วันเปี่ยมรัก.12
“ลอดช่องสิงคโปร์ก็ต้องไปกินที่สิงคโปร์สิ ถ้ากินที่ไทยก็ต้องเรียกว่าลอดช่องไทย”
ประโยชน์ของการเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้คืออะไร
“มันเป็นชื่อไง เป็นชื่อเฉย ๆ”
“ก็นั่นแหละ เป็นชื่อก็เป็นชื่อ งั้นก็ต้องเรียกว่าลอดช่องไทย”
“เรารำคาญแล้วนะผู้ใหญ่”
“เนี่ยเราเห็นด้วยกับวันดีกว่าเนอะ ลอดช่องสิงคโปร์กินที่ไทยไม่จำเป็นต้องชื่อลอดช่องไทยก็ได้เนอะ”
ทั้งที่ยกเหตุผลมาอ้างได้ตลอด เถียงกันไปเถียงกันมาอยู่พักใหญ่ พอเริ่มโมโห ผู้ใหญ่เปี่ยมก็ยอมอ่อนข้อให้ง่าย ๆ และยังยิ้มหน้าระรื่นเหมือนที่ยกเหตุผลมาทั้งหมดก็เพื่อจะได้ต่อปากต่อคำกับคนที่เริ่มหน้าบึ้งและแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า
“ไม่เนอะ”
“อ้าว ไม่เนอะอีก เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงนะเรา”
แกล้งแซวเล่น ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ใช้หลอดคนลอดช่องที่อยู่ในแก้วไปมาและมองหน้าของศิวัฒน์แบบยิ้ม ๆ
“กินก็กินแล้ว จะไปได้หรือยัง”
“เดี๋ยวก่อนสิ”
“ยังจะเดี๋ยวอะไรอีก ฟ้าร้องเห็นมั้ย ฝนจะตกแล้ว”
“แต่เรายังกินไม่หมดเลยนะวัน”
นี่มันข้อต่อรองบ้าบออะไรกัน ลอดช่องที่อยู่ในแก้วก็สามารถถือไปกินที่ไหนก็ได้ไม่ใช่หรือไง
“ผู้ใหญ่!”
เพราะเห็นว่าเริ่มขึ้นเสียงแล้ว คนที่ยังหาเรื่องจะกินขนมหวานต่อก็เลยต้องหยุดต่อรองและลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปสั่งขนมที่แม่ค้า
“ตักขนมหวานใส่ถุงแยกน้ำแข็งให้หน่อย เอาสามถุงนะ”
หยิบเงินในกระเป๋าเสื้อมานับส่งให้ และแม่ค้าขนมหวานก็ส่งยิ้มหวานให้กับผู้ใหญ่เปี่ยมที่นาน ๆ จะได้เจอหน้ากัน
“แถมให้จ่ะ”
“แถมทำไม ของซื้อของขาย”
ไม่ใช่แค่ขนมหวานสามถุงแต่เป็นห้าถุง และผู้ใหญ่เปี่ยมก็เตรียมจะหยิบเงินเพิ่มให้ แต่ก็ยังถูกยัดเยียดถุงขนมให้โดยที่แม่ค้าไม่ยอมรับเงิน
“นาน ๆ พี่ผู้ใหญ่เปี่ยมจะมากินขนม”
“ไม่ดีมั้ง เอาไว้เถอะ”
“ไม่เอาจริง ๆ จ่ะ วันนี้ผู้ใหญ่มาช้าบัวลอยก็เลยหมด พรุ่งนี้จะเก็บไว้ให้นะจ๊ะ พรุ่งนี้จะยำลูกชิ้นด้วย ถ้าอยากให้ค่าขนมงั้นพรุ่งนี้พี่ผู้ใหญ่ก็ค่อยแวะมาอีกรอบนะจ๊ะ”
เรื่องแค่นี้ดูออกไม่ยาก ว่าแม่ค้าหมายความว่ายังไง และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้และยังพูดแบบเดิม ๆ
“เกรงใจจริง ๆ”
“อย่าเกรงใจเลยจ่ะ คนกันเองทั้งนั้น”
ต่างฝ่ายต่างส่งยิ้มให้กันไปมา ดูแล้วน่าหมั่นไส้จนทำให้คนที่นั่งอยู่ต้องมองตามและเบะหน้า
...บอกว่าอยากมากินบัวลอย ที่แท้จะมาจีบแม่ค้าบัวลอยมากกว่า เรื่องอยากกินบัวลอยก็แค่ข้ออ้างแค่นั้นเอง...
