36 – เติบโตพิชญะ กับ พริมา เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นโดยยึดพยัญชนะตัวแรกของคุณพิทักษ์เป็นหลัก โดยทั้งทิพย์และปัทมาก็ไม่เคยมีใครรู้ว่าก่อนที่ใจเย็นจะได้ชื่อว่าใจเย็นนั้น คุณพิทักษ์ให้สิทธิ์เกษราในการตั้งชื่อลูกชายอย่างอิสระ ทั้งยังไปสรรหาชื่อที่ขึ้นต้นด้วย ก.ไก่ มาเพื่อให้มีความใกล้ชิดชื่อของเกษราอีกด้วย
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรอีกแล้วถ้าทิพย์และปัทมาจะรู้เข้าในตอนนี้ ความรักกลายเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของชีวิต ไม่ควรจะเป็นจะตายกับมัน พวกหล่อนคิด เพราะพวกหล่อนผ่านมันมาแล้ว ผ่านความรักที่บิดเบี้ยวและการตัดสินใจที่บี้แบนไร้มิติ สุดท้ายมันก็ถูกตบกลับให้เป็นรูปเป็นร่างตามครรลองของโลกความจริง แต่ไม่ใช่ว่าพวกหล่อนไม่รู้สึก พวกหล่อนยังคงรู้สึก แค่อาจยากจะอธิบาย
สำหรับทิพย์ หล่อนยังคงรักคุณพิทักษ์ แม้หลายครั้งจะสับสนเมื่อมันดูเหมือนเจือจาง แต่หล่อนก็พบว่ามันไม่ได้น้อยลง แค่เรียบง่ายขึ้นเท่านั้น ลึกในใจที่เคยปรารถนาแค่ได้อยู่เคียงข้างแม้ต้องทำผิดนั้นเลือนหาย เหลือเพียงขอให้ได้เห็นในสายตา ได้รับรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างก็เพียงพอ เรียบง่ายเพียงนั้น เรียบง่ายจนนึกเสียดายว่าหล่อนควรรู้สึกแค่นี้ตั้งแต่แรก
ส่วนปัทมา หล่อนไม่แน่ใจนักว่ารู้สึกอย่างไรกับคุณพิทักษ์ ในเมื่อตั้งแต่พริมาเกิด หล่อนก็คิดเรื่องลูกมากกว่าความรักฉันชู้สาว หล่อนเคยคิดถอนตัวออกจากบ้านอัครเสนีย์แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะพริมา หล่อนคิดว่าลูกควรมีโอกาสเลือกเช่นกัน ไม่ใช่แค่หล่อนเลือก เพราะหล่อนก็เลือกผิดตั้งแต่มาเป็นเมียน้อยบ้านคนอื่น แล้วหล่อนยังจะเลือกออกไปเผชิญความลำบากโดยไม่ถามลูกสักคำอีกหรือ?
เพราะคิดแบบนั้น ปัทมาจึงปักหลักอยู่ไม่ไปไหน และก็กลายเป็นว่าลูกสาวของหล่อนได้เติบโตอย่างสมบูรณ์พูนพร้อมเคียงข้างพี่ชายอีกสองคน ปัทมาเห็นพริมามีสุขก็พอใจ คิดว่าดีแล้วที่ไม่เลือกจากไป ต่อให้จะได้ค่าเลี้ยงดูเท่าไหร่ก็คงไม่สุขสบายเท่าอยู่ที่นี่ หล่อนคิด และเฝ้ามองการเคลื่อนผ่านของชีวิตอย่างอ้อยอิ่งคล้ายควันบุหรี่ที่ลอยคว้างกลางอากาศ
กระทั่งวันแห่งความเปลี่ยนแปลงมาถึง วันที่ได้รู้ว่าเกษราจะฟ้องหย่า ทั้งทิพย์และปัทมากลับมาใคร่ครวญสถานะของตน ไม่มีอะไรมากไปกว่าว่าเมื่อคุณพิทักษ์หย่าแล้วจะกลับมาจดทะเบียนสมรสใหม่กับใคร แต่ก็ดูไม่ต้องคิดให้ยากในเมื่อทิพย์มีลูกชาย นั่นคือพิชญะ แม้ดูไร้หน่วยก้าน อ่อนน้อมถ่อมตนจนขาดไร้ภาวะผู้นำ แต่อย่างไรการเป็นผู้ชายก็ภาษีดีกว่า ทิพย์คิดแบบนั้น ปัทมาคิดแบบนั้น เห็นพ้องต้องกันและไม่มีใครออกตัวแสดงความรู้สึกใด เรื่องจึงเหมือนว่าปล่อยผ่าน แต่ที่จริงแล้วปัทมาก็แอบเก็บมาคิด
