“บูม เอมว่าเราเลิกกันเถอะ”อะไรนะ
“ทำไมล่ะเอม เราคบกันมาตั้งหลายเดือนนะ”
“เพราะว่าที่ผ่านมาเอม ต้องทนกับการโดนคนอื่นดูถูกว่าเอมมีแฟน เอิ่ม...จนกว่า”
“จนกว่าแล้วไงในเมื่อผมก็พยายามสร้างฐานะอยู่นะ”
“ไม่รู้ล่ะ เอมว่าเราเลิกกันนะดีแล้ว ทางใครทางมัน บายนะ”
“เอม ได้แล้วคุณจะเสียใจที่คิดทิ้งผมไปวันนี้” เธอพลาดเองนะ แต่ก็ดีแล้วในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ ผมถือว่าผมโชคดีที่ได้เจอเรื่องนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ผมกำลังจะทำคงน่าผิดหวัง
เกริ่นมานานลืมบอกไป สวัสดีครับผมนายบูมที่ใครๆต่างเรียกกันเพราะมันเป็นชื่อเล่นที่ผมคิดว่าเพราะมาก กับผมผู้ชายที่คิดว่าตัวเองหล่อมาก ฮ่าๆๆ ผมเป็นคนจนครับต้องหางานทำระหว่างเรียนแถมดันมีแฟนที่เป็นถึงดาวคณะ ยังไงเธอก็ทนผมไม่ได้ผมคิดไว้แล้ว ยากนะครับที่จะหาคนดีที่รักกันจริงสักคน ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนโปรด นี่ก็ได้เวลาทำงานอีกแล้ว เหนื่อยนะแต่ก็ต้องทำ ก็คนมันจนหนิครับ
“บูม พี่ขอโทษนะ”อยู่ดีๆพี่เจ้าของร้านก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาผม อะไรอีกล่ะ ผมยังซวยไม่พอหรอ
“มีอะไรรึเปล่าครับ พี่ปู”
“คือว่า...เฮ้อ ตอนนี้ร้านพี่กำลังเกิดปัญหาด้านการเงินพี่เลยจะต้องปรับลดพนักงานออก แล้วพี่เห็นว่าเราควรตัดพนักงานพาร์ทไทม์ออกไปก่อนนะ”
“ครับ”
“พี่ขอโทษนะ นี่เงินส่วนที่ต้องจ่าย ขอบใจนะที่เคยร่วมงานกันแล้วก็ขอโทษนะบูม”
“ไม่เป็นไรครับพี่ปู บูมเข้าใจ” ปากก็บอกเข้าใจแต่ใจผมสิ่ เฮ้อตกงานแล้วเรา หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จผมก็เดินออกมานอกร้านเดินไปตามท้องถนนที่ว่างเปล่า เดินไปเรื่อยๆจนตอนนี้ผมเดินมาหยุดที่สวนสาธารณะที่เคยผ่านเวลามาทำงาน ผมเดินไปนั่งที่ชิงช้าที่เคยเห็น หมดแล้ว สภาพของผมในตอนนี้ ไหนแฟนทิ้งไหนตกงาน แล้วผมจะอยู่ต่อยังไงดี ผมรู้สึกล้าจนแทบจะไม่เหลือแรงทำอะไรอีกแล้ว อยู่ดีๆฝนก็ตกลงมา ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นไม่สนใจสายฝนที่ตกกระทบร่างกาย หนาวนะแต่ไม่มีแรงที่จะเดินไปหาที่หลบฝนเหมือนคนอื่นๆ ผมเห็นชายชุดดำหลายคนเดินลงมาจากรถตู้สีดำคันหนึ่ง ก่อนที่จะมีคนหนึ่งชี้มาทางผม เท่าที่ผมจำได้ผมไม่เคยติดหนี้ใครนะสงสัยอาจจะเป็นคนที่หลบฝนแถวนี้ก็ได้ ผ่านไปสักพักชายพวกนั้นก็เดินมาหยุดที่ตรงหน้าผม คงจะมาถามทางสินะ
“ขอโทษนะครับคุณหนู ช่วยไปกับเราได้ไหมครับ”
“คุณหมายถึงใคร”
“คุณนั่นแหละครับ”