+++
ผู้ใหญ่เปี่ยมรับขนมหวานที่อยู่ในถุงแล้วเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์โดยมีศิวัฒน์เดินตามมาด้วยก่อนจะขึ้นมาซ้อนท้าย รถมอเตอร์ไซค์ถูกขี่ลัดเลาะไปตามถนนลาดยางที่มองไปสองข้างทางมีแค่ต้นไม้และทุ่งนามืด ๆ มีเพียงแค่แสงไฟจากเสาไฟของหมู่บ้านพอให้เห็นทางได้บ้าง
“ที่บอกว่าหิวนี่ข้ออ้างใช่มั้ย ที่จริงจะมาจีบแม่ค้าก็บอกมาตรง ๆ”
“น่ะ อยู่ดี ๆ ก็มากล่าวหาเราอีก”
“กล่าวหาอะไร ก็เห็นอยู่ชัด ๆ”
“วันเห็นอะไร”
“ก็เห็นแม่ค้าขนมกับผู้ใหญ่ส่งสายตาให้กันหวานหยาดเยิ้มเลย”
“บ้าแล้ว เรายังไม่ได้ส่งตาหวานหยาดเยิ้มอะไรเลย”
คิดว่าคนอื่นตาบอดหูหนวกหรือไง ถึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่มีใครเห็น แต่ก็เท่านั้นพูดกับคนอย่างผู้ใหญ่เปี่ยมที่มีสารพัดข้อแก้ตัวในการหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อจะไม่ยอมรับ พูดไปก็หงุดหงิดใจเสียเวลาเปล่า
“ขี้เกียจจะเถียงด้วย”
“ไม่สิ ไม่ใช่เถียงด้วย วันต้องบอกก่อนว่าเราไปทำตาหวานใส่แม่ค้าตอนไหน เพราะเราก็บอกอยู่ว่าเราไม่ได้ทำ”
“ผู้ใหญ่เลิกพูดได้มั้ย เราไม่ได้อะไรแล้ว จะทำหรือไม่ทำก็เรื่องของผู้ใหญ่เถอะ รำคาญขี้เกียจพูด”
ทั้งที่ย้ำไปแล้วว่าไม่อยากยุ่ง แต่ดูเหมือนผู้ใหญ่เปี่ยมไม่ยอมเลิกรา ยังจะพูดเรื่องน่าปวดหัวซ้ำ ๆ ว่าไม่ได้ทำตาหวานใส่แม่ค้าอยู่อีก ทั้งที่ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทำ
“วันไม่มีเหตุผลเลยนะ”
“อะไรของผู้ใหญ่เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องของเรา จะทำอะไรก็เรื่องของผู้ใหญ่สิ ทำไมต้องมาว่าเราไม่มีเหตุผลด้วย”
“ก็วันไม่มีเหตุผลจริง ๆ มาหาว่าเราทำตาหวานใส่แม่ค้าได้ยังไง”
“โว้ย รำคาญ ผู้ใหญ่เลิกพูดไปเลย”
โดนต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้รู้ว่ากำลังรำคาญใจอย่างที่พูดจริง ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ไม่ได้เถียงด้วยอีก ฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มหยดลงที่ใบหน้าและศิวัฒน์ก็กระพริบตาและยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำฝน
“บอกให้รีบกลับ เป็นไงฝนตกแล้วเห็นมั้ย”
หลังจากที่พูดประโยคนั้นจบ ฝนที่หยดลงมาแค่เม็ดแรก ก็เริ่มลงเม็ดหนักขึ้น
“แวะข้างทางตรงศาลาก่อน”
“ไม่เอา ไม่แวะ เราจะกลับบ้าน”
“กลับไม่ได้ บอกว่าแวะก่อนไง ฟ้าร้องน่ากลัว ยังไงก็ต้องแวะ”
พอจะมองเห็นทางข้างหน้าที่ไฟติด ๆ ดับ ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็เลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในศาลา
“หนักเลย”
มองไปที่ฝนที่กำลังตกหนักและเสียงฟ้าร้องและมีประกายจากฟ้าแล่บให้เห็นเป็นพัก ๆ แล้วก็พอเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมบอกได้ไม่ยาก
