[16] 100%
“เจ้านี่มันจริง ๆ เชียว ไม่รู้หรือว่าตอนนี้หยุนมู่ของเจ้าเพิ่งจะแต่งงาน จะไปหาได้อย่างไร!” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็หน้ามุ่ยลง แววตาเศร้าสร้อยคล้ายเด็กน้อยไม่ประสาที่ถูกขัดใจ เมิ่งลู่เหยาใจสั่นกับท่าทางของน้องชาย ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีสักครั้งที่น้องชายของเขาจะมีท่าทางเช่นนี้ เมื่อได้เห็นจึงต้องตกใจและหวั่นไหวเป็นธรรมดา เช่นนั้นใจของเมิ่งลู่เหยาจึงอ่อนลง
“บอกพี่หน่อย เจ้าจะไปหาหยุนมู่เพื่ออะไร เจ้าคงมิได้...” สายตาที่มองเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ และระแวงสงสัย หากไม่ใช่ว่าน้องชายคนนี้ของเขาเคยมีใจให้แม่ทัพหลี่ที่เป็นบุรุษมาก่อน เขาก็คงไม่มีความคิดระแวงเช่นนี้
ทว่าเมิ่งอวิ๋นไม่ได้เข้าใจในสายตาและความหมายที่แฝงอยู่ในดวงตาของเมิ่งลู่เหยาแม้แต่น้อย เขายังคงมองผู้เป็นพี่ชายด้วยความสงสัย ใบหน้างดงามเอียงไปข้างหนึ่งอย่างไม่เข้าใจในคำถามที่ขาดหายไปนั้น
“มิได้อะไรหรือ” แววตาที่สับสนและลังเลยังคงมีอยู่ไม่จางหาย ทว่าริมฝีปากกลับไม่กล้าจะเอ่ยถามออกไปเสียเฉยๆ
“ไม่มีอะไร ตกลงแล้วเจ้าจะไปหาหยุนมู่ทำไมกัน?”
“ข้าติดค้างคนผู้หนึ่งอยู่ จึงคิดหาของพิเศษเพื่อนำไปลบล้างหนี้ที่ค้างกับเขา ข้าคิดว่าหยุนมู่น่าจะสามารถหาของพิเศษชิ้นนั้นให้ข้าได้”
“พิเศษ? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“พิเศษ อืม จะว่าอย่างไรดี ของที่ใช่ว่าจะสามารถหาได้ทั่วไปหรือเป็นของหายาก ของที่มีค่ามากพอเมื่อเทียบกับชีวิตของข้า พี่ใหญ่...ท่านหาให้ข้าได้หรือไม่” เมิ่งลู่เหยาคล้ายไม่เข้าใจในคำพูดของเมิ่งอวิ๋น
“เหตุใดต้องนำของนอกกายเช่นนั้นมาเทียบเคียงกับชีวิตของเจ้าด้วย หากเป็นพี่แล้ว ชีวิตเจ้ามิอาจเทียบกับสิ่งใดได้ ต่อให้กองทรัพย์สินเงินทองไว้ตรงหน้า ก็แลกกับเจ้าที่เป็นน้องชายคนเดียวของพี่ไม่ได้” คำพูดนั้นไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่คำเดียว เมิ่งลู่เหยาคิดเช่นนั้นจริง ๆ ต่อให้ใครจะมองน้องชายของเขาเช่นไร แต่สำหรับเขาที่เป็นพี่ชายแล้วนั้น ย่อมไม่มีทางมองเมิ่งอวิ๋นด้อยค่าลงไปแน่
เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินคำพูดและสีหน้าจริงจังก็พลันตื้นตันขึ้นมา แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกนี้ เมิ่งลู่เหยามอบให้กับเมิ่งอวิ๋นตัวจริง ไม่ใช่เขาที่เข้ามาใช้ชีวิตแทนก็ตาม แต่หัวใจของเขาที่เคยแห้งเหี่ยวลงไปจากการถูกปฏิบัติอย่างแตกต่าง ก็เต็มตื้นไปด้วยความอิ่มเอมและความสุขจนแทบจะล้นใจ
