******************************************************
ตารางชีวิตของผมวนเวียนซ้ำๆไปมาคือ ปั่นโปรเจค ช่วงเย็นปลีกมาซ้อมบูมจนตอนนี้ผมชักชินซะแล้ว จะว่าไปก็สนุกดี ไอ้พวกปีหนึ่งก็กล้ามาตีสนิทกล้าเล่นหัวกับผมมากขึ้น เห็นทีผมต้องเข้มมากกว่านี้แล้วล่ะ เมื่อถึงช่วงพักผมกับเดอะแก๊งปีหนึ่งก็มานั่งกินน้ำกินขนมที่ใต้อาคาร
“หวัดดีพี่ฟิก”ไอ้ขวัญเข้ามาทักก่อนจะหย่อนก้นลงข้างๆผม
“มาทำไม”ผมปาถุงขนมใส่มันแก้เบื่อ
“มาดูน้อง”มันเชิดหน้าตอบ แจกยิ้มให้พวกไอ้เก่ง
“จะว่าไปพี่ฟิกก็ลงทุนเหมือนกันนะเนี่ย”มันเริ่มหาประเด็นมาพูด ผมไม่ค่อยอยากให้คนอื่นรู้ว่าผมมาซ่อมบูมเพราะอะไรเท่าไหร่ พอได้ยินมันพูดผมจึงตบไหล่มันเต็มแรง
“โอ๊ย อะไรเนี่ย”มันมองค้อนผมก่อนจะยิ้มชั่ว
“ถ้าพี่ตินกับพี่ภูรู้ว่าพี่ฟิกทำแบบนี้คงตกใจแน่ๆ”
“เดี๋ยวเถอะ ไอ้ขวัญ”ผมยกขวดน้ำในมือขู่ พวกไอ้เก่งทำหน้าอยากรู้ทันที
“อะไรยังไง พี่ขวัญบอกมาเลย พวกผมเคลียร์กับพี่ฟิกเอง”ไอ้เก่งพูดจบ เดอะแก๊งค์ปีหนึ่งสี่ห้าคนก็เข้ามาล็อคแขนล็อคขาผมทันที ไอ้เก่งคว้าเอวผมไว้มั่น
“เฮ้ย พวกมึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้เลย กูหลุดไปเมื่อไหร่โดนเตะเรียงตัวแน่”จากนั้นผมกับพวกมันก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไอ้เด็กพวกนี้แรงเยอะกันจริงๆ ไอ้ขวัญหัวเราะเสียงดังเมื่อทั้งผมและไอ้เด็กพวกนั้นล้มกลิ้งกองกับพื้น
“พวกเชี่ย”ผมด่าเสียงดังเพราะใครไม่รู้แกล้งดึงกางเกงวอร์มเก่าๆของผม ระหว่างที่กำลังชลมุนนั่นเอง เสียงตวาดก็ดังขึ้น
“เล่นเหี้ยอะไรกัน”ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มทันที เสียงนี้ผมจำได้ดีไม่ใช่ใครนอกจากไอ้ภู
“พวกมึง...ออกไปไกลๆเลย”ผมหอบแฮ่ก พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่คงดูน่าอนาถเพราะไอ้พวกปีหนึ่งก็ดึงดันอยู่ใกล้ๆ ไอ้เก่งโดนผมทับอยู่ด้วย สมน้ำหน้า
“พวกมึงทำอะไรแฟนกู หือ”ไอ้ภูเข้ามาฉุดให้ผมยืนขึ้น ผมรีบดึงกางเกงให้เข้าที่เข้าทาง พวกไอ้เก่งอึ้งไปตามๆกันที่ได้ยินคำว่าแฟน คือไอ้พวกนี้ไม่รู้เรื่องของผมเลยสักติ๊ด ผมมองไอ้คนตรงหน้า มันดูหงุดหงิดและขบขัน ผมชกไหล่มันเต็มแรง ข้อหาหัวเราะผม
“กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้ว”ผมทักเสียงฉุน พยายามเบี่ยงประเด็น ไอ้เก่งมองผมตาปริบๆ
“กูไม่ตายง่ายๆหรอก ยังไม่ได้เห็นหน้ามึงเลยจะตายได้ไง”มันยิ้ม คิดว่าพูดแบบนี้แล้วผมจะเคลิ้มรึไง เหอะ ผมเหลือบมองไอ้ขวัญที่ยิ้มเขินเหมือนเมากัญชา ผมเห็นมันยิ้มแบบนี้ทีไรเป็นต้องหงุดหงิดทุกที
“เดี๋ยวๆพี่ นี่แฟนพี่ฟิกจริงดิ”ไอ้เก่งชี้ไปที่ไอ้ภู
“ของแบบนี้มีปลอมด้วยเหรอ ทำไม มึงมีปัญหารึไง”ไอ้ภูหันไปมองหน้าไอ้เก่งเขม็งจนมันหัวหด
“เปล่าครับพี่” ไอ้ภูมองหน้าไอ้เก่งกับผองเพื่อน พวกมันไม่รอช้ารีบสลายตัวทันควัน
