[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 13# Pie ภาพบาดตา
“นะ...นี่นายพูดอะไร” ผมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หูของตัวเองได้ยิน การที่เพลิงบอกจะให้ผมดูเพลิงกับอินน์มีอะไรกันมันไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั้ย
แต่ถึงผมจะพยายามคิดแบบนั้น เพลิงกลับย้ำอย่างชัดเจนซะจนผมจุกจนพูดอะไรแทบไม่ออก
“ถ้ามึงได้ยินไม่ชัดงั้นกูจะย้ำให้มึงฟังใหม่ก็ได้...ช่วยเป็นผู้ชมตอนที่กูมีอะไรกับเพื่อนมึงให้หน่อย เท่านี้ชัดเจนพอแล้วรึยัง” นอกจากคำพูดที่ย้ำชัด สายตาของเพลิงก็จ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างแข็งกร้าว ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมมั่นใจว่าเพลิงตั้งใจจะทำแบบนั้นอย่างที่พูดจริงๆ
“ระ...เรื่องแบบนั้น...เราจะไปกล้าทำได้ยังไง”
“งั้นกูถามหน่อย แล้วทำไมเรื่องที่มึงแนะนำเพื่อนให้เป็นเมียกูมึงถึงได้กล้า” เพลิงขยับเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ผมเห็นว่านอกจากความแข็งกร้าว สายตาของเพลิงยังมีความเจ็บปวดและตัดพ้อซ่อนอยู่
“นั่นมัน...ก็เป็นเพราะนาย...” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเพลิงถึงทำเหมือนว่าผมเป็นคนผิด ทั้งๆ ที่คนที่ผิดมันก็คือเพลิงที่มีแฟนอยู่แล้วแต่ก็ยังมายุ่งกับผมต่างหาก
การที่ผมอยากจะหลุดจากสถานะตัวแทนมันผิดมากเลยงั้นหรอ?
“หึ! กูมันชั่ว มันเลว มันเหี้ยมาก จนมึงปักใจเชื่อทุกอย่างโดยไม่คิดจะถามอะไรกูเลยใช่มั้ย” เพลิงขบกรามแน่นแล้วกระชากแขนของผมขึ้นอย่างแรงด้วยโทสะ
“ปล่อยเรานะ เราเจ็บนะเพลิง” เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ยังต้องมีอะไรให้ถามอีกหรอ ในเมื่อผมได้ยินกับหูและเห็นด้วยตาของตัวเองไม่ใช่จากคำบอกเล่าของใครทั้งนั้น
“เจ็บหรอ? หึ! คิดว่าตัวเองเจ็บเป็นคนเดียวรึไง มึงมันโคตรใจร้ายรู้ตัวบ้างมั้ยพาย!”
“เราเนี่ยนะใจร้าย? คนที่ใจร้ายมันคือนายต่างหาก!” พูดจบผมก็พยายามจะสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเพลิง แต่เพลิงก็ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้นจนแขนของผมเจ็บร้าวไปหมดแล้ว
“โอเค ใจร้ายก็ใจร้าย แต่ไหนๆ กูมันก็ร้ายในสายตาของมึงอยู่แล้ว ถ้างั้นกูก็จะร้ายให้สุดไปเลยแล้วกัน!” เท่านั้นแหละเพลิงก็ก้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากของผม แต่ผมก็รีบผลักออกไปอย่างสุดแรงจนตัวเองเซถอยหลังไปหลายก้าว
“รังเกียจกูหรอ! ถามหน่อยเถอะว่าร่างกายมึงมีตรงไหนที่กูไม่เคยจูบบ้าง!” เพลิงพูดจบก็เดินเข้ามาประชิดตัวผม จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอ ส่วนสองมือก็พยายามสอดเข้ามาภายใต้เสื้อ แต่ผมก็พยายามปัดป้องออกไปอย่างสุดตัว
ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าเพลิงแทบจะไม่เคยอ่อนโยน แต่เพลิงก็ไม่เคยโมโหจนฝืนใจผมแบบนี้เลยสักครั้ง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ความอดทนของผมถึงขีดจำกัด เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้แล้ว!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเพลิง! เราบอกว่าให้หยุดไงยินมั้ย! เราไม่ใช่เซ็กส์เฟรนด์ของนายแล้วนะเพลิง!”