“ผมว่าเราไม่รู้จักกันนะ”
“ขอร้องนะครับ ช่วยไปกับเราดีๆได้ไหม พวกผมไม่อยากใช้กำลังกับคุณ”ผมลุกขึ้นยืนและกวาดสายตามองชายพวกนั้นสักประมาณ5-6คนได้ หนี คำนี้วิ่งเข้ามาในสมองผม ร่างกายผมทำตามคำสั่งของสมองทันที แต่ก็นะ ผู้ชายตัวเล็กสูง 170 อย่างผมแถมยังโดนมรสุมชีวิตด้วยอีกย่อมหนีไม่พ้นชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างหลังแน่นอน
“ปล่อยผมนะ ผมไม่เคยมีเรื่องกับพวกคุณ”ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากชายชุดดำพวกนั้น
“ในเมื่อคุณกับไม่รู้เรื่องคงต้องบังคับไป”ชายพวกนั้นพยายามลากผมไปที่รถ
“ผมบอกให้ปล่อยไง ปล่อยผมนะ อึก” อยู่ดีๆความปวดหัวก็แล่นเข้ามา ผมรู้ดีว่าผมแพ้ฝนแต่เพราะท้อแท้มากเกินไปผมเลยไม่ลุกไปไหนนั่งอยู่อย่างนั้น ผมเห็นพวกนั้นทำหน้าตกใจและรีบอุ้มผมขึ้นรถก่อนที่ผมจะไม่รับรู้อะไรอีก
...
“ไหนหมอบอกว่าไม่เป็นไรไง นี่หลายวันแล้วนะ วิน”
“ก็นั่งอยู่ด้วยกัน แล้วจะไปรู้หรอ ไวน์”
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ กว่าจะได้มาอยู่ด้วยกันดันมานอนนิ่งแบนี้อีก”
“เงียบเถอะ บูมนอนอยู่นะ”
“แต่...” ผมได้ยินเสียงคนคุยกันดังขึ้นใกล้ๆ ผมลืมตามองขึ้นมาเจอเพดานสีขาวกลิ่นฉุนที่คุ้นเคย โรงพยาบาลหรอ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นนะ
“น้ำ” ทำไมเสียงของผมช่างแหบแห้งไร้น้ำอย่างนั้นนะ เสียงรอบข้างเงียบลงผมเลยพูดอีกครั้ง “น้ำ”
“บูมฟื้นแล้ว วินนายเรียกหมอเร็ว อ่ะนี่น้ำ”ผมรับแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่จะพยายามลุกขึ้นโดยมีคนข้างๆช่วยประคอง ไม่นานบุรุษชุดสีกาวน์ที่เรียกว่าหมอก็เดินเข้ามาถามอาการตามปกติก่อนที่จะออกไป ตอนนี้เลยเหลือเพียงแค่ผมกับชายแปลกหน้าที่หน้าตาดีสองคน จะว่าไปสองคนนี้หน้าเหมือนกันนะ ตอนนี้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบผมมองไปรอบๆห้องเพื่อสังเกตสิ่งรอบตัวก่อนที่จะหันกลับมามองชายแปลกหน้าที่ตอนนี้ทั้งคู่กำลังมองมาที่ผมเหมือนกัน
“เออ...คือ”ชายคนที่มีแววตาเจ้าชู้พยายามพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบ
“พวกคุณเป็นฝาแฝดกันหรอ”ผมถามออกไปตามที่คิด ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนที่จะอมยิ้มนิดๆก่อนที่จะตอบผม
“ใช่ ทำไมหรอ” ฟังยังไงก็เหมือนคนที่ตอบกำลังขำกับคำถามของผม
“ก็ถามเพื่อความแน่ใจ แล้วคุณจะขำทำไม”คนที่ขำหยุดขำก่อนที่จะมองมาที่ผมนิ่งๆเหมือนแปลกใจมาก
“นายน่าสนใจมาก รู้ได้ไงว่าวินกำลังขำ”
