ตอนที่ 42
ผมมองพี่ตุลย์ที่เดินวนไปวนมาระหว่างครัวกับห้องนั่งเล่น ที่ผมยึดไว้เป็นที่อ่านหนังสือ อยากจะทำเป็นมองไม่เห็นอยู่เหมือนกัน แต่พอก้มหน้าอ่านหนัสือทีก็จะเห็นขาแว๊บๆ ผ่านไปผ่านมา เสียสมาธิแล้วพาลหงุดงิดสุดๆ
“ผมว่าถ้าพี่จะออกกำลังกายก็ลงไปเดินที่ใต้ตึกเถอะ” ผมพูดพลางโยนปากกาลงบนหนังสือ
“หา? เอ่อ เปล่า ก็ไม่ได้จะออกกำลังกาย”
“แล้วพี่ทำอะไรอยู่เนี่ยเดินวนไปวนมาอยู่ได้ มันรบกวนการอ่านหนังสือมากเลยรู้ปะ”
พี่ตุลย์ท่าทีอ้ำอึ้ง ส่วนผมก็มองแรงด้วยความหงุดหงิด ตามระดับความเครียดที่ไฟนอลใกล้เข้ามานั่นแหละครับ
“หรือพี่อยากให้ผมไปส่งเข้านอน?” ผมเลิกคิ้วถาม
“ห้องก็อยู่ตรงเนี่ย”
“เผื่ออยากให้ไปส่งถึงเตียง ห่มผ้า ร้องเพลงกล่อมอะไรแบบนี้ เห็นเดินเรียกร้องความสนใจจังเลย”
“ฉันเปล่าสักหน่อย” ผมส่งเสียงหืมประมาณว่าผมเชื่อคำพูดนั้นมาก (ประชด) แต่ผมก็ขี้เกียจจะสนใจแล้วครับ เหนื่อยเมื่อไหร่ก็คงจะเข้านอนไปเอง “...นี่ ยังหงุดหงิดเรื่องที่พนักงานมองอยู่หรอไง?”
“หา? ไม่ได้หงุดหงิดแล้วสักหน่อย” ผมตอบพี่ตุลย์ที่เดินเข้ามานั่งลงที่พื้นข้างๆ “ถ้าพี่ไม่พูดขึ้นมาผมก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำนะเนี่ย”
“โทษที เห็นตั้งแต่กลับมาก็ดูเงียบๆ แถมเมื่อกี้ยังดูเหมือนหงุดหงิดอีก”
“ผมหงุดหงิดที่พี่เดินเป็นวิญญาณเร่ร่อนรบกวนการอ่านหนังสือของผมเนี่ยแหละ” ผมหัวเราะใส่
คือ ก่อนหน้านี้ผมกับพี่ตุลย์ไปดูหนังกันมาครับ บังเอิญว่าเรื่องที่เราที่นั่งปกติมันเต็มหมดเหลือแต่ที่นั่งฮันนีมูน ผมไม่ได้ดูหนังในโรงมาหลายปีครับ ก็เลยยังเข้าใจว่าที่นั่งฮันนีมูนเป็นที่นั่งธรรมดาที่อยู่สูงประมาณแถว A แถว B แต่ปรากฎว่าที่พอเข้าไป ที่นั่งฮันนีมูนมันก็ฮันนีมูนจริงๆ ครับ! เป็นที่นั่งสองเบาะติดกัน ห่างจากที่นั่งอื่นๆ ค่อนข้างเป็นส่วนตัวกว่า (ก็ว่าอยู่ว่าทำไมแพงจัง แต่นึกว่าราคาขึ้นตามน้ำมัน) เป็นที่นั่งแบบคู่รักโดยแท้ ตอนที่เห็นมันนี่ถึงกับไหล่ลู่ เข้าใจว่าทำไมพนักงานขายถึงมองผมแบบนั้น อับอายไปบ้าง แต่พอหนังฉายก็ลืมครับ
ประเด็นมันดันอยู่ที่ตอนออกเนี่ยสิ พนักงานขายคนเดิมเข้าคุยอะไรไม่รู้กับเพื่อนหัวเราะคิกคักแล้วชี้มาทางผมครับ ดูท่าแล้วก็น่าจะนินทาผมที่ซื้อตัวฮันนีมูนเข้าไปดูกับผู้ชายด้วยกันเนี่ยแหละ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นสุภาพบุรุษจุฑาเทพผมก็อยากจะเดินดุ่มๆ ไปเคลียให้รู้เรื่องอยู่ครับ
ฮ่าๆ จริงๆ ผมลืมไปหมดแล้วนะ มันหลายชั่วโมงแล้วอะครับ เพียงแค่ไม่คิดว่าพี่ตุลย์ยังคิดถึงมันอยู่ก็เท่านั้น แต่เขาก็เป็นคนแบบนั้นแหละครับ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็ใส่ใจความรู้สึกของผม (ยิ้ม)
“ขอบคุณนะครับที่ใส่ใจ” ผมวางคางเกยไหล่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พอนึกย้อนไปตอนนั้นก็อดไม่ได้ถึงเรื่องอีกเรื่องนึงที่ทำให้ผมเงียบไปจนพี่ตุลย์ผิดสังเกตเนี่ยแหละ “สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเลยน้า...”