“เลิกพูดคำว่าเซ็กส์เฟรนด์ได้แล้ว! มึงไม่ได้อยู่สถานะนั้นตั้งนานแล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจสักที!”
“ก็แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าอะไร! จะคู่นอน ตัวแทน หรือเพื่อนแก้เหงามันก็ไม่ต่างจากเซ็กส์เฟรนด์ไม่ใช่หรอ!”
“โธ่เว่ย! ทำไมมึงถึงได้เข้าใจอะไรยากแบบนี้วะ!” เพลิงสบถออกมาอย่างหัวเสีย ส่วนสองมือก็บีบที่ไหล่ของผมเอาไว้แล้วเขย่าไปมา แต่ตอนนี้ร่างกายของผมมันชาจนแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว
“คนที่เข้าใจอะไรยากมันคือนายต่างหาก! เราบอกชัดเจนแล้วนะว่าเราจะเลิกเป็นเซ็กส์เฟรนด์ของนาย! อินน์ก็บอกแล้วไงว่าจะทำหน้าที่แทน! แล้วทำไมนายถึงต้องมายุ่งกับเราอีก!” พอผมพูดแบบนี้เพลิงก็ยิ่งบีบที่ไหล่ของผมแน่นขึ้น สายตาที่มองผมแเข็งกร้าวและเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ก็ได้ถ้ามึงจะเอาแบบนั้น แต่ก็อย่างที่บอก มึงต้องอยู่ดูตอนที่เพื่อนมึงเป็นเมียกูด้วย!” พูดจบเพลิงก็ปล่อยผมแล้วหันหลังกลับไปหาอินน์ จากนั้นก็จับเหวี่ยงอินน์ที่กำลังทำหน้างงๆ ลงไปที่เตียงโดยไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยน
“โอ๊ย!” อินน์ทำหน้าเหยเก แต่เพลิงก็ไม่สนใจ สายตาของเพลิงตวัดมองมาที่ผมแล้วออกปากสั่งเสียงเข้ม
“ยืนดูอยู่ตรงนั้นแล้วห้ามกระพริบตาเด็ดขาด!” พูดจบเพลิงก็กระชากเสื้อของอินน์ออกจนบางส่วนฉีกขาด ส่วนกระดุมก็หลุดกระเด็นลงไปที่พื้น แต่เพลิงก็ไม่ได้สนใจ หลังจากที่แหวกเสื้อของอินน์ได้ก็ก้มหน้าลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอทันที
“อ๊ะ! เพลิง!” อินน์ร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาอาการนั้นก็เริ่มจางหาย ร่างกายของอินน์เลิกเกร็ง ส่วนสองแขนก็ยกขึ้นมาโอบรอบลำคอของเพลิง
ตอนนี้ดูเหมือนว่าอินน์จะลืมไปแล้วว่ามีผมยืนอยู่ในห้อง ดวงตาของอินน์ปิดลงแล้วปล่อยตัวปล่อยใจให้เพลิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เสียงครางหวานหูดังขึ้นเป็นระยะแต่มันช่างเสียดแทงใจของผมเหลือเกิน
ภาพบาดตาที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ พร่ามัวขึ้นทีละนิด ซึ่งนั่นเป็นเพราะน้ำตามันได้เอ่อคลอขึ้นมาจนบังทัศนวิสัยทุกอย่าง หัวใจของผมรู้สึกรวดร้าวราวกับมีคนเอามือมาบีบคั้นจนมันแทบจะแหลกสลาย วินาทีนั้นผมถึงได้เข้าใจว่าตัวเองได้หลงรักเพลิงเข้าให้แล้ว
ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ความรักมันก็ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตายอีกครั้ง เมื่อไหร่กันนะที่ผมจะได้มีความสุขและสมหวังในรักสักที หัวใจของผมมันรับความเจ็บปวดมากกว่านี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เปลือกตาของผมมันปิดลงพร้อมกับหัวใจที่เริ่มจะปิดตาย...
“ลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้! นี่คือสิ่งที่มึงอยากให้กูทำไม่ใช่รึไง! ได้ยินมั้ยว่ากูบอกให้มึงลืมตาขึ้นมา!” เพลิงตะคอกใส่ผมดังลั่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะมองภาพบาดตาที่อยู่ตรงหน้าได้จริงๆ
“ขอร้องล่ะเพลิง อย่าใจร้ายกับเรามากไปกว่านี้เลย...”
“ใจร้ายงั้นหรอ...คนที่ใจร้ายมันคือมึงต่างหาก! มีสักนิดมั้ยที่มึงคิดจะถามหรือให้โอกาสกูได้อธิบาย...ไม่มี! ไม่มีเลยสักครั้ง!”
“ก็แล้วนายจะให้เราถามอะไร ภาพที่เราเห็น เสียงที่เราได้ยิน มันยังไม่ชัดเจนมากพออีกหรอ”
“แล้วตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันกูไม่ชัดเจนกับมึงเลยว่างั้น! ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้มึง เปลี่ยนแปลงเพื่อมึง มันยังไม่ชัดเจนอีกใช่มั้ย!” พอเพลิงพูดแบบนี้ผมถึงได้ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะพบว่าแววตาของเพลิงนั้นกำลังตัดพ้อ แถมยังดูเจ็บปวดรวดร้าวไม่ต่างจากผมเลย
“เรา...เรา...เราไม่รู้...” ตอนนี้ผมรู้สึกสับสนจนปวดหนึบที่สมอง ผมคิดอะไรไม่ออก ตอบคำถามเพลิงไม่ได้ ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ถึงแม้จะพยายามคิดแทบตายแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ
“ปล่อยเราไปเถอะเพลิง...” ผมอยากออกไปจากที่นี่ บางทีมันอาจจะทำให้ผมคิดทบทวนอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่เพลิงกลับตีความหมายไปคนละอย่างทั้งที่ความจริงผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย
“มึงอยากไปจากกูขนาดนั้นเลยหรอ” เพลิงยิ้มอย่างขมขื่น สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเจ็บปวดแค่ไหน ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวหรี่เล็กลงและแดงก่ำราวกับจะร้องไห้
“ได้...ถ้ามึงต้องการแบบนั้น...” เพลิงพูดจบก็หลับตาลงราวกับกำลังตัดใจจากอะไรสักอย่างที่ยากที่สุดในชีวิต ก่อนที่เพลิงจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วมองตรงมาที่ผม
“กูจะปล่อยมึงไปก็ได้ แต่มึงไม่ต้องเป็นคนไปหรอก เพราะกูจะเป็นคนไปจากชีวิตของมึงเอง” พูดจบเพลิงก็ฉุดอินน์ที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เตียงลงมา จากนั้นก็ลากอินน์ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยออกจากห้องไปทันที โดยไม่มีแม้แต่จะหันกลับมาหรือว่ามองหน้าผมสักนิด
สักนิดก็ไม่มี...
ปัง!!!
สิ้นเสียงปิดประตูนั้นร่างของผมก็ทรุดลงที่พื้น ตามด้วยทำนบน้ำตาที่พังลงมาอย่างไม่ขาดสาย ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจ ในที่สุดความรักของผมมันก็ลงเอยที่ความผิดหวังอีกจนได้ ก่อนที่ผมจะหน้ามืดหมดสติไปโดยไม่รับรู้อะไรอีกเลย...