“พี่ใหญ่...” เห็นเมิ่งอวิ๋นมองด้วยแววตาตื้นตันเช่นนั้นคนเป็นพี่ก็เริ่มวางตัวไม่ถูก ได้แต่โบกมือเป็นไปมาอย่างช่วยไม่ได้
“ได้ๆ พี่จะหาให้เจ้าเอง ของแค่นี้มีหรือพี่จะหาไม่ได้” อาการเคอะเขินทำให้เมิ่งลู่เหยาจำต้องตัดใจยอมตกปากรับคำออกไปอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียก็แค่ของที่มีค่ามากๆ ชิ้นหนึ่ง คงไม่เกินความสามารถของเขาเท่าใดนักหรอก
“ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุด!” เมิ่งอวิ๋นโผเข้ากอดเมิ่งลู่เหยาจนแนบแน่นด้วยความดีใจ ริมฝีปากฉีกยิ้มจนแก้มปริ คนถูกกอดอย่างเมิ่งลู่เหยาได้แต่หน้าแดงก่ำ ท่าทางอึกอักคล้ายทำอะไรไม่ถูกที่ถูกน้องชายทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน แม้เขาจะอุ่นวาบในหัวใจ ขวยเขินที่ถูกน้องชายกอดเสียแน่น แต่ก็ยังต้องใจแข็งดันร่างของน้องชายออกไป
“อะแฮ่ม เจ้า เจ้าไม่ควร เอ่อ ทำเช่นนี้นอกจวน” เมิ่งอวิ๋นมองเห็นริ้วสีแดงบนแก้มของพี่ชายก็เกิดความรู้สึกอยากจะแกล้งขึ้นมา นัยน์ตาจึงวาววับอย่างเจ้าเล่ห์
“เช่นนี้...หากเป็นที่จวนข้าทำได้ใช่หรือไม่”
“เจ้านี่มัน!” แม้จะถลึงตาใส่น้องชาย แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเขินอายบนใบหน้าได้ เมิ่งอวิ๋นที่เห็นชัดเจนเต็มสองตาก็พลันหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ
“ข้าพี่ล้อเล่นเท่านั้นเองพี่ใหญ่ ท่านอย่าถือจริงจังไปเลย” เมิ่งลู่เหยาได้แต่ส่ายหน้ากับความซุกซนของเมิ่งอวิ๋น คนมากมายในเมืองต่างมองน้องชายเขาเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ แต่เขาก็ยังเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาต่อโลกและความรัก ใครบ้างไม่อยากมีความรัก หากเกิดความรักขึ้นมาในหัวใจ มีหรือที่จะสามารถหยุดยั้งตนเองไม่ให้ไล่ตามคนที่รักได้
น้องชายของเขาก็เช่นกัน
“แต่ข้าอยากไปเยี่ยมหยุนมู่จริง ๆ นะพี่ใหญ่” คนถูกออดอ้อนได้แต่กลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“เจ้านี่นะ พี่บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ได้”
“ข้าก็เพียงแค่ไปเยี่ยม ไปคุยเล่นด้วย มิได้จะไปแย่งชิงหยุนมู่กับใครเสียหน่อย” น้ำเสียงกระเซ้าติดความแง่งอนอยู่ในนั้นทำให้เมิ่งลู่เหยาเครียดหนัก น้องชายเขาไม่เข้าใจจริง ๆ
“เจ้าก็รู้ว่าหยุนมู่แต่งงานแล้ว การที่เจ้าซึ่ง...ครั้งหนึ่งถูกมองว่าชมชอบบุรุษ เจ้าคิดว่าคนภายนอกจะนินทากันว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าเพียง...”