“มึงนี่ก็นะ...ทำน้องกูหัวหดหมด”ผมทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม
“แต่ถ้าเป็นมึง กับกูก็ไม่หดใช่ไหม”มันยิ้มชั่วตามแบบฉบับ ผมถลึงตามอง ไอ้ขวัญได้ยินเข้าพอดีมันก็ไม่กล้าอยู่ต่อรีบก้มหน้าก้มตาหลบฉากออกไป
“มึงพูดถึงอะไร กูใสๆ”ผมทำหน้าซื่อ มันเบ้ปาก พอเห็นสีหน้าสดชื่นแบบนี้ของมันแล้วผมก็เบาใจได้เยอะเพราะแสดงว่าเรื่องที่บ้านของมันไม่หนักหนาแล้วแน่ๆ
“ถ้าอย่างมึงใสนี่ กูคงโปร่งแสงแล้วไอ้หนูเอ้ย”กวนตีนจริงๆ แฟนใครวะ ผมจะไม่ยิ้มต่อหน้ามันเด็ดขาด
“มึงมาทำไม”
“คิดถึง”
“กูไม่เห็นจะคิดถึงมึงเลย”ผมไหวไหล่ทำเหมือนชิวๆ ไอ้ภูยิ้มเยาะทันที มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เหรอ…พอดีมีคนมาบอกกูว่ามึงคิดถึงกูจะแย่แล้ว กูเลยกะโผล่หน้ามาให้เห็นซะหน่อย กลัวคนแถวนี้จะตายเพราะทนคิดถึงไม่ไหว”ผมถึงกับหัวเราะเสียงดัง
“มั่นใจขนาดนั้นเลย?”ผมยักคิ้วใส่
“เออดิ ลองตอบว่าไม่คิดถึงกูสิ ได้กินหน้าแข้งกูแน่ๆ”
“อย่าเพิ่งโหด”ผมยกมือห้าม ไอ้ภูมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีคน มันก็เข้ามากอดผมแน่นๆ หอมแก้มไปสองสามทีด้วยความไวแสง ผมรีบมองไปรอบๆตัวทันทีเพราะกลัวว่าไอ้พวกเดอะแก๊งค์จะอยู่แถวนี้ พอไม่พบใครผมจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“แล้ว…ที่บ้านมึงโอเคแล้วใช่ไหม”ผมไม่กล้าถามถึงอาการป่วยของแม่มันตรงๆ ไอ้ภูยิ้มก่อนจะคว้ามือผมไปบีบเล่น
“อือ ดีขึ้นเยอะ”มันถอนหายใจเบาๆก่อนพูดเสริม
“กูนี่แย่เนอะ”
“เฮ้ย ไม่เอาดิ”ผมไม่ชอบเวลามันเครียดเลย ไอ้ภูเหม่อมองไปไกล
“กูไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแม่ป่วย ลูกแบบไหนกันวะ ดีแต่สร้างความเดือดร้อนให้ กูไม่เคยทำเรื่องให้แม่สบายใจเลย”ไอ้ภูดูเสียใจจริงๆเวลาที่พูดถึงเรื่องนี้ ผมบีบฝามือของอีกฝ่ายเบาๆ
“ตอนแรกกูไม่อยากกลับมาทำงานที่บริษัทพ่อหรอก แต่เพราะแม่ กูเลยอยากทำ อย่างน้อยแม่กูจะได้สบายใจซักที”
“ที่กูพูด ไม่รู้ว่ามึงจะเชื่อรึเปล่า แต่มึงรู้ไหมว่าแค่ที่มึงเป็นอยู่ แม่มึงก็ภูมิใจแล้ว”ถึงท่านไม่พูด ผมก็รู้ จากคนที่ไม่เอาอะไรเลยอย่างไอ้ภู เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ก็นับว่าดีแล้ว
“ไอ้ฟิก กูไม่อยากปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวหรอกนะ แต่ช่วงนี้ชีวิตกูวุ่นวายชิบ กูนึกว่าเรียนจบแล้วจะสบายซะอีก กูต้องเข้าๆออกๆบ้าน ที่ทำงาน บริษัทพ่อ จะปล่อยให้พี่ภักดูคนเดียวก็ยังไงอยู่…”ผมมองใบหน้ากลัดกลุมของมันก็พอจะรู้ว่ามันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องพูดอีก
“มึงมีอะไรจะพูดก็ว่ามา”ผมรอฟังอย่างตั้งใจ มันกัดริมฝีปากเหมือนลังเลที่จะพูด
“มึงแอบซุกกิ๊กบ้างรึเปล่า”
