Truth Or Dare
(Special)
We’re both Sick
ผมเคยกังวลกับจิตใจแหลกสลายเรื้อรัง อยากวิ่งหนี อยากจากไป หนทางเดียวที่จะไม่ต้องทำให้คนที่รักมาลำบากกับอาการป่วยไข้
พิชญ์กลับหัวเราะบอกว่าผมขี้ขลาด การหนีโดยไม่พึ่งพากันต่างหากที่ทำร้ายคนที่รัก
‘มีใครบ้างที่ไม่เคยป่วยไข้’
‘…’
‘ถึงเวลานั้น ผมอยากมีพี่อยู่ข้างๆ
อดีตจวบจนปัจจุบัน
กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง… ผมก็ไม่มีทางเอาชนะเด็กคนนี้ได้เลย
“พิชญ์” ในวันที่พยากรณ์อากาศรายงงานการมาเยือนของฤดูหนาว ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของคนในอ้อมกอดที่ผิดปกติ
“ตัวร้อน”
เอื้อมมือไปเปิดไฟพลางแตะริมฝีปากกับขมับชื้นเหงื่อ คนถูกปลุกส่งเสียงงัวเงีย พลิกตัวกลับมาซุกใบหน้าในอ้อมกอด ไถจมูกกับอกผมไปมา
“ปวดหัว” เสียงออดอ้อนแหบพร่าอย่างน่าเป็นห่วง ผมถอนใจยกมือสางผมนุ่มเบาๆ พลางจูบหน้าผากใสซ้ำๆ
“พี่ไปเอายามาให้”
หลายวันก่อนหน้านี้พิชญ์โหมงานหนัก พักผ่อนน้อย แถมอากาศเปลี่ยนจึงไม่แปลกที่ร่างกายน้องจะรับไม่ไหว
ผมเอายามาให้ พร้อมกับผ้าชุบน้ำเช็ดตัว คนป่วยเป็นผักเหี่ยวจับพลิกไปทางไหนก็ไหลตาม จนผมหยิบเสื้อมาให้ใส่ปกปิดท่อนบนที่เปลือยเปล่าเพราะเจ้าตัวขี้ร้อน ขี้รำคาญ จึงมักจะใส่เพียงกางเกงวอร์มตัวเดียวห่อคลุมร่างยามหลับ
“ไม่เอาอ่ะ” พิชญ์ส่ายหน้า ยังอยู่ในท่าชันเข่าซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงไป สียังหน้างัวเงียเสียงอู้อี้จากพิษไข้
“ต้องใส่ อากาศหนาว” ผมดุ หยิบเสื้อสเวตเตอร์ที่พับไว้คลี่ออก กำลังจะบังคับใส่
“กอดพี่ก็ได้” แต่เหตุผลนั้นทำเอาชะงักไป
“หืม ไม่กลัวพี่ติดไข้หรือไง” หลุดหัวเราะ เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ไม่สบาย พิชญ์จะไล่ผมไปนอนนอกห้องให้ได้เพราะไม่อยากให้ติดหวัดไปตามกัน
คราวนี้กลับงอแงให้กอดซะอย่างนั้น
“หนาวๆ” คนเอาแต่ใจเงียบไปสักพัก ก่อนแกล้งงอแงเฉไฉ แต่สองมือกลับยื่นออกมาออดอ้อนให้เดินเข้าไปกอด
ผมยอมวางเสื้อแล้วสวมกอดร่างบางที่ยังอุ่นจัดจากพิษไข้ ดึงตัวน้องลงมานอนอีกครั้ง เกยก่ายอยู่บนร่าง ราวจะให้การแนบชิดถ่ายเทอุณหภูมิร่างกายมาไว้ที่ผมบ้าง
จูบซับหน้าผากและขมับซ้ำๆ ในความมืดและเงียบงัน กระทั่งพิชญ์หลับไป
