ー 7th Match ♥
☁
บรรยากาศของอาหารค่ำมื้อนี้ดีกว่าเมื่อวานเป็นไหนๆ
ครั้งนี้เจ้าของห้องเป็นคนจัดจานข้าวบนโต๊ะให้แขกไม่ได้รับเชิญร่วมทาน กิวางถ้วยบะหมี่ของตัวเองกับจานข้าวหมูแดงให้อีกฝ่ายลงบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ นั่งลงที่พื้นพร้อมเอนหลังพิงเบาะโซฟาก่อนจะคีบเส้นบะหมี่เข้าปากไปเรื่อยๆ แขกยามวิกาลนั่งมองเจ้าของห้องไม่พูดไม่จาอะไรด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำถามทำลายความเงียบนี้ออกมา
แม้ว่าจะไม่มีเสียงพูดคุยและหยอกล้อเหมือนก่อน แต่ก็ไม่มีสีเทาน่าอึดอัดลอยอยู่ในห้องเทียบเท่าเมื่อวานแล้ว เป็นบรรยากาศที่มีเพียงเสียงครูดช้อนบนจานกับเสียงสูดเส้นบะหมี่ดังขึ้นในห้องสีขาวแห่งนี้เท่านั้น
คนที่กินหมดก่อนคือเจ้าของห้องตัวเล็ก เขากวาดสายตาผ่านใบหน้าของคนตรงข้าม ก่อนจะสะดุดกับรอยช้ำที่มุมปากจึงเอ่ยทัก “ปากมึงไปโดนอะไรมา”
ฮอนเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นสบตามอง
“เดินชนประตู” ชายหนุ่มเลือกที่จะโกหกออกไป
คนตัวเล็กกวาดตามองรอยช้ำที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ร่องรอยจากบานประตู คิดว่าคนอื่นไม่รู้เหรอว่าเวลาโดนต่อยมันเป็นยังไงน่ะ
“โง่”
“รู้แล้วน่า” ใช่ ร่างสูงยอมรับแต่โดยดีเพราะรู้ว่าตัวเองโง่จริงๆ นั่นแหละ
เจ้าของห้องไม่พูดอะไรแต่ลุกขึ้นเดินไปค้นตู้เก็บของที่ตั้งอยู่ข้างโทรทัศน์เงียบๆ
“หันหน้ามา” พอได้สิ่งของที่ต้องการแล้วก็นั่งลงจับหน้าอีกฝ่ายให้หันมาหา มือซ้ายหยิบสำลีมาชุบแอลกอฮอล์เพื่อทำความสะอาดแผลให้
ฮอนสะดุ้งตัวเมื่อความเย็นแตะลงบนริมฝีปาก มองหน้าคนตรงข้ามที่ค่อยๆ ใช้สำลีแตะลงบนมุมปากของเขา จดจ้องอยู่นานจนกระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัวว่าโดนมอง สองสายตาจึงได้ประสานกันโดยบังเอิญ
“โอ๊ย” แขกยามวิกาลร้องเสียงดังเมื่อแอลกอฮอล์แสนจะแสบนั่นกดย้ำลงมาที่บาดแผลมุมปากอย่างแรง
“เสียงดัง” เจ้าของห้องตัวเล็กเอ็ด ยอมรับว่าตั้งใจกดแอลกอฮอล์ลงไปที่แผลแรงๆ เพราะหมั่นไส้ที่เอาแต่จ้องใบหน้าเขาอยู่นั่นแหละ
“ก็มันเจ็บ” แม้จะโดนเอ็ดแต่ก็อดกลั้นยิ้มไม่ได้ เขาไม่คิดว่าการที่ไปหาเต็งหนึ่งแล้วโดนต่อยกลับมาจะทำให้ได้มานั่งอยู่ตรงนี้อีกครั้ง แม้จะโดนแกล้งให้แสบแผลแต่ถ้ามีคนมาคอยทำแผลให้แบบนี้ก็ถือว่าคุ้มที่ปากแตกแล้วล่ะ