“ทำอะไร?”
เอ้า ฉิบหายเผลอคิดดังไปนิด!
“ทำอะไร? เปล่าๆ” ผมรีบผงะปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่พอเห็นสายตาพี่ตุลย์ที่หรี่มองเหมือนต้องการจะเค้น ผมก็ทำได้เพียงแค่กลิ้งลูกตามองหนังสือที่ยังเปิดค้างเอาไว้ ขยับตัวมาเนียนๆ ประมาณว่า ‘อ่านหนังสือต่อดีกว่ากู’
“อย่ามาเลี่ยงหน่า ไม่ได้ทำอะไร? นี่หรือเปล่าที่พอกลับห้องมาดูเงียบๆ”
“...”
เออ สาเหตุเนี่ยแหละครับ แต่บอกไม่ได้โว๊ย อายตายชัก ฮือ orz
“ว่าไง?” พี่ตุลย์ใช้หัวไหล่สะกิด แต่ผมก็ยังคงนิ่ง นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว
จะรู้ไปทำไมละโว๊ย ไม่ได้เด็ดขาด โคตรเด็กเลย ถึงแม้ผมจะยังเป็นวัยรุ่น อายุนำหน้าด้วยเลข 1 อยู่ก็เถอะ!
“เอส”
“พี่จำเป็นต้องรู้ด้วยหรือไงเล่า” ผมแสร้งพูดเสียงรำคาญ พยายามจะขยับตัวหนีไหล่พี่ตุลย์แต่ผมโดนขาของโต๊ะญี่ปุ่นล็อคเอาไว้ให้ขยับตัวลำบาก
“แล้วฉันรู้เรื่องคนของตัวเองไม่ได้หรอ?”
“...!!” ผมหันขวับ อ้าปากพะงาบๆ อยากจะว่าอะไรสักอย่าง แต่ความเขินที่แล่นพรวดๆ ขึ้นมา ก็ทำให้ผมทำได้เพียงแค่ฟุบหน้าลงกับหนังสือ โอเค ยอมแพ้... (ก็ได้) “...มันก็แค่มีอะไรผิดไปจากที่คิดไว้ก็เท่านั้นแหละ”
“อะไรละ?”
ผมอึกอัก จะให้พูดหรอวะ คือแม่งโคตรน่าอาย แต่ถ้าผมไม่พูด พี่ตุลย์ก็คงตื้อจนไม่ได้นอนกันละครับคืนนี้
“เฮ้อ...ก็แบบว่าเราอุตสาห์ได้ไปดู The Boy ด้วยกัน ผมดันมัวแต่ตกใจจนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คิดไว้เลยสักอย่าง...แต่ผมไม่ได้คิดอะไรแปลกๆ นะ!! ก็แค่...แบบว่าหนังแบบนี้มันก็ต้องมาพร้อมกับซุกไหล่ จับมืออะไรแบบนั้นอยู่แล้วใช่ไหมละ!...ก็แค่คิดไว้ว่าจะมีอะไรแบบนั้น”
ผมพูดอู้อี้ในตอนท้าย ใช้ความกล้าอย่างถึงที่สุดแล้วกับการพูดอะไรน่าอายแบบนี้
“...”
