ตอนที่13
ระหว่างทางเดินกลับมาบ้านเสวี่ยหมิงเอาแต่ครุ่นคิดว่าตนเองจะทำอย่างไรต่อไปดีหากว่าต้องเดินทางตามลำพังโดยปราศจากเสี่ยวหลง ตามจริงแล้วเขาไม่ควรยึดติดต่อเด็กน้อยนั่นถึงเพียงนี้ แต่มาบัดนี้เขาทำราวกับว่าเด็กน้อยนั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียอย่างนั้น
แต่แรกเดิมทีเขาวางแผนการณ์สำหรับตัวเองและเสี่ยวหลงไว้ประการหนึ่ง เมื่อถึงเวลาต้องแยกจากกันจึงจำต้องเริ่มต้นวางแผนใหม่อีกครั้ง
มันจะยากอะไรเล่าแค่ใช้แผนการเดิมก่อนที่เขาจะพบกับเสี่ยวหลงมันก็เท่านั้น สิ่งที่เขาจะทำก็แค่เดินทางไปให้ถึงหุบเขาหมื่นปีอันเป็นที่ตั้งของพรรคมังกรพิโรธตั้งแต่แรกเริ่มตามคำสั่งอาจารย์
ใช่แล้วเขายังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก ทั้งฝึกวิชากับศิษย์พี่ตามคำสั่ง ทั้งสืบหาคนที่เปิดเผยสถานที่ฝึกวิชาของอาจารย์ มีเรื่องราวให้ต้องทำมากมายถึงเพียงนี้ ใช่จะมีเวลาจมอยู่กับความรู้สึกโดดเดี่ยวยามต้องแยกจากเสี่ยวหลง
สำหรับกับเสวี่ยหมิงนับว่าการมีอยู่ของเสี่ยวหลงในจิตใจนับเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายไปไกล คิดไม่ถึงว่าตนเองจะปวดใจเช่นนี้เมื่อต้องแยกจากเด็กน้อยนั้นจริงๆ
คืนนี้เสวี่ยหมิงนั่งรอเสี่ยวหลงกลับมาจนยามดึก ทว่าเมื่อคิดให้ดีจะช้าหรือเร็วเด็กน้อยก็ต้องไปตามทางของตัวเอง เขาก็เริ่มทำใจกลับเข้าไปนอนในห้องหับ แปลกกลับรู้สึกไม่คุ้นชินที่ต้องนอนเพียงลำพังเช่นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ภายในห้องรับรองแขกเยิ่นเสียนฉีได้พาผู้ที่มันคาดว่าจะเป็นนายน้อยของมันมาที่นั่น แต่ถึงจะเชื่อว่าเด็กน้อยเสี่ยวหลงเป็นท่านผู้นั้นมันก็ยังมีความคลางแคลงใจอยู่เรื่องที่เด็กตรงหน้านี่ใช่ตัวจริงหรือไม่
“เอ่อนายน้อยถ้าเป็นไปได้ช่วยใช้วิชาหดกระดูกผลัดหนังกลับคืนสภาพเดิมทีขอรับ”
มันถูมือเข้าหากันแล้วแสร้งหัวเราะ เยิ่นเสียนฉีเตรียมพร้อมที่จะจัดการกับเด็กน้อยนี่หากว่ามันมิใช่ตัวจริง และถ้าสามารถใช้วิชาที่มันกล่าวได้มันย่อมยอมรับโดยดุษฏีว่าเป็นนายน้อย เพราะวิชาหดกระดูกผลัดหนังเป็นวิชาลับที่ประมุขจูสอนให้แค่กับนายน้อยของมันเพียงผู้เดียว เกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้ทำให้มันยิ่งมั่นใจว่านายน้อยของมันเป็นที่เอ็นดูของประมุขมากกว่าใคร
ไม่นานนักที่เบื้องหน้าเยิ่นเสียนฉี ร่างกายของคนที่อ้างว่าเป็นนายน้อยเกิดการเปลี่ยนแปลง เสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบรวมถึงสัดส่วนและใบหน้าที่จัดเรียงกันอย่างรวดเร็ว มันยอมรับว่าเคยเห็นนายน้อยในสภาพนี้หลายต่อหลายครั้ง
เมื่อการเปลี่ยนกระดูกจบลงนายน้อยผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลาเหนือผู้คนก็ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วที่โก่งโค้งอย่างสวยงาม ดวงตาคมเป็นประกาย ริมฝีปากบางเฉียบ และจมูกโด่งเป็นสันกับร่างกายที่สูงใหญ่กำยำ ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องมันยังไม่เห็นใครรูปงามได้เท่ากับนายน้อยของมัน