“ตา กับน้ำเสียง”
“หึๆ”คราวนี้ทั้งคู่หัวเราะในรำคอพร้อมกัน อะไรกันคนพวกนี้ จะว่าไปหมอบอกว่าถามรู้สึกดีแล้วก็กลับได้เลยสินะ
“นายจะไปไหน”เสียงของคนที่ดูเจ้าชู้ถามผม
“กลับบ้าน”
“ใครให้นายกลับ”
“หมอ”
“แต่พวกเราไม่ให้กลับ”
“เหตุผล”
“ไม่มี”
“พวกคุณ...ฮึ่ย”หงุดหงิด จะกลับก็ไม่ให้กลับ จะบอกอะไรก็ไม่บอกเอาแต่นั่งมองหน้า หน้าผมเหมือนญาติฝ่ายไหนของคุณรึไง “ผมมีหลายคำถามจะถามพวกคุณ”
“ว่ามา”ทั้งคู่ลากเก้าอี้คนเฝ้ามานั่งข้างๆผมทั้งสองข้าง
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“นายไม่สบายจนเป็นลม”
“อืม พวกคุณเป็นใคร”
“ฉันก่อนนะ ฉันชื่อไวน์เป็นแฝดน้อง”นายคนที่ดูเจ้าชู้บอกก่อนที่จะชี้ไปอีกคน
“ฉันชื่อวิน”
“อืม แต่เท่าที่จำได้ ผมว่าเราไม่เคยรู้จักกันนะครับ”
“ใช่นายไม่รู้จักพวกฉัน แต่ฉันรู้จักนายดี”
“ยังไง”
“นายเรียนปี3บริหาร ทำงานที่ร้านของคนชื่อปูมีแฟนชื่อเอม และตอนนี้นายโดนเธอทิ้งเพราะนายจนกว่าและนายก็โนไล่ออกจากงาน” อึกใช้สินะผมโดนทิ้งแถมโดนไล่ออก
“แสนรู้ดีนะคุณไวน์”
“ฉันว่ามันแปลกๆนะ คำว่าแสนรู้อ่ะ”
“เค้าว่านายเป็นหมาไวน์”
“หึ ปากดีอย่างรู้จังว่าจะดีขนาดไหน”
“อะ...อะไร”อยู่ดีๆหมอนั่นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว อีกไม่กี่เซนหน้าของหมอนั่นก็จะชนผมแล้ว แต่อยู่ดีๆก็มีมือปริศนามาขวางก่อนที่จะดันหน้าหมอนั่นออกไป ผมรีบหันไปมองเจ้าของมือก่อนจะรู้ว่าเป็นนายคนที่ชื่อวิน
“ทำเป็นห้าม ที่จริงนายก็อยากทำเหมือนกันใช่ไหม”ผมรีบหันกลับไปมองหน้านายวินก่อนจะอึ้งกับคำตอบ คนแปลกหน้า2คนนี้ไม่น่าไว้ใจเลย
“ฉันรู้จักเวลา” ผมเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้สิ่
“เออ...คือ ผมนอนมานานรึยัง”
“3วัน”
“ห้ะ3วัน ตายแน่ ผมต้องรีบกลับบ้านแล้ว ป่านนี้สุดที่รักจะเป็นยังไงนะ”ผมลงจากเตียงคนไข้ก่อนที่จะหยิบชุดเดิมก่อนเข้าโรงบาลมาเปลี่ยนในห้องน้ำแล้วรีบออกจากห้องทันที
“เดี่ยวพวกเราไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับแค่พามาก็มากเกิน ผมไม่รบกวนหรอกครับ”ใช่ที่ไหน ถ้าขืนให้ไปส่งผมก็หนีไม่ได้สิ่”
“งั้นตามใจ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่ายังไงนายก็หนีไม่พ้น”นายไวน์พูดก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปตามด้วยนายวินที่มองมาที่ผม
“อะไรของเจ้าพวกนั้น”หลังจากนั้นผมก็กลับมาที่บ้านซึ่งพ่อกับแม่ผมซื้อไว้ให้ก่อนที่ท่านจะไปในที่ที่ไกลแสนไกล