พี่ตุลย์เงียบ แต่ผมก็ไม่กล้าจะคะยั้นคะยอให้เขาตอบอะไรหรอก แค่มองหน้าผมก็ยังไม่กล้าเลย ตอนนี้พี่ตุลย์คงคิดว่า ‘อะไรวะ’ อยู่แน่ๆ ขนาดตัวผมเองยังคิดเลย ไร้สาระชะมัด
...แต่ผมก็ดันอยากทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นไปแล้วจริงๆ
“ขอโทษนะ ที่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรแบบนั้น ฉันเองก็ไม่ใช่วัยรุ่นเหมือนอย่างนาย ไม่รู้เลยว่าสมัยนี้จะต้องทำยังไงในที่ไหน แต่ตอนนี้เราก็นั่งอยู่ข้างกันแล้ว ถ้าเกิดไม่ซีเรียสเรื่องสถานที่ละก็ จะซุกไหล่หรือจับมือก็ทำได้นะ”
“...”
“หันหน้ามาทางนี้หน่อยสิ”
“...ไม่เอาอะ”
“ถ้าไม่หันมาแล้วจะจูบได้ยังไง” ผมเม้มปาก ก่อนจะหันไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วกระชากเข้ามาจูบ พี่ตุลย์ดูตกใจไม่น้อยกับท่าทางของผม แต่พอตั้งสติได้ก็รุกกลับอย่างไม่ยอมกัน รสจูบฝาดๆ ทำให้หัวใจผมเต้นแรง
แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่นั้น...
เพียงไม่นานนักทอฟ้าก็มาถึงคอนโดฯ ของอดีตคนรัก แต่เนื่องจากเธอไม่มีคีย์การ์ดที่จะทำให้เข้าไปในตัวคอนโดฯ ได้ แม้จะเร่งรีบและร้อนรนมากแค่ไหนเธอก็ทำได้เพียงแค่นั่งรออยู่ในรถด้วยความกระวนกระวายใจ เฝ้ารอแต่เพียงใครสักคนจะพาเธอขึ้นไปได้
แต่รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่มีรถสักคนเลี้ยวเข้ามาใต้คอนโดฯ อาจเพราะว่ามันดึกเกินกว่าจะมีใครเข้า-ออก ทางเดียวที่เธอจะเข้าไปในคอนโดฯ นั้นได้ ก็คงจะต้องโทรเรียกให้ผู้ชายที่เธอไม่อยากเจอหน้าที่สุดตอนนี้ลงมาเปิดประตูให้
“...”
ทอฟ้าฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ไม่อยาก! ไม่อยากเจอหน้าผู้ชายคนนั้นเลย!
บรืน
ในขณะนั้นเองแสงไฟก็สว่างวาบขึ้นเรียกให้เธอเงยหน้าไปมอง รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อเห็นว่ากำลังมีรถเลี้ยวเข้ามา ทอฟ้ากุญแจรถเปิดประตูออกไปทันทีที่เห็นว่าคนนั้นกำลังหยิบคีย์การ์ดขึ้นมา ไม่รอช้า รีบปรี่ไปยังประตูคอนโดฯ อาศัยคีย์การ์ดของคนแปลกหน้าคนนั้นจนเข้ามาได้ในที่สุด
ทอฟ้ากล่าวขอบคุณหญิงแปลกหน้าที่เปิดประตูไว้รอ ก่อนจะเดินแยกออกตรงไปยังลิฟต์ที่จอดรออยู่
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังก้องอยู่ในลิฟต์ตัวใหญ่ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบ่น “เร็วๆ สิ จะได้รีบหา รีบกลับสักที”
แน่นอน เพราะมันไม่มีอะไรรับประกันว่าสามีของเธอจะไม่ตื่นมาเห็นว่าเธอหายไปเสียก่อน!
ติ้ง!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับต้องการถ่วงเวลาคนที่กำลังเร่งรีบแต่ดูเหมือนทอฟ้าจะมีเวลาไม่พอที่จะรอจนกว่าลิฟต์จะเปิดจนสุด เธอพุ่งพรวดออกไปทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดพอที่ตัวเธอจะรอดออกไปได้!