“คารวะนายน้อยหลงเยี่ยอิ่ง” มันรีบคุกเข่าให้นายน้อยของมันอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธี” หลงเยี่ยอิ่งหรือร่างจริงของเสี่ยวหลงสั่งให้เยิ่นเสียนฉีลุกขึ้นก่อนจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในห้อง
“ต้องขอโทษด้วยขอรับนายน้อยคำสั่งที่ให้มาข้ายังดำเนินการไปไม่ถึงไหน”
หลงเยี่ยอิ่งเลิกคิ้ว สงสัยนักว่ามันหมายถึงเรื่องใด ตั้งแต่เขาออกมาจากพรรคมังกรพิโรธและทิ้งให้เงาของตนรักษาการณ์แทนตัว มันนอกจากไม่ได้บอกผู้ใด คำสั่งอื่นๆย่อมไม่มีด้วยเช่นกัน
“คำสั่งอันใด ไหนเจ้าบอกมาสิ”
เยิ่นเสียนฉีเมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ทั้งยังแสดงท่าทีจำไม่ได้มันก็รู้สึกแปลกพิลึกพิลั่น มันไม่รอช้ารีบหยิบเอาจดหมายคำสั่งลับที่มันรับมายื่นให้นายน้อยดู
หลงเยี่ยอิ่งเมื่ออ่านจดหมายลับก็พบว่า ในจดหมายเป็นลายมือของมันทั้งยังมีตราประจำตัวอีกด้วย นอกจากนั้นที่คาดไม่ถึงคือคำสั่งที่ใช้ให้ไปขโมยแบบแปลนอาวุธชนิดใหม่ที่หมู่ตึกศาสตราคิดค้นขึ้นได้ คำสั่งเหล่านี้มันไม่ได้ออกคำสั่งสั่ง การที่มีการปลอมแปลงจดหมายของมันเช่นนี้ ทำให้มันเริ่มสงสัยในสิ่งที่คนร้ายต้องการ
“ลายมือนี้กับตราประจำตัวเป็นของข้าก็จริง แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของปลอม ข้าไม่เคยมีความคิดที่จะปล้นเอาสิ่งของจากหมู่ตึกศาสตราแม้เพียงนิด”
เพียงคำพูดเท่านี้ก็ทำให้เยิ่นเสียนฉีลนลานอย่างที่สุด มันรีบโขกศีรษะลงกับพื้นขอความเมตตา
“นายน้อยโปรดให้อภัยด้วยเป็นข้ามีตาหามีแววไม่ไม่รู้ถึงแผนการร้ายอันแยบยลของพวกสวะ นายน้อยได้โปรดเมตตาข้า”
หลงเยี่ยอิ่งไม่ได้ฟังหรือสนใจเยิ่นเสียนฉีแม้แต่น้อย มันตอนนี้เอาแต่ครุ่นคิด ผู้ใดกันที่อ้างชื่อของมันทำเรื่องเยี่ยงนี้ เดิมทีมันไม่ใช่ไม่รู้ว่าตึกศาสตราวุธผลิตอาวุธร้ายกาจขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องนี้มันรู้ดีว่าตึกศาสตราวุธต้องการขายแบบแปลนอาวุธนี้ให้กับราชสำนัก ตัวมันเองทราบเรื่องนี้ได้เพราะมันเองก็เป็นผู้ที่มีฐานะในราชสำนักผู้หนึ่งเช่นกัน
หลงเยี่ยอิ่งรู้แต่แรกว่าแบบแปลนอาวุธเหล่านี้ถูกส่งไปถึงมือของราชสำนักแล้ว แต่ไม่แปลกใจนักที่ตึกศาสตราวุธจะยังผลิตทั้งยังเก็บแปลนอาวุธนี้เอาไว้อยู่ ความลับที่ผู้คนน้อยนักที่จะรู้หากคนในตำหนักศาสตราวุธไม่เกลือเป็นหนอน ก็ไม่รู้ว่าคนร้ายปริศนาทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
มันเองเคยเห็นแบบแปลนนี้ครั้งหนึ่งจากการที่ผู้สูงศักดิ์มอบให้มันดู มันสามารถจดจำรายละเอียดอาวุธนั้นได้ดียิ่ง เป็นอาวุธน่าอัศจรรย์ที่ที่สามารถยิงลูกกลมบางอย่างซึ่งเรียกว่ากระสุนดินปืนออกมาจากปลายกระบอก อาวุธที่ว่ามีทั้งอันใหญ่และเล็ก
หากว่ามันจงใจเขียนสูตรกระสุนดินปืนและแปลนอาวุธจริงบ้างเท็จบ้างผสมกันไปแล้วให้เยิ่นเสียนฉีนำไปส่งมอบให้นายน้อยตัวปลอมเพื่อดูสอดแนมย่อมเป็นแผนการณ์ที่ดีงามประการหนึ่ง
“เอาพู่กันกับหมึกมาให้ข้า”
