(ต่อค่ะ)
เช้าวันต่อมาหลังจากร่วมงานมงคลสมรสของเพื่อนครูต่างโรงเรียนซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองน่านแล้วนคินทรก็เรียกรถสองแถวให้ไปส่งที่หน้าโรงเรียนซึ่งเขาเคยเรียนสมัยมัธยม ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่เขตรั้วสีขาวราวกับก้าวเข้าสู่ประตูเวลานำพาความคิดให้หวนคืนสู่อดีต ใต้ร่มไม้ข้างศาลาฝ่ายปกครองยังคงมีม้าหินอ่อนเรียงรายแต่ก็ผุกร่อนไปตามกาล ร่างสูงหยุดยืนเมื่อภาพของตนเองในวัยเด็กที่กำลังนั่งรอผู้เป็นพ่อถูกฉายซ้อนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงอาคารห้องสมุด พลันภาพของหนุ่มน้อยเคร่งขรึมที่กำลังยืนเก้กังในมือถือใบสมัครชมรมก็ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น นคินทรเผลอยิ้มกับตัวเองแล้วมองเลยไปยังโรงอาหารที่ตอนนี้ปรับปรุงใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่คงเดิมในความทรงจำก็คือเหตุการณ์วันที่ภาณุและพายุพัดเกือบจะมีเรื่องกัน ชายหนุ่มส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความหุนหันพลันแล่นในวัยเยาว์ นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นไม่ได้เกิดรุนแรงและในวันนี้สองคนก็ยังกลับมาเป็นเพื่อนกันได้
ขายาวก้าวช้า ๆ ไปตามทางเดินคอนกรีตราวกับกำลังชมนิทรรศการณ์ภาพถ่ายที่มีภาพนับพันให้หยุดมองแล้วนึกทบทวนเหตุการณ์แต่หนหลัง ฝั่งซ้ายคืออาคารเรียน ส่วนฝั่งขวาคือสนามฟุตบอล อัฒจันทร์ริมสนามที่เมื่อก่อนประกอบจากไม้และมักจะส่งเสียงเอี๊ยด ๆ ยามเมื่อมีคนขึ้นไปนั่งอยู่เป็นจำนวนมากบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นโครงเหล็กอย่างดีซ้ำยังมีหลังคาไม่ต้องเป็นภาระให้นักเรียนชมรมจิตอาสาของอาจารย์เมธีต้องมาติดตั้งที่กำบังแดดอีกต่อไป
“ม่อนโว้ย!!!” เสียงของใครคนหนึ่งที่ดังมาจากด้านหลังเรียกให้นคินทรต้องเหลียวมอง ที่แท้เขาก็คือ “ย้ง” อดีตสมาชิกชมรมโสตทัศนศึกษาที่ปัจจุบันเป็นช่างภาพอาชีพ ที่วันนี้รับอาสาถ่ายภาพให้กับวารสารของโรงเรียนนั่นเอง แม้มือสองข้างจะถือถุงใส่น้ำดื่มพะรุงพะรังแต่ก็ยังพยายามยกขึ้นโบกทักทายพัลวัน
“มาตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อคืนน่ะ พอดีเมื่อวานตอนกลางวันมีถ่ายงานให้ลูกค้า เสร็จงานก็เลยขับรถมาเอง รอนั่งเครื่องกว่าจะมาถึงคงสาย ไหนจะเซ็ตอุปกรณ์อีก กลัวจะทำคนอื่นเสียเวลาโดยเฉพาะไอ้นักกีฬาใหญ่ นี่ขนาดเรามาช้าไปห้านาทียังถูกด่า เลยต้องออกไปซื้อน้ำให้มันกินจะได้ใจเย็น ๆ”
นคินทรหัวเราะ “พายเนี่ยนะ ด่าใครเป็นด้วยเหรอ” ว่าแล้วก็ดึงถุงจากมือของอีกฝ่ายมาช่วยถือ
“อือ มันไม่ได้ด่าด้วยเสียงแต่มันด่าทางสายตา ไม่รู้เราทำอะไรให้นักหนา”
คนฟังยิ่งหัวเราะหนัก “ไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอ”
ย้งหัวเราะแห้ง ๆ “ก็...รู้แหละ”
นคินทรพยักหน้า “ก่อเรื่องไว้เอง”