“บุตรชายคนเล็กของสกุลเมิ่งบุกไปหาคุณชายรองติงตั้งชุดวิวาห์ยังไม่ทันถอดหรือ?” เมิ่งอวิ๋นก้มหน้าลง ซ่อนความไม่ยินยอมเอาไว้ในแววตา แต่นั่นไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของเมิ่งลู่เหยาแม้แต่น้อย
“เมิ่งอวิ๋น ไม่ใช่พี่หรือท่านพ่อท่านแม่รังเกียจที่เจ้าชื่นชอบบุรุษ แต่การที่เจ้าดื้อดึงจะไปหาหยุนมู่ในเวลานี้ ล้วนมีแต่เจ้าที่เสียหาย พี่ไม่อยากให้ใครพูดจาว่าร้ายเจ้าอีก” ฝ่ามืออบอุ่นถูกวางลงบนศีรษะของเมิ่งอวิ๋น ขยับลูบมันอย่างแผ่วเบาจนเมิ่งอวิ๋นเองก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับพี่ชาย ก่อนจะยอมพยักหน้ารับอย่างปลงตก
“เป็นข้าที่ทำให้พวกท่านลำบาก”
เมิ่งอวิ๋นคงปรารถนาจะเอ่ยคำนี้ แต่เขาจะเป็นคนพูดในคำที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจพูดมันออกมาได้ สิ่งที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจทำได้อีก เขาจะเป็นคนช่วยทำให้เอง จะลบล้างคำครหาที่กล่าวว่าเขาชอบบุรุษ ในเมื่อเขาในตอนนี้ไม่เคยชอบบุรุษคนใดเลยสักครั้ง เขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่ปรารถนาคนรักที่จริงใจ และอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า
“ไม่มีใครโทษเจ้า เรื่องพวกนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หากเจ้าชอบบุรุษ พี่และท่านแม่ก็จะเฟ้นหาบุรุษรูปงาม มากไปด้วยความรู้ความสามารถมาไว้ตรงหน้าเจ้า”
เมิ่งอวิ๋นอ้าปากค้าง อยากจะบอกเหลือเกินว่าตนไม่ได้ชื่นชอบบุรุษ หากแต่ชอบสตรีต่างหาก แต่เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของเมิ่งลู่เหยา เขาก็พูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ รู้สึกราวกับว่าไม่ควรทำลายความหวังดีที่พี่ชายมีต่อเขาทิ้งเสีย จึงได้แต่ยกยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างไม่เต็มใจ
“หากพี่ใหญ่ว่าเช่นนั้น...”
“เรื่องในร้านก็นับว่าจบไปแล้ว รอพี่ไปปรึกษากับท่านพ่อก่อนก็คงจะได้เรื่อง ไปเถิด กลับจวนกัน”
“ขอรับ...”
เมื่อจบสิ้นปัญหาทั้งหมด ทั้งสองก็เดินออกจากร้านไปทันที สีหน้าของเมิ่งลู่เหยานับว่าดีขึ้นมากว่าครั้งเมื่อออกมาจากจวน ยามเมื่อก้าวออกจากร้านใบหน้าจึงติดรอยยิ้มเอาไว้ชวนให้เหลียวมอง เหล่าหญิงสาวมากมายต่างก็จับจ้อง บ้างก็เขินอายอยู่ริมทาง บุตรชายสกุลเมิ่งผู้หล่อเหลา มากไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมายที่ไม่ว่าจะใช้เท่าใดก็ไม่มีวันหมด เป็นบุรุษที่รอสืบทอดอำนาจต่อจากเมิ่งหยวนผู้เป็นบิดา
บุรุษเช่นนี้มีหรือที่พวกนางจะไม่ปรารถนา
แต่ความเพ้อฝันย่อมไม่อาจเป็นจริง เมื่อพวกนางต่างก็รู้ดีว่าเมิ่งลู่เหยาผู้นี้ไม่เคยชายตาแลพวกนางแม้แต่น้อย หัวใจของบุรุษผู้นี้นั้นว่างเปล่า ไม่มีความรักหยิบยื่นให้พวกนางสักคน แม้แต่อนุในจวนยังไม่มี เช่นนี้พวกนางจึงยังคงเฝ้ารอและเพ้อฝัน หวังว่าสักวันบุรุษตรงหน้าจะหันมามองพวกนางบ้าง
“โอ๊ะ!”