“หาอะไร” ชายหนุ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นเจ้าของห้องตัวเล็กเทของออกจากถุงพลาสติกที่เก็บยาต่างๆ ไว้ออกมาค้นดู
“ไม่มีเบตาดีน”
“ไม่เป็นไร ไม่ทาก็ได้”
“มันต้องติดปลาสเตอร์เปล่านะ” แม้จะเอ่ยถามแต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ กิคว้าขวดยาที่เขาเก็บรวมๆ กันออกไปตั้งเป็นกองใหม่ หยิบถุงเล็กถุงน้อยต่างๆ ออกมาดูเพื่อหาปลาสเตอร์ติดแผล จนกระทั่งเจอสิ่งที่ต้องการในถุงใบสุดท้ายก่อนจะฉีกปลาสเตอร์ลายการ์ตูนออกจากซอง
“ไม่ต้องติดก็ได้มั้ง เดี๋ยวก็หลุด”
“แปะไว้ กันหมาออกจากปาก”
ฮอนนั่งจ้องคนที่ทำหน้าตั้งอกตั้งใจทำแผลให้ อยากเอื้อมมือไปบีบปากนิ่มๆ นั่นสักทีหนึ่งให้หายมันเขี้ยว ปากดีปากเก่งเหมือนเดิมเลย แถมลายปลาสเตอร์ที่หยิบมายังเป็นลายสุนัขอีกต่างหาก เอาหมามาปิดกันหมาออกเนี่ย ไม่รู้ว่าบังเอิญรึตั้งใจกันแน่
ขั้นตอนสุดท้ายจบลงเมื่อปลาสเตอร์ลายน่ารักติดอยู่บนมุมปาก มือขาวผละออก หมายจะนำของที่รื้อออกมาใส่ถุงเก็บเข้าตู้ แต่ก่อนจะได้หยิบจับอะไรก็โดนคนตัวโตกว่าคว้ามือไปจับไว้เสียก่อน
ระยะห่างเพียงช่วงแขนถูกคั่นกลางไว้ด้วยสองมือที่กอบกุมประสาน กิช้อนตามองคนที่ทำให้ในหัวของเขาว่างเปล่า ไม่มีสัญญาณจากสมองสั่งให้เขาขยับตัวหรือแม้กระทั่งให้สะบัดมือออกแต่อย่างใด
“ขอโทษ”
“เรื่อง?”
“ทุกเรื่องเลย กูขอโทษนะ”
“รู้เหรอ ว่าทำอะไรไว้บ้าง”
“อาจจะรู้ไม่หมด มันอาจจะมีเรื่องที่กูเผลอทำผิดกับมึงไปแล้วไม่รู้ตัวด้วย แต่กูก็อยากขอโทษมึงไว้นะ”
กิไม่ตอบ เขาผินหน้าหนีไปทางอื่นไม่ยอมมองสบตา
“ทั้งเรื่องที่กูเคยทำเล่นๆ พูดออกไปแบบไม่คิดตั้งแต่มัธยมยันเมื่อวาน เรื่องที่ทำตัวไม่ดีจนทำให้มึงต้องคิดมากขนาดนี้ ทุกเรื่องที่กูทำผิดต่อมึงเลย ขอโทษจริงๆ นะกิ” กระชับมือขาวที่กุมอยู่แน่นกว่าเดิม นิ้วหัวแม่มือก็คอยลูบไล้บนหลังมือแผ่วเบา
“พอแล้ว”
“กิ… “
“ขอโทษอะไรนักหนาไอ้เหี้ย ครั้งเดียวก็รู้เรื่องแล้ว” เจ้าของห้องตัวเล็กทำเป็นเฉไฉ ดึงมือให้หลุดจากการกอบกุม คว้าขวดยาเก็บเข้าถุงแก้เก้อ เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรในเวลาแบบนี้
ยกโทษ?