เธอใช้เวลาเพียงชั่วครู่จนหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องที่เธอคุ้นเคย เธอสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อเคาะเรียกคนข้างไหน แต่ทว่าเธอกลับต้องหยุดความคิดนั้นไว้เสียก่อน
หากโชคดีละก็ เธออาจจะได้เข้าห้องได้โดยไม่ต้องเจอหน้าผู้ชายคนนั้นก็ได้…
คิดแล้ว มือที่กำลังจะเคาะเรียกค่อยๆ ลดระดับจับที่ลูกบิดประตู เธอลองหมุนเบาๆ เพื่อเช็กว่าประตูล็อคอยู่หรือไม่ ทว่าประตูที่น่าจะล็อคไว้อย่างดีตามนิสัยของเจ้าของห้องกลับไม่ได้ล็อคเอาไว้!
เธอยิ้มโล่งอกก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
และตอนนั้นเองเธอก็เพียงเข้าใจว่าที่อะไรหลายๆ อย่างทำให้เธอต้องรอราวกับถ่วงเวลา เพื่อต้องการให้เธอเห็นอะไร!!
“นะ นั่นกำลังทำอะไรกันอยู่!!!” เสียงหวีดร้องดังลั่นพร้อมกับการกระชากเด็กหนุ่มที่ชื่อเอสออกจากการคร่อมอยู่บนอดีตคนรักของเธอ!!
“ทอฟ้า...”
ตุลย์พูดชื่ออีกฝ่ายเสียงเบาอย่างไม่เชื่อสายตา รีบลุกขึ้นนั่ง จัดเสื้อผ้าที่ไม่เรีบร้อยให้เข้าที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาก็ตัวดีว่าภาพที่ทอฟ้าเห็นนั่นมันหมายถึงอะไร เช่นเดียวกับเอสเด็กหนุ่มที่โดนกระชากแขนเอาไว้ แม้แรงบีบที่แขนจะเจ็บราวกับกระดูกจะแตกแต่ความสนใจก็ทำให้เขาแทบจะลืมมันไป!
“นี่มันอะไรพี่ตุลย์! พี่กับไอ้เด็กนี่กำลังทำอะไรกัน!?”
“...” ตุลย์เบือนหน้าหนี เขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ในเมื่อเห็นอยู่คาตา แต่จะให้ยอมรับเขาก็ไม่สามารถทำได้อีกเช่นกัน
“พี่จะมีเมียใหม่ฟ้าไม่คิดจะยุ่งเลย แต่นี่...มันเป็นผู้ชายนะ!!” เสียงนั่นยิ่งตวาดดังขึ้นอย่างหัวเสียกับการที่ทั้งสองไม่มีใครตอบเธอเลยแม้แต่น้อย “สรุปแล้วที่บอกว่าเป็นลูกของคนรู้จักอะไรนั่นก็โกหกทั้งเพสินะ ที่พี่เอามันเข้ามาอยู่ด้วย ก็เพราะสมสู่อยู่กับไอ้เด็กนี่งั้นสิ!?”
“มันไม่ใช่...” เสียงปฏิเสธของเด็กหนุ่มกลับถูกเปล่งขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน อยากจะบอกว่าเขากำลังเข้าใจผิด อยากจะบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ตอนนี้พูดอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อภาพที่คร่อมตัวอยู่บนตุลย์พร้อมกับเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ก็ทำหน้าที่อธิบายแทนไปแล้ว!
“หึ แล้วกล้ามาว่าฟ้า พูดจาเหมือนตัวเองประเสริฐเลิศเลอ แต่สุดท้ายก็พี่มันก็น่าทุเรศ!! วิปริตผิดเพศ!! พอกันที! ฟ้าจะไม่ยอมให้ลูกอยู่คนอย่างพี่หรอก! ลูกอยู่ห่างออกนิดเดียวก็ยังไม่เว้น ใครกันแน่พี่หรือฟ้าที่ไม่ควรจะเป็นพ่อแม่คนมากกว่ากัน!!”
หลังจากที่ประกาศกร้าว ร่างของหญิงสาวก็เดินผ่านคนทั้งสองไปยังประตูห้องนอนของลูกชาย เธอเดินเข้าไปปลุกลูกชายที่หลับสนิท ก่อนจะผละไปยัดเสื้อผ้าเท่าที่จะคว้าได้ใส่กระเป๋าที่วางอยู่ข้างตู้นั้นเอง
“แม่?”