........................................
......................
.....
“พาย...พาย...พาย...” ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่มีคนเรียกชื่อของผมอยู่ข้างๆ เจ้าของเสียงนั้นดูเป็นห่วงเป็นใยผมมาก ความคุ้นเคยนั้นทำเอามือของผมที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงยกมือควานหาโดยอัติโนมัติ
“เราอยู่นี่...” เจ้าของเสียงนั้นจับที่มือของผมเอาไว้ อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาทำให้มือที่ซีดเซียวและเย็นชืดของผมเริ่มจะกลับมาอุ่นขึ้นอีกครั้ง
“เพลิง...” ผมลืมตาขึ้นแล้วปรับโฟกัสเพื่อจ้องมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ว่าคนคนนั้นกลับไม่ใช่คนที่ผมคิดเอาไว้ แววตาของผมเลยหม่นหมองลงด้วยความผิดหวัง
“ขอโทษนะที่เราไม่ใช่มัน” กวีพูดขึ้นแล้ววางมือของผมลงที่เดิม พอได้อยู่ใกล้ๆ แบบนี้แล้วผมจึงได้สังเกตเห็นว่ากวีดูผอมลงจากเมื่อก่อนไปนิดหน่อย ส่วนแววตาก็ติดจะเศร้าๆ ลงด้วยเช่นกัน
“กวีมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมเราถึงมานอนอยู่บนเตียงได้ล่ะ” เสียงของผมค่อนข้างแหบแห้ง กวีเลยลุกขึ้นไปรินน้ำใส่แก้วแล้วเอามาให้ผมดื่ม จากนั้นก็ช่วยพยุงผมขึ้นนั่งพิงที่หัวเตียงเมื่อผมลุกเองไม่ไหว
“ขอบคุณนะกวี”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เราเต็มใจ” กวียิ้มให้ผม ผมจึงยิ้มให้กวีเช่นกัน วันเวลาที่ผ่านบวกกับการเป็นคนที่ใจอ่อน ทำให้ผมลืมความรู้สึกที่เคยโกรธกวีไปจนหมดแล้ว
“ว่าแต่เรื่องที่เราถาม...”
“อ๋อ คือเราได้ยินเรื่องที่พาย ไอ้เพลิง แล้วก็อินน์...เอ่อ...” กวีคงไม่รู้จะพูดต่อยังไงก็เลยเงียบไป แต่แค่เกริ่นมาแบบนี้ผมก็เข้าใจในสิ่งที่กวีจะอธิบายได้แล้ว
“กวีคงจะได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย”
“ขอโทษนะพาย แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังจริงๆ นะ”
“อืม เราเข้าใจ” กำแพงของที่นี่มันบางจะตายไป ผมกับเพลิงแทบจะตะโกนใส่กันขนาดนั้น ถ้ากวีไม่ได้ยินน่ะสิมันถึงจะแปลก
“คือเราได้ยินเสียงไอ้เพลิงมันเปิดประตูออกไป เสียงฝีเท้ามากกว่า 1 คนด้วยเราเลยคิดว่าอินน์น่าจะไปกับมัน เราเป็นห่วงพายที่ถูกทิ้งเอาไว้เลยเคาะประตูเรียกอยู่หลายครั้ง แต่พายก็ไม่ยอมตอบจนเราร้อนใจเลยไปเรียกนิติฯ มาเปิดประตูให้ แล้วเราก็เห็นว่าพายเป็นลมหมดสติอยู่ที่พื้นเลยรีบอุ้มขึ้นมานอนบนเตียง นี่กะว่าถ้าอีกสัก 10 นาทียังไม่ฟื้นเราจะรีบพาไปโรงพยาบาลแล้ว” และถึงแม้ตอนนี้ผมจะฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย แต่กวีก็ยังมีสีหน้าร้อนใจและเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่เลย
“เราขอบใจนะกวี ถ้าไม่ได้กวีเราคงแย่แน่ๆ” ผมฝืนยิ้มออกมา แว้บหนึ่งในใจของผมได้คิดว่าถ้าหากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพลิงก็คงจะดี แต่ผมก็รีบสะบัดความคิดนั้นออกไปเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ เพลิงไม่มีทางกลับมา และผมก็ไม่มีทางกลับไปหาเพลิงเช่นกัน
เราสองคนเปรียบเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้อีกแล้ว...
