบอกว่าไอ้โปรเป็นโลกทั้งใบก็คงไม่ใช่ เพราะพ่อแม่เพื่อนฝูงญาติมิตรกูก็ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ดาวอื่นกัน ยังนั่งหัวโด่กันอยู่บนดาวโลกนี่แหละ แต่ถึงว่ามันจะไม่ใช่โลกทั้งใบ แต่ผมก็รู้สึกนะว่ามัน...สำคัญ
การไปวิ่งตอนเย็นนั้นเหมือนไม่มีความหมาย เมื่อผมกลับมายัดข้าวเข้าไปราวกับจะแดกเผื่อไปอีกสี่มื้อ คุยไลน์คุยกับมนุษย์แฟนเก่าได้สักพัก ผมก็ขอตัวไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบไฟนอลแฟนตาซีในอีกสามอาทิตย์
Rrrr
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้ผมผละจากชีทเรียนตรงหน้าแล้วกดรับสาย ก่อนจะเปิดสปีกเกอร์แทนที่จะเอาแนบหูให้ปวดหัวเล่น
"ไง"
/"ผัวเก่ามึงลงรูปในไอจี"/เสียงแจนนั้นเริ่มเปิดประเด็น
"แล้ว?"
/"พวกกูสงสัยว่าเป็นตีนมึงหรือเปล่า แต่คนแบบมึงไม่น่าจะใส่รองเท้ากีฬาไง แต่แบบ ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใครวะ โอ้ย พวกกูแบบเสือกอ่ะ คืออยากรู้"/อันนี้น่าจะเป็นเสียงฟอยด์
"รองเท้าสีฟ้าเหลืองเปล่าวะ"ถามออกไปทั้งที่ยังจดสรุปบทเรียนตรงหน้าลงสมุด
/"ใช่!!"/
"งั้นก็น่าจะเป็นกู"เพราะผมเห็นไอ้โปรมันยกโทรศัพท์มาถ่ายรูปด้วยตอนที่ผมเดินโง่ๆอย่างเมื่อยๆนำหน้ามันอยู่
/"ง่อววว คบกันแล้วไมไม่บอกพวกกูอ่ะ กูลุ้นกันนะเว้ย"/กูนี่เกาหัวแกรกๆจนหนังหัวแทบหลุดติดซอกเล็บเลยจ้ะ
"ไม่ได้คบนะ"แม้กูจะเสนอตัวอย่างสุดพลังแล้วก็ตาม โฮ!!!
/"อ้าว แล้วไมติดแคปชั่นงั้นวะ"/
"อะไร"
/"เดี๋ยวกูแคปส่งให้ในไลน์"/ผมกดเข้าแอปพลิเคชั่นสีเขียว รอสักพักแจนก็ส่งรูปมาให้
กดเข้าไปดู ก่อนจะต้องลุกขึ้นกระโดดเร้าๆอย่างควบคุมสติไม่ได้ รูปที่ลงนั้นเป็นรูปเท้าที่เหมือนกำลังก้าวเดิน ซึ่งก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ 'We'll walk this road together' นี่คืออะไร ดีใจอ่ะ ไม่รู้ดีใจอะไร แต่คือดีใจมากอ่ะ ฮือออ พี่จิครายยย
"คือไม่ได้คบกันนะมึง แต่นี่ได้แหวนได้รองเท้ามาอ่ะ กูสุขจนตัวจะแตกแล้วว่ะ"พีคมากๆทีไร ปากนี่รั่วทุกที
/"เฮ้ยๆๆ นี่น้องกูแคปรูปจากเพจมาให้"/เสียงแจนดังมาแว่วๆ /"ถึงกับใส่รองเท้าให้อ่ะ โคตรน่ารักเลยมึง"/
/"โห ผู้ชายให้ขนาดนี้ ถ้าไม่จ้างมึงออกจากชีวิต ก็จ้องจะปี้ชัวร์"/เสียงจีจี้ที่ดังรอดมาทำเอาผมหุบยิ้มไปนิดนึง
ไอ้จ้องจะเยิบนี่น่าจะไม่ใช่แล้วแหละ เพราะหน่องซีนี่คลานเข่าถวายตัวถวายบัวไปเรียบร้อยแล้วครับ จะเหลือก็แต่อิประเด็นจ้างออกจากชีวิต แต่แม่งก็จะดูรุนแรงกับชีวิตแสนสุขของกูไปนะบางที