“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าเจ็บหรือไม่”
ร่างของเมิ่งอวิ๋นชนเข้ากับบางสิ่งจนล้มลงไปกับพื้น ก้นของเขากระแทกอย่างแรงจนอดนิ่วหน้าไม่ได้ เมื่อมองขึ้นไปจึงพบกับบุรุษแปลกหน้า ท่าทางเย่อหยิ่ง ดวงตาคมปลาบที่สามารถสังหารคนให้ตายได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว เมิ่งอวิ๋นหยุดตัวเองราวกับถูกสั่ง หลงลืมแม้กระทั่งวิธีหายใจจนเมื่อเมิ่งลู่เหยาเข้ามาพยุงขึ้นจึงได้สติ และมองอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ขออภัย ข้ามองไม่เห็นท่าน” เดิมทีเมิ่งลู่เหยานึกเคืองขุ่นจนอยากจะหันไปต่อว่า ติดเสียแต่คนผู้นี้ชิงส่งยิ้มโบกสะบัดพัดในมือเล่นพร้อมกับเอ่ยขอโทษด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความจริงใจ คนเป็นพี่เห็นน้องชายถูกหาเรื่องเช่นนี้มีหรือจะทนได้ เขาเตรียมจะก้าวขึ้นไปเอาความอีกฝ่าย ทว่ากลับถูกเมิ่งอวิ๋นห้ามเอาไว้
เมิ่งอวิ๋นระบายยิ้มออกมาราวกับไม่ถือสาหาความใดๆ เอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นไม่หนักไม่เบาและไม่รีบร้อน ทุกคำล้วนแต่สงบนิ่งคล้ายกับสายธารที่ไหลริน
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่ทันระวัง” เมิ่งอวิ๋นปัดชุดตัวเองอย่างเงียบสงบ มีเพียงเมิ่งลู่เหยาที่หน้าแดงก่ำเพราะความโกรธที่ไม่ได้ระบายออกมา คนแปลกหน้าตรงหน้าเลิกคิ้วมองเมิ่งอวิ๋นอย่างสนใจ แววตาที่เย็นชาไม่ปรากฏความหมายนั้น แต่ภายในกลับซ่อนความสนใจอีกฝ่ายเอาไว้เงียบๆ
เมื่อเมิ่งอวิ๋นกำลังจะเดินจากไป เขาก็ดึงแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมให้จากไปโดยง่าย เดือดร้อนเมิ่งลู่เหยาต้องมาจับแขนของชายคนนั้นเอาไว้อย่างคุกคาม
“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยน้องข้าเดี๋ยวนี้!” ชายแปลกหน้าไม่เพียงไม่ยอมปล่อยมือ กลับไม่สะทกสะท้านต่อแรงของเมิ่งลู่เหยาด้วยซ้ำ
“เจ้าชื่ออะไร”
“นี่!!” เมิ่งลู่เหยาเดือดดาลทว่าเมิ่งอวิ๋นไม่ได้สนใจคนแปลกหน้าสักนิด แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังตนเอง ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดต้องหวาดกลัวการเอ่ยนามตน
“ข้าแซ่เมิ่ง นามว่าอวิ๋น ไม่ทราบคุณชายมีสิ่งใดกับข้าหรือ”
“เจ้าไม่คล้ายกับที่ข้าได้ยินมาแม้แต่น้อย” เมิ่งอวิ๋นกระตุกยิ้ม ดึงแขนของจากฝ่ามือของอีกฝ่าย แต่ทว่ากลับสู้แรงของคนแปลกหน้าผู้นี้ไม่ได้
“ข้าไม่ทราบว่าคุณชายได้ยินมาเช่นไร แต่ไม่ว่าจะเช่นไรก็คงไม่ควรกระมังที่จะรั้งข้าไว้เช่นนี้” ริมฝีปากของชายแปลกหน้าเผยรอยยิ้มชวนขนลุก
“หึ เจ้าไม่เป็นเช่นที่เขาว่าจริง ๆ” เมิ่งอวิ๋นเริ่มรำคาญจนอยากจะไปให้พ้นจากคนคนนี้เสียที