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องขอบคุณ เราเต็มใจที่ได้ดูแลพาย เราเป็นห่วงพายมากนะ ถ้าต่อจากนี้เราจะขอเป็นคนดูแลพายตลอดไปจะได้รึเปล่า” กวีกุมมือของผมเอาไว้อีกครั้ง คำพูดนั้นทำเอาผมถึงกับต้องมองสบตากับกวีที่มองตรงมาทางนี้ด้วยความหนักแน่น
“กวี...”
“ตอนนี้เราไม่มีใครแล้ว ส่วนเรื่องของเดือนเราก็เคลียร์จบไปนานแล้วด้วย ขอโทษนะที่ความคิดน้อยของเราทำให้วันนั้นพายต้องเจ็บตัว” กวีดูรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นจากใจจริง ผมเลยยิ้มออกมาบางๆ เพราะอย่างที่บอกว่าผมไม่โกรธกวีเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ” พอได้ยินแบบนี้กวีถึงค่อยยิ้มออกมาได้
“ขอบใจนะพาย ความจริงเราอยากจะมาขอโทษพายตั้งนานแล้วล่ะ แล้วก็อยากขอโอกาสแก้ตัว แต่เราคิดว่าพายกำลังไปได้ดีกับไอ้เพลิงเลยไม่อยากเข้ามายุ่ง จนวันนี้ที่มันทำแบบนั้นกับพายเราเลยคิดว่าจะทนอยู่เฉยไม่ได้แล้ว” พูดถึงตรงนี้กวีก็กุมมือของผมแน่นขึ้น สายตาแสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่ากำลังโกรธมากกับสิ่งที่เพลิงทำกับผม
“คนดีๆ ที่ไหนจะทำเรื่องชั่วๆ แบบนั้นได้ แล้วที่ลากอินน์ออกไปด้วยก็คงจะพาไปต่อที่ไหนสักที่นั่นแหละ เพราะงั้นพายเลิกอาลัยอาวรณ์มันแล้วให้โอกาสเราเถอะนะ คนอย่างมันไม่มีทางรักใครได้หรอก เราสัญญาเลยว่าถ้าพายเลือกเรา เราจะไม่ทำให้พายเสียใจเด็ดขาด เราจะดูแลเอาใจใส่พายเป็นอย่างดี แล้วเราก็จะมีแค่พาย...เราจะรักพายแค่คนเดียว”
ผมเห็นถึงความจริงใจและจริงจังผ่านทางแววตาคู่นั้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้หัวใจของผมอดที่จะสั่นไหวขึ้นมาไม่ได้ ผมเชื่อว่ากวีต้องเป็นแฟนที่ดีและทำตามที่พูดได้แน่
แต่...