“ไอ้ภู อย่าลีลา”รู้หรอกว่ามันไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ ไอ้ภูกระแอมประวิงเวลาสองสามครั้ง
“กูต้องย้ายหอว่ะ”
“อ้อ…”ผมใจหายเหมือนกัน ถึงจะเคยคิดอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะเร็วปานนี้
“ระยะทางที่หอมึงกับที่ทำงานกูมันค่อนข้างห่างกัน กูไม่อยากจะย้ายเลยจริงๆ พักนี้ไอ้ตินก็ยุ่งด้วย กูกลัวมึงจะพาเด็กมาซุก”ไอ้ภูพยายามทำเสียงกวนประสาท
“เออ กูเข้าใจน่า คิดว่ากูจะร้องไห้งอแงไม่ให้มึงไปหรือไง”ขำเหมือนกันที่เห็นมันพยายามอธิบายแบบนี้
“ไอ้ฟิกมึงนี่ไม่เข้าใจหัวอกกูซะเลย”มันดูอารมณ์เสียที่ผมไม่บิ้วไปกับมันด้วย
“มึงไม่ได้ไปเมืองนอกเมืองนาซะหน่อย”ผมคงต้องเร่งเก็บเงิน สร้างบ้านให้เสร็จเร็วๆแล้วล่ะครับ ผมเป็นโรคประหลาด ไม่อยากอยู่หอเงียบๆคนเดียว
“มึงทำงานเสร็จหรือยัง”มันชวนคุย
“ยัง”
“พอดีกูกะจะไปเก็บของบางส่วน”
“เชี่ยภู”ผมเกิดอารมณ์หมั่นไส้ เลยเตะมันไปเต็มแรงที่หน้าแข้ง มันไม่ได้ตั้งตัวจึงไม่ทันได้หลบโดนไปเต็มๆ
“สัดฟิก มึงจะฆ่ากูเหรอ”มันน้ำตาคลอหน่วย ลูบหน้าแข้งตัวเองป้อย ๆ
“มึงจะกลับหอไปเก็บของก็กลับไปดิ กูจะไปทำงานแล้ว”อยู่ๆก็หงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น
“ไม่เอา กูรอให้มึงทำงานเสร็จแล้วค่อยกลับพร้อมกัน”มันเดินตามหลังผมมาต้อยๆ ผมพ่นลมหายใจแรงๆ
“ของมึงเยอะมากเลยเหรอ ถึงต้องเก็บออก”ผมหันไปถาม
“ลืมแล้วรึไงว่ากูแทบขนมาจากบ้านหมด”มันเข้ามากอดคอผม ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“มึงไม่อยากให้กูย้ายใช่ไหม”ผมทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ
“กูให้ขนแค่เสื้อผ้าไป”คงจะแปลกอีกนั่นแหละ ถ้าในห้องของผมไม่มีของๆพวกมัน ไอ้ภูตามมาเฝ้าผมปั่นงานจริงๆ พวกไอ้เคนมองเป็นตาเดียว แต่ไม่ปริปากแซวเพราะเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของผม ไอ้ภูเดี๋ยวก็คุยกับพี่ภักเรื่องรถ เดี๋ยวก็คุยกับพ่อมันบ้าง ผมพยายามเงียหูฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีมันมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ งานของผมไม่เดินเลยสักนิด สุดท้ายจึงล้มเลิกกลับพร้อมกับมันเลย
ไอ้ภูรู้ว่าผมอารมณ์ไม่ดีจริงๆ มันจึงไม่กวนประสาทผมมาก ถึงห้องปุ๊บมันก็เริ่มเก็บข้าวเก็บของที่จำเป็นบางส่วนของมัน ผมนั่งมองมันเงียบๆอยู่ที่โซฟา โทรทัศน์เปิดไว้แต่ไม่ได้ดู บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไง
“มึงหงุดหงิดอะไรเนี่ย”ในที่สุดไอ้ภูก็เงยหน้าถาม มันเพิ่งยัดเสื้อใส่กระเป๋าเสร็จพอดี
“เปล่า”ผมไหวไหล่ แค่…รู้สึกว่ามันหายหน้าไปนาน โผล่มาให้ผมดีใจเล่น แล้วก็บอกว่าจะย้ายออก ปกติผมก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้…ไอ้ฟิกคนเก่ากับไอ้ฟิกตอนนี้ต่างกันมากจริงๆ