“แหม หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารไหน ๆ เขาก็อยากได้ตัวมันไปสัมภาษณ์ทั้งนั้นแหละ นี่แค่วารสารโรงเรียน ทำลีลา ดังแล้วหยิ่งหรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ก็แค่โลกส่วนตัวสูงไปหน่อย ไม่ชอบอะไรวุ่นวาย ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง แล้วก็ไม่ชอบยุ่งกับใครเท่านั้นเอง” ครูหนุ่มอธิบายเนิบ ๆ
“เรารู้ เราพูดเล่นน่ะ” ย้งยิ้มกริ่ม
“ยิ้มอะไรวะ”
“เข้าอกเข้าใจกันดีเหลือเกินนะ”
ยิ้มมีเลสนัยของเพื่อนทำนคินทรเสมองไปทางอื่น
“เราคิดไม่ผิดแน่ ๆ ที่จะให้ม่อนช่วย”
“ช่วยอะไร” คนฟังหันขวับ
“ก็ช่วยพูดกับพาย ให้มันรับคำเชิญสัมภาษณ์ของบก.เราไง นะ ๆ ม่อน เรารับปากบก.ไปแล้วว่าจะเอาตัวไอ้พายไปให้ได้”
นคินทรทำหน้าเบ้โคลงหัวหนัก “นายนี่ก่อเรื่องไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ”
“นะ ๆ” ย้งมองตาปริบ ๆ
“ตัวใครตัวมันเถอะงานนี้” พูดจบครูหนุ่มก็เดินหนี แต่ช่างภาพอาชีพก็ยังตามไปวอแวไม่เลิก
เมื่อขึ้นมาบนอาคารเรียน สองคนพากันเดินไปยังห้องจัดรายการเสียงตามสายของโรงเรียน เห็นที่นอกห้องมีทั้งผู้ปกครองและเด็กหนุ่มสาวในชุดลำลองจำนวนมาก นคินทรจึงถามขึ้น
“ทำไมคนเยอะจัง”
“เขามารอดูอดีตนักกีฬาทีมชาติไง”
คนฟังพยักหน้า อดเป็นห่วงอีกคนไม่ได้ “แล้วพายอยู่ไหน”
“ก็คงนั่งเป็นหินอยู่ข้างในโน่นแหละ ป่านนี้คงเริ่มสัมภาษณ์แล้วละ เล่นมาเสียคนแรกเลย มาก่อนอาจารย์ที่จะสัมภาษณ์อีกนะ ถามว่าทำไมรีบมาก็บอกว่ามีธุระต้องรีบกลับ ธุระอะไรของมันม่อนรู้ไหม”
นคินทรรีบส่ายหัวดิก “ไม่รู้”
“เออ ช่างเถอะ” ย้งบอกก่อนจะออกปากขอทางคนที่ยืนอออยู่หน้าห้อง
เมื่อผ่านประตูเข้ามา นคินทรพบว่าภายในยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ทั้งคนที่มารอให้สัมภาษณ์และบรรดาน้อง ๆ นักเรียนที่มาช่วยงานอาจารย์ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ ทั้งที่เรียนที่นี่หลายปีแต่กลับมีโอกาสได้เข้ามาในห้องนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนถ่ายรูปทำบัตรนักเรียน ภายในห้องขนาดใหญ่ฝั่งหนึ่งถูกกั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ผนังบุด้วยแผ่นซับเสียงสำหรับจัดรายการเสียงตามสาย ซึ่งพายุพัดนั่งอยู่ข้างในนั้นกับอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งนคินทรจำได้ว่าเธอเป็นผู้ดูแลห้องนี้ตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเรียนอยู่
“บันทึกเสียงด้วยเหรอ”
“เห็นอาจารย์บอกว่าจะเอาไว้เปิดในรายการเสียงตามสายน่ะ ก็เลยขออนุญาตทุก ๆ คนบันทึกเสียง”
ครูหนุ่มพยักหน้าวางถุงใส่น้ำดื่มที่โต๊ะหลังห้อง ไม่นานพายุพัดก็เดินตามรุ่นน้องซึ่งเป็นสมาชิกชมรมโสตทัศนศึกษาออกมา ตรงไปยังเวทียกสูงจากพื้นประมาณฟุตกว่า ๆ นั่งลงบนเก้าอี้บาร์ที่ด้านหลังเป็นฉากสีขาว มีชุดไฟสตูดิโอและกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในตำแหน่งพร้อมใช้งาน
“เราไปถ่ายรูปไอ้พายก่อนนะ” พูดจบย้งก็เดินแหวกผู้คนเข้าไปด้านใน จัดตำแหน่งการนั่งให้หนุ่มนักกีฬาผู้เคร่งขรึม จากนั้นจึงเริ่มลั่นชัตเตอร์
