รอบที่18 ก็แค่คนธรรมดา
ผลของการเป็นเหยื่อบูชายัญคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ วันต่อมาร่างกายหนักอึ้งเหมือนมีรถสิบล้อมาทับจมดับคาเตียง มึนหัวโลกหมุนถึงกับคลื่นไส้อาเจียนหลายรอบ ยังดีที่ไมค์เข้ามาดูแลยกถังขยะรองได้ทัน ไม่งั้นคงมีรายการซื้อเตียงใหม่ยกชุด
ปกติผมเป็นพวกคอแข็งก็จริง แต่เจอเหล้าดีกรีแรงขนาดจุดไฟติดแบบเพียวๆ ไปหลายปาก(เพราะป๋าป้อนด้วยปาก) ผสมกับเพลิงกามที่ลุกโชติช่วงระยะหนึ่ง สังขารน้อยๆ ของผมก็พังทลายเหมือนผ่านสงครามโลกครั้งที่สาม ทรมานจนแทบอยากจะขอยาสลบให้มันรู้แล้วรู้รอด
ไม่สิ ขอไปแล้วต่างหาก แต่ไมค์ไม่ให้เพราะผมอาจจะสลบไปตลอดกาล เลยทำได้แค่รักษาไปตามอาการ มึนหัวก็ให้นอนนิ่งๆ ปวดเมื่อยใช้ยาช่วยบีบนวดคลายกล้ามเนื้อ ส่วนด้านล่าง...ก็ใช้ยาทานั่นแหละ แน่นอนว่าผมทาเอง มีบางช่วงที่ป๋าแวะเข้ามาดูอาการแล้วช่วยทาให้
ทาเฉยๆ นะ ไม่มีอะไรแอบแฝง ถึงลูเซียสจะมักมาก ต้องการไม่สิ้นสุดแต่ก็มีลิมิตของตัวเอง ไม่งั้นผมคงตายไปนานแล้ว ด้วยเหตุนี้เจ้าตัวเลยลั่นวาจาว่าจะไม่แตะต้องผมมากเท่าเดิม เพื่อให้ผมพักฟื้นร่างกายและทุ่มเทกับการเรียนให้เต็มที่
ในใจก็นึกอยากเถียงนะ รู้สึกตัวช้าไปไหมป๋า เล่นอีหนูซะเดี้ยง อดไปมหา’ลัยหนึ่งวันเต็ม ชวดเลยสองคลาสรวด แม้ไมค์จะออกใบรับรองแพทย์ให้ก็เถอะ หยุดก็คือหยุด ต้องไปตามบทเรียนทีหลังอีก ผมโอดครวญได้แค่ในความคิดเท่านั้น ไม่อาจหาญพอจะพูดออกไปหรอก ยังไงป๋าก็ยอมถอยให้แล้วล่ะนะ ทั้งที่ฐานะของป๋าจะไม่สนใจใยดีผมก็ได้
พูดวกไปวนมา เริ่มสับสนตัวเอง ช่างมันแล้วกัน เอาเป็นว่าวันนั้นทั้งวันผมนอนเป็นซากอยู่บนเตียง ตกกลางคืนเป็นหมอนข้างให้ลูเซียส พอเช้ามาเริ่มฟื้นสภาพก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปมหา’ลัย งานนี้คนที่ติดตามผมคือพี่อาคมกับการ์ดอีกสองคน
ผมสำนึกแล้ว ไม่ดื้อไม่ซนใช้การ์ดแค่นี้ก็เพียงพอ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ หลงยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาจากรัสเซีย ทุกคนในตึกไม่พูดถึงด้วย พอผมถามก็บอกว่าติดภารกิจส่วนตัวซึ่งไม่รู้อีกว่าภารกิจอะไร เอาเป็นว่าคงไม่ได้กลับมาเร็วๆ นี้ ทางฝั่งไมค์เองแม้จะยังเป็นหมอส่วนตัวผมตามเดิม เพิ่มเติมคือทำงานบางส่วนแทนพี่อาคม เป็นการฝึกงานเพื่อรับช่วงต่อในอนาคต ดังนั้นการจัดทีมการ์ดเลยเป็นแบบที่เห็น ไนท์ยังบอกว่าพี่อาคมมาดูแลผมก็ไม่ต่างจากการได้พักร้อน