“ไอ้ฟิก”จู่ๆมันก็เดินเข้ามาตะโกนใส่หูใกล้ๆ จนผมสะดุ้งโหยง
“อะไร แค่นี้ตกใจเหรอ”มันหัวเราะเบาๆ ผมถอนหายใจก่อนจะจ้องหน้าไอ้ภูเขม็ง เพิ่งสังเกตจริงๆว่ามันตัดผมใหม่ สงสัยเอาแต่หงุดหงิดมันแน่ๆ
“มึงตัดผมใหม่เหรอวะ”ตอนนี้หน้ามันเกลี้ยงเกลาใสกว่าเดิม เหมือนจะดูเด็กลงด้วย
“กูรอให้มึงทักตั้งนานแล้วเนี่ย ใกล้วันสำคัญทั้งที กูก็ต้องดูดีหน่อยเป็นธรรมดา”ไอ้ภูเข้ามานั่งใกล้ๆ มองดูผมสักพักก่อนจะเข้ามากอดหลวมๆ
“เฮ้ย ดูหนังอยู่”ผมแกล้งทำเหมือนไม่พอใจ
“แค่กอดเอง”ว่าแล้วมันก็เอาหน้ามาซุกใกล้ๆ
“มึงไม่ต้องคิดมากนะ..”มันพูดเบาๆ
“กูไม่ได้คิดมาก มึงบ้ารึเปล่าเนี่ย”
“แล้วที่หงุดหงิดอยู่นี่คือ…เฮ้อ ไอ้หมาฟิกของกู”มันกัดแก้มผมเบาๆเหมือหมั่นเขี้ยว
“กูวางแผนอนาคตไว้แล้ว”
“โห ไอ้ภู ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากคนอย่างมึงเลยนะ”ไอ้ภูเลิกคิ้วหัวเราะเบาๆ
“เออ คนอย่างกูก็จริงจังเป็นเหมือนกัน อยากเก็บเงินไว้แต่งเมีย”อีกแล้ว มันชอบพูดทำนองนี้อีกแล้ว ยิ่งมันรู้ว่าผมไม่ชอบมันก็ยิ่งกวนประสาท ผมส่งสายตามืดมนไปให้ ด่ามันแบบไม่ออกเสียง ไอ้ภูเข้ามาประชิดตัว แกล้งล็อคแขนผมหลวมๆ แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่ามันแรงควายแค่ไหน ทำเอาผมเจ็บแขนนิดหน่อย ผมขยับแขนไปมา จนไอ้ภูคลายแขนออก ก่อนเปลี่ยนมาขบเม้มที่ริมฝีปากแทน ลิ้นอุ่นสอดแทรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผมเบือนหน้าหนีเพราะเดี๋ยวจะเตลิดช่วงนี้ยิ่งห่างๆมันอยู่ อีกอย่างคือผมยังต้องซ้อมบูมครับ จะเสียแรงไปเปล่าๆปลี้ๆไม่ได้ นี่ผมทำเพื่อมันเลยนะ
“มึงนี่หัดเล่นตัวเป็นด้วยนะ”ไอ้ภูกระซิบ เอื้อมมือมาบีบก้นผมเต็มแรง
“ไอ้เชี่ยภู”ผมปัดมือมันออกอย่างหงุดหงิด ไอ้ภูยิ้มอย่างนึกสนุก
“แค่นี้โวยวายไปได้”
“กูจับตูดมึงบ้างได้ไหมล่ะ”ว่าแล้วผมก็ยื่นมือหมายจะจับก้นไอ้ภู แต่มันวิ่งหนี จนเหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ถึงหยุด รอจนมันปรับลมหายใจได้ถึงพูดต่อ
“อีกไม่กี่วันจะใกล้ถึงวันรับปริญญา กูต้องกลับไปค้างที่บ้าน”มันยิ้มกว้างแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก นึกถึงว่าพ่อกับแม่มันต้องปลื้มมากแน่ๆ ผมยิ้มตามมัน เท่าที่รู้มาไอ้ตินรับช่วงเช้า ส่วนไอ้ภูรับช่วงบ่าย ผมตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้ที่บ้านมันเป็นคนดูแลพวกมันไปล่ะกัน เรื่องของเรื่องผมขี้เกียจเป็นเบ้พวกมัน ไหนจะมีเรื่องบูมอีก จบงานเมื่อไหร่ผมค่อยเข้าไปแสดงความยินดีกับพวกมัน ผมอารมณ์ดีเล็กน้อยเมื่อคุยเรื่องนี้
“ไว้หลังจบงาน กูจะกลับมาคิดบัญชี”มันพูดแค่นี้ก็กลับไปเก็บของบางส่วนต่อ กำลังอุ่นใจมันกลับทำให้ผมรู้สึกอึนๆมึนๆอีกแล้ว หรือว่าพักนี้ผมพักผ่อนน้อยไป