“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าไม่จำเป็นต้องเสวนากับคนผู้นี้”
“ไม่เป็นไรพี่ใหญ่ ไม่ทราบคุณชายได้ยินเรื่องข้ามาเช่นไรเล่า” หลังจากเอ่ยปลอบพี่ชายแล้ว เมิ่งอวิ๋นก็เอ่ยถามกับชายแปลกหน้าที่ยังยึดแขนของเขาเอาไว้ทันที
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบบุรุษ หากหลงใหลแล้วจะติดตามเสียจนน่ารำคาญ” เมิ่งอวิ๋นตาวาววับ แค่นยิ้มออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“เช่นนั้นคงเป็นโชคดีของคุณชายแล้ว ที่ใบหน้าขอท่านไม่สามารถทำให้ข้าหลงใหลได้ ปล่อยสักที!” จบคำเมิ่งอวิ๋นไม่สนใจความเจ็บปวดใดๆ กระชากแขนออกมาจากอุ้งมือของชายคนนั้นจนหลุด เขาไม่ใช่คนใจเย็นมากพอที่จะมายืนฟังคำวิจารณ์ตนเองแล้วยังยิ้มได้
ฝั่งของชายแปลกตากลับพอใจในสิ่งที่ได้เห็น เขาไม่ได้สนใจบุรุษอีกคนข้าง ๆ เมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย สายตาของเขามีเพียงใบหน้าและปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นที่ดึงความสนใจ
“โอ้ สหายข้ามาพอดี ว่าอย่างไรเล่าอาเฉิง คนผู้นี้ใช่หรือไม่บุรุษไร้ยางอายที่คอยติดตามเจ้า” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาต่างหันไปมองบุคคลด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง
เป็นเขาอีกแล้วหรือ คนเช่นนี้ทำไมจะต้องพบเจอบ่อยนักนะ
“ว่าอย่างไรล่ะอาเฉิง ใช่เขาหรือไม่?” หลี่เจี้ยนเฉิงมองเมิ่งอวิ๋นด้วยแววตาที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์
“เกรงว่าคุณชายคงจำผิดแล้วกระมัง ข้าหูตาสว่างแล้ว มีหรือจะไปติดตามท่านแม่ทัพได้”
เห็นเมิ่งอวิ๋นคล้ายจะหัวเราะด้วยความเย้ยหยันในใจของหลี่เจี้ยนเฉิงก็พลันกระตุก ร้อนรนจนปรารถนาจะแก้ไขความเข้าใจผิดในครั้งนี้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งๆ เท่านั้น
“โอ้...เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? แม่ทัพหลี่...เจ้าว่าอย่างไร”
“เป็นความเข้าใจผิด เรื่องเช่นที่ว่ามาล้วนไม่เป็นความจริงเลย” ชายแปลกหน้าเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับจะเอ่ยถามให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะหมดความสนใจในตัวของหลี่เจี้ยนเฉิงไปโดยปริยาย
“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าเข้าใจผิดไปเองหรอกหรือนี่”
“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว ข้ากับพี่ชายขอตัว ไม่ว่างอยู่ร่วมสนทนา” หลี่เจี้ยนเฉิงรีบคว้าแขนของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไปได้
“ไม่ทราบท่านแม่ทัพมีสิ่งใดกับข้าอีกหรือ?”