ผมเห็นด้วยกับน้อง บางทีการกกกอดด้วยร่างกายเปล่าเปลือยแบบนี้ อาจอุ่นกว่าใส่เสื้อกันหนาวเป็นไหนๆ
รุ่งขึ้น ความดื้อดึงกลับกลายเป็นว่าง่าย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิชญ์ไม่สบาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ยอมนอนติดเตียง แถมใบหน้าขาวซีดเซียว แทบไม่คุยกับผมทั้งที่ปกติคงงอแงบ้างเวลาถูกบังคับให้กินยา ดื้อจะลุกมาทำงาน หรือไม่อยากอาหาร
เด็กรั้นดูซึมหม่นจนผมหวั่นใจ
[ เขากำลังหงุดหงิดน่ะ ] แต่ดูเหมือนท่าทางแบบนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
คุณแม่หัวเราะเบาๆ ระคนอ่อนใจเมื่อผมเล่าอาการให้ฟัง
[ น้องพิชญ์ไม่ชอบเวลาที่ตัวเองป่วย เขาบอกว่าร่างกายมันงี่เง่าไม่ได้ดั่งใจ ถ้านิ่งแบบนี้แสดงว่ากำลังพยายามเก็บอาการไว้ ]
ผมขมวดคิ้ว “แล้วผมทำอะไรได้บ้างไหมครับ”
ตั้งแต่เช้าผมป้อนข้าวป้อนยาเช็ดตัวให้จนไข้ลดแต่น้องก็ไม่มีทีท่าว่าจะร่าเริงขึ้น จนปัญญาถึงขั้นต้องโทรไปปรึกษาคุณแม่น้องเผื่อว่าจะมีคำแนะนำ
เพิ่งรู้ตัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองหันหน้าหวังพึ่งคนอื่นบ้าง ตอนที่แม่ป่วย ผมดึงดัน คิดหาหนทางผิดๆ จนพาเราทั้งคู่ไปถึงทางตัน...
[ ถ้าไข้ลดแล้วก็ไม่มีปัญหาจ้ะ เดี๋ยวหายป่วยเขาก็กลับมาดื้อเหมือนเดิม ]
ทีแรกผมลังเลเพราะกลัวว่าจะรบกวน และทำให้เป็นห่วง เดือดร้อน แต่น้ำเสียงท่านยังคงใจดี วางใจให้ผมดูแลน้องอย่างใจเย็น
“ครับ” ผมรับคำ แต่เหมือนคุณแม่จะดูออกว่าผมยังไม่หายกังวลใจ ท่านหัวเราะ แล้วบอกเคล็ดลับให้
[ แต่ถ้าเตอยากน้องพิชญ์ให้ร่าเริงไวๆ... ]
ผมตั้งใจฟัง สายตายังมองไปที่คนป่วยที่เอาแต่นอนซึมอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร คิดว่าดีแล้วที่ผมโทรไปปรึกษา เพราะคุณแม่ของพิชญ์รู้เกี่ยวกับน้องแทบทุกอย่าง
มันทำให้ผมเข้าใจว่าแบบนี้เอง ที่เรียกว่าครอบครัว
ต้มยำร้อนๆ ถูกยกมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ผมนั่งลงข้างคนที่หลับอยู่ก่อนค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปแทนที่หมอนใบโตอย่างเงียบเชียบ
“อือ... คุณแม่เหรอ” พอเริ่มลูบหัวน้องเบาๆ คนป่วยก็ส่งเสียงพึมพำพลางโอบแขนรอบเอวผมก่อนจะลืมตา “พี่เต?”