หนึ่งวันของพี่อาคม ตอนเช้าไปส่ง ระหว่างนั้นนั่งเฝ้า ตอนเย็นรับกลับ ตรวจงานของไมค์ เสร็จงานก็พักผ่อน หากเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา ทำงานหนักวิ่งหัวหมุนทุกวัน มันก็คือการพักจริงๆ นั่นแหละ
ผมพอเข้าใจนะว่าทำไมลูเซียสถึงทำแบบนี้ ไม่ได้คิดจะปลดพี่อาคมออกจากตำแหน่งหรอก พี่อาคมทำงานเก่งแถมลูเซียสกับไนท์เชื่อใจจะตาย แต่ที่ลดงานเพราะอายุของพี่อาคมก็ไม่ใช่น้อยๆ งานหนักๆ ก็ควรปล่อยให้รุ่นใหม่รับช่วงบ้าง ส่วนตัวเองมาเก็บรายละเอียดเช็คความเรียบร้อยอีกที
ขอจบการรายงานความเคลื่อนไหวของคนรอบตัวผมไว้เพียงเท่านี้ กลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมได้กลับมาเหยียบมหา’ลัยเป็นวันที่สองแล้วครับ! สุดแสนจะดีใจ ไม่เคยรักมหา’ลัยเท่านี้มาก่อนเลย
ขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ พี่อาคมเรียกผมไว้ซะก่อน ในรถมีแค่ผมกับพี่อาคมนะ ส่วนการ์ดอีกสองคนขับรถอีกคันตามห่างๆ ไม่ได้ติดตามเป็นเงาเหมือนการ์ดอาวุโส
“คุณหนู บอสฝากบอกว่า ถ้าจะเที่ยวกับเพื่อนหลังเลิกเรียนอนุญาตให้ไปได้ แต่ต้องแจ้งให้ผมทราบและห้ามกลับดึกเกินหนึ่งทุ่ม ดีใจด้วยนะครับ” หนุ่มใหญ่เอ่ยเสียงนุ่มยิ้มอย่างใจดี ผมยิ้มแห้งๆ ไปให้
“มันก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่กว่าจะเรียนก็เย็น ให้ไปเที่ยวแต่ห้ามกลับช้ากว่าหนึ่งทุ่มแบบนี้มันแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนี่”
“ก็ยังดีกว่าไม่มีเวลาเที่ยวนะ”
มันก็จริง...พอนึกถึงช่วงโดนกักตัว รู้สึกเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนี่มันช่างมีค่าเหลือเกิน! ผมเอ่ยปากขอบคุณยกมือไหว้พี่อาคม
“ผมไปเรียนก่อนนะพี่อาคม ไว้เรียนเสร็จจะเที่ยวหรือไม่เที่ยว ผมจะโทรไปบอกอีกที ขอบคุณที่มาส่งครับ”
“ด้วยความยินดี ขอให้สนุกกับการเรียนครับคุณหนู” พี่อาคมอวยพรทิ้งท้าย ก่อนจะขับรถจากไปหาที่เหมาะๆ ในการจอดรอ ผมเองก็หมุนตัวเดินเข้าคณะ ชื่นชมกับบรรยากาศในรั้วมหา’ลัยให้เต็มที่
ระหว่างที่กำลังชมนกชมไม้ก็โดนคว้าไหล่ด้วยแรงไม่น้อย ผมที่ถูกครูฝึกจอมโฉดอย่างไนท์เคี่ยวกรำมาพอสมควร ปฏิกิริยาตอบรับสัมผัสนั่นทันที คว้าข้อมือหมุนได้องศาจบด้วยท่าล็อคแขนบุคคลปริศนาไว้ด้านหลัง มืออีกข้างยึดไหล่อีกฝ่ายไว้มั่น หากผมออกแรงเพียงนิดเดียว ข้อต่อไหล่ได้หลุดแน่
“โอ๊ยยย!”
เสียงร้องกับแผ่นหลังคุ้นเคยทำเอาผมรีบปล่อยมือแทบไม่ทัน ตายล่ะ มือลั่น...