หลังจากนั้นก็ผ่านมาหลายวัน ตอนนี้ผมกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันพากันมากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารคณะ จะว่าไปนานแล้วนะที่ไม่ได้ไหนมาไหนกับเจ้าพวกนี้
“คิดไงมากินข้าวกับพวกกูว่ะ ปกติต้องวิ่งตามยายเอมไม่ใช่หรอยะ”จิมมี่กระเทยร่างใหญ่แต่ใจงามทักผมหลังจากที่เดินตามพวกมันมาที่โรงอาหารด้วย
“กูเลิกกันแล้วว่ะ”ผมตอบหลังจากที่มันแซวตอนนี้เพื่อนๆที่เดินมาด้วยกันหยุดแล้วหันมามองที่ผมทั้งกลุ่ม
“เฮ้ย กูไม่รู้กูขอโทษ”ไอ้จิมมี่ทำท่าจะเข้ามากอดผมจนผมต้องหนีไปยืนหลบหลังไอ้เม่นหน้าเถื่อนแทน
“ไม่เป็นไรกูทำใจได้นานแล้ว”
“แล้วมึงจะเอาไง”
“กูขี้เกียจสนใจเรื่องแบบนี้แล้วว่ะ ไม่มีคู่ก็ไม่ตาย”
“งั้นตอนเย็นมึงก็ไปทำงานสบายเลยดิ่ไม่ต้องไปคอยส่งยัยเอมอ่ะ”
“เฮ้อ กูตกงานด้วยว่ะ”หลินสาวสวยคนเดียวในกลุ่มหันมามองหน้าผมก่อนที่จะตบบ่าปลอบใจ
“ช่วงนี้ยืมเราก่อนไหม เรามีนะ”
“ขอบใจหลินแล้วก็ขอโทษพวกมึงนะที่กูโกหกพวกมึงมาตลอด ไม่ใช่กูไม่ไว้ใจพวกมึงนะ แต่กูเข็ดจากตอนเด็กๆ กูเลยต้องทำอย่างนี้”
“พวกกูไม่เข้าใจ”
“คือ...กูไม่ได้จน และพ่อแม่กูก็ไปทำงานที่บริษัทพ่อกูที่จีน กูแค่อยากได้คนที่จริงใจกับกูและกูก็ได้เจอเพื่อนแบพวกมึง กูขอโทษนะจะโกรธกูก็ได้แต่อย่าเลิกเป็นเพื่อนกับกูนะ”ผมหันไปมองหน้าพวกมัน แต่ละคนอยู่ในอาการนิ่ง จนใจผมเสีย
“เฮ้อ กูก็นึกว่าเรื่องอะไร”
“เออ...”กลายเป็นผมที่นั่งงงแทนพวกมัน ทั้ง3คนหันมายิ้มให้ผม
“พวกกูขอโทษนะที่ไม่ได้บอกมึงพอดีพวกกูตงิดๆนามสกุลมึงก็เลยไปตามหาแต่ว่าพวกกูเจอว่ามันเป็นนามสกุลของเจ้าของสาธารณูปโภคของจีน ทีแรกพวกกูก็ยังไม่เชื่อจนเลิกสนใจจนตอนที่มึงพูดพวกกูเลยนึกอีกครั้ง มึงบอกพวกกูมาเองดีกว่า พวกกูงง”
“พ่อกูเป็นเจ้าของสาธารณูปโภครายใหญ่ของจีน ส่วนแม่กูเป็นเจ้าของบริษัทค้าเพชรบ้านเรา บ้านที่กูอยู่ตอนนี้เป็นบ้านที่พ่อกับแม่ซื้อให้กูอยู่เวลากูเรียน ส่วนบ้านกูจริงๆอยู่อีกที่เอาไว้วันไหนว่างๆจะพาไปนะ จะว่าไปไปทำรายงานกันที่บ้านใหญ่ก็ได้เสาร์นี้พวกมึงไปค้างกันนะ”
“มึงแมร่ง งั้นก็รวยเวอร์อะดิ่”จิมมี่ทำหน้าอึ้งแบบที่ตลกมาก
“ช่างมันเถอะ จะรวยจะจนนายก็เพื่อนเราเหมือนเดินเนอะเม่น”
“ใช่ไอ้เตี้ย”
“ขอบใจพวกมึงนะขอบใจนะหลิน”หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งคุยเล่นไปเรื่อยๆเพราะวันนี้พวกเราเรียนเสร็จตั้งแต่คาบเช้าแล้วแต่เพราะวันนี้ว่างเราเลยมานั่งกินขนมกันที่โรงอาหารกัน คุยไปคุยมาพวกมันก็พูดถึงพี่ปีสี่วิดวะคณะข้างๆที่ผมไม่เคยจะสนใจเพราะตั้งแต่เรียนมาผมก็อยู่แต่ในคณะของตัวเองกิจกรรมแทบจะไม่เคยทำแต่ใช้เส้นเลยผ่านมาได้ ก็บอกแล้วแม่ผมใหญ่ ฮ่าๆๆ