“แขนเจ้า...เป็นเช่นไรบ้าง” เมิ่งอวิ๋นดึงแขนของตนออกจากมือใหญ่ นัยน์ตาหวานเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ กับคนตรงหน้า เอ่ยตอบออกไปคล้ายขอไปที
“หายแล้ว ขอตัว”
เมิ่งอวิ๋นดึงแขนของพี่ชายที่ยังคงจับจ้องไปที่ท้องสองคนไม่วางตาให้เดินตามมาอย่างรวดเร็ว เกลียดชังสิ่งใดล้วนแต่พบเจอสิ่งนั้นจริงๆ คนเช่นหลี่เจี้ยนเฉิงคงมีมากนักในเมืองหลวงแห่งนี้ นับว่าเป็นเข้าเองที่ไม่ดูทางให้ดี สะดุดคนเลวเข้าเสียได้ อย่างไรก็ช่างเถิด หลุดพ้นจากคนพาลย่อมเป็นเรื่องดีกว่า ครั้งหน้าแค่ต้องระวังตัวมากขึ้นอีกหน่อย จะได้ไม่ต้องพบเจอกันอีก
หลี่เจี้ยนเฉิงและชายแปลกหน้ามองแผ่นหลังของเมิ่งอวิ๋นจนลับสายตา พัดสีขาวลดลายงดงามถูกยกขึ้นมาบดบังริมฝีปาก เก็บซ่อนรอยยิ้มร้ายกาจเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของคนข้างกาย
ช่างเป็นคนที่น่าสนใจแท้ๆ น่าเสียดายที่ไม่อาจเล่นด้วยได้
“อย่าได้คิดเชียว ฝ่าบาทคงไม่คิดว่ากระหม่อมจะยอมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจี้ยนเฉิงปรายตาคมดุจคมดาบเข้าหาคนข้างกาย คนผู้นี้คือ
หยางหย่งเสียนหรือก็คือองค์รัชทายาทผู้น่าเกรงขามของเหล่าขุนนาง
“ข้าคิดสิ่งใดเล่า ไหนเจ้าลองบอกข้าหน่อย”
“คนผู้นี้แม้จะเล่นด้วยสนุก แต่สำหรับกระหม่อมเขาคือคนสำคัญ” หยางหย่งเสียนเลิกคิ้วคล้ายไม่เข้าใจในความหมายนั้น
“เช่นนั้นหรือ?”
“แม้เป็นสหายก็ไม่อาจยกให้ได้ เขามิใช่สิ่งของหวังว่าฝ่าบาทจะเข้าใจความหมายของกระหม่อม” หยางหย่งเสียนหัวเราะลั่น ตบไหล่ของหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างไม่ออมแรงสองสามครั้ง
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไหนเลยข้าจะมาสนใจคนผู้นั้น คนที่ข้าต้องการจริง ๆ เจ้าหาเขาพบแล้วหรือยัง” หลี่เจี้ยนเฉิงกลับมาสู่สีหน้าปกติอีกครั้งเมื่อหยางหย่งเสียนไร้แววหยอกล้อเช่นก่อนนี้
“อีกไม่นาน กระหม่อมจะต้องนำตัวมาให้ฝ่าบาทได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ริมฝีปากของหยางหย่งเสียนกระตุกยิ้ม แววตาเข้มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“อย่าให้นานนักเล่าอาเฉิง หากข้ายังไม่อาจได้ตัวเขาในเร็ววัน ข้าอาจจะเปลี่ยนใจ...มาเล่นกับเมิ่งอวิ๋นผู้นั้นก็ได้” ฝ่ายหลี่เจี้ยนเฉิงได้ยินกลับไม่สะทกสะท้าน แววตาที่มองสบกลับไปนั้นล้วนแต่ดำมืดไม่แตกต่างกัน
“หากเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงต้องเล่นกับเขาแทนเช่นกัน” แววตาทั้งสองคู่ต่างฟาดฟันกันราวกับมิใช่สหาย ก่อนที่หยางหย่งเสียนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแทน พร้อมกับหันหลังเดินจากไปทิ้งให้หลี่เจี้ยนเฉิงยืนอยู่ที่เดิมเพียงผู้เดียว
TBC
พี่หลี่ต้องหาใครให้องค์รัชทายาทกันนะ เอ๊ะ? สำคัญยังไงนะ เอ๊ะ?? ยังไม่เฉลยนะจ๊ะทุกคน ยังคงเป็นปริศนา ฮุๆๆเมิ่งอวิ๋น