“ที่หนึ่งรีบลุกขึ้นเลยครับ เราจะไปนอนค้างบ้านแม่กัน”
“เอ๋?”
“ลุกครับ” ทอฟ้าสั่งเสียงเข้มหลังจากที่รูดซิปกระเป๋าแล้วก็รีบคว้าข้อมือของลูกชายที่ยังสะลึมสะลือออกมาจากห้องนอน
“ดะ เดี๋ยวก่อนครับฟังที่ผมอธิบายก่อน” แต่ก่อนที่เธอจะลากที่หนึ่งออกไปจากที่นี่ เอสก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับกางแขนขวางเอาไว้ “มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ! พี่กำลังเข้าใจผิด! ที่จริงแล้ว คือ...ว่า...”
“ฉันจะเข้าใจผิดอะไรอีกในเมื่อเห็นเต็มตา! เธอก็เหมือนกันทำเป็นพูดดีหวังดีกับลูกของฉัน ช่วยดูแลลูกฉันแต่ที่ไหนได้ก็หวังจะเอาพ่อมัน! ไม่มีความละอายใจบ้างหรือไงลูกของฉันสองคนห่างกับพวกเธอแค่ประตูกั้นเท่านั้นเอง! น่าทุเรศ! แกนั่นแหละตัวดีที่เอาความวิปริตเข้ามาในบ้าน!”
“แม่ทำไมต้องว่าพี่เอส...” ที่หนึ่งเอ่ยถามเสียงสั่นด้วยความตกใจกลัวแต่ก่อนที่จะได้พูดจบทอฟ้าก็ตัดบทเสียก่อนพร้อมออกแรงกระชากให้ลูกชายของตนเดินตามมา
“ไปเถอะที่หนึ่ง ลูกต้องรีบนอน!”
“แม่...”
“พี่ทอฟ้า! เดี๋ยวครับ! ฟังผมก่อน เดี๋ยวครับ!”
“พี่ตุลย์...แล้วฟ้าจะกลับมาพาตอนต้นไป”
ปัง!!!
เสียงประตูกระแทกกับวงกลบดังลั่นจนเอสสะดุ้ง แต่เขาก็ถลาไปที่ประตูตั้งใจจะไปคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง เพราะเขากลัว...เพราะเขารู้ว่านั่นไม่ใช่คำขู่ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ที่หนึ่งอยู่ที่นี่ก็ได้!
“เอส ไม่ต้องไป” แต่เสียงทุ้มของชายผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของเด็กคนนั้นกลับเป็นฝ่ายที่เรียกรั้งให้เขาไม่เปิดประตู “ตามไปก็ไม่ช่วยอะไร”
“แล้วจะให้ทำยังไง ให้ผมดูที่หนึ่งถูกพาตัวไปแล้วอย่างนี้หรอ พี่รู้ไหมว่าที่หนึ่งอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไปก็ได้ ตอนต้นก็อาจจะต้องถูกพาตัวไปอีกคนก็ได้! พี่จะให้ผมดูโดยไม่ทำอะไรเลยงั้นหรอ!? พี่ต่างหากที่ทำไมถึงไม่ทำอะไรเลย! ทำไมถึงไม่พูดไม่ห้ามอะไรเลย!!”
“นายจะให้ฉันพูดว่ายังไง! แล้วนายจะให้ฉันรั้งว่าอะไร! น้ำมันท่วมปากจนจะตายแล้วในเมื่อสิ่งที่ทอฟ้าเห็นมันก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้!”
“แต่แล้วยังไงอะ!? แปลว่าพี่จะยอมให้ที่หนึ่งกับตอนต้นถูกเอาตัวอย่างนี้ใช่ไหม? พี่จะยอมให้พี่ทอฟ้าเป็นคนเลี้ยงทั้งสองคนอย่างนี้ใช่ไหม? พี่เป็นพูดเองไม่ใช่หรอว่าคนที่ทิ้งลูกไปกับมือจะเลี้ยงอะไรลูกได้ พี่พูดเองไม่ใช่หรอ ว่าแค่ให้พี่ทอฟ้ารักลูกเท่ากับที่พี่รัก พี่ทอฟ้ายังทำไม่ได้ แล้วพี่ไว้ใจได้ยังไงว่าเขาจะเลี้ยงที่หนึ่งกับตอนต้นออกมาได้ดีกว่าพี่!”