…ไม่รู้ว่าจะเร็วไปหน่อยรึเปล่า
“อย่าลืมกินยา” ฮอนเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่พูดอะไรแต่ลุกเก็บถ้วยจานบนโต๊ะ
กิครางอือในลำคอตอบรับ
“เดี๋ยวกูล้างจานให้ มึงไปกินยาไป” ชายหนุ่มแย่งมือในจานคนตัวเล็กแล้วเดินเข้าครัวไปล้างตามที่บอก ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เสร็จเพราะมีจานเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น
พอเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น ก็เห็นคนป่วยกำลังกระดกน้ำขึ้นดื่มเพื่อกลืนยาเม็ดสุดท้ายลงคอพอดิบพอดี
“ครบทุกเม็ดแล้วใช่ไหม”
“อื้อ”
ชายหนุ่มเดินไปเช็กว่ายาหายไปจากแผงเรียบร้อยแล้วจริงๆ ก็วางใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อหาผ้าผืนเล็กมาสักผืน
พรึ่บ
กิสะดุ้งตัวเมื่ออยู่ดีๆ อีกคนก็วางผ้าเช็ดผมบนหัวเขาแบบไม่บอกไม่กล่าว
“มึงน่ะไม่ชอบเช็ดผม ยังเปียกๆ อยู่ก็นอนเลย ไม่สบายขึ้นมาอีกจะทำไง” ขณะที่พูดก็คอยใช้ผ้าซับน้ำจากเส้นผมสีดำของเจ้าตัวไปด้วย
ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจากคนที่อยู่ข้างหลังทำให้กิต้องกำมือแน่น
…ทำยังไงดี
ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกรึเปล่าที่ยอมให้ฮอนเข้ามาในห้องทั้งที่เพิ่งทะเลาะกันเมื่อวานนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยโกรธอีกฝ่ายนานนักหรอก แต่ตอนนี้ชักอยากตีปากตัวเองที่มักไวกว่าความคิด ระดับความสนิททำให้เขาเผลอตัวชักชวนอีกฝ่ายตามความเคยชินมากจนเกินไป ตอนนี้เลยกลายเป็นตัวเองนี่แหละที่ลำบาก กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนเพราะการกระทำแบบนี้อีก แล้วเรื่องก็จะกลับไปซ้ำรอยเดิมทั้งที่ระเบิดความอัดอั้นในใจออกไปแล้วแท้ๆ
ปลายนิ้วมือยังคงลูบไล้อยู่บนเรือนผมสีดำ จนกระทั่งผ่านไปสักพักเส้นผมที่เคยเปียกชื้น บัดนี้กลับแห้งหมาดจนแขกที่กำลังทำหน้าที่พ่อบ้านทำหน้าพึงพอใจ
ร่างโปร่งวางผ้าไว้บนพนักโซฟา ค้อมตัวลงกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังก่อนจะวางคางลงลาดไหล่คนตัวเล็ก
“นี่… หายโกรธรึยังอะ” น้ำเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าคนฟังกลับได้ยินชัดเจนไปถึงอกด้านซ้าย
“...”
“ที่มึงบอกขอเวลาคือต้องการเท่าไหร่ กี่วันกี่สัปดาห์ฮึ”
“...”
“ถึงเดือนไหม รึจะเป็นปี... เท่าไหร่ก็ได้แต่อย่านานเลยได้ไหมกิ”
“...”