และเมื่อพายุพัดเดินลงจากเวที บรรดานักเรียน ผู้ปกครอง ศิษย์เก่าภายในห้องนั้นต่างเข้ารุมล้อมขอลายเซ็นและถ่ายภาพร่วมกับอดีตนักกีฬาทีมชาติไทยเป็นที่ระลึก นคินทรหยุดยืนสังเกตการณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง ในใจนึกเสียดาย หากเจ้าของฉายาฉลามหินยิ้มเพียงนิด ภาพที่ถ่ายได้จะต้องเป็นภาพประทับใจที่สุดของคนเหล่านั้นไปอีกนานแสนนานเป็นแน่
เมื่อคนที่อยู่ในห้องบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองแล้ว จึงผลัดเปลี่ยนให้คนที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาแทน ดังนั้นจึงเป็นเวลานานทีเดียวกว่าทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติ เห็นว่าพายุพัดถูกปล่อยให้อยู่โดยลำพัง นคินทรจึงเดินมาหยุด
“ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหม” ว่าแล้วก็กวาดตามองหาบางอย่าง “อืม...ไม่ได้พกกระดาษเลยแฮะ”
“ไม่เป็นไร” ว่าแล้วฉลามหนุ่มก็ดึงมืออีกฝ่ายมาตรงหน้าจดปลายปากกาเคมีเขียนข้อความบางอย่าง
นคินทรมองไม่ถนัดจึงย่อตัวลงนั่งเท้าคางกับโต๊ะ จ้องตัวอักษรที่ปรากฏบนฝ่ามือของตนเอง รอจนเขียนเสร็จก็รีบชักมือกลับทันที ส่วนพายุพัดนั้นก็เอาแต่มองคนที่กำลังบ่นขมุบขมิบพลางเผยรอยยิ้มแรกของวัน
“นี่มันลายเซ็นที่ไหนกันเล่า” พูดจบครูหนุ่มก็ลุกขึ้นสอดมือข้างนั้นลงในกระเป๋ากางเกงแล้วกล่าว “เสร็จแล้วใช่ไหม”
คนถูกถามพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านกันเลยไหม หรือนายอยากไปที่ไหนต่อ”
พายุพัดไม่ได้ตอบ เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำอีกฝ่ายออกไปข้างนอกห้อง
“เราอยากชวนม่อนไปที่หนึ่งด้วยกันก่อน”
“ที่ไหนเหรอ”
สองคนเดินคุยกัน ระหว่างเดินลงบันไดก็หลบหลีกคนที่เดินสวนทางมาไปด้วย
“เดี๋ยวก็รู้”
คำตอบสั้น ๆ ทำนคินทรเผลอยกมือข้างที่ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นเกาหัว เมื่อนึกได้จึงรีบเปลี่ยนเป็นกอดอกทันที
“กลัวมีคนเห็นเหรอ” ไม่รอฟังคำตอบ หนุ่มนักกีฬาก็ดึงมือข้างนั้นมาแล้วแทรกนิ้วของตนเกี่ยวเรียวนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายเอาไว้ “แบบนี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้ว”
สองคนเดินเคียงไปตามทางคอนกรีตในขณะที่สองมือไม่คลายจากกัน กระทั่งถึงอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องโฮมรูมของพวกเขา
“นึกยังไงถึงชวนเรามาที่นี่” นคินทรถามเมื่อมาหยุดที่หน้าห้อง
“อยากมาเยี่ยมเพื่อนเก่าน่ะ” พายุพัดตอบ มองคนที่เพิ่งปล่อยมือจากกันและกำลังก้าวเข้าไปในห้อง
นคินทรเดินสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าโต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ยังคงเป็นชุดเดิม และวันนี้หากพวกเขาโชคดีก็คงได้เจอกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันเสียนาน
“ยังอยู่เหมือนเดิมเลย” เจ้าของร่างสูงเอ่ยขึ้นเมื่อถึงหลังห้อง
"อยากรู้จังว่าตอนนั่งตรงนี้นคินทรมองเห็นอะไรบ้าง" พายุพัดที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง
ส่วนเจ้าของชื่อยิ้มแล้วนั่งลงที่โต๊ะด้านหลังซึ่งเคยเป็นที่นั่งของอีกฝ่าย "แล้วตรงนี้ล่ะพายุพัดเห็นอะไร"
"เราเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนี้คอยมองดูเพื่อน ๆ ในห้อง รอช่วยเหลือทุกคนที่มาขอให้ช่วย เห็นเขายิ้ม เห็นเขาหัวเราะ แล้วก็...เห็นเขาร้องไห้” ท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาแต่กลับหนักอึ้งเกินกว่าจะพูดออกมาได้ชัดถ้อยชัดคำ นั่นเพราะคนที่ทำให้นคินทรต้องเสียใจก็คือเขาเอง
“ยังไม่ลืมอีก” ครูหนุ่มกล่าวขณะก้มลงมองระนาบไม้เนื้อแข็งพลันรอยยิ้มสดใสก็ฉาบทับขึ้นบนใบหน้า
“ยิ้มอะไร”
“นึกถึงตอนนั้นน่ะ”
“ตอนไหน”
“ก็วันวาเลนไทน์ปีนั้นไง มีมือดีที่ไหนก็ไม่รู้เอาน้ำยาลบคำผิดมาเขียนสารภาพรักบนโต๊ะนายเต็มไปหมด จนอาจารย์นภาต้องสั่งให้ทำความสะอาดอย่าให้เหลือร่องรอย หลังเลิกเรียนเราเห็นนายกับหมอกช่วยกันขัดออก หลายวันกว่าจะหมด”
พายุพัดยิ้ม “มีอีกไหม เรื่องเกี่ยวกับเราที่ม่อนจำได้”
“อืม...วันนั้นมีขนมกับช็อคโกแล็ตวางเต็มโต๊ะนายไปหมด ฉายยังอิจฉา แอบบ่นว่าเรียนมาตั้งหลายปีของขวัญที่สาว ๆ ให้ยังเยอะไม่เท่ากับที่นายได้รับในวันนั้น”
พายุพัดเท้าคางมองอีกฝ่ายจนเพลิน
“ฟังเราอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
“ฟังอยู่ เล่าต่อสิ”
“พอตอนเย็นเราเห็นนายเอาขนมพวกนั้นไปแขวนอยู่ที่ประตูป้อมยามหลังโรงเรียน” นคินทรสบตาคนที่กำลังมองมา ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมของอีกฝ่ายเสยไปด้านหลัง “ถ้าเราเป็นเจ้าของขนมพวกนั้นแล้วรู้ว่านายเอาไปให้คนอื่นมีหวังเสียใจแย่”
“เราไม่ชอบกินขนมหวาน ก็เลยเอาไปฝากให้ลูก ๆ ของลุงรปภ.น่ะ ตอนนั้นคิดว่าดีกว่าทิ้ง”
คนฟังมุ่นคิ้ว “ไม่ชอบกินขนมหวาน แล้วทำไมโดนทำโทษเพราะแอบกินขนมในห้องเรียนล่ะ”
พายุพัดยกมือขึ้นเกาคอ ไม่คิดว่านคินทรจะยังจดจำเรื่องนี้ได้
“ว่ายังไง วันนั้นเราเข้าห้องช้า เพราะฉายมัวแต่เอาขนมให้สิที่ห้องชมรมนาฏศิลป์ พอมาถึงก็เลยโดนอาจารย์ทำโทษให้ออกไปยืนหน้าห้อง จำได้ว่าตอนนั้นมีนายยืนอยู่ก่อนแล้ว ถามว่าโดนทำโทษเพราะอะไร นายก็ตอบแค่ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน ขนมอะไรเหรอ”
“คุกกี้ธัญพืช”
“คุกกี้ธัญพืช?” ครูหนุ่มทวนคำ
“ใช่ ที่ม่อนทำมาแจกเพื่อน ๆ ทั้งห้องไง”
ในที่สุดนคินทรก็นึกออก ที่แท้มันคือคุกกี้ขนาดเกือบเท่าฝ่ามือที่ทำมาให้เพื่อน ๆ เนื่องในวันแห่งความรักนั่นเอง “จำได้แล้ว ตอนที่เอาไปให้นายยังคิดอยู่ว่านายจะกินหรือเปล่า”
“ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะเก็บไว้”
“เสียของหมด” นคินทรทำหน้ามุ่ย ใช้ปลายนิ้วบีบจมูกของอีกฝ่ายเบา ๆ
“ก็เพราะคิดได้แบบนี้ไงถึงแอบกินในห้องเรียน เก็บอยู่ในกระเป๋านักเรียนหลายวันแล้วเรากลัวว่าจะเสีย”
“แล้วอร่อยไหม”
พายุพัดพยักหน้า
“เราทำให้กินอีกดีไหม”
พายุพัดยังคงยิ้มและพยักหน้า
“หวานน้อยดีไหม”
เวลานี้ไม่ว่านคินทรจะพูดอะไรพายุพัดก็ยิ้มและพยักหน้า...