ไม่ได้เรื่องกันทั้งคู่เลยเว้ย ทั้งไอ้ภู ทั้งไอ้ติน
******************************************************
งานรับปริญญา
ผมต้องตื่นแต่ไก่โห่เพื่อไปรวมตัวกับรุ่นน้องที่คณะ ตอนนี้ทั่วทั้งม.เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นอิ่มเอมใจแปลกๆ ผมรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก ปีที่แล้วๆมาผมมองว่าน่ารำคาญด้วยซ้ำ เพราะทำให้รถติดและคนเยอะมากกว่าทุกวัน แต่ปีนี้ต่างไปจริงๆ คงเพราะเป็นวันสำคัญของคนสำคัญทั้งสองคนของผมล่ะมั้ง ตอนนี้ผมปิดโทรศัพท์ไว้ กันพวกมันโทรมากวน
บรรยากาศในคณะก็ครึกครื้นเช่นกัน บริเวณโดยรอบมีซุ้มต้อนรับพี่บัณฑิตอยู่หลายซุ้ม ผมเห็นพี่บัณฑิตในชุดครุยแล้วนึกถึงไอ้ภูกับไอ้ตินขึ้นมา ผมยังไม่เห็นมันสองคนใส่ชุดครุยเลย แต่มั่นใจว่าต้องดูดีแน่ๆ
“พี่ฟิกก็ตื่นเต้นเหมือนกันอ่ะดิ”ไอ้เก่งนั่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นมา
“จะตื่นเต้นทำไม กูเห็นมาหลายปีแล้ว”ผมทำหน้าเหมือนอารมณ์ไม่ดี
“โกหกกันอีกแล้ว ผมรู้น่าว่าแฟนพี่ก็รับปีนี้ มิน่า…ถึงมาซ้อมบูม”ผมไม่รอให้มันพูดจบก็ถวายฝามือไปเปรี้ยงใหญ่
“แหม่ รู้ดีจริงๆ”ผมทำเสียงประชด ผมขี้เกียจไปรอที่หอก็เลยกะจะไปตะลอนกับพวกปีหนึ่งด้วย หลังจากที่แบ่งกลุ่มเสร็จก็แยกย้ายไปรอพี่ๆบัณฑิตตามจุด ผมไปกับพวกไอ้เก่งและเดอะแก๊งค์ บางคนหิ้วกลองมาด้วย ขนาดว่าตอนเช้าคนยังแออัดขนาดนี้…ไม่อยากคิดตอนที่พวกบัณฑิตทั้งหลายออกมา
ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เดินผ่านกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่ทำเสียงดังอยู่ริมฟุตบาตร สายตาไปสะดุดเข้ากับร้านขายของที่ระลึกจำพวกตุ๊กตาบัณฑิต ดอกไม้ ป้ายจบเข้าพอดี ความจริงผมก็มีของให้พวกมันแล้ว แต่อยู่ที่หอ ผมควรจะซื้อตุ๊กตาน่ารักๆพวกนี้ด้วยดีไหม แต่นึกถึงหน้าไอ้ภูกับไอ้ตินแล้ว ผมไม่ซื้อให้มันสองคนดีกว่า เดี๋ยวคงมีคนซื้อมาให้พวกมันเยอะแน่ๆ ของที่ผมให้พวกมันต้องพิเศษกว่าคนอื่นอยู่แล้ว!
“วู้ ว่าไงน้องฟิก”กำลังคิดอะไรเพลิน ก็ถูกเสียงกลั้นขำของใครบางคนแทรกมา ผมเหลียวไปมองก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด
ไอ้เนมกับพี่ปานั่นเอง
“มาทำไมวะ”ผมทำเสียงฉุนใส่ กล้ามาขำผมได้ไง ผมไม่ใช่ตัวตลกนะเว้ย ผมเหลียวไปมองเดอะแก๊งค์ปีหนึ่งที่นั่งหลบร้อนอยู่ที่ต้นไม้ริมฟุตบาตร พวกมันก็เหมือนไอ้เคนไอ้ชาย ชอบเสือกเหมือนกัน
“กูมาเป็นเบ้ให้ไอ้ภู แต่อยากมารับบรรยากาศเก่าๆก็เลยมาก่อน”พี่ปาตอบพร้อมรอยยิ้ม
“มันออกจากบ้านหรือยัง”ตอนนี้ผมไม่รู้ความเคลื่อนไหวของพวกมันสองคนเลย แต่คิดว่าไอ้ตินคงออกมาจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่แล้ว
“ยัง คงมาช่วงสายๆ”ไอ้เนมตอบก่อนจะยิ้มชอบใจอีกครั้ง