“ไม่งั้นกูคงคิดถึงมึงแย่” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างใบหู เขาซบหน้าลงบนลาดไหล่เล็กก่อนจะผละตัวขึ้น เดินอ้อมโซฟาลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าคนตัวเล็กพร้อมยืดตัวขึ้นให้ระดับใบหน้าอยู่ใกล้เคียงกัน
“ได้ไหมคะ อย่านานเลยนะ” มองสบตาเพื่อให้รู้ว่าครั้งนี้เขาพูดออกมาจากใจและหวังว่าคนฟังจะรับรู้ว่าเขาตั้งใจพูดจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด
“ไม่นานหรอก” กิตอบเสียงแผ่ว
ถ้าหายไปนาน… เขาก็คงคิดถึงจะแย่เหมือนกัน
---------
ความเคยชินมันช่างน่ากลัวจริงๆ
กินอนลืมตาโพลงมองความมืดสนิทอยู่บนเตียงสีขาว ห้องกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมเมื่อเขาอยู่ตัวคนเดียว แม้จะยังรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นักเมื่อเคยมีคนมานอนเบียดบนเตียงหลายสัปดาห์ แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครมาคอยเบียดคอยแกล้งยามนอนอีกแล้ว
กิพลิกตัวหันข้างมองความว่างเปล่า กระชับแขนกอดหมอนข้างใบโปรดเข้ามาชิดกายตัวเองมากขึ้น เมื่อจู่ๆ ภาพความทรงจำของเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนก็ลอยเขามาในหัวจนอกข้างซ้ายสั่นไหวขึ้นมาดื้อๆ
‘เที่ยงคืนกว่าแล้วอะ นอนด้วยไม่ได้เหรอ’ ใบหน้ากระเง้ากระงอดของแขกยามวิกาลทำให้เขาต้องลอบเบ้ปากอยู่ในใจ ตัวอย่างของคนได้คืบจะเอาศอก ให้เข้ามากินข้าวด้วยก็เลยขีดเส้นที่จำกัดไว้แล้วด้วยซ้ำ
‘รีบกลับไปสิ โอ้เอ้อยู่อย่างนี้ยิ่งดึกกว่าเดิม’
‘กิ… กว่ากูจะถึงบ้าน’ ฮอนกะพริบตามองปริบๆ
‘อย่ามางอแงเป็นเด็ก มึงเลือกออกไปเองนะ’
‘ก็กลัวมึงอึดอัด กลัวไม่สบายใจนี่หว่า’
‘อือ ก็ใช่ ตอนนี้มึงก็กำลังทำให้กูอึดอัด บอกว่าขอเวลาก่อนไง’
‘มึงไม่บอกอะ ว่ามึงต้องใช้เวลาเท่าไหร่’
‘เรื่องแบบนี้มันบอกได้เหรอวะ’
‘ขอโทษ... ไม่กวนแล้วก็ได้’ เขาเกือบจะใจอ่อนแล้วเมื่อเห็นใบหน้าที่สลดลงของแขกยามวิกาล แต่พอนึกถึงคำของเพื่อนสนิทที่บอกให้เขาหนักแน่นกับตัวเองบ้างจึงทำใจแข็งเอ่ยปฏิเสธต่อไป
‘อือ’
‘สัญญากันก่อนสิ’
‘สัญญาอะไร’
‘ห้ามนานเด็ดขาดเลยนะ’
ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป อีกคนจึงเอื้อมมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ ตามความเคยชิน ก่อนจะจับไหล่แล้วโน้มตัวเข้ามาหาจนใบหน้าห่างกันเพียงแค่คืบ
จุ๊บ
‘สัญญากันแล้วนะ’ พันธสัญญาในค่ำคืนนี้เป็นรอยจูบอุ่นๆ ที่ประทับตราไว้บนหน้าผากของเขา คลื่นความถี่สั่นอยู่ในอกระรัวเหมือนกำลังส่งเสียงเป็นพยานว่าสัญญาครั้งนี้ถูกพันธนาการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
กิจำรอยยิ้มกับสัมผัสอุ่นๆ ของอีกฝ่ายที่ทำไว้ก่อนออกไปนอกห้องได้แม่นยำ มือเรียวยกฝ่ามือแตะที่สัมผัสระรัวในอกข้างซ้ายก่อนจะออกแรงทุบเบาๆ เพื่อสั่งให้มันกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติเสียที
…สงสัยจะไม่ชินกับโหมดอ่อนโยนอีกแล้วล่ะ
----------
ดูเหมือนว่าการกระทำอันอุกอาจเมื่อหลายวันก่อนจะทำให้ใครหลายคนมองเขากลับมาเป็นฮอนคนเดิมไม่ใช่คนกากอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าหากใครมองมาเห็นรถคันสีขาวมุกที่จอดหน้าตึกคอนโดนี้ช่วงค่ำยันดึกนานหลายชั่วโมง ก็ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นใครถึงมาได้ทุกวี่ทุกวันแบบนี้
เป็นเขาเองแหละ ไอ้เหี้ยฮอนคนนี้เอง
วันนั้นทำใจกล้าจุ๊บเหม่งหนูกิไปหนึ่งที ยืนรอดูท่าทีคนที่อ้าปากเหวอทั้งที่แก้มเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ อยากก้มไปจุ๊บอีกสักทีหนึ่งให้ชื่นใจเพราะท่าทางน่ารักนั่น แต่ก่อนจะได้ลงมือทำตามที่คิดก็ดูเหมือนอีกคนจะตั้งตัวได้ กำปั้นน้อยๆ ทุบเข้ามาที่อกเขาอย่างจัง พร้อมตะโกนคำพูดติดปากขึ้นมาเสียงดัง
‘ไอ้เหี้ยฮอน!’