ถ้าประจบคุณพิทักษ์เสียหน่อย พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ เจื้อยแจ้วเจรจาอย่างที่หล่อนถนัด ไม่แน่คุณพิทักษ์อาจเลือกจดทะเบียนสมรสกับหล่อน และพริมาก็จะได้ในสิ่งที่ดีกว่า หล่อนคิด ทว่า ความรู้สึกกลับบอกว่าเปล่าประโยชน์ บอกว่าคุณพิทักษ์ไม่คิดจดทะเบียนสมรสใหม่ ไม่ใช่แค่กับหล่อน กับทิพย์เองก็ด้วย ความรู้สึกนี้ถูกย้ำในวันที่คุณพิทักษ์เดือดดาลสาดเสียงโวยวายตอนที่รู้ว่าถูกเกษราฟ้องหย่า และย้ำยืนยันให้แน่ใจในวันที่คุณพิทักษ์แพ้คดีความนี้ เขากลับมาอย่างหมดรูป ไม่ใช่แค่พ่ายแพ้เสียศักดิ์ศรี แต่เขาเสียความรัก อา ดูก็รู้ว่าเขารักเกษรามากที่สุดในบรรดาเมียทั้งสาม และสิ่งเดียวที่เหลือจากการพ่ายแพ้นี้ก็คือสวนดอกไม้ของเกษรา
ทั้งที่คิดว่าเขาอาจถมทำลายมันไม่ให้รกหูรกตา แต่สิ่งที่ทำคือดูแลเอาใจใส่ดอกไม้เหล่านั้น โอนอ่อนละเอียดลออจนหล่อนเผลอคิดว่าช่างน่าเอ็นดูเสียจริง ชายที่หักพังคนนี้ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน
ตอนนั้นเองที่ปัทมาได้คำตอบว่าตัวหล่อนรู้สึกกับคุณพิทักษ์อย่างไร ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดแล้วคนเราจะเคยรักกันแค่ไหน หรืออาจจะไม่รักก็ได้ หล่อนไม่ใส่ใจเรื่องนี้แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการดูแลกัน ปัทมาตั้งใจ – หรือไม่ มันก็อาจเป็นความปรารถนาที่แปร่งประหลาด หล่อนอยากดูแลเขา และเขาก็ต้องตอบแทนด้วยการดูแลหล่อน สั้น ง่าย แค่นั้น
ขณะที่ทิพย์ออกจะแปลกใจอยู่เสียหน่อยที่คุณพิทักษ์ไม่คิดจดทะเบียนสมรสใหม่ เพราะหล่อนก็ไม่ค่อยจะสังเกตความเป็นไปของคนในบ้านเท่าไหร่นัก และหล่อนก็ตามคุณพิทักษ์ไม่ค่อยทันพอๆ กับที่ตามใครไม่เคยทัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรตราบที่หล่อนยังได้อยู่ดูแลคุณพิทักษ์ ซึ่งถ้าชายคนไหนได้ล่วงรู้ความคิดของหล่อนก็คงพูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่าคุณพิทักษ์ช่างโชคดี โชคดีเหลือเกิน ทั้งที่สร้างความวุ่นวายปั่นป่วนใจให้กับผู้หญิงถึงสามคน เขาก็ยังคงได้รับความรัก ต่อให้จะบอกออกมาว่าไม่ต้องการแล้ว ลึกๆ เขาก็ต้องการมันเป็นแน่ให้กับใจที่หักพัง ดังนั้นทิพย์จึงยังยินดีจะหยิบยื่นมันให้เขา และหวังให้ความเรียบง่ายของหล่อนนั้นสร้างความสุข หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นที่รบกวนป่วนปั่น ซึ่งสิ่งที่หล่อนกระทำก็ยังผลให้ลูกชายมีชีวิตที่สงบสุขและเป็นของตนเอง