แล้วตอนมันใส่รองเท้าให้ผมนี่มีคนถ่ายรูปไว้ด้วยหรอ จริงๆผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอกนะ แต่ผมไม่ค่อยชอบความวุ่นวายไง อีกนัยหนึ่งก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมาวิพากย์วิจารณ์ด้วย
/"หรือว่าหลงวะ"/ถ้าหลงผิดมาได้กับกูนี่น่าจะใช่อยู่ /"ได้กันยัง"/ฟอยด์เปิดมาอย่างฮาร์ดคอร์
"อือ"ทันทีที่ผมตอบ ก็เหมือนหูจะวิ้งไปด้วยเสียงแหกปากกรีดร้องไปชั่วขณะ
คุยกับเพื่อนไปเกือบชั่วโมง มนุษย์แฟนเก่าก็โทรเข้ามา ทำให้ผมต้องจำบอกลากับเพื่อนๆขี้เสือกที่ยังไม่เริ่มอ่านหนังสือหนังหาสักตัว เมื่อบอกฝันดีมนุษย์แฟนเก่าแล้ว ผมก็ได้เวลาเข้านอนพอดี
ตารางชีวิตผมเริ่มลงตัวจนใกล้เรียกได้ว่าชีวิตประจำวัน ตื่นเช้าไปเรียน ปั่นงาน เตรียมงานเภสัชสัมพันธ์ กลับบ้าน ไปวิ่งกับมนุษย์แฟนเก่า กินข้าว อ่านหนังสือ เข้านอน ส่วนเรื่องที่ว่าได้กันอีกไหมหลังจากครั้งนั้น ก็ตอบแบบใจๆเลยว่า...ยัง
...พี่นี่เปลี่ยวมากนะ...
หลังจากทำกิจวัตรประจำวันร่วมกันกว่าหนึ่งอาทิตย์ มนุษย์แฟนเก่าที่แลใช้ชีวิตอย่างว่างๆ ก็ไม่ว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งฝึกงาน ทั้งโปรเจ็กต์ กำลังรุมเร้า จนทุกวันนี้เราคุยกันแทบจะนับคำได้
คำว่าคิดถึงทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านจนเหมือนใกล้จะเป็นบ้าขึ้นทุกที และเพราะทิ้งรถคู่ใจไว้ที่บ้าน ผมจึงต้องให้ลุงเสริม คนขับรถของพ่อ มารับผมในวันศุกร์ แทนที่จะมีใครขับไปรับไปส่งเหมือนอาทิตย์ก่อนๆ
แวะซื้อของกินมาจนพะรุงพะรัง ผมก็ไลน์บอกมนุษย์แฟนเก่าว่าจะไปหา มนุษย์หมีขาวที่คลั่งสีเหลืองดูจะตกใจในตอนแรก ก่อนจะบอกพิกัดของมุมที่มันสิงอยู่ เมื่อลุงเสริมขับรถมาถึงหน้าป้ายคณะขนาดใหม่ที่มีมนุษย์ตัวยาวๆคนหนึ่งที่หนวดเคราเริ่มขึ้นครึ้มกำลังยืนเหนื่อยอยูู่่ ผมก็ให้ลุงจอดรถ แล้วก้าวลงมาพร้อมบอกลุงว่าไม่ต้องรอ
"ซื้อมาทำไมเยอะแยะ"มันบ่นแต่ก็เห็นนะว่ายิ้ม
"เอามาฝากพวกธันด้วย"
ผมเดินตามโปรตอนมาจนถึงห้องอะไรสักอย่างที่มีมนุษย์เสื้อชอปนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ประปราย ตอนแรกผมก็ไม่อยากเข้าไปนะ แต่พอโดนอีกจับมือเดินเข้าไป ผมก็ถึงกับช่างแม่งเลยทีเดียว