อยากตอบกลับไปว่าคำนี้แหละที่รอฟังมาทั้งวัน แต่ต้องรีบเผ่นออกมาจากห้องก่อนจะโดนโกรธไปมากกว่านี้เสียก่อน
ฮอนถอนหายใจ ไม่กากแล้วนะแต่วันนี้ก็ยังต้องนั่งรออยู่ในรถตัวเองเหมือนเดิม เขาลดกระจกให้มีอากาศเข้ามาภายในพอให้หายใจสะดวก ซบหน้ากับพวงมาลัยลูกรักแหงนหน้ามองระเบียงของห้องชั้นสามมาได้สองสามวันแล้ว ดูเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกทีๆ
จริงๆ ทำใจกล้าโทรหาอีกรอบแต่กลับต้องมานั่งเหงาคนเดียวอยู่ในรถเหมือนเดิมเพราะโดนไล่เตลิดมาแล้วเมื่อหลายวันก่อน หนูกิตัวขาวของเขาโวยวายใส่โทรศัพท์ยกใหญ่ว่าโทรมากวนเวลาอ่านหนังสือ ตอนนี้เลยไม่กล้าขึ้นไปกวนเวลาอ่านหนังสือของเด็กขยันอีก ทำได้เพียงแค่ทักไลน์ไปถามข่าวคราวให้แน่ใจว่าอีกคนกินข้าวกินยาแล้วเท่านั้น
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่อ่านข้อความที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คำว่า ‘คิดถึงนะคะ’ ที่ส่งไป ขึ้นอ่านเรียบร้อยแล้วแต่ไม่มีข้อความอะไรตอบกลับ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเอามากเกินไปรึเปล่าที่คิดอิจฉาโทรศัพท์เพราะมันได้เห็นใบหน้าแดงๆ เวลาเขินของหนูกิตอนอ่านความคิดถึงที่เขาส่งไปให้
ตั้งแต่วันที่ทำสัญญากันวันนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายอีกเลยสักครั้ง นั่งมองที่ระเบียงหวังว่าจะได้เห็นอีกคนเดินมานั่งนอกระเบียงหรือมาตากผ้าสักครั้งก็ยังดี ทว่าไม่มีแม้กระทั่งเงาพาดผ่านบนผ้าม่าน ทั้งที่ไฟห้องก็ยังเปิดสว่างโร่อยู่ค่อนคืน
คิดถึงแทบบ้า ไม่ได้ยินเสียงด่าว่า ‘ไอ้เหี้ยฮอน’ มาหลายวันแล้วนะ
Honne. กินข้าวรึยัง
ทำใจกล้าทักไปหาเหมือนทุกที มองข้ามตัว READ เล็กๆ ในข้อความก่อนหน้าไป ขณะรอคำตอบก็นั่งฟังเพลงจากไอแพดอยู่สักพักจนกระทั่งมีข้อความตอบกลับ
G I. ยัง
Honne. ดึกแล้ว ทำไมยังไม่กิน
G I. ไม่มีของกินแล้ว
Honne. จะกินอะไรเดี๋ยวสั่งให้
G I. ไม่ต้อง กำลังลงไปเซเว่น
เงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์มองไปตึกฝั่งตรงข้ามก็เห็นคนที่กำลังคุยด้วยออกมาจากประตูตึกพอดี ฮอนไม่รอช้า เปิดประตูก้าวขาลงจากรถข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามทันที
อากาศเย็นๆ ช่วงกลางคืนพัดผ่าน สองเท้าก้าวตามจังหวะการเดินคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ ตอนนี้เขายิ่งทำตัวเหมือนโรคจิตเข้าไปใหญ่เพราะไม่อยากเข้าไปทักเลยได้แต่เดิมตามกิอยู่ข้างหลังแบบนี้
Honne. โทรหาได้รึเปล่า
G I. อือออ
เห็นคนตัวเล็กเดินก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่ยอมเงยหน้ามองทางสักทีก็นึกห่วง พอได้คำอนุญาตมาก็ไม่รีรอรีบต่อสายหาทันที
“ฮัลโหล” ฮอนชะลอฝีเท้า พยายามเดินตามเงียบๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
(โหล)
“กี่โหลดีครับ”
(ถ้าโทรมากวนเฉยๆ จะวางแล้วนะ)
“อย่าเพิ่งดิ ขำขันหน่อย”
(คิดว่าขำด้วยไหมล่ะ)
“เสียงแบบนี้สงสัยไม่ขำแน่ๆ” เสียงเรียบนิ่งของคนตัวเล็กทำให้เขาตอบได้โดยไม่ต้องเดา
(น่าขำตรงไหน)
“ยอมละ ไม่ขำก็ไม่ขำค่ะ ทำอะไรอยู่หือ”
(ก็บอกกำลังไปเซเว่นไง)
“เอ้อ จริงด้วย” ฮอนหัวเราะ ทำทีท่าว่าไม่รู้อะไรจริงๆ
(โทรมามีอะไร)
“คิดถึงเฉยๆ ไม่ได้เหรอคะ”
(ไม่ได้)
“อ้าว งี้ใจพี่ก็แย่เลยสิคะหนู”
(…ไอ้เหี้ยฮอน) เขาหลุดหัวเราะ เมื่ออีกคนเงียบไปสักครู่แล้วเอ่ยคำที่เขารอฟังขึ้นมาจนได้
“จริงๆ แล้วโทรมาเพราะจะไปเซเว่นเป็นเพื่อนแหละ”
(อะไรของมึง)
“เป็นห่วงไง มึงเดินไปเซเว่นคนเดียวมันอันตราย เกิดโดนฉุดขึ้นมา กูจะได้แจ้งตำรวจทัน”
(ปัญญาอ่อน ใครจะมาฉุดวะ)
“มีแล้วกัน” ไม่อยากบอกว่าเขาเองนี่แหละ คนที่เป็นโรคจิตเดินตามหลังอยู่ตอนนี้ไง อยากฉุดจอมดื้อไปกกไว้ในห้องคนเดียวไม่ให้มีใครเห็น
(แค่นี้นะ)
“เดี๋ยวดิ รีบวางจัง”
(ถึงเซเว่นแล้ว จะซื้อของ)
“ซื้อไป คุยไปก็ได้” เขาชะงักเมื่อเห็นว่าถึงเซเว่นแล้วจริงๆ หยุดยืนรอให้กิเดินเข้าไปในร้านก่อนพักหนึ่งแล้วจึงก้าวเท้าเดินตามเข้าไป
(ยุ่งยาก)
“อย่ากินมาม่าเยอะนะ” รีบเอ่ยทักเมื่อแอบมองจากด้านหลังแล้วเห็นว่าคนตัวเล็กหยิบแพ็คมาม่าลงตะกร้า
(ซื้อไปตุนไว้เฉยๆ) กิวางมาม่าแพ็คที่สองกลับไปที่เดิมก่อนจะเลื่อนมือไปหยิบโจ๊กขึ้นมาแทน
“โจ๊กด้วย โซเดียมพอๆ กับมาม่าอะ”
(อะไรวะ งั้นกูกินมาม่าเหมือนเดิมนั่นแหละ)
“ไม่ได้ เพลาๆ ลงบ้าง รู้นะว่ากูไม่อยู่ด้วยมึงก็กินแต่มาม่า”
(ยุ่ง) กิยอมวางซองโจ๊กในมือ ขยับตัวไปชั้นวางข้างๆ ที่มีอาหารกระป๋องต่างๆ วางอยู่ เห็นโปรโมชั่นลดราคาเมื่อซื้อคู่จึงเลือกหยิบลงตะกร้าไป
“ซื้ออะไรเยอะขนาดนั้น กะจะกินแต่ปลากระป๋องเหรอ”