“นานๆทีกูจะเห็นมึงอยู่ในกฎในเกณฑ์”วันนี้ผมสวมเสื้อรุ่นของเด็กปีหนึ่งกับกางเกงวอร์ม ผ้าใบสีสุภาพเหมือนกับเด็กปีหนึ่งทั่วๆไป
“ดูไว้เป็นบุญตาซะ”
“มึงนี่มีความตั้งใจดีนะ สมแล้วที่เป็นเมียไอ้ภู”พี่ปาตบไหล่ผมเบาๆเหมือนพ่อที่ภูมิใจในตัวลูกชาย
“พี่อย่าว่ะ วันนี้ห้ามล้อผม”ไอ้เนมทำหน้าบู้บี้
“กูสงสัยมานานแล้ว ทำไมมึงไม่พูดดีๆกับกูวะ”มันเท้าเอวมองผมกับพี่ปา
“ก็เพราะ…ครั้งแรกที่กูเจอมึงมันไม่น่าจำไง จำได้ไหม”ผมมองด้วยสายตาอาฆาต ผมยังจำได้ดี วันที่ผมเจอมันเป็นครั้งแรกคือที่ห้องน้ำในสนามฟุตบอลตอนปีหนึ่ง มันยังทำท่าทางหยามผมอยู่เลย ไอ้เนมนิ่งงันไปนานก่อนจะหัวเราะ
“เรื่องก็ตั้งนานแล้ว มึงจะเก็บมาจำทำไม”
“เหอะ วีรกรรมมึงไม่ใช่น้อยๆ”มันทำหน้าเคร่งขรึมทันที
“มึงนี่วอนตีนกูแล้วนะ”เรื่องเก่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องต้องห้ามของไอ้เนมเลยทีเดียว
“เหมือนฝันร้ายเลยสิมึง”ผมยิ้มเยาะมันบ้าง พี่ปาถอนหายใจยกมือขึ้นเหมือนห้ามทัพ
“พวกมึงสองตัวนี่ น่ารำคาญจริงๆ กูจะไปถ่ายรูปที่คณะแล้ว ไปด้วยกันไหม”พี่ปาชวน แต่ผมปฎิเสธ
“อย่าเพิ่งบอกไอ้ภูล่ะ ผมอยากเซอร์ไพรส์มัน”อยากเห็นสีหน้าของพวกมันตอนเห็นผมในแถวบูมจริงๆ
“มึงได้เซอร์ไพรส์แน่”ไอ้เนมยิ้ม พูดจามีเลศนัยอีกแล้ว ผมเลิกคิ้ว
“มีอะไร”
“เปล่า แค่มันเคยเป็นพี่ว้าก”แล้วยังไง ผมทำหน้าไม่เก็ท แต่พี่ปาโบกมือลาก่อนจะพาไอ้เนมออกไป จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอย น่าเบื่อชิบ ผมรอชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนกระทั่ง…เริ่มเห็นชุดครุยของพี่บัณฑิตออกมาจากทางออก ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายเริ่มขึ้นเมื่อเด็กปีหนึ่งทั้งหลายต่างพากันหาเป้าหมายล้อมวงบูม ผมบูมให้พี่บัณฑิตบางคนเท่านั้น คนไหนหล่อก็บูม เอ้ย ไม่ใช่ จะให้ผมอยู่เฉยๆก็อายเด็กมัน ก็เลยต้องร่วมบูมบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตาของพี่บัณฑิตคณะเกษตร ผมก็เริ่มมองหาไอ้ตินทันที หวังว่าผมจะไม่คลาดกับมันซะก่อน
ตอนแรกผมไม่เห็นไอ้ตินเพราะมันเพิ่งโดนล้อมกรอบบูมไปสองสามรอบ วันนี้มันตัดผมใหม่ถูกระเบียบทุกตารางนิ้ว รองพื้นบางๆ ในอ้อมแขนมีดอกไม้ช่อใหญ่ ชุดครุยที่สวมทับทำให้มันดูดีราศีจับมากจริงๆ ต้องบอกว่าทุกคนที่ใส่ชุดครุยดูดีขึ้นมาร้อยเท่าทุกคน แต่สีหน้าหงุดหงิดของมันกลับทำให้ดูหมองๆไปบ้าง วันสำคัญของมันแท้ๆทำไมไม่ยิ้มบ้างวะ คนที่คอยตามถ่ายรูปให้ไม่ใช่ใครนอกจากคุณป๊าของมัน สีหน้าของท่านดูปลื้มปริ่มเป็นล้นพ้น พลอยทำให้ผมยิ้มไปด้วย ผมสะกิดไอ้เก่งที่ยืนมองซ้ายมองขวาหาพี่บัณฑิตอยู่ข้างๆ
“เฮ้ย มึงเตรียมบูมพี่คนนั้นนะ”ผมพยักเพยิดไปทางไอ้ติน ที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเด็กปีหนึ่ง