“กลับตอนนี้อันตราย ที่นี่มีนะคนไปนาแล้วโดนฟ้าผ่าตาย”
“แล้วผู้ใหญ่จะพูดทำไม”
“ก็พูดให้รู้ว่ามันอันตรายจริง ๆ”
“จะอันตรายหรือไม่อันตรายก็ช่างเถอะ เปียกหมดแล้วเนี่ย”
ยกแขนกอดอกด้วยความหนาว และทั้งหน้าทั้งตัวก็เปียกไปหมดจนคนที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์นึกเป็นห่วง
“โทษทีพามาเปียก”
“ช่างเถอะ ยังไงก็เปียกแล้ว เราก็แค่กลับบ้านอาบน้ำสระผมแค่นั้น”
ประชดประชันไปเล็กน้อยและผู้ใหญ่เปี่ยมที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่โดนเข้าใจผิดมาตลอดตั้งแต่ออกจากร้านขนมหวานก็พูดเรื่องเดิมที่เคยพูดกันไปแล้ว
“เราไม่ได้มาจีบแม่ค้าแล้วก็ไม่ได้ส่งตาหวานให้ด้วยนะ”
“ผู้ใหญ่จะเอาอะไรอีก ทำไมยังจะพูดซ้ำซากเรื่องเดิม”
“ก็วันปรักปรำเราทั้งที่เราไม่ได้ทำแบบนั้นเลยสักนิด”
“แล้วไง ผู้ใหญ่จะเอาอะไรจากเรา เราก็บอกอยู่นี่ไง ว่าแล้วแต่ผู้ใหญ่เลย จะทำตาหวานหรือไม่ทำตาหวานจะมาจีบแม่ค้าหรือไม่ได้มาจีบมันก็เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องของเรา”
แล้วการเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระที่สุดก็วนกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ผู้ใหญ่เปี่ยมดูจะจริงจังกับการเถียงมากกว่าตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากร้านขนมหวาน
“พรุ่งนี้ผู้ใหญ่ก็มาที่ร้านขนมอีกสิ”
“เราไม่มา ทำไมเราต้องมา”
“เหรอ ก็แล้วแต่ผู้ใหญ่เถอะ”
“ทำไมวันเป็นคนแบบนี้อ่ะ”
“เราเป็นคนแบบไหนล่ะผู้ใหญ่ พูดดี ๆ นะ”
“ก็เป็นคนที่แค่เดินเข้าไปในร้านผัดไททั้งแม่ค้าทั้งคนที่มากินก็มองกันทั้งร้าน วันชอบทำหน้าเฉยไม่สนใจใคร แต่ก็ยังทำให้คนอื่นมองได้ ตอนไปจ่ายเงิน แม่ค้าผัดไทบอกว่า พรุ่งนี้อยากให้เราชวนวันไปกินผัดไทที่ร้านอีก แม่ค้าขายขนมก็กระซิบถามว่าขนมอร่อยมั้ย วันชอบขนมหรือเปล่า”
ผู้ใหญ่เปี่ยมพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ศิวัฒน์งงกับสิ่งที่ได้ยิน
“ผู้ใหญ่พูดบ้าอะไรเนี่ย เราไม่เข้าใจ”
“วันไม่ต้องบอกให้เราไปร้านขนมเลยนะ เราจะไม่ไปกินผัดไทแล้วก็จะไม่ไปร้านขนมอีกแล้ว”
“ก็ไหนบ่นว่าหิว แม่โกรธแล้วไม่ยอมทำอะไรให้กินไม่ใช่เหรอ”
ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ขมวดคิ้วมุ่นและพูดเรื่องที่คิดออกมาทั้งหมด
“เราจะไปขุดเผือกขุดมันกิน เราจะไม่ไปกินอะไรที่ไหนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้ตัวเองหิวตายไปเลย”
“ผู้ใหญ่นี่บ้าแล้วนะ”
ศิวัฒน์ส่ายหน้าเพราะสิ่งที่ได้ยิน ยกหลังมือขึ้นเช็ดหยดน้ำจากฝนที่ไหลจากเส้นผมหยดลงที่ข้างแก้มแล้วก็ขยับมายืนกอดอกในศาลาตอนที่ฝนสาดเข้ามาหา บางทีคงต้องรอให้ฝนซาลงมากกว่านี้ถึงกลับบ้านได้
“วันรู้มั้ย”
“ไม่รู้”