(เรื่องของกู)
กิชะงักก่อนจะหันซ้ายหันขวา มองหาสิ่งผิดปกติ
(รู้ได้ไงว่ากูซื้อปลากระป๋อง)
“เอ้อ แบบ… ได้ยินเสียง ใช่ๆ เสียงกระป๋องก๊องๆ แก๊งๆ เลยเดาว่าเป็นปลากระป๋องไง” ชายหนุ่มตอบกระอึกกระอักเมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดปากไป
(งั้นเหรอ)
“จริง ไม่ได้โกหกอะไรเลย”
(มึงดูแปลกๆ นะ) คนตัวเล็กกวาดสายตาไปทั่ว เหลือบไปเห็นกระจกมองโค้งที่มุมร้านจึงได้เห็นสิ่งผิดปกติที่ว่า เมื่อภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นชายคนหนึ่งแอบอยู่หลังชั้นวางขนม กำลังด้อมๆ มองๆ เขาเหมือนคนโรคจิต
“แปลกอะไร ไม่มี้” ฮอนตบปากตัวเองเบาๆ จะเสียงสูงทำไมวะเนี่ย!
(เหรอ ไม่ได้แปลกแล้วจะหลบทำไม)
“เชี่ย” ฮอนร้องอุทานตกใจเมื่อคนที่เขาแอบตามหันหลังมาสบตาด้วย
กิกดวางสายก่อนจะก้าวเท้ามาหาคนที่ทำตัวเป็นประหลาด
“กูนึกว่าคิดไปเองว่ามีใครตาม ไอ้เหี้ยเอ๊ย”
“แหะๆ ขอโทษ แค่อยากเห็นหน้าแต่กลัวมึงไล่ไปอีกหง่า เห็นได้ไงวะเนี่ย” ฮอนก้มหน้าทำปากเบะเป็นเด็ก เมื่อเห็นว่าโดนจับได้
“ก็เลยตามแบบนี้เหรอ”
“ก็คิดไม่ออกแล้วว่าต้องทำยังไงง่ะ”
“ไม่ต้องมาแอ๊บ ง่ะที่หน้า”
“ดุจัง พันธุ์อะไรเนี่ย”
“ตลกปะ”
“ไม่ครับ” ฮอนก้มหัวต่ำทำหน้าสำนึกผิดมากกว่าเดิม
“เอาไป” กิยื่นตะกร้าสีแดงให้อีกฝ่ายถือแทนเพื่อเป็นบทลงโทษที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เป็นโรคจิต
“ครับ คุณหนู” ฮอนผงก ยื่นมือไปรับมาก่อนจะเดิมตามต้อยๆ เขาได้เปลี่ยนบทบาทอีกแล้ว จากคนโรคจิตเลื่อนขั้นเป็นคนใช้ภายในไม่กี่นาที
“กูพาไปห้างไหม จะได้ซื้อของสด” ฮอนเอ่ยทักเมื่อเห็นอีกคนหยิบถาดไข่ลงตะกร้าแล้วตรงไปคิดเงิน
กิส่ายหัว “หื่อ ตุนไว้ไม่กี่วันเอง”
“ไมอะ สอบเสร็จวันไหน”
“ศุกร์” กิเดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้คนที่เดินตามมาวางตะกร้าลง
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูจ่ายให้” ฮอนรีบควักกระเป๋าเงินออกมาทันทีเมื่อเห็นคนตัวเล็กหยิบเงินจากกระเป๋าขึ้นมานับ
กิไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้คนเสนอตัวจ่ายทำหน้าที่ไปแต่โดยดี
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ” พนักงานสาวกะดึกเอ่ยถามเมื่อถึงกระบวนการสุดท้ายของการคิดเงิน