คนที่ไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี
ผมค่อยๆ ดึงมือออกมาจากการเกาะกุมของกวี พร้อมกับหัวใจที่กลับคืนสู่สภาวะปกติ หลังจากที่มันสั่นไหวและเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“ขอโทษนะกวี แต่ว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกันน่าจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะพาย” กวีขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็เพราะว่าเราไม่ได้คิดอะไรกับกวีแล้วน่ะสิ”
ตอนแรกผมก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้เพราะกลัวกวีเสียใจ แต่พอคิดไปคิดมา ถ้าหากไม่พูดกวีก็อาจจะคิดว่าตัวเองยังมีความหวัง เพราะงั้นผมเลยต้องพูดตรงๆ เพื่อที่กวีจะได้ตัดใจจากผมได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าคำพูดนั้นมันจะทำให้กวีถึงจุดเดือด
“พายจะบอกว่าพายไม่ได้ชอบเรา แต่ว่าชอบคนเลวๆ อย่างไอ้เพลิงเนี่ยนะ” กวีกำหมัดแน่น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นเสียงใส่ผม แต่ผมก็ดูออกว่ากวีกำลังไม่พอใจมากแค่ไหน
“ถ้าเราบอกว่าใช่ล่ะ”
ผมจะไม่แก้ตัวให้เพลิง เพราะรู้ว่าต่อให้แก้ตัวยังไงคนที่อคติก็จะอคติอยู่อย่างนั้น ต่อให้ผมบอกข้อดีของเพลิงไปเป็นร้อยข้อ แต่กวีก็คงจะมองแค่ข้อเสียที่มีอยู่ไม่กี่ข้อของเพลิงอยู่ดี
“นี่พายเป็นบ้าไปแล้วงั้นหรอ! มันทำกับพายขนาดนั้นแล้วทำไมถึงยังชอบคนอย่างมันอยู่อีก!”
“...” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะกลัวจะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ แต่ไม่ว่ายังไงกวีก็ไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงเลย
“ทีกับเรา เราทำผิดแค่ครั้งเดียวแต่ทำไมพายถึงไม่ยอมให้โอกาส! ที่ผ่านมาคนที่อยู่ข้างพายควรจะเป็นเรา! คนที่ได้กอดพายก็ควรจะเป็นเรา! ไม่ใช่คนอย่างไอ้เพลิง!”
“ก็แล้วใครล่ะที่เป็นคนทำลายโอกาสนั้นทิ้งไป!” กวีดูจะอึ้งไปเหมือนกันที่ได้ยินผมตอบกลับไปแบบนี้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะนิ่งเงียบแล้วนั่งฟังเพียงแค่อย่างเดียว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะเปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้ว ความรักไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขมันก็ทำให้ผมเติบโตและเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิม
“กวีไม่ใช่หรอที่เป็นฝ่ายทิ้งเรา ตลอด 3 ปีเราเคยรักกวีคนเดียวมาโดยตลอด เราไม่เคยมองใคร สายตาของเรามองแค่กวี โลกของเรามีแค่กวี แต่กวีนั่นแหละที่เป็นคนทำลายมันทิ้ง แล้วอย่างนี้กวียังมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากเราอยู่อีกหรอ”
ผมไม่ได้ขึ้นเสียงใส่ เพียงแค่พูดด้วยเสียงเรียบๆ เท่านั้น แต่คำพูดของผมคงเป็นเหมือนคมมีดที่บาดลึกเข้าไปถึงในหัวใจ เพราะกวีได้ทำหน้าเจ็บปวดจนดวงตาไหวระริก ก่อนที่ในที่สุดน้ำตาหยดหนึ่งมันก็ได้ไหลลงมา
“เราขอโทษ ขอโทษจริงๆ แต่เราขอโอกาสสักครั้ง...ให้เราสักครั้งไม่ได้หรอพาย” กวีมองตรงเข้ามาในดวงตาของผมอย่างเว้าวอน แน่นอนว่าผมรู้สึกสงสารและเห็นใจ แต่ว่าผมไม่ได้รักกวีอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คนที่ผมรักมีแค่เพลิงคนเดียวเท่านั้น