“แกรู้ป่าว ฉันได้ข่าวมาว่าวันนี้กลุ่มพวกเทพบุตรมาเรียนด้วยนะ นานๆจะเจอ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เจอรึเปล่า”
“สนใจทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์”
“แกจะไปรู้อะไรไอ้บูม อาหารตาเลยนะนั่น”
“ก็คนเหมือนกัน”
“จ้า พ่อคนดูดี”
“แน่นอนฮ่าๆๆ”อยู่ดีๆเสียงในโรงอาหารที่เคยดังกลับเงียบลง มองไปที่ยัยจิมมี่มันกำลังอ้าปากค้างส่วนคนอื่นๆก็นิ่งมองไปทางข้างหลังซึ่งเป็นทางเข้าโรงอาหารทั้งหมด
“เฮ้ย จิมมี่ จิม นายประจิม”
“ไอ้บูม ใครใช้ให้มึงเรียกชื่อจริงกู”
“ก็กูเรียกมึงแล้วมึงไม่หันเอง เป็นห่ารัยว่ะ”
“ก็พวกเทพบุตรนะสิ่”
“ทำไมว่ะ”
“เค้ามาที่นี่ กำลังเดินมาทางนี้ด้วย”
“แล้วไงว่ะ เดินมาได้ก็คนเหมือนกัน สนใจอะไรนักหนา ใช่ไหมเม่น เฮ้ยเม่น”
“อะ...อะไร”
“มึงเป็นไรอีกคนว่ะ มึงสนใจผู้ชายหรอ”
“บ้า กูมองเพราะพี่เค้าเท่ต่างหาก คนห่าอะไรเท่กันชิบ”
“เป็นเอามากเพื่อนกู เออดีกูไปหาน้ำกินเองก็ได้ เชิญชื่นชมกันให้พอเหอะ”แล้วผมก็ลุกเดินตรงไปทางร้านน้ำที่ตอนนี้ไม่มีคน ผมไม่ได้หันไปมองทางนั่นหรอกนะเดินออกมาเฉยๆ กินน้ำมะนาวแล้วกัน
“ป้าครับ น้ำมะนาวแก้วนึงฮะ”ป้าแกมักจะยิ้มแบบนี้เสมอ ป้าแกทำน้ำอร่อยนะนิสัยก็ดี ผมจ่ายเงินเสร็จกำลังเดินกลับไปที่โต๊ะกลายเป็นว่าตอนนี้ที่โต๊ะผมมีคนที่หน้าคุ้นๆยืนอยู่สองคนตรงที่นั่งผมกับผู้ชายอีก4คนที่น่าจะมาด้วยกัน จะว่าไปเจ้าพวกนี้ก็หน้าตาดี รึว่าจะไปไอ้พวกเทพบุตรอะไรนั่นสงสัยมีธุระกับเจ้าพวกนั้นมั้ง ผมเลยคิดว่าไปซื้อขนมอีกตั้งหลายช่วงโมงกว่าจะกลับ ผมหอบหิ้วพวกขาไก่กับขนมอื่นๆที่ซื้อมาเดินไปทางโต๊ะ เจ้าพวกนั้นคุยอะไรกันนานแล้วนะขนาดผมไปเดินเลือกของตั้งนานยังไม่ยอมไปเลย
“คิดถึงจัง”พอผมวางขนมยังไม่ทันที่จะหาเก้าอี้ตัวใหม่มานั่งก็มีคนพูดขึ้นมาก่อน สงสัยบอกพวกนั้นมั้ง
“ไม่เจอกันไม่กี่วัน ลืมกันแล้ว เศร้าจัง วินนายช่วยพูดหน่อยสิ่” วินหรอหน้าคุ้นๆชื่อยังคุ้นอีก
“พวกคุณมีธุระอะไรกับเพื่อนผมรึเปล่าถ้าสำคัญผมไปรอที่อื่นก็ได้”ผมบอกออกไปก่อนที่จะลุกขึ้นแต่กลับมีเสียงดังขัดก่อน
“คิดจะหนีอีกแล้วหรอ”
“หนีอะไรผมไม่เข้าใจ”
“ก็นายไง คิดจะเดินหนีกันอีกแล้วนะ”
“ผมหนียังไง”
“ครั้งก่อนก็ไม่ยอมให้ไปส่งกลัวจะรู้บ้านละสิ่ แต่บอกแล้วไงพวกฉันรู้เรื่องของนาย”
“ไปส่ง เดี๋ยวก่อนนะ”ผมนึกย้อนไปเมื่อหลายวันที่ผ่านมา “อ๋อ คนแปลกหน้าที่โรงบาลสินะ”