เสียงแซวดังระงมจนผมกลัวใจว่าอาจารย์สักคนจะได้ยิน แต่จนแล้วจนรอด แม้แต่หมาสักตัวก็ยังไม่มีผ่านมา ผมก็เลยได้แต่นั่งเขินๆแล้วท่องคำว่า'ช่างแม่ง'รัวอยู่ข้างๆไอ้คนที่ยังนั่งเปิดเท็กซ์บุ๊คแล้วจดยิกๆโดนไม่สนห่าอะไรเลย... พี่นี่เคว้งมากนะ
ผมฟุบตาลงบนโต๊ะหมายจะหลับพักสักงีบ แต่ไม่ทันที่ตาจะปิดลงด้วยซ้ำ เสียงฮือฮา กระซิบกระซาบก็ปลุกให้ผมผงกหัวลุกขึ้นมา
ถึงแม้ตอนนี้ผมจะตีหน้าโง่ๆอยู่ แต่ในใจผมนั้นกลับเต้นระส่ำจนหายใจแทบไม่ทัน หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสีน้ำตาลเข้มจ้องมาที่ไอ้โปรกับผมด้วยความโกรธ คืออารมณ์นี้ ถ้าจิกหัวตบกูได้ เขาก็คงจะทำอ่ะ
"เพราะแบบนี้ใช่ไหม"เธอพูดแผ่วเบา ไอ้โปรก็เบือนหน้าขึ้นมองนิ่งๆราวกับไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ผมนั้นกลัวจนแทบลืมหายใจ
ไม่ใช่ว่าผมกลัวจะโดนคงตรงหน้าทำร้ายหรืออะไรนะ แต่กลัวว่าสิ่งที่ผมแอบสงสัยอยู่ลึกๆนั้นมันจะเป็นจริงขึ้นมา
เคร้ง!
รองเท้าส้นสูงที่ถูกโยนลงมาบนโต๊ะนั้นกระแทกกล่องโลหะบนโต๊ะจนผมนั้นสะดุ้งอย่างตกใจ
"มึงมันเหี้ย!!"เธอตะโกนลั่น "อยากเลิกก็เลิก กูก็ไม่แคร์แล้วเหมือนกัน!!"ถอดรองเท้าอีกข้างโยนใส่ไอ้โปร ก่อนจะวิ่งออกไป
"พี่ครับ!! พี่พริ้ม!!"ผมตะโกน ก่อนจะหยิบรองเท้าส้นสูงสีชมพูอ่อนขึ้นมา แล้ววิ่งตามเธอออกไป
ตอนแรกผมเห็นเหมือนไอ้โปรจะลุกตามมา แต่เพราะเสียงดังลั่นที่ทำให้อาจารย์ที่อยู่ใกล้นั้นเข้ามาดู ส่งผลให้ไอ้โปรยังคงต้องติดพันเพื่ออธิบายอยู่อีกสักพัก
ผมวิ่งตามมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็คว้าแขนผู้หญิงตรงหน้าไว้ได้สักที พี่พริ้มสูงพอๆกับผม ซึ่งจัดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สูงคนหนึ่งเลย ไหนจะขาเรียวๆ หุ่นห้างสมส่วน กับใบหน้าสวยหวานนั่นอีก... เพอร์เฟค
"ปล่อย!!"เธอสบัดมือผมออก ก่อนจะหันมามองอย่างโมโห
"พี่ครับ ผมขอถามอะไรพี่หน่อยได้ไหมครับ"เธอเงียบ แต่สีหน้าดูสงบลงแล้ว "พี่เป็นอะไรกับโปรหรอครับ"
"ถามทำไม ต้องการอะไร"
"ผมแค่อยากรู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อดี"ผมฉีกยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ใจผมใกล้จะหยุดเต้นเต็มทน
"ถึงจะเป็นแบบ open relationship แต่ก็ถือว่าเป็นแฟน"เธอตอบเสียงเรียบ
"แล้วคบกันมานานยังครับ"ไม่รู้จะถามไปทำไมเหมือนกัน
"ปีกว่าๆ จนถึงเมื่อกี้นี้"พอถึงตรงนี้ก็ดูจะโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