“โอกาสมันไม่ได้เข้ามาในชีวิตคนเราบ่อยๆ หรอกนะ เพราะงั้น...ตัดใจจากเราแล้วกลับไปเถอะกวี” พอได้ยินแบบนี้กวีก็เงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง ทำให้หยดน้ำตาที่คลออยู่ไหลลงมาเป็นสาย ผมเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เลยเข้าใจ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ น้ำตาของลูกผู้ชายจะไม่มีวันไหลออกมา
“เราเข้าใจแล้ว” กวีพูดด้วยเสียงเศร้าๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วฝืนยิ้มออกมา “แต่ถ้าพายมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาเพื่อนคนนี้ได้เสมอเลยนะ”
“อืม ขอบใจนะกวี” ผมยิ้มออกมาบางๆ ให้แก่มิตรภาพของเราสองคน จนกระทั่งกวีเดินออกไปจากห้องนั่นแหละรอยยิ้มของผมจึงค่อยๆ จางลง ก่อนที่ความหม่นหมองจะเกาะกินหัวใจของผม จนความเจ็บปวดมันกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้น้ำตาของผมมันไหลลงมา แต่ว่านี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ
ผมยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตา ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เพลิงกับอินน์จะเป็นยังไงต่อไป แต่สำหรับผมกับเพลิงมันคงถึงทางตัน เพราะเพลิงคงไม่มีวันยอมลงให้ผม ส่วนผมก็คงไม่มีวันยอมยกโทษให้กับเรื่องเลวร้ายที่เพลิงทำเช่นกัน เพราะงั้นจากนี้ก็ทางใครทางมันไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป
จะว่าไปพอคิดๆ ดูแล้ว คนจืดจางอย่างผมกับคนอัณฑะพาลอย่างเพลิงไม่ควรจะโคจรมาเจอกันเลยด้วยซ้ำ โลกของเราสองคนนั้นแตกต่างกัน เราสองคนเดินกันคนละเส้นทางมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะงั้นก็สมควรแล้วที่เราสองคนจะกลับไปสู่จุดเดิม
รีสตาร์ททุกอย่างแล้วกลับไปเป็นแค่เพื่อนร่วมคณะกันอีกครั้ง...
2BC
ฮืออออออ น้ำตาไหลพราก สวัสดีทักทายทุกคนพร้อมน้ำตา มีใครอยากได้ทิชชู่มั้ยคะ ถ้าอยากได้ก็หยิบเลยค่ะ เราเหมาทั้งโรงงานมาให้แล้ว T____________T
ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะสงสาร (หรือสมน้ำหน้า) ใครดี เอาจริงๆตอนนี้เพลิงกับพายต่างก็มีส่วนที่ผิดด้วยกันทั้งคู่อะเนอะ คนนึงก็หัวร้อนเวอร์ อีกคนก็ไม่ยอมฟังอะไรเลย ส่วนอินน์นี่เค้าขอข้ามก็แล้วกัน รอคนอ่านถล่มน่าจะดีกว่า 55555
ตอนที่แล้วคนคอมเมนท์เยอะมากจนแทบจะเป็นประวัติการณ์ ยังไงก็ต้องขอบคุณมากๆเลยนะคะ
อ่านคอมเมนท์เยอะๆแล้วเราแฮปปี้ ถึงส่วนใหญ่จะกราดอีตาเพลิงกับอินน์ก็เถอะ 55555 แล้วนี่ก็คิดว่าตอนนี้ก็อาจจะด่าอีกเหมือนกัน ใจนึงก็สงสารมันนะที่โดนด่าตั้งแต่ต้นเรื่องยันจะจบเรื่อง แต่อีกใจนึงก็เออสมควร ไปป่วนคนนู้นคนนี้ไว้เยอะ เรื่องของมันเลยมาม่าหนักที่สุดเลยก็ว่าได้ 555555
แล้วมาลุ้นกันนะคะว่าตอนต่อไปเรื่องราวจะเป็นยังไง เพลิงกับพายจะมีโอกาสกลับมาเลิฟเหมือนเดิมมั้ย (คงจะไม่เปลี่ยนคู่เป็น #เพลิงอินน์ หรอกเนอะ อิอิ) บ๊ายบายยยยย
(17 ก.ค. 61)