“ทำไมต้องคนแปลกหน้าด้วย อย่างนี้ต้องทำโทษที่ลืมฉัน”นายไวน์ยื่นหน้าเข้ามาเหมือนครั้งนั้นแต่ก็เหมือนเดิมมีมือมาขวางอีก
“อีกแล้วนะวิน นายจะห้ามทำไม”
“เวลา กับสถานที่”นายวินบอกก่อนที่จะมองไปรอบๆ
“แล้วยังไง จะได้ให้คนอื่นรู้ไงว่าคนนี้เราจองแล้ว”
“เฮ้ย”เสียงเพื่อนผมอุทานออกมาพร้อมกันแล้วมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ
“อย่ามองกูด้วยสายตาแบบนั้น กูก็ไม่เข้าใจ”ผมรีบบอกพวกมันทันทีก่อนจะถูกลากไปนั่งโต๊ะข้างๆที่ตอนนี้มีเพื่อนของเจ้าพวกแปลกหน้านั่งอยู่ โต๊ะที่นั่งอยู่เป็นโต๊ะยาวนั่งได้ฝั่งล่ะ4คนโดยฝั่งตรงข้ามเพื่อนของเจ้าพวกคนแปลกหน้านั่งอยู่ก่อนแล้วฝั่งนี้เลยมีผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าแฝดแปลกหน้า เพื่อนของเจ้าพวกนี้ต่างพากันมองมาที่ผม เอิ่ม รู้สึกเกร็งแปลกๆ
ผมหันไปมองโต๊ะเก่าผมที่อยู่ข้างๆเจ้าพวกนั้นยังคงนั่งมองผมเหมือนเดิมผมเลยส่ายหน้าแทนคำตอบ ระหว่างที่ผมกำลังกดดันอยู่ดีๆโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมา ตกใจหมดผมรีบรับสายเมื่อรู้ว่าใครโทรมา
“ฮะ”
/กำลังเรียนอยู่รึเปล่าลูก/
“เลิกแล้วฮะ คิดถึงจังอยากกอด”
/โตแล้วนะจะมากอดทำไม แล้วแฟนเราล่ะ/
“ผมเลิกกับเอมแล้วฮะ”
/ทำไมล่ะ/
“เธอบอกว่าผมจนเกินไป”
/ใช้แผนเดินอีกล่ะสิ่ แม่ว่าเลิกเถอะกลับมาอยู่แบบเดิมดีกว่า/
“ตอนนี้ผมเลิกแผนแล้วฮะ ตามจริงผมคิดจะบอกเธอ แต่เธอกลับมาเลิกกับผมก่อน จะว่าไปก็ดีเจอแบบนี้ผมเลยอยากหยุด”
/เอาเถอะยังไงก็โทรหาแม่บ้างนะ พ่อเข้าประชุมอยู่แม่ว่าง ยังไงโทรหาพ่อเค้าด้วยล่ะ/
“ฮะ รักแม่กับพ่อนะ” หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณตัดสายผมก็เดินกลับมาที่โต๊ะเก่าของผมโดยที่มีสายตาหลายคู่ส่งมาที่ผม
“พวกมึง ศุกร์นี่ว่างป่ะ”
“ก็ว่างทำไมว่ะ”
“ไปกินเหล้าบ้านกูกันแล้ววันเสาร์ก็ทำรายงานต่อเลยอาทิตย์ค่อยกลับ ส่วนหลินก็มาได้นะบ้านเรามีหลายห้อง”
“ขอบใจนะ งั้นศุกร์นี้ใครเป็นเจ้ามือ”
“ก็ต้องเป็นไอ้บูมสิ่ มันอยากชวน”
“พูดเหมือนกูรวย”
“อย่าให้กูต้องด่านะ”
“ครับนายท่าน ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว”พวกผมนั่งกินขนมแล้วก็คุยเล่นไปเรื่อยๆจนผ่านไปหลายนาทีกลุ่มข้างๆก็ยังไม่ยอมไปไหน
“กูรู้สึกเกร็งๆไงก็ไม่รู้ว่ะ”
“ถ้ากูเป็นมึงนะเตี้ย กูไปถามความต้องการเค้าดีกว่า”เม่นเสนอทางออกให้กับผม จะว่าไปเอางั่นก็ได้ ผมเลยหันไปมองหน้าแฝดแปลกหน้าก่อนที่จะเดินไปยืนใกล้ๆสองคนนั้น
“คุณมีธุระอะไรกับผมรึเปล่า”
“เรื่องที่โรงบาล...”