“ดูท่าทางพี่แกหงุดหงิดนะ หรือจะเหนื่อย เอาคนอื่นไหม”ไอ้เก่งมองหาเป้าหมายใหม่
“ไม่เอา คนนี้ต้องบูม”ไม่รอช้า เมื่อเด็กปีหนึ่งกลุ่มนั้นได้เงินไปแล้ว ผมก็รีบลากไอ้เก่งและเดอะแก๊งค์เข้าไปล้อมวงตีกรอบไอ้ตินทันที ผมก้มหน้าก้มตาแอบเห็นว่ามันขมวดคิ้วมุ่นคงหงุดหงิดเต็มทน
“ให้ผมบูมให้พี่นะครับ”ผมรีบพูดก่อนที่มันจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ไอ้ตินอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงของผม มันชี้หน้าผมทันที
“หายไปไหนมา”ผมไม่ตอบคำถามของมัน แต่ออกคำสั่งบูมทันที ไอ้ตินยังงงไม่หาย แต่มันก็งงไม่นาน นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมบูมคณะได้ ผมหวังว่ามันจะรับรู้ว่าผมบูมเพื่อมัน เสียงบูมดังกระหึ่มอยู่รอบตัว ผมกับเดอะแก๊งค์บูมไปจนครบเพลง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มกว้างของไอ้ติน ผมกลับหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“มึงบูมให้กูเหรอ”มันพึมพำถาม ปากยิ้มถึงหู ดูมันจะปลื้มใจมากจริงๆ
“เออ”
“พูดเพราะๆสิน้องฟิก”มันตีหน้านิ่ง เออ วันนี้ผมยอมให้มันก็ได้
“ครับผม ผมบูมให้พี่ติน เป็นไง พอใจไหม”กระดากปากจริงๆโว้ย
“พอใจมาก เมื่อเช้ากูโทรหามึงไม่ติด กูโคตรจะหงุดหงิด นึกว่ามึงจะไม่มาซะแล้ว”ไอ้ตินเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้า เห็นแล้วขำจริงๆ
“ขอบคุณที่ฝึกบูมให้กูนะฟิก ”มันหัวเราะอีกครั้ง ไอ้ตินแม่งบ้าไปแล้วจริงๆ จากนั้นผมก็ถูกจับถ่ายรูปกับไอ้ตินอยู่นานสองนาน ยิ้มจนเหงือกแห้ง ป๊าไอ้ตินถ่ายแล้วถ่ายอีก ถ่ายเสียอีกต่างหาก จนไอ้เก่งต้องมาถ่ายให้แทน
ผมรู้สึกหัวหมุนไปหมดเพราะต้องวิ่งรอกไปหาไอ้ตินที่คณะเกษตร เพื่อถ่ายรูปรวมกับครอบครัวไอ้ตินตามซุ้มต่างๆจนผมมึน แถมม๊ามันยังอยากถ่ายที่ซุ้มคณะผมอีก ผมก็ต้องติดสอยห้อยตามไปด้วย ระหว่างนั้นก็ดูเวลาไปพลาง ป่านนี้ไอ้ภูคงหน้าบูดแล้วแน่ๆ เพราะไม่เห็นเงาหัวของผม บรรยากาศอบอุ่นตามสไตล์บ้านไอ้ตินนั่นแหละ แถมไอ้เด็กป่านก็มาด้วยอีก มันสวมชุดสูทมา ดูดีเอาเรื่อง
“อะแฮ่ม มองนานแล้วนะ”ไอ้ตินกระแอม
“ก็แค่มอง มันโตกว่าเดิมเยอะเหมือนกันนะ เวลาแค่แป๊บเดียวเอง”ไอ้เด็กป่านกำลังกินไอติมดับร้อนอยู่ มันยืนอยู่ข้างๆม๊าไอ้ตินที่กำลังดูรูปถ่ายด้วยอาการปลื้มปริ่ม
“เหรอ อยากวัดขนาดของน้องมันรึเปล่าล่ะ”โอ้ ไอ้ตินนี่จับเหตุการณ์ที่ผมจับไข่ไอ้ป่านได้ดีจริงๆ
“ตลกแล้ว มันโตขนาดนี้กูไม่กล้าวัดหรอก”ผมขำไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของมัน ผมจึงแกล้งหยิบกระดาษซับมันซับตามหน้าผากให้มันแทน
“มึงนี่จริงๆเลย อย่าให้รู้ว่ามึงคิดไม่ซื่อ มึงโดนหนักแน่”วันดีแบบนี้มันยังขู่ผมอีก