เยิ่นเสียนฉีร้องเรียกให้สาวใช้นำสิ่งที่นายน้อยของมันต้องการมา หลงเยี่ยอิ่งเมื่อได้รับไปก็เริ่มต้นวาดและเขียนในสิ่งที่คิดเอาไว้ก่อนจะยื่นให้เยิ่นเสียนฉี
เยิ่นเสียนฉีเป็นคนฉลาดมันเข้าใจการกระทำของนายน้อยมันได้ทุกประการ มันเดาว่าคงเป็นแผนการณ์ยื่นของปลอมให้แล้วดักจับ
“ข้าน้อยจะทำงานนี้ด้วยมือตัวเองแน่นอนขอรับนายน้อย”
หลงเยี่ยอิ่งพยักหน้าตอบรับ ทว่าเยิ่นเสียนฉียังมีเรื่องสงสัยประการหนึ่งเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของนายน้อยนามเสวี่ยหมิง
“เอ่อนายน้อยแล้วเพราะเหตุใดท่านถึงได้เดินทางมากับหนุ่มน้อยนามเสวี่ยหมิงเล่าขอรับ”
“เรื่องมันยาวเอาเป็นว่า เจ้าเอาแบบแปลนปลอมๆนี้ไปส่งให้คนร้ายก่อนจะตลบหลังจับพวกมันมาเค้นความจริง จะทำยังไงก็ได้ให้มันสารภาพความจริงมา”
“แน่นอนขอรับ ข้าไม่ให้อภัยมันที่แอบอ้างชื่อของนายน้อยแน่นอน”
หลังจากพูดคุยกันเสร็จเวลาก็ผ่านไปมากกว่าหลายชั่วโมง หลงเยี่ยอิ่งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อนจะใช้วิชาหดกระดูกเปลี่ยนหนังปลอมแปลงกลับเป็นเสี่ยวหลงอีกครั้ง
เมื่อมันกลับมาถึงบ้านสกุลฮวาก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืน พี่ใหญ่ของมันคงนอนหลับไปแล้ว เสี่ยวหลงย่องเงียบเข้าไปในห้องแล้วตะกายขึ้นไปนอนเคียงข้างเสวี่ยหมิงบนเตียง
“เจ้ากลับมาแล้วรึ”
ไม่คาดว่าเสวี่ยหมิงยังคงไม่หลับ มันรีบปั้นยิ้มเอาอกเอาใจพี่ใหญ่ของมัน
“พี่ใหญ่ยังไม่หลับอีกหรือให้ข้านวดให้ท่านดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง บอกตามตรงตอนนี้ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาทั้งๆที่พบญาติมิตรของบิดาเจ้าแล้ว”
เสวี่ยหมิงผลิกตัวหันมาพูดคุยด้วย
“เหตุใดพี่ใหญ่ถึงคิดเช่นนั้นเล่า”
“ก็ปกติมิใช่หรือ การได้อยู่กับมิตรสหายของบิดาย่อมอุ่นใจกว่าเดินทางไปไกลกับคนแปลกหน้าอย่างข้า หรือไม่จริง”
เสวี่ยหมิงเกลียดตัวเองนักเหตุใดคำพูดคำจาของเขาถึงคล้ายกับตัดพ้อได้ถึงเพียงนี้ เพราะว่ารู้สึกละอายใจใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำโชคดีที่อยู่ในความมืด ความเสียหน้านี้ทำให้เขาต้องชะงักงันไป
“ข้าจะนอนล่ะ” เสี่ยวหลงคล้ายไม่สนใจคำพูดของเขามันลดตัวลงนอนข้างๆ เสวี่ยหมิงนิ่งงันอยู่นานชักสงสัยว่าตอนนี้เสี่ยวหลงรู้สึกอย่างไรและตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
“พี่ใหญ่คงรำคาญข้ามากสินะ ถึงได้คิดผลักไสข้า” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เสี่ยวหลงก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา การถูกจ้องมาด้วยสายตาเจ็บปวดยอมรับว่ามันทำให้จิตใจเขาไม่สงบ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่คิดว่าการที่เจ้าอยู่กับลุงของเจ้าน่าจะดีกับเจ้าที่สุด”