....
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้เป็นภรรยาเรียกให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับการประกอบร่างหุ่นยนต์ต้องเงยหน้าขึ้น “หัวเราะอะไรน่ะแม่”
“พ่อเห็นรูปนี่หรือยัง ที่ย้งส่งเข้ามาในกลุ่มน่ะ”
ภาณุส่ายหัว วางหุ่นยนต์ที่ยังประกอบไม่เสร็จลงบนโต๊ะเอื้อมมือจับแก้มลูกชาย “เล่นคนเดียวไปก่อนนะลูก” พูดจบก็เดินมาที่เคาน์เตอร์บาร์หยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ สิ่งที่ถูกส่งมานั้นคือภาพของชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ส่วนอีกคนย่อตัวลงนั่งเท้าคางโดยมีโต๊ะคั่นกลาง มองมือของตนเองที่กำลังถูกคนตรงข้ามเขียนอะไรบางอย่าง อีกภาพเป็นภาพของทั้งสองคนในอิริยาบถเดิม แต่ต่างฝ่ายต่างสบตากันแล้วยิ้ม
GongYoo_GooYong: คนบ้าๆ บ้าๆๆ
GongYoo_GooYong: เย็นชากับคนทั้งอำเภอ แต่ยิ้มให้เธอคนเดียว
aMOXi: อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคาร
Sweety: อย่าเพิ่งแหม มาช่วยกันซูมก่อนว่าเขียนอะไร
LookKaew: นั่นสิพายเขียนว่าอะไร
Bankham: อยากรู้ด้วยคน
Sweety: ย้ง แกเห็นไหม
GongYoo_GooYong: เออ อยากรู้เหมือนกัน หันมาอีกทีมันก็พากันหายไปไหนแล้วไม่รู้
Sweety: อยากรู้ ๆๆ
Sunny: ไม่ต้องห่วงนะทุกคนนน เดี๋ยวพ่อจัดให้
ภาณุวางโทรศัพท์ลงสบตาภรรยาแล้วหัวเราะหึ ทันทีที่ซูบารุฟอเรสเตอร์แล่นมาจอดเทียบที่นอกรั้ว...
จบ
สวัสดีค่ะ ไม่พบกันเกือบ 1 ปีแล้วนะ สบายดีกันหรือเปล่าคะ
เกือบ 1 ปีที่ไม่ได้พบกัน มีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด
จนถึงวันสุดท้ายที่ทุกอย่างเรียบร้อย เราขอบคุณคนมากมายที่คอยช่วยเหลือ
และเราก็อยากขอบคุณนิยายเรื่องนี้ พยายามเขียนมาเป็นเดือนแล้ว ในที่สุดก็เสร็จสักที
สำหรับตอนพิเศษที่ชื่อว่า ขอบคุณนะ นี้ เราตั้งใจเขียนขอบคุณสายลมกระซิบรัก
ที่อยู่กับเรามาตลอดระยะเวลา 1 ปี เป็น 1 ปีต้องอาศัยกำลังใจมาก ๆ ในการผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ
ถ้านิยายทั้งหมดคือเพื่อน สายลมกระซิบรักคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่รู้ความเป็นไปของเรา
รู้ว่าตอนไหนเรารู้สึกยังไง คอยนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ กัน
ขอบคุณนะ
และขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามค่ะ