“เออ มึงต้องไปบูมให้พี่ภูอีกใช่ไหม มึงไปเถอะ เดี๋ยวม๊ากูต้องอยากถ่ายรูปที่ซุ้มอีกหลายคณะแน่ๆ เดี๋ยวจะไม่ทัน”ไอ้ตินดึงกระดาษซับมันมาจากมือของผมก่อนยัดแบงค์พันสามแบงค์มาให้ผมแทน
“ค่าบูม”มันยิ้มกว้างอีกแล้ว
“ใจป้ำจริงๆ”
“ให้เป็นค่าเหนื่อย กูดีใจนะที่เห็นมึงทุ่มเทขนาดนี้ ถ้าเอาไปบอกไอ้ชัยมันคงไม่เชื่อแน่ๆว่ามึงบูมเป็น”ไอ้ตินหัวเราะ ผมเองก็เพิ่งนึกถึงมันได้ขึ้นมา
“ตอนนี้มันอยู่ไหนวะ”
“จะไปบูมให้มันเหรอ”ไอ้ตินขมวดคิ้วทันที
“เปล่า”ใครจะไปบูมให้ไอ้ชัยล่ะ แค่อยากไปป่วนประสาทมันในวันดีๆแบบนี้เฉยๆ
“ดี กูหวง”มันพูดเต็มปากเต็มคำ
“มึงก็บ้าว่ะ”ไปๆมาๆทำไมผมเขินวะเนี่ย ผมกระแอมเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกคนจ้องมอง
“ไว้เจอกันที่หอนะ”ผมรีบปลีกตัวออกมา เดินออกจากคณะเกษตรได้ไม่นานก็เห็นไอ้ชัยเดินหอบช่อดอกไม้กับตุ๊กตามา พอเห็นไอ้ชัยผมก็นึกถึงพี่อันทันที หวังว่าจะไม่โผล่ไปหาไอ้ตินนะ
“ไง มาหาไอ้ตินเหรอ”ไอ้ชัยมองการแต่งตัวของผมด้วยสายตาแปลกใจ ข้างตัวมันมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาด้วย ในมือถือกล้อง ใบหน้ายิ้มแย้ม
“แฟนมึงเหรอ”ผมกระซิบถาม
“เสือก”มันตอบกลับเบาๆ ผมว่าใช่ชัวร์ แล้วพี่อันล่ะ มันไม่ชอบพี่เขาแล้วเหรอ แล้วแบบนี้ใครจะกันพี่อันให้ห่างจากไอ้ตินได้ล่ะ ไอ้ชัยหันไปหาผู้หญิงคนนั้น
“เต้ยเข้าไปรอพี่ที่คณะก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”ผมแอบลูบแขนไปมา เพิ่งเคยได้ยินไอ้ชัยพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ก็วันนี้แหละ แต่เท่าที่ฟังเหมือนไม่ได้ออกมาจากใจ ฟังดูประดิษฐ์ๆชอบกล สาวเต้ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะเดินจากไป
“เต้ยเข้าไปรอพี่ที่คณะก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”ผมเลียนเสียงของเจ้าตัวเบาๆ ไอ้ชัยหันมาถลึงตาใส่
“มึงจะทำตัวดีๆบ้างไม่ได้หรือไงวะ”
“ผมล้อเล่นน่าพี่ชัย วันนี้วันดี ผมมาแสดงความยินดีกับพี่ด้วย ขอโทษล่ะกันที่เคยล่วงเกินหลายๆอย่าง มันอดไม่ได้จริงๆว่ะ”ผมพูดออกมาจากใจจริง ถึงแม้จะเหม็นขี้หน้ามันขนาดไหน แต่วันนี้ผมถือว่าเป็นรุ่นน้องของมัน ไอ้ชัยอ้าปากค้างมองผม ก่อนจะหัวเราะลั่น
“โอ๊ยไอ้ฟิก มึงรู้ไหม กูขนลุกวาบเลย มึงอย่าพูดกับกูแบบนี้อีกนะ สยองว่ะ”มันหัวเราะเสียงดังก้อง
“เฮ้ย กูอุตส่าห์จริงจังนะเว้ยไอ้ชัย”มันหยุดขำทันที
“ถือว่ากูรับรู้ความจริงใจของมึงก็แล้วกัน แล้วนี่…มึงใส่เสื้อแบบนี้ทำไม”มันชี้เสื้อ กางเกงของผม
“มาบูมไง”ผมตอบหน้าตาย มันยิ่งทำหน้าพิลึกเข้าไปใหญ่
“ห๊ะ”
“กูกำลังรีบ ไว้เจอกัน”ผมยกมือลา แต่ก้าวได้ไม่กี่ก้าว มันก็คว้าไหล่ของผมไว้
“เดี๋ยวสิวะ มึงบูมให้กูดูหน่อย”ผมหัวเราะเสียงแห้ง
“ไม่บูม ไอ้ตินหวง”พูดจบผมก็รีบเดินดุ่มออกห่างจากไอ้ชัยทันที ปล่อยให้มันหัวเราะลั่นอยู่ตรงนั้น เหอะ ขำมากนักรึไงวะ ไอ้ชัยเอ๊ย