พิชญะประกาศเรื่องสำคัญออกมาในเย็นวันอาทิตย์ของเดือนมิถุนายน ไม่ถึงกับประกาศกร้าว แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจสำหรับคนอย่างพิชญะที่แทบไม่พูดอะไรสักคำบนโต๊ะอาหารหากไม่ถูกถาม พิชญะบอกว่าปีหน้าอยากไปเรียนต่อคณะวิศวกรรมที่ต่างประเทศ เขาตัดสินใจแล้ว เขาบอกแบบนั้น ก่อนบรรยากาศของมื้อเย็นจะเงียบกริบ อึมครึม อึดอัดด้วยเสียงช้อนส้อมกระทบจานอย่างเกรงใจ แล้วถูกตัดฉากด้วยคำพูดสั้นง่ายของคุณพิทักษ์
เอาสิ
เสียงถอนหายใจโล่งอกของพิชญะดังชัดอย่างไม่ตั้งใจ แต่ผู้เป็นพ่อแค่หัวเราะ ถามไถ่ว่าทำไมคิดจะไปเรียนที่นั่น หลักสูตรเป็นอย่างไร ศึกษาอะไรไว้แล้วบ้าง ถาม ถาม และถามเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะเป็นห่วงเป็นใยลูก ขณะที่พิชญะดูตั้งรับไม่ทัน เหมือนเขาไม่ชินกับการถูกพ่อชวนคุยมากมายก่ายกอง แต่ถ้ามองลึกในแววตาก็จะเห็นได้ว่าเจ้าตัวกำลังดีใจ
ปัทมาเห็นดังนั้นก็พลอยนึกเอ็นดู พิชญะเหมือนคุณพิทักษ์ในรูปแบบที่กลับตาลปัตรกันทุกอย่าง ส่วนพริมา แน่นอนว่าคล้ายหล่อน แต่เมื่อเติบโตขึ้น พริมาอาจได้ทักษะการเจรจาต่อรองกับบุคคลอื่นอย่างมีชั้นเชิงกว่านี้ถ้าหากคุณพิทักษ์เหลือเพียงลูกสาวที่รับช่วงต่อธุรกิจ ปัทมาคิด แม้คิดพลิกไปมาอีกว่าทั้งใจเย็นและพิชญะก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจไม่ได้ แต่หล่อนก็คิดเอาไว้ คิดอย่างคนเป็นแม่ที่อยากให้ลูกมีโอกาสเลือกเสมอมา
แต่พริมาไม่ใคร่จะเข้าใจนัก
ท่ามกลางฝนเช้าวันหนึ่ง หล่อนนั่งลงริมระเบียง จุดบุหรี่ แต่ไม่ทันสูบให้ปอดลิ้มรส พริมาเดินเข้ามาหาหล่อน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยคำถาม แต่สุดท้ายก็คั้นเค้นออกมาเพียงคำถามเดียว
แม่รักพ่อบ้างไหม?
ไม่รู้ทำไมพริมาถึงถามคำถามนี้ บางทีมันอาจเป็นแก่นหลักใจความของทุกสงสัยที่เด็กคนนี้มี และแม้ปัทมามีคำตอบอยู่ในหัว หล่อนก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เด็กสาววัยกำดัดเข้าใจ หล่อนพยายามกลั่นกรองความรู้สึกจริงออกมาเป็นคำพูด แต่ก็ดูเหมือนจะล้มเหลว เห็นได้ชัดจากคิ้วที่ขมวดมุ่นของพริมา และคำถามที่พร่างพรูตามจนตอบไม่ทัน หล่อนได้แค่สูบบุหรี่จนอาจเหมือนไม่แยแสอะไร
เรื่องที่พ่อไม่คิดจดทะเบียนใหม่ แม่รู้อยู่แล้วใช่ไหม? เพราะแบบนั้นเลยให้พริมสนิทกับพี่พิชญ์ไว้ใช่ไหม? แต่พี่พิชญ์ก็ได้เลือกทางของตนเองแล้ว แม่จะทำอย่างไรต่อ? พริมาถาม ถาม และถาม ราวจะแข่งกับสายฝนที่เริ่มเทลงมาหนักขึ้น แต่ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่ในคำถามเหล่านั้น ปัทมาจับคำถามแท้จริงที่พริมาอยากถามได้
‘แม่รักพริมบ้างไหม?’