ผมยิ้มตอบสีหน้าประหลาดใจ ฝ่ามือยังคงลูบผมน้องอยู่อย่างนั้นตามคำแนะนำ
ก่อนวางสายคุณแม่ทิ้งสูตรต้มยำที่น้องชอบอ้อนให้ทำให้กินเวลาป่วยเอาไว้พร้อมบอกว่าพิชญ์ชอบนอนหนุนตัก ชอบให้ลูบหัวเอาใจจนกว่าจะหลับ
“คุณแม่บอกมาใช่ไหม” พอได้กลิ่นต้มยำแทนที่จะเป็นข้าวต้มจืดๆ เหมือนตอนเช้าคนป่วยเลยจับได้ ใบหน้าเซื่องซึมเบะปากทำท่างอแงใส่
“แล้วได้ผลหรือเปล่า” ผมแกล้งเลิกคิ้ว สางผมยาวๆ เล่นขณะที่พิชญ์ซุกหน้ากับหน้าท้องผมส่ายหัวปฏิเสธ
“ขี้โกงว่ะ” หัวเราะกับเสียงบ่นพึมพำ ก่อนดึงเจ้าของใบหน้ารั้นขึ้นมานั่งคร่อมตัก บังคับให้เผชิญหน้ากัน
“คุณพิชญ์” เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่จะทำให้น้องจะตั้งใจฟัง
“งี่เง่ากับพี่ได้ รู้ใช่ไหม” เมื่อได้ยินคำพูดตัวเองย้อนกลับ แววตาสีน้ำตาลอ่อนจึงวูบไหว
น้องเคยพูดแบบนี้ในวันที่ผมร้องไห้ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นขอร้องให้พึ่งพิงเคียงข้าง
“จะงอแง เอาแต่ใจยังไงก็ได้ แต่อย่าซึมแบบนี้ พี่เป็นห่วงนะครับ รู้ไหม”
ยิ่งได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่ได้ฟังบ่อยนักกำแพงที่พยายามสร้างก็พังทลาย จากที่ปั้นท่าเข้มแข็งมาได้ตลอดวันก็ยอมแสดงความอ่อนไหว
“อือ” ซุกใบหน้าที่คล้ายจะร้องไห้กับไหล่ผม พลางบ่นระบายความอึดอัดในใจ
“พิชญ์ปวดหัวจะแย่แล้ว ปวดหัวๆๆๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว หงุดหงิดๆ เมื่อไหร่จะหายยย” เสียงสะอื้นเคล้าเสียงบ่นงุ่นง่านนานหลายนาที
เด็กรั้นยิ่งโวยวายหงุดหงิดเมื่อได้ยินผมปลอบไปขำไป
พอพิชญ์ร่าเริงขึ้นผมเลยโทรไปรายงานคุณแม่อีกครั้งเพื่อให้ท่านสบายใจ
สองสามวันต่อมาไข้ก็หาย แต่ผมก็ยังให้น้องกินยาต่อ ยังทำอาหารแก้หวัดกันเอาไว้
“พี่เต” ข้าวต้มร้อนๆ ถูกตักพักไว้ในถ้วยพอดีกับที่เอวของผมถูกรวบจากด้านหลัง เสียงเรียกออดอ้อนพร้อมกับริมฝีปากร้อนจูบหลังคอผมซ้ำๆ
“จะเอาอะไร หือ?” เลิกคิ้วถามพลางเอี้ยวตัวกลับไปสบตาคนที่ทำท่างอแงใส่แต่เช้า
“ผมไม่สบาย” ว่าพลางผละอ้อมกอด ถอยหลังกลับไปกระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์แววตารั้นร้าย
“ปวดหัว?” ผมยิ้ม รับรู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของเด็กเอาแต่ใจ
“ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” พิชญ์ส่ายหน้า ยกแขนโอบรอบคอเมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ ยกขาเกี่ยวเอวผมไว้ในท่วงท่าอันตราย
ผมหัวเราะ ปล่อยให้คนอ้างว่าป่วยโน้มคอลงไปใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจ
สบตาซุกซน ก่อนจะยกยิ้มแล้วเลื่อนริมฝีปากกระซิบข้างหูแผ่วเบา
“ข้างในมันร้อนไปหมด...”
“...”
“คุณหมอฉีดยาให้พิชญ์หน่อยได้ไหม”
----------------------------
เดิมทีจะอัพตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายค่ะ แต่ขออีกตอนดีกว่า 5555
ใจจริงอยากจะอัพให้อ่านทุกตอนเลยล่ะ แต่มันจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่จะซื้อหนังสือสินะคะ ;-;
เจอกันอีกทีวันเปิดพรีน้า ><
ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