“ฉันก็ไม่ได้ไว้ใจ แต่จะให้ฉันทำยังไง! บอกสิว่าจะให้ฉันทำยังไง! ต้องไปพูดกับทอฟ้าว่าอะไร! ต้องไปแก้ตัวว่าอะไร! ต่อให้ขึ้นโรงขึ้นศาล นายคิดหรอว่าเราจะได้อยู่กันเหมือนเดิม!
แค่เพราะพ่อมันวิปริตผิดเพศแค่นี้ ฉันก็ไม่ได้ลูกคืนแล้ว!!”
“...”
“ฉันก็คิดมากเหมือนกัน ฉันก็เครียดเหมือนกันนั่นแหละ...นั่นน่ะลูกของฉันนะ...”
เอสมองคนรักที่นั่งอยู่บนโซฟา แม้ใบหน้านั่นจะก้มต่ำแต่เขาก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความเครียด เสียใจ...และทำอะไรไม่พูด เขารู้ยิ่งกว่ารู้ว่าสำหรับตุลย์แล้วสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คือลูกสองคน....แต่สิ่งที่มีค่านั้นกำลังโดนพรากจากไปโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดู เพียงเพราะมีความรัก...
เพียงเพราะว่ามีความรักกับผู้ชาย...
“...ถ้าพี่ไม่คิดจะทำอะไรเลย ผมก็จะทำเอง”
เสียงที่พูดช่างเบาหวิวแต่สายตากลับหนักแน่น เอสเดินเข้าไปในห้องนอนที่มืดสนิท เผยยิ้มให้กับตอนต้นที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องราว ก่อนที่เขาจะกวาดเสื้อผ้า กระเป๋า ทุกๆ อย่างของตัวเองออกมานอกห้อง!
“จะทำอะไร” เสียงทุ้มถูกกดต่ำพร้อมกับแรงกระชากที่ต้นแขน
“มันก็ถูกอย่างที่พี่ทอฟ้าพูด เรื่องทั้งหมดมันความผิดของผมเอง เพราะผมเข้ามาในชีวิตพี่เรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีผมสักคนตอนนี้พี่ก็คงได้นอนอยู่กับลูกๆ ของพี่” เอสดึงแขนที่ถูกยึดไว้ออกอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเงยหน้าสบตาที่ไร้ซึ่งความลังเลกับคนรัก แต่ใจของเขากระตุกวูบเมื่อเห็นความสั่นไหวไม่มั่นคงอยู่ในแววตาที่เขากำลังมองดู
...แววตาที่ไม่เคยอ่อนแอมาก่อน แววตาของคนที่มักจะเข้มแข็งอยู่เสมอ
“พี่ต้องไปบอกพี่ทอฟ้าว่าพี่ไม่ได้ผิดเพศ ผมคนเดียวที่วิปริตเอง ผมเองที่เป็นคนล่อลวงพี่ ผมเองโกหกจนได้มาอยู่กับพี่ บอกเขาว่าพี่กับผมไม่มีอะไร ผมต่างหากที่อยากได้พี่จนตัวสั่น วันนี้เขาก็เห็นแล้วว่าเป็นผมที่คร่อมอยู่บนตัวพี่ เพราะงั้น...ถ้าพี่บอกเขาไปอย่างนี้ละก็ เขาต้องเชื่อแน่”
“พูด...อะไรออกมา คิดบ้างหรือเปล่าว่าจะถูกมองว่ายังไง!”
“ผมไม่แคร์!! ถ้ามันทำให้ที่หนึ่งกลับมา ถ้ามันทำให้ตอนต้นไม่ถูกเอาไป เขาจะมองผมยังไงก็ช่าง!”
“มันก็ไม่มีอะไรที่จะยืนยันว่าทำแบบนี้จะได้ที่หนึ่งกลับมา! ไม่มีอะไรยืนยันเลยว่า ทอฟ้าจะไม่เอาตอนต้นไปอีก!”