รีบตอบกลับทันทีที่ถูกถามและผู้ใหญ่เปี่ยมที่เหมือนกำลังไม่พอใจอยู่ก่อนหน้านี้ก็เริ่มยิ้มออกมาได้แล้ว
“เรายังไม่ได้พูดเลย”
“อือ ก็ใช่ไง ผู้ใหญ่ยังไม่ได้พูด แล้วเราจะไปรู้ได้ยังไง”
จากที่แค่ยิ้มตอนนี้ผู้ใหญ่เปี่ยมหัวเราะออกมาเสียงเบาและมองคนที่ยืนกอดอกอยู่ในศาลาพอมองเห็นหน้ากันได้ลาง ๆ แม้จะไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายว่ากำลังรู้สึกยังไง แต่ก็ทำให้หัวเราะได้แล้ว
“ทำไมตอนเด็ก ๆ เราถึงไม่เล่นด้วยกันนะ”
แล้วเรื่องที่พยายามลืมทั้งหมดก็ปรากฎชัดขึ้นมาในความทรงจำของศิวัฒน์อีกแล้ว
“ก็เพราะเราเป็นไอ้วันเฉลิม ลูกอีลำยองขี้เมาไง”
น้ำเสียงของคนฟังเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นทันทีและผู้ใหญ่เปี่ยมก็นิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
“แล้วผู้ใหญ่จะให้เราพูดแบบไหนล่ะ”
ไม่รู้จะตอบสิ่งที่อีกฝ่ายถามยังไง และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ทำได้แค่ถอนใจยาว
“เราควรทำยังไงดี วันถึงจะหายโกรธเราลงบ้าง”
“ผู้ใหญ่ไม่ต้องทำยังไงหรอก มันผ่านมานาน เราลืมไปหมดแล้ว”
“ไม่หรอก เรารู้ว่าวันไม่ได้ลืม”
“ใช่ เราไม่ได้ลืม ถึงเราจะพยายามลืมก็เถอะ แต่จริง ๆ คือเราไม่ได้ลืม”
บอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปตรง ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็พยักหน้าเข้าใจสิ่งที่ได้ยินอย่างชัดเจน
“เพราะอย่างนั้น เวลาอยู่กับวันเราถึงอยากเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เราไม่อยากเป็นคนที่โตแล้ว”
“ผู้ใหญ่หมายความว่ายังไง”
ถามออกไปด้วยความสงสัย และไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมบอก
“อยู่กับวันเราอยากเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เราอยากเป็นแค่เด็กที่จะเป็นเพื่อนกับไอ้วันเฉลิมลูกน้าลำยองที่อยู่ในตัวของวันคนนี้ที่โตแล้วแค่นั้น”
“บ้าหรือไง ผู้ใหญ่คิดได้ยังไง”
ถึงจะโดนต่อว่า แต่มันก็เป็นสิ่งที่คิดและเป็นสิ่งที่พอจะชดเชยให้กับช่วงเวลาที่เคยทำไม่ดีกับเด็กคนนั้นได้
“ที่ทำนี่สงสารเราเหรอ”
“เปล่า เราไม่ได้ทำเพราะสงสาร”
“แล้วผู้ใหญ่ทำแบบนี้ทำไม”
แม้แต่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ได้แต่นิ่งงันเพราะสิ่งที่ถูกถาม บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ รู้แค่ว่าต้องทำ และรู้ว่าย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองในช่วงเวลาเก่า ๆ ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการชดเชยให้บ้าง
“เราไม่อยากต้องติดค้างใจเรื่องวันไปจนตาย”
อ่อ เป็นแบบนี้สินะ...
“เรื่องนี้ไม่ยากหรอก ผู้ใหญ่สบายใจได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็จะยกให้ผู้ใหญ่ทั้งหมด เราจะได้ไม่ต้องมีเรื่องอะไรติดค้างใจกันไปจนตาย”
TBC.