"พี่พริ้มครับ ผมขอโทษนะครับ พี่จะโกรธผมก็ได้ แต่ถ้าผมรู้ก่อน ผมจะไม่มีทางยุ่งกับโปรแน่ๆ"เธอขมวดคิ้ว ส่วนผมน่ะหรอ อยากจะร้องไห้ แต่มันก็ร้องไม่ออกเลยว่ะ "ผมคืนโปรให้"
"กูไม่เอา!!"เธอตะโกน ผมเผลอหัวเราะออกมาอย่าสมเพชตัวเอง
บทเรียนที่แพงกว่าการจ่ายหน่วยกิจเพื่อรีเกรดแล้วกูเสือกติดเอฟ ก็คือการแย่งผัวชาวบ้านโดยไม่รู้ตัวนี่แหละ อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก เหมือนน้ำตามันตกใน เหมือนมันเบลอ เหมือนมันไม่มีแรง เหมือนอยากจะหลับไปสักสองเดือนแล้วค่อยตื่นขึ้นมา แล้วก็เหมือน หัวใจมันเต้นช้าลงช้าลง จนผมแทบไม่เหลือลมหายใจ
"แต่ขอรองเท้าคืนด้วย เจ็บเท้า"ผมหัวเราะอ่อนๆ แล้วส่งส้นสูงคืนเจ้าของ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สำหรับผู้หญิงบางคนการได้ส้นสูงคืนนั้นดูจะมีประโยชน์มากกว่าการได้ผัวคืน คือนี่ผมยังเจ็บอยู่นะ แต่กูยอมใจ
"อยากได้นักก็เอาไป"เธอพูดทิ้งท้าย ก่อนจะสวมรองเท้าแล้วเดินหันหลังจากไปแบบสวยๆ
บางทีผมก็คิดนะว่าผมไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือที่ผ่านมาผมแค่แกล้งไม่รู้กันแน่ ผมรู้เสมอว่าการไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ทั้งที่แฟนคนก่อนๆ ผมจะเช็คจนแน่ใจก่อนเสมอ แต่กลับไอ้โปรผมกลับไม่ถาม ไม่เช็ค ไม่รับรู้ ทั้งที่บางครั้ง ความจริงมันมากองอยู่ตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ผมว่าผมโอเค
ล้วงโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาลุงเสริม แต่เสียงตะโกนเรียกของคนที่วิ่งมาไกลๆนั่นทำให้ผมต้องเก็บโทรศัพท์ลงกระกระเป๋ากางเกงตามเดิน แล้วโบกรถที่ขับผ่านให้จอด
รถญี่ปุ่นสีแดงสดจอดลง ก่อนที่กระจกจะลดลง ผมนั้นแทบไม่ได้มองคนขับเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเสียงที่ร้องเรียกผมดังเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ไอ้ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองรับไหวนั้นมันก็เหมือนภาพลวงตา ยิ่งได้ยินมากเท่าไหร่มันก็เหมือนคมมีดที่กรีดลงซ้ำๆลงกลางอก จนตอนนี้หัวใจผมแม่งยังเต้นอยู่ไหม ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
"ขอ ติดรถ ไปลงหน้ามอ ได้ไม ครับ"เสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ ทำให้คนตรงหน้าพยักหน้างงๆ
ผมรีบเปิดประตูด้านหลัง แล้วสอดตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ยังคงก้องอยู่ในหัว ผมเอี่ยวตัวไปมองด้านหลัง รถที่ผมนั่งอยู่เคลื่อนตัวออกไปจากที่เดิม ผมพยายามบอกตัวเองซ้ำๆว่าให้เข้มแข็ง ไม่เป็นไร อดทนไว้