“งั้นพี่ก็บอกผมสิว่ามันมีทางไหนที่ดีกว่านี้ไหม! ถ้ามันมีผมก็ยอมทำทุกทาง...แต่มันไม่มีไง!!” เสียงตวาดนั้นสั่นเครือ
เอสกัดปากตัวเองแน่นสะกดกั้นความรู้สึกที่เขาซ่อนอยู่ข้างใน ก้มหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้น ไม่ให้เห็นว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากทำแบบนี้ ความจริงที่ว่าไมอยากเลิกกัน
ความจริงที่ว่า...จริงๆ แล้ว ยังอยากจะอยู่ด้วยกัน อยากจะอยู่ด้วยกันเหมือนที่ๆ ผ่านมา
“นายก็จะทิ้งฉันไปอีกคนใช่ไหม…?” สิ้นคำถามนั้นราวกับประการด่านสุดท้ายได้แตกออก สิ่งที่เขาเก็บกลั้นไว้ไหลออกมาเป็นน้ำตาที่อาบแก้ม
“ผม...ก็ไม่ได้อยากให้เราเลิกกัน” เสียงนั้นสั่นเครืออย่างน่าสงสาร พร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรู่ออกมาไม่ขาดสาย “เพราะพี่ผมถึงได้มีชีวิตอยู่ตอนนี้ เพราะพี่ผมทำให้ผมได้เรียนหนังสือ เพราะพี่ทำให้ผมมีที่ซุกหัวนอน ฮึก...เพราะพี่ทำให้ผมมีครอบครัว เพราะพี่ผมถึงได้รู้จักความอบอุ่นอีก เพราะพี่ทำให้ผมความสุข ฮึก...เพราะพี่ทำให้ผมมีความรัก ฮึก...เพราะพี่ทุกๆ อย่าง!”
“...”
“แต่จะผมทำยังไงอะ ฮึก!...จะให้ผมมองสองคนนั้นถูกเอาผมก็ทำไม่ได้ จะยืนมองดูครอบครัวของผมพังไปต่อหน้าต่อตาผมก็ทำไม่ได้ แล้วจะให้ผมทำยังไง! ฮึก...ผมไม่ได้อยากเลิกกับพี่เลย พี่ตุลย์ ไม่ได้อยากเลิกเลย ฮึก...ผมอยากอยู่กับพี่ อยากอยู่ด้วยกันอีกนานๆ ยังอยากตื่นมาเจอพี่คนแรก ได้นอนอยู่ข้างๆ กันเหมือนเดิม ฮึก”
เขาก็เหมือนกัน เขาก็อยากอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่มีเอส ถ้าวันนั้นเขาไม่ได้เจอกัน ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นพ่อที่ไม่เรื่อง บ้างานใช้เงินเลี้ยงลูกไปวันๆ เพราะมีเอสชีวิตที่น่าเบื่อของเขาถึงได้มีสีสันขึ้นมา เพราะมีเด็กคนนี้อยู่ด้วย เขาถึงได้มีความสุขมากขนาดนี้
แต่เขาไม่สามารถพูดคำว่า ‘อย่าไป’ ได้ เขารั้งคนที่อยากอยู่ด้วยที่สุดไม่ได้
...เพราะว่าเราทั้งสองต่างรู้ดี ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่หัวใจของเราสองคน
“ถ้าผมรู้ว่าวันหนึ่งเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมจะบอกรักพี่ จะบอกรักให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้...จะไม่ชักช้าเลย"
รอยยิ้มถูกฉายขึ้นบนใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาใส แต่มันก็ต้องจางไปเมื่อกลายมาเป็นจูบ...
จูบที่เต็มไปด้วยรสชาติของการบอกลา...
“ถ้าฉันรู้ว่าวันหนึ่งนายต้องจากฉันไป ฉันจะจูบนายให้มากๆ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาขณะที่เข้าสวมกอด “จะกอดให้แน่นๆ จะอยู่ด้วยกันให้ได้มากๆ”
เอสขยับแขนที่โอบกอดไว้กระชับให้แน่นขึ้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซ่อนน้ำตาเอาไว้กับไหล่ที่คุ้นเคย โดยที่เขาก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็กำลังมีน้ำตาเหมือนๆ กัน
“นายจำได้ไหมที่ฉันบอกว่า ฉันรอให้นายเป็นคนที่รักฉัน...เพราะวันนั้นฉันก็ตั้งใจจะบอก...”
“...”