“กินไหม” ฮอนหันมาถามคนตัวเล็ก
“ไม่อะ”
“เอาขนมจีบครับ” คำตอบของหนุ่มพ่อบ้านทำให้กิขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรืออยากกินเองกันแน่ ถ้าเป็นข้อหลังแล้วมันจะถามเขาเพื่ออะไร
หลังจ่ายเงินและรับของเสร็จ ฮอนก็ดันหลังคนตัวเล็กให้เดินออกมาจากเซเว่น “ไป เดี๋ยวกูเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องก็ได้”
“เหอะน่า ให้กูได้อยู่กับมึงเพิ่มสักนาทีก็ยังดี”
ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ สิ้นน้ำเสียงทุ้มก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก มีเพียงเสียงแมวข้างถนนกับเสียงรถที่วิ่งผ่านมาทำลายความเงียบเท่านั้น
“ลืมสัญญารึยัง” เดินมาได้ครึ่งทาง อยู่ดีๆ คนตัวสูงกว่าก็หันมาถาม
“กูไปสัญญาอะไรกับมึงไว้”
“ลืมเหรอ ให้เตือนความจำอีกทีไหม” ฮอนชะงักเท้า หยุดมองคนตัวเล็กกว่าก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้
“ถอยไปเลยไอ้บ้านี่” กิถอยเท้าร่นลงมาเมื่อโดนคุกคาม
“ก็มึงลืมอะ กูต้องทำอีกเพื่อเตือนความจำ”
“ข้างถนนนะไอ้เหี้ย”
“อ๋อ แสดงว่าเข้าห้องแล้วทำได้”
“ไอ้เหี้ยฮอน”
“โอ๊ย ล้อเล่นค่ะ” เขาร้องครวญเมื่อโดนกิตีเข้าที่แขน
...เขินแล้วรุนแรงตลอดเลยคนอะไร
“เอ้านี่” จู่ๆ คนตัวสูงก็ยื่นถุงใบเล็กส่งมาให้ กิรับมาแล้วเปิดดู ไอขนมจีบร้อนๆ ลอยกรุ่นออกมาจากถุง
“บอกว่าไม่ต้องซื้อไง เข้าใจไรผิดปะ”
“เปล่า รู้ว่าไม่เอา แต่ไม่ค่อยได้ยินประโยคนี้จากพนักงานเซเว่นนานแล้วเลยช่วยอุดหนุนหน่อย”
“สายเปย์จริงเนอะ”
“แต่อยากเปย์คนแถวนี้มากกว่า เมื่อไหร่จะหายงอนก็ไม่รู้เนอะ เกือบอาทิตย์แล้วเนี่ย”
กิไม่สนใจคำพูดลอยๆ ของอีกคน เขาก้มหน้าหยิบถุงขนมจีบออกมาดู
“มึงสั่งจีบไรอะ จีบกุ้งรึปู”
“ไม่ใช่ทั้งสองเลยค่ะ… เพราะจีบหนูกิต่างหากล่ะ”
สิ้นสุดประโยคของคนตัวสูง กิก็เร่งฝีเท้าเดินลิ่วไปพร้อมจิ้มขนมจีบเข้าปากกินเพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเอง เบือนหน้าหนีไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย
เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังตามมาติดๆ
“กิ! รีบเดินไปไหนเล่า รอด้วย!”
(100%) TBC.
ー #AdaywithWCM
ー หลังจากนี้อาจจะมาช้าหน่อยนะคะ จะพยายามมาทุกอาทิตย์ให้ได้เลยค่ะ ฮือ ขอบคุณทุกคนเลยค่า