วาบคำถามนั้นในห้วงคิด ปัทมาบี้ดับไฟปลายมวนบุหรี่ ทิ้งมันลงถังขยะ ลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปหน้าพริมา จับไหล่ทั้งสองข้างของหล่อนอย่างเบามือและจับจ้องลึกลงในแววตาและความรู้สึก
“พริม โตขึ้นลูกอยากเป็นอะไร”
“ทำไมแม่ไม่ตอบคำถามพริมก่อน”
“ช่วยตอบคำถามนี้ของแม่ก่อนนะ แล้วแม่จะบอกทั้งหมดเลย”
พลันพริมาอึกอัก หล่อนหลุบตาหนี แต่ก็ยอมตอบคำถาม
“ตอนนี้อยากเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์...พริมเพิ่งเปิดแชแนลของตัวเอง”
“อื้ม อนาคตล่ะ”
“อยากเป็นช่างแต่งหน้าให้เซเลบริตี้ในวงการแฟชั่น”
“มีอีกไหม”
“อยากมีแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง แล้วทำให้แบรนด์นั้นไปถึงระดับโลก อ่า...ที่บอกว่าอยากเป็นช่างแต่งหน้าให้เซเลบริตี้ จริงๆ พริมก็อยากเป็นมันซะเองด้วย...”
“ลูกมีความฝันเยอะมากเลยนะ”
“มันคงเยอะไปใช่ไหมคะ อีกอย่างพริมคงไม่ได้ทำมัน...”
“ไม่หรอก พริมฟังแม่นะ” ปัทมาเอ่ยเสียงหนักแน่น บีบไหล่พริมาแรงขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ดวงตากลมโตสดใสของพริมากลับมาสบตา
ปัทมายิ้ม ก่อนเอ่ยออกไปชัดถ้อยชัดคำ
“พริมอยากเป็นอะไร พริมก็เป็นมันให้หมดเลยสิ แม่สนับสนุนเต็มที่ทุกอย่าง”
แม้เสียงฝนฟ้าคำรามลั่น แต่หล่อนมั่นใจว่าพริมาได้ยิน เพราะดวงตาของเด็กสาวที่กลมโตอยู่แล้วก็ยิ่งเบิกกว้าง ก่อนที่หยาดน้ำจะไหลรินออกมา พร่างพรูลงมาแข่งกับสายฝนในเวลานี้ ซึ่งก็เป็นเวลาที่ปัทมาโอบกอดลูกสาวของตนเอาไว้
โอบกอดเอาไว้ หลังจากตอบคำถามที่พริมาค้างคาใจมาตลอด
หมดฝนเช้านั้น ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มไม่สว่างดีนัก แต่จากระเบียงห้องของปัทมา หล่อนสามารถมองเห็นสวนดอกไม้ของเกษราอยู่ไกลๆ และเพราะเห็นคุณพิทักษ์ยืนอยู่ตรงนั้น ปัทมาจึงลุกจากเก้าอี้ หยิบผ้าคลุมมาพาดบ่า เมื่อเดินเกือบถึงตัวคุณพิทักษ์ หล่อนเห็นเขายิ้ม บางเบา
“ยิ้มอะไรคนเดียวคะคุณ”
“อ้าว ปัทม์” คุณพิทักษ์หันมาแบบเพิ่งรู้ตัว
“ชื่นชมผลงานตัวเองเหรอคะ”
“ไม่เชิง ที่จริง...ใจเย็นเพิ่งโทรมาหาผมน่ะ”
น่าเอ็นดู – ปัทมาเผลอคิดคำนี้อีกครั้ง กับชายผู้แหลกสลายหักพังและยิ้มดีใจเพียงเพราะลูกชายโทรมา
“พริมอยากทำแบรนด์เครื่องสำอางเหรอ”
“เอ๊ะ... รู้ได้ไงคะ?”