“ว่าฉันก็รัก...ไม่ต่างกัน” เพียงเท่านั้น น้ำตาที่กำลังเหือดแห้งก็พังทลายลงมา เสียงร้องไห้ของคนขาดใจก็ดังกึกก้องไปทั่วห้อง ราวกับคนที่จะล้มทั้งยืน ทำได้เพียงแค่กอดกันให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอกรักกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทิ้งความรู้สึกเอาไว้ในใจ แล้วปล่อยมือออกจากกัน
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท ยื่นมือออกไปหาฝนที่กำลังเทหล่นมาจากฟ้า เหมือนมาร้องไห้เป็นเพื่อนกัน ผมคงดูน่าสงสารมากละมั้ง ฟ้าถึงได้ส่งฝนมาร้องไห้แทนกันแบบนี้
แต่ก็ช่างมันเถอะ ร้องไห้แทนผมก็ดี เพราะตอนนี้ร่างกายผมไม่มีแรงจะร้องแล้ว ไม่มีแรงจะทำอะไรทั้งนั้น ควรจะชมผมด้วยซ้ำ ที่เดินออกมาจนถึงที่ถนนได้
“เรียก ‘พี่ตุลย์’ ร้อยครั้งแล้วจะให้กลับบ้าน”
“เน่! เมื่อกี้ผมเห็นตัวเองในตาพี่ด้วยนะ มันโคตรเจ๋ง! ผมขอมองตาพี่อีกรอบได้ไหม?”
“แต่ฉันก็เผลอคิดหลายครั้งแล้วแหละ ว่า...ดีจัง ที่มีนายอยู่ด้วย”
“ก่อนหน้านี้พี่เคยบอกว่า พี่จะยิ้มจะหัวเราะให้กับแฟนนี่ใช่ไหม? ถ้างั้นนี่ก็ด้วยปะ ต้องเป็น ‘แฟน’ เท่านั้นใช่ไหมถึงพี่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ถ้างั้น พี่ก็ให้ผมเป็นแฟนพี่สิ”
“ตอนที่ทำควิซ ผมคิดถึงพี่อะ ควิซนี้บอกว่า ผมกำลังตกหลุมรัก”
“ผมว่าผมชอบพี่แหงๆ แต่ผมไม่ได้เป็นเกย์...ทำไมพี่ถึงต้องเป็นผู้ชายด้วยวะ...แล้วผมควรทำยังไงดี...”
“ฉันหมายถึงครอบครัวฉันต่างหาก นายอยู่กับฉัน นายก็ต้องเป็นคนของครอบครัวฉันสิ”
“เป็นแฟนกันไหม? ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวกลับมาส่ง”
“ถ้างั้นพี่ก็ไม่ต้องทำแล้วละ อย่าฝืนเลย เป็นตัวของตัวเองเถอะ ผมชอบแบบที่พี่เป็นนั่นแหละ” ความทรงจำที่ผมทิ้งไว้ข้างหลังฝากซ้ำไปมาในหัวอย่างที่ผมไม่ต้องการราวกับรั้งให้ผมยังอยู่ที่นี่ แต่ในทางกลับกันมันก็เหมือนเป็นความทรงจำที่มาเยาะเย้ย เพื่อบอกผมว่า
นายกลับไปไม่ได้อีกแล้วเอส…
TBCต่อจากนั้นฉันก็ล้มทั้งยืน
ไม่มีเหลือเรี่ยวแรงที่จะเดิน
อ้างว้างเหมือนว่าเธอ...ฆ่าฉันไปแล้วทั้งเป็น
จบลงแล้วชีวิตของคนหนึ่ง
ไม่มีรักให้ซึ้ง
ทิ้งไว้แค่เพียงร่างกายอ่อนล้า
ในที่สุดสถิติไม่เกินหนึ่งเดือนก็แตกโพละ ห่างไป 1 เดือน 6 วัน ฮืออ ก็เลยมาไถ่โทษด้วยการเอาไปเลยค่ะสองตอน!! (41 70% กับ 42 100%) ตอนนี้สำหรับใครที่ติดมิดเทอมก็สู้นะคะ ส่วนใครที่สอบเสร็จไปแล้ว ก็สบายตัวกันเถอะเรา ฮิ้วววว
#daddybelover