Rrr
แต่พอเห็นชื่อที่แสดงอยู่บนจอ ปากและมือผมก็สั่นจนไม่สามารถควบคุมได้
ผมปิดเครื่องหนี แล้วสอดโทรศัพท์เก็บไว้ที่เดิม ในหัวผมยังคงเบลอ เรื่องราวนั้นเหมือนไม่ประติดประต่อ ตามันร้อนผ่าว แต่ผมไม่อยากร้องไห้ ต้องอดทนได้สิวะ เรื่องแค่นี้เอง เลิกกับแฟนกี่ครั้งยังผ่านมาได้ นี่ไม่ใช่แฟนด้วยซ้ำ มันต้องผ่านไปได้สิ
"อนุญาตให้ร้องไห้ได้นะ"เสียงทุ้มแปลกหูดังขึ้น ทำให้ความพยายามของผมพังทลายมาไม่เหลือชิ้นดี
ผมร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ไหวอีกต่อไป รู้นะเว้ยว่าพ่อกูไม่ได้ตาย ที่จะได้ร้องไห้ฉิบหายวายวอดขนาดนี้ แต่ถ้ารู้สึกกับใครมากๆ คุณจะเข้าใจผมว่ามันเจ็บขนาดไหน ทั้งที่คุณแฟร์เกมส์ทุ่มจนหมดหน้าตักให้เขา แต่คุณก็ยังโดนโกง
..โกงความรู้สึก...
-------
บรัยส์นะโปร
คือบทดราม่าอาจแกนๆ เพราะเค้าค่อนข้างจะไม่ถนัด
ตามความรู้สึกเขียดนะ เพราะโปรกลัวซีหายไปถ้ารู้ เลยพยายามรั้ง
ถามว่าผิดไหม มาตรฐานความผิดคนเรามันไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าเขียดว่าไม่ผิด
แต่โคตรไม่แฟร์ และใจหมามากจริงๆ
ใครที่กลัวดราม่าหนัก บอกเลยว่าไม่ต้องกลัว ใครเคยอ่านอิบลูตอนดราม่าจะรู้ดี ดราม่านะเว้ย แต่ทำไมตลก
ขอบคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ นี่ปลื้มปริ่มน้ำตาจิไหลเลยนะ
ปล. ที่น้องซีลืมที่เลิกกันไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุค่ะ โง่ล้วนๆ
----
Edit เพิ่มเติมหลังจากสงสารอิโปรสุดจะทนค่ะ
-ต้องเข้าใจว่าคุณเขียดไม่ได้เขียดเทพนิยายที่พระเอกเป็นเจ้าชายเพอเฟคทุกกระเบียดนิ้ว ลึกๆแล้วมนุษย์มีความกลัวและเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเนอะ ทั้งโปร ทั้งซี ทั้งพี่พริ้ม ล้วนมีความเห็นแก่ตัว เพียงแต่ตอนนี้เห็นของโปรชัดเพราะตัวคนบรรยายเป็นคนถูกกระทำ
-พี่พริ้มกับโปรเป็นความสัมพันธ์ทางกายเป็นหลักค่ะ อารมณ์คู่นอนที่นอนด้วยกันบ่อยสุด พออีกฝ่ายจะจบความสัมพันธ์ อารมณ์หวงก้างมันก็ปะทุ ก็แค่นั้น ไอ้ความสัมพันธ์ทางใจนั้นแทบไม่มีค่ะ
-ส่วนตัวแล้วเขียดสงสารใครที่สุด เขียดสงสารโปรค่ะ จนอยากจะเอาพาร์ทมันลงต่อเลยเนี่ย
โดนด่ายับ
สุดท้าย คนที่แสดงออกมาน้อยกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียใจน้อยกว่าเนอะ