“ใจเย็นบอกน่ะสิ” ปัทมาพยักหน้าร้องอ๋อ หล่อนพอจะเห็นภาพพริมาโทรไปเจื้อยแจ้วหลายสิ่งหลายอย่างให้พี่ชายคนโตฟัง “ได้รู้ก็ยิ่งทำให้คิดว่าไม่มีลูกคนไหนรอสืบธุรกิจของผมเลยสักคน”
“นั่นสิ แต่เมื่อกี้คุณยังยิ้มอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใจเย็นนั่นแหละ มันบอกว่าถ้าไม่มีใครรับช่วง เดี๋ยวผมรับเองก็ได้” พูดถึงตรงนี้คุณพิทักษ์หัวเราะในลำคอ “ใช้คำว่า ‘ก็ได้’ เนี่ย พูดเหมือนมันเป็นของเหลืองั้นแหละ”
“ก็สมเป็นใจเย็นดีนะคะ”
คุณพิทักษ์หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปัทมาลงความเห็นว่าเขาดูสุขุมขึ้นมากตั้งแต่เกษราและใจเย็นไปจากบ้านหลังนี้ ซึ่งหล่อนก็ว่าเขาแบบนี้น่าเอ็นดูกว่า จำไม่ได้ว่าคิดแบบนี้ครั้งที่เท่าไหร่ทั้งที่เขาแก่กว่าหล่อน แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ
รู้สึกตัวอีกที ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็เปิดโล่ง แสงแดดหลังฟ้าคะนองให้ความรู้สึกอ่อนโยน สว่างไสวขับสีสดใสของดอกไม้ หยาดน้ำที่พร่างพรมบนกลีบอ่อนช้อยก็ดูราวสวมใส่เครื่องประดับ ปัทมาเข้าใจเกษราขึ้นมานาทีนั้นว่าทำไมหล่อนหลงรักดอกไม้เป็นนักหนา ปัทมานึกถึงหล่อน นึกถึงผู้หญิงที่เคยไปทำผิดต่อหล่อนเอาไว้ แม้ไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กันตรงๆ เพราะปัทมาไม่เคยคิดขอให้หล่อนยกโทษให้
แต่ปัทมาก็คิดขอให้หล่อนตอนนี้มีความสุข
“ดอกไม้สวยดีนะคะคุณพิทักษ์”
“อืม”
อีกอย่าง ดอกไม้ของเกษราสวยงามมิใช่เพียงเพราะเราได้เฝ้ามองมันเติบโต แต่ดอกไม้เองก็เฝ้ามองผู้คนเติบโตและก้าวผ่านสิ่งต่างๆ ไปด้วยเช่นกัน************************************************************************************
- นี่มันนิยายครอบครัวใช่มั้ยตอบ 55
- อิตาคุณพิทักษ์โชคดีมากที่เจอผู้คนประมาณนี้ ปกติน่าจะโดนบรรดาเมียปั่นหัวไม่ก็หักเหลี่ยมกันเองมหาศาลบานบุรี
- ตอนนี้ฟ้าเปิดจริงๆ แล้วนะคะ หวังว่าจะไม่อึมครึมแล้ว
- ใกล้จบแล้วค่ะ วางไว้อีกสองตอน และส่งท้ายอีกหนึ่งตอน
- คิดว่าตอนแบบนี้น่าจะคอมเม้นไม่เยอะ ทั้งใจเย็นทั้งเป็นไทไม่โผล่เลย แต่ถ้าติดตามอยู่ก็ส่งฟีดแบ้คกันบ้างนะคะ
- ขอบคุณทุกคอมเม้นจริงๆค่ะ แยมได้อ่านหมดเลย ทุกคำชมคำติคำให้กำลังใจ เป็นกำลังให้แยมได้มากจริงๆ สัญญาว่าจะพัฒนางานให้ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
#ใจเย็นกับเป็นไท