“เรื่องค่ารักษาหรอ เดี๋ยวผมจ่ายคืนให้ เท่าไหร่ครับ”
“ไม่ใช่ ฉันจะบอกว่าที่โรงบาลเรายังคุยกันไม่จบ”
“อ่าว แล้วคุณมีเรื่องอะไรต้องคุยกับผมล่ะครับ”สองคนนั่นฉุดแขนผมนั่งลงตรงกลางระหว่างทั้งคู่ก่อนที่จะล็อคแขนผมไว้ “นี่มันอะไรกัน”
“ใจเย็นก่อนเรากันเธอหนี”
“ผมจะหนีไปไหน”
“เราตามหานายมานานแล้วเราก็ติดตามนานมาสักพักเพราะตอนนั้นนายมีแฟนอยู่”นายไวน์เริ่มพูดก่อนที่ผมจะดิ้น
“แล้วพอนายเลิกกับแฟนเราเลยคิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มทำตามที่เราต้องการ”คราวนี้เป็นนายวินพูดแทน
“ผมไม่เข้าใจ เอาตรงๆเลยได้ไหม”
“เราสองคนอยากได้นายมาเป็นแฟน”
“ก็แค่เป็นแฟน เรื่องแค่นี้”นึกว่าเรื่องอะไรก็แค่อยากให้เราเป็นแฟน
แฟน
แฟน
แฟน
แฟน
“ห้ะ จะบ้าหรอผมเป็นผู้ชายนะ พวกคุณเป็นเกย์หรอ”
“ไม่พวกเราไม่ได้เป็นเราไม่ชอบผู้ชาย แต่เราชอบนายคนเดียว”
“ชอบผม”ผมอยากตาย หลังจากนั้นผมก็ช็อคไปหลายนาที
“บูม นายเป็นไร”
“โอเค ผมยังไม่ตาย”ผมสะลัดแขนทั้งสองคนทิ้งก่อนที่จะวิ่งมาหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งหนีออกจากโรงอาหาร บ้าเจ้าพวกนั้นบ้าไปแล้วดูท่าผมมีความเสี่ยงต้องเสียเอกราชแน่ อย่านี้ต้องหนี
หมับ!!ร่างของผมเสไปข้างหลังทันทีที่วิ่งลงจากโรงอาหาร ก่อนที่จะปะทะกับอกแกร่งของคนที่ดึง โอ้ยเจ็บจมูกนะถ้าดั้งหักใครจะรับผิดชอบ
“ก็บอกแล้วไงว่าหนีไม่พ้น คุยกันดีๆไม่ได้งั้นไปคุยกันต่อที่ห้องฉันล่ะกัน”
“ไม่เอา ปล่อยนะ ปล่อยดิ่”ผมตะโกนได้ไม่นานรถตู้สีดำตุ้นตาก็จอดลงที่หน้าผมก่อนที่ผมจะพูดอะไรชายชุดดำกลุ่มเดิมก็เดินเข้ามาลากผมแทนและจับผมยัดเข้าไปตามนายวินที่ตอนนี้นั่งรอผมอยู่หลังจากนั้นนายไวน์ก็เข้ามานั่งกั้นผมกับประตู หมดแล้วทางรอดของผม
“อยู่นิ่งๆนะ ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน”
“พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ”ผมพยายามดิ้นหนี นายวินเลยหันมามองหน้าผมและ “อื้อ”ใช่ครับอย่างที่คุณคิด มันจูบผม ผมโดนผู้ชายจูบ จูบแรกของผมด้วยหลังจากที่นายนั่นพอใจก็ถอนริมฝีปากออกไปผมที่ยังไม่ทันได้โวยวายก็ถูกอีกคนจับหน้าให้หันไปจูบอีก นี่ผมโดนผู้ชายจูบแถมสองคนด้วยหมดกันชีวิตผมจนผมเริ่มหมดอากาศเลยพยายามดันตัวนายนั่นออกเมื่อทำสำเร็จผมก็รีบโกยอากาศเข้าปอดเหมือนคนจมน้ำที่ขาดอากาศนานเกินไป สมองผมเบลอไปชั่วขณะ จะด่าก็ด่าไม่ออก