“เจ็บๆ ไม่เจอกันแค่พักเดียวทำไมมึงโหดขนาดนี้วะ” ริวหันมาโอดครวญกับผม ผมเพียงหัวเราะเบาๆ แบบที่ชอบทำ แล้วช่วยจับไหล่บีบนวดคลายอาการปวดให้ตามความรู้ที่เรียนมา
“โทษทีๆ แล้วนี่มึงมีเรียนเช้าเหรอ” หวังว่าคงยังไม่ลืมกันนะครับ แม้ว่าสี่สหาย ผม ซัน ริว วา จะเรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่ต่างสาขา จึงมีบางวิชาที่ไม่ได้เรียนตรงกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนดรอปเรียนอย่างผม ต้องตามเก็บวิชาในขณะที่เพื่อนไปเรียนวิชาอื่นกันแล้ว
“มี วิชาเดียวกับมึงนั่นแหละ พอดีกูเห็นมึงเลยเข้าไปทัก ไม่คิดเลยว่าจะได้รับการตอบรับแสนอบอุ่นขนาดนี้” หนุ่มญี่ปุ่นตัวสูงโย่งหมุนๆ แขนอย่างรู้ทางว่าควรทำยังไง ความจริงริวมันก็ต่อสู้เก่งนะ ไม่ใช่วิชาหมูหมากาไก่ หมัดมวยของพวกนักเลงด้วย แต่เป็นวิชาการต่อสู้เลย มันไม่เคยบอกหรอก ผมแค่สังเกตเห็นเวลามีเหตุต่อยตีกับคนอื่น
ถือว่ามันยังมีฝีมือมากกว่าผม สามารถยั้งสัญชาตญาณของตัวเองได้ทัน ไม่สวนกลับให้ผมได้รับบาดเจ็บแทน ถ้าไนท์มาเห็นคงจะชื่นชมพร้อมกับหันมาแขวะลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องอย่างผมแน่นอน
“กูก็ขอโทษแล้วไง โชคดีที่ได้เจอมึง คิดถึงว่ะ” ผมพูดไปตามที่คิด ริวหัวเราะฮ่า ตบหลังซะผมตัวเซ พวกเราเดินเข้าตึกด้วยกัน
“ปากบอกคิดถึงแต่หายหัวไปเลยนะมึง กลับไทยแทนที่จะมาเจอเพื่อน ดันเอาของฝากให้พี่อาคมมาส่งอีก”
ผมถอนหายใจ “เสียเวลาทำกายภาพบำบัดมาน่ะ แถมป๋ากูยังกักตัวอีก บอกว่าถ้ายังไม่หายห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”
พูดถึงตรงนี้มันเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก้มมองขาข้างซ้ายของผม หน้านิ่วคิ้วขมวดเคร่งเครียดอย่างกับเป็นตัวเองที่บาดเจ็บ
“แล้วตกลงป๋ามึงปล่อยตัวมาแบบนี้ แสดงว่าหายแล้วสินะ มีอาการแทรกซ้อนอะไรรึเปล่า ขยับขาได้ปกติไหม ไม่เจ็บเวลาก้าวนะ” และอื่นๆ อีกเป็นชุด แม้จะอ่อนใจ แต่ผมรู้สึกตื้นตันมากกว่า ในกลุ่มเพื่อนทุกคนผมสนิทกับริวมากที่สุด มันคอยตามเป็นห่วงผมเสมอ มื้อเที่ยงวันไหนผมไม่ไปกินข้าว มันก็จะตามหาซื้อข้าวกล่องมาให้ แล้วยังช่วยผมโกหกซันอยู่หลายครั้ง
มันเป็นเพื่อนที่ดีมากจริงๆ และผมกำลังโกหกเพื่อนตัวเอง...ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้สนใจ เพราะชีวิตมีเรื่องอื่นให้กลุ้มมากกว่า พอมาตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวก็เกิดรู้สึกละอายใจขึ้นมา สีหน้าผมเลยดูหม่นหมองไปหน่อย ไอ้ริวกลับคิดว่าผมเจ็บขาซะงั้น
“ยังเจ็บอยู่สินะ ขึ้นบันไดไหวรึเปล่า จะจับกูก็ได้นะเดี๋ยวช่วยพยุง” ริวว่าพลางยื่นแขนมาให้จับระหว่างเดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นหน้าตึก ผมมองแขนมันเลยไปถึงใบหน้าที่ฉายชัดถึงความเป็นห่วง อกซ้ายของผมรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง
ผมยกมือขึ้น ไม่ได้จะจับแขนมันเพื่อพยุง แต่ยกเพื่อโอบบ่าเพื่อนแน่นๆ บ่งบอกว่าผมไม่เป็นไร