“เขาไม่ใช่ญาติข้านะพี่ใหญ่” เสี่ยวหลงเถียงด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“จริงๆท่านเองก็ไม่ใช่ญาติของข้าเช่นกัน ท่านคงรู้สึกรำคาญที่ต้องดูแลข้าสินะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่” เสวี่ยหมิงนึกอยากถอนหายใจแต่ก็กลั้นใจเสียไม่ได้ทำเช่นนั้น ตอนนี้พวกเขาสองคนต่างไรคำพูดใดใดแก่กัน บรรยากาศอึดอัดลอยคว้างอยู่รอบตัว
“ท่านคงแปลกใจหากข้าจะบอกว่าข้าชอบท่านมาก” เสี่ยวหลงเป็นคนเปิดปากพูดก่อน
“ถึงแม้เราจะเดินทางด้วยกันแค่เพียงเดือนเดียวก็ตาม แต่ข้ากลับรู้สึกว่าท่านเอาใจใส่และดีต่อข้ายิ่ง”
เสวี่ยหมิงรอฟังว่าเด็กน้อยนี่ตั้งใจจะกล่าวอะไรต่อไป
“จริงๆแล้วตอนแรก ข้าก็ไม่คิดว่าจะชอบท่านมากถึงเพียงนี้หรอก แต่พอนานๆไปข้ากลับรู้สึกว่าการได้อยู่กับท่านทำให้ข้าสบายใจ”
นี่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในใจจริงแท้ของมัน มันตอนแรกแค่คิดเพียงเข้ามาสอดแนมเรื่องอาจารย์จากเสวี่ยหมิง การที่รูปร่างหน้าตาพี่ใหญ่ของมันถูกใจมันยิ่งนับเป็นผลพลอยได้ ทว่าที่ผ่านมาการได้ชิดใกล้ผัวพันกันเช่นนี้มันไม่ปฏิเสธว่าบ่อยครั้งมันคันที่หัวใจจนอยากจะกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือท่วงท่าอันเป็นธรรมชาติของพี่ใหญ่ล้วนน่าสนใจและเข้ามาประทับอยู่ภายในใจของมันจนบัดนี้ยากที่จะบอกได้ว่ามันเข้ามาใกล้ชิดเพียงเพราะเป็นเรื่องงานแค่อย่างเดียว
“ข้าชอบท่านอยากจะเดินทางตามหาท่านพ่อไปพร้อมท่านก็ไม่ได้หรือ”
เสี่ยวหลงจงใจใช้สายตาเว้าวอนช้อนมองพี่ใหญ่ของมันในความมืด เสวี่ยหมิงไม่ทราบว่าตนเองเป็นอะไรไปแล้ว หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะไปชั้วเสี้ยว ตึกตักๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นนี้เกรงว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรไปแล้ว
“ท่านอย่าไล่ข้าไปเลยนะพี่ใหญ่ ข้าสัญญาว่าจะทำตัวดีดี ไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน”
“ตามใจเจ้าสิ”
เสวี่ยหมิงยอมรับว่าไม่อาจทนมองจ้องตากับเสี่ยวหลงไปได้มากกว่านี้ เด็กหนุ่มพลิกตัวนอนหันหลังให้มัน เสี่ยวหลงไม่มีที่ท่าว่าจะกล่าวอะไรอีก ลมหายใจของเด็กน้อยช่างราบเรียบ คาดว่าคงจะพึงพอใจต่อคำอนุญาตของเขากระมัง
“ขอบคุณนะพี่ใหญ่”
เสี่ยวหลงกล่าวขอบใจ มันยิ้มออกมา มันรู้ตัวว่ามันตอนนี้กำลังยิ้ม ไม่คิดเลยจริงๆว่ามันะจะทั้งโล่งใจและสบายใจถึงเพียงนี้ เพียงแค่เสวี่ยหมิงไม่ขับไล่มันไป มันถึงกับยิ้มกว้างด้วยความดีใจได้ถึงเพียงนี้เชียว
ช่างอันตรายนักนี่มันปล่อยให้ตัวเองถลำลึกลงไปในหลุมรักต่อศิษย์น้องของมันเสียแล้วรึ ทว่าเมื่อมองดูแผ่นหลังของเสวี่ยหมิงมันกลับนึกอย่างโอบกอดขึ้นมา แล้วมันก็ทำอย่างใจนึกสวมรัดพี่ใหญ่ของมันเอาไว้แน่น มันได้ยินเสียงถอนหายใจของพี่ใหญ่หนึ่งเฮือก
เสี่ยวหลงเกรงว่าพี่ใหญ่จะสลัดมันออก ทว่าไม่เป็นเช่นนั้น เสวี่ยหมิงหลับไปในเวลาไม่นาน พี่ใหญ่ปล่อยให้มันกอดรัดดังเช่นคืนก่อนๆที่ผ่านมา เสี่ยวหลงดีใจเหลือเกินที่ความสัมพันธ์ของมันกับพี่ใหญ่ยังคงแน่นแฟ้นดีอยู่
คอนใหม่มาแล้ว รู้สึกว่ามีไรตกหล่นไปหรือเปล่าน้า กำลังคิดว่าถ้ามีอะไรตกหล่นไปอาจมีกลับมาแก้55555
เม้นเป็นกำลังใจด้วยน้า