“ใบ้กินเลยหรอ”นายวินแน่นอนแบบนี้ ผมหันไปมองหน้าทั้งสองคนก่อนที่จะได้พูดอะไรสติผมก็วูบไปทันที
ผมตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนสีขาว ผมมองไปรอบที่นี่น่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าพวกนั้นเพราะมีรูปวางอยู่บนหัวเตียงหลายรูป ผมรีบสำรวจร่างกายตัวเองทันทีแล้วก็โล่งอกที่ทุกอย่างยังปลอดภัยเหมือนเดิม ผมเดินลงจากเตียงนอนขนาดใหญ่เปิดประตูออกไปเจอห้องรับแขกขนาดกลางที่ตอนนี้มีชายแปลกหน้าทั้งสองนั่งหน้าเครียดกันอยู่ ผมเดินผ่านไปยังห้องครัวเพื่อหาน้ำกิน เจ้าพวกนั้นก็ยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิม ทั้งคู่เหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ผมกินน้ำเสร็จก็เดินกลับมาทั้งคู่ก็ยังคงนั่งไม่ขยับผมเลยเดินไปนั่งตรงข้างทั้งคู่แต่เหมือนจะยังไม่รู้ตัว
“พวกคุณหลับหรอ”เงียบไร้เสียงตอบกลับ
“วิน ไวน์”ก็ยังคงเงียบ ผมเลยเดินไปตบหน้าทั้งสองคนเบาๆเจ้าพวกนั้นสะดุ้งจนผมตกใจตาม
“เป็นอะไรกัน”
“ปะ...เปล่า”ไวน์ตอบก่อนจะหลบสายตาของผม ผมเลยหันไปทางวินแทน
หมอนั่นส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะก้มหน้าหนี เอาเข้าไปไม่รู้เรื่องกันพอดี
“งั้นผมกลับ”
“เดี๋ยว/อย่าไปนะ”ทั้งสองตะโกนทันทีที่ผมลุก ตกใจหมด
“งั้นก็พูดมา มีอะไร”
“ก็เรื่องบนรถ”
“บนรถ”บนรถเจ้าพวกนั้น อึก เราโดนมัน... อยู่ๆผมก็รู้สึกร้อนที่หน้า อายหรอ ผมจะอายทำไม ไม่นะ
“คือว่า...”
“หยุด ไม่ต้องพูด ปล่อยมันผ่านไปเถอะ”
“งั้นนายมาเป็นแฟนเรานะ”
“อืมแค่นี้ใช่ไหม งั้นฉัน...”ผมตอบโดนไม่ได้นึกอะไรมาก แต่แล้วก็นึกได้
“แปลว่าตกลงแล้วงั้นขอมัดจำนะ”
“เดี๋ยวผมพูดผิด อย่าเข้ามานะ”เหมือนคำพูดของผมจะหยุดเจ้าพวกนี้ไม่ได้เลย นี่มันอะไรกันชีวิตของผมยังจะมีเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนี้อีกนานไหม แล้ววันพรุ่งนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ผมไม่ขอคิดอะไรทั้งนั้นในเมื่อเข้าขอโอกาสดูแลหัวใจดวงนี้ของผม ผมอาจจะต้องเสี่ยงกับสิ่งรอบกายแต่ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงยอมเสี่ยงกันนะ รึเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมตามหากันแน่
เค้าเรียกมันว่า “ความรัก” ล่ะมั้ง