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ ป๋ากูพาไปหาหมอถึงญี่ปุ่น จะยังเจ็บอยู่ได้ยังไง เพียงแค่กูใช้ขาไม่ได้มากอย่างเก่า ถ้าเดินหรือวิ่งเยอะจะเจ็บแปล๊บๆ เหมือนคนแก่เป็นโรคเส้นเท่านั้นเอง” ผมพูดแกมหยอกให้มันคลายกังวล สีหน้าริวค่อยดูดีขึ้น
“งั้นเหรอ...ดีแล้วๆ” พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ทีแรกริวมันจะเดินขึ้นบันไดด้วยความเคยชิน ปกติเราจะชอบเดินขึ้นลงมากกว่าใช้ลิฟต์ เพราะไม่อยากเบียดและจะได้ออกกำลังกายไปในตัว แต่พอพูดเรื่องของผม ริวก็เปลี่ยนทิศมายืนรอลิฟต์แทน
ตอนนี้ยังเช้า คนเลยยังไม่ค่อยมา แถวนี้เลยมีแค่ผมกับริวและคนอื่นๆ อีกไม่กี่คน จู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาลอยๆ ทั้งที่ตายังจ้องตัวเลขนับถอยหลังเหมือนสภาพจิตใจของผมตอนนี้เลย
“มิท เมื่อกี้กูเห็นมึงมามหา’ลัยด้วยรถสองคัน ดูยังไงก็ไม่ใช่รถธรรมดา แล้วยังป๋าที่มึงชอบพูดถึงบ่อยๆ อีก” มันหยุดแล้วเลื่อนสายตามามองผมพร้อมกับเสียงเตือนว่าลิฟต์มาถึงแล้ว “กูจะไม่ถามเพราะกูรู้ดีว่ามึงคงจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกตามเคย แต่อยากให้มึงรู้ไว้ ว่ากูกำลังรอคำตอบจากปากมึงอยู่ตลอด”
ผมมองเข้าไปในดวงตาแน่วแน่คู่นั้น สุดท้ายเป็นผมที่ละสายตา ทั้งที่ผ่านมาผมไม่เคยเป็นแบบนี้ แม้จะเป็นลูเซียสก็ตาม
“เมื่อไหร่ที่กูพร้อม...กูจะบอกมึงเอง ช่วยรออีกหน่อย อีกไม่นานหรอก...” ผมพูดระหว่างเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วหันมาเห็นริวที่ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาสักที จนทุกคนในลิฟต์พากันมอง
พวกเราจ้องตากันอยู่แบบนั้น ใบหน้าของริวไม่มีรอยยิ้มเช่นเคย ผมรู้สึกหน่วงจนต้องลอบผ่อนลมหายใจออกมา สวนทางกับท่าทีปกติภายนอก ดูเผินๆ เหมือนการเข้าลิฟต์ปกติ แต่เราสองคนรู้ดี หากก้าวตามมาก็เหมือนกับยอมรับคำพูดของผม แต่ถ้าไม่...
และแล้วริวก็ก้าวเข้ามา พูดให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
“ครั้งสุดท้ายมิท...หวังว่าครั้งนี้มึงจะพูดความจริง”
ผมกำหมัดแน่น รู้สึกตื่นตระหนก ริวพูดเหมือนมันรู้อะไรมา พอผมเงยหน้ามองมันกลับมายิ้มเป็นหมาปัญญาอ่อนเหมือนเคย แต่แววตาคู่นั้นไม่โกหก มันหมายความตามนั้นจริงๆ
ผมหลับตา เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่าง ทุกคนย่อมมีขีดจำกัดของตัวเอง ผมปิดตามันมานานเกินไป คงถึงเวลาที่ผมจะบอกเรื่องทุกอย่าง แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน
ขอให้ผมได้มั่นใจกว่านี้อีกนิด ว่าถ้าพูดไปแล้วผมจะไม่เสียพวกเพื่อนคนสำคัญไป ชีวิตของผมก็อย่างที่ทุกคนรู้ สิ่งสำคัญมีน้อยเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดเรื่องแย่ๆ ในชีวิต คนที่พอจะยึดเหนี่ยวผมไว้ได้ นอกจากแม่ก็คือพวกเพื่อนที่เพิ่งมาเจอกันตอนมหา’ลัย แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นาน แต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงความสนุกของวัยเรียนอย่างในอดีต
มันทำให้ผมมีความหวัง ฝันว่าจะออกจากโคลนตม ไขว่คว้าหาอนาคตที่อยู่ข้างหน้าและก้าวเดินไปพร้อมกับพวกมัน ผมถึงตั้งใจเรียน พยายามหาเงินให้ได้มากๆ วางแผนไว้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะหางานดีๆ ทำจะได้เลิกอาชีพเก่า เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ ยืนหยัดอยู่กับเพื่อนด้วยประวัติหมดจน
ความจริงมันโหดร้ายเสมอ ตัวตนของผมไม่ได้เข้าใกล้แสงสว่างเลยสักนิด กลับยิ่งถอยห่างและจมอยู่ในโคลนมากกว่าเก่า ผมเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เอง ว่าผมกำลังหลอกตัวเอง
บอกว่าโอเค บอกว่าไม่เป็นไร ลูเซียสเป็นคนดี ทุกคนหวังดีกับผม แต่ความจริงมันก็ยังโหดร้ายเสมอ พวกเขาที่ผมเริ่มนับว่าเป็นครอบครัวกลับอยู่ในวงการมืดด้วยมือเปื้อนเลือด ต่อให้เบื้องหน้าสวยงามแค่ไหนก็ไม่อาจลบล้างความจริงไปได้ แม้ลูเซียสจะมีท่าทีกีดกันไม่ให้ผมมีส่วนร่วมกับงานเขาชัดเจน แต่ผ้า ไม่ว่าสีอะไรหากอยู่ใกล้หมึกสีดำไม่นานก็จะซึมซับสีดำมา
ผมไม่สามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ ต้องพึ่งพาลูเซียสเท่านั้น และผมไม่ใช่คนเนรคุณพอที่จะสลัดทิ้งไปใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย ลูเซียสคือผู้มีพระคุณ ผมต้องตอบแทน แม้ว่าสิ่งที่ผมต้องแลกเปลี่ยนกับมันจะมีมากมาย หรือมือผมจะต้องเปื้อนเลือดด้วยก็ตาม
ผมตัดสินใจแล้ว และไม่มีวันเปลี่ยนใจ แค่อยากจะยืดช่วงเวลานี้ออกไป ให้ผมได้สัมผัสกับความธรรมดา ก่อนจะก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน
ในตอนเด็กแม่เคยบอกผม ช่วงที่พ่อเริ่มติดการพนัน ดื่มเหล้าและทำร้ายพวกเรา แม่บอกว่า ผมช่างเจิดจรัสเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ขอให้ผมเป็นแบบนี้ตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมเลยเป็นผมอย่างทุกวันนี้ ไม่ว่าเกิดอะไรก็ยังไม่ละทิ้งความหวัง ดังนั้น...ผมขอหวังให้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าพวกเพื่อนจะรู้ความจริงก็ตาม
“เฮ้ยถึงแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกัน ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้ามานานนน” ริวลากเสียงหัวเราะเริงร่า ออกแรงฉุดมือผมออกจากลิฟต์ เดินไปตามทางในระดับเดียวกัน
แม่...ได้โปรดอวยพรให้ผมด้วย ให้ผมเป็นดวงดาวอย่างที่แม่บอก ไม่ใช่เพียงเศษหินที่รอเวลาดับแสงลงอย่างไร้ค่า…
“เอ่อ...กูจะรอตอนเที่ยงใจจดจ่อเลย” ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ก่อนเวลานั้นจะมาถึง ผมขอตักตวงความสุข ณ ตอนนี้ให้ได้มากที่สุดแล้วกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตามมาจากคู่เมียทารุณกรรมผัว(ซัน-โป้) มาเปลี่ยนบรรยกาศผัวทารุณกรรมเมียบ้าง 555
เข้าใจว่าพล็อตเรื่องนนี้มันต้องฉีกเเนวไปจากไทม์ใลน์ของคู่อื่นเพราะอาชีพของป๋า เเต่อยากให้เฉลยว่าช่วงที่มันคู่ขนานไปกับเรื่องของคู่อื่นให้มากกว่านี้ จะได้ไม่ต้องอ่านไปงงไป ส่วนอีหนูของป๋าก็รีบๆบอกป๋าเรื่องเเม่ซะทีสิ(ชักอยาเผือกเเล้ว555)
ป.ล. พี่เดฟเอาน้องมะลิเขาตึกจะง่ายกว่านะ เผื่ออีหนูกะโทริจะได้ชวนไปตั้งสมาคมคนมีผัวเถื่อน+เข้าคอรส์ฝึกป้องกันตัวโดยครูในท์
ป.ล.2 ทำใมอีหนูชื่อมิททรี่เเทนที่จะเป็นดมิททรี่??
เดี๋ยวจะมีเหตุการณ์เชื่อมระหว่างมิทกับคู่อื่นจ้า
ส่วนเรื่องชื่อ ตั้งมาแบบนี้แต่แรกอยู่แล้วอะ 5555555