4
‘มึงตีค่าสูงไป กูก็แค่ผู้ชายธรรมดา’
‘...’
เขาต่างหาก ตีค่าธรรมดาสูงไป
คนธรรมดาที่ไหน...จะทำได้ขนาดนี้กัน
“ไอ้เต มึงมันเหี้ย!” ผมละสายตาจากร่างสูงที่เพิ่งเดินลงจากเวที ยื่นไม้กลองคืนให้ใครสักคนที่เดินมารับพอดี ก่อนจะถูกพี่เจดพุ่งเข้าใส่เหมือนหมีตัวโตๆ
“เล่นแบบนั้นคือจะฆ่าพวกกูถูกมะ” ทั้งที่รูปประโยคเหมือนจะไม่พอใจ แต่คนพูดกลับยิ้มร่าชัดเจนว่าปลาบปลื้มแค่ไหนกับการแสดง
“แต่มันชิบหาย” แล้วสุดท้ายก็ต้องเอ่ยตามความสัตย์จริง
ใช่เลย มันชิบหาย
ทั้งที่ไม่ใช่โชว์ยิ่งใหญ่อะไร เป็นแค่งานสังสรรค์ที่จัดขึ้นในคณะ จะว่าเพื่อคลายเครียดหลังมิดเทอมก็ใช่ แต่จุดประสงค์จริงๆ ก็เพื่อให้ศิษย์เก่ากับศิษย์ปัจจุบันได้มาพบหน้ากันมากกว่า มีทั้งพิธีจริงจังตามธรรมเนียมเพื่อต้อนรับน้องปีหนึ่งอย่างเป็นทางการ ต่อด้วยการสังสรรค์ที่ไม่ต่างจากงานเลี้ยงในครอบครัว ตั้งวงกินข้าวเย็นตามสายรหัส มีดนตรีสดจากมือสมัครเล่นอย่างเด็กในคณะที่ฟอร์มวงขึ้นมาตามชั้นปี... เห็นชัดว่ามีคนขี้โกง
โทษพระเจ้าแล้วกันที่มือกลองปีสามดันมาป่วยกะทันหัน แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นกันที่ดันบันดาลคนใหม่ให้พอดี
ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็นเขา คำตอบง่ายๆ ก็แค่ในที่นี้มันไม่มีใครมีพรสวรรค์พอจะเล่นเครื่องดนตรียากๆ ในเพลงยากๆ ทั้งที่ไม่เคยซ้อมมาด้วยกัน
ที่สำคัญคือเขาชอบการเดิมพัน
ไม่ล่มไปด้วยกัน ก็ต้องทำให้งานสังสรรค์น่าเบื่อนี่กลายเป็นสวรรค์
มันน่าหงุดหงิดที่ทุกคนเห็นว่าเสียงเพลงเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ของงานเลยไม่มีใครจริงจัง เขาว่าอย่างนั้น ผมได้แต่หัวเราะ ประหลาดใจที่เขาให้สาระกับมัน
...แต่นั่นมันก่อนที่ผมจะได้เห็นว่าเขาทำอะไร
ผมน่าจะรู้ว่าเตวิชญ์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง... คราวนี้ก็เช่นกัน
เขาทำให้ส่วนเล็กๆ ของงานกลายเป็นดาวเด่น ง่ายดาย...เพียงขยับไม้กลองที่ราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
เรียกโสตประสาทด้วยความหนักแน่น ตรึงสายตาด้วยจังหวะยั่วเย้า ล่อลวงด้วยเทคนิคแพรวพราว ก่อนตลบหลังด้วยความร้อนเร่าเอาแต่ใจ
เวทีแสนน่าเบื่อกลับลุกเป็นไฟ... ปลุกทูตสวรรค์ออกมาร่ายรำ
ไม่ใช่แค่คนฟัง แต่สมาชิกในวงเองก็ตกหลุมพราง ศักยภาพที่ถูกกดไว้ถูกเขาเรียกออกมาเพียงดำดิ่งตามไป คล้ายประชดประชันว่าในเมื่อเรียกให้เขามาคุมจังหวะเขาก็จะคุมให้... แต่ต้องเป็นจังหวะตามใจเขา... เย่อหยิ่ง รั้นร้าย แต่กลับจงใจอะลุ้มอล่วยเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นผู้นำ
ย้ำชัดว่าเขาตีค่าคำว่าธรรมดาสูงไป
“ฟอร์มวงกับกูมั้ย” พี่เจดเอ่ยถามน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่อีกคนกลับส่ายหน้าตัดความหวัง
“ไม่ได้กะจะจริงจัง”
ไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินคำตอบนั้น
แม้ทุกอย่างที่เขาทำจะเรียกว่าเพอร์เฟ็กต์แค่ไหน ต่อให้เป็นเรื่องที่ใครต่อใครต้องผ่านความพยายามมากมาย แต่เขาเพียงแค่ทำมัน พระเจ้าก็พร้อมดลบันดาลให้ทุกอย่างสำเร็จดั่งใจ เพียงเพื่อให้เขาละทิ้งมัน ง่ายดายด้วยคำว่าไม่ได้อยากจะจริงจัง
นั่นแหละเขา เตวิชญ์ผู้ไม่เคยทำอะไรจริงจัง
“คำตอบโคตรน่าหมั่นไส้”
ผมหัวเราะแผ่วเบา สนับสนุนคำพูดนั้นในใจ แต่คนได้ยินกลับหันมาเลิกคิ้วใส่ มองหน้าผมด้วยสีหน้าเดาที่เดาออกว่าต้องการอะไร ก่อนจะปลีกตัวออกมาด้วยถ้อยคำสั้นง่าย ได้ใจความ
“จะไปสูดอากาศ”
ผมเดินตาม ไม่ลืมที่จะตบบ่าพี่เจดเบาๆ เป็นการปลอบใจ
“ไม่ได้กะจะจริงจัง?” แกล้งเลิกคิ้วถามเมื่อหยุดฝีเท้า เท้าแขนลงกับราวสะพานเชื่อมตึกไร้ผู้คน แต่ยังคงมองเห็นความวุ่นวายและรับรู้ทุกแสงเสียงของงานกิจกรรมจากไกลๆ
“แค่ทำเพราะอยากทำ” เขายิ้มยียวนพลางยักไหล่ ยิ่งน่าหมั่นไส้เมื่อดวงตาไม่ได้ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด
ร่างสูงทิ้งตัวพิงราวสะพานข้างกันพลางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หลงเหลือตามกรอบหน้า เรือนผมหนาเปียกชุ่มกระเซอะกระเซิงแต่กลับไม่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาถูกลดราคา ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าออกมา เมินสีหน้าประหลาดใจของคนตัวสูงกว่าแล้วเอื้อมมือไปดึงแขนกำยำลงมาเพื่อซับเหงื่อพร้อมจัดผมให้อย่างเต็มใจบริการ
“สุภาพบุรุษควรพกผ้าเช็ดหน้าไว้” เอ่ยประโยคที่คิดว่าน่าจะมาจากหนังสักเรื่องด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง เรียกให้คนฟังยิ้มขำ ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องยามผมซับหยดน้ำบนใบหน้า กระทั่งลามลงมาจนถึงลำคอแกร่งที่ชุ่มเหงื่อ ไล้สัมผัสตามลูกกระเดือกสวยที่ขยับแจ่มชัดด้วยจังหวะเชื่องช้า... ชวนให้ลอบกลืนน้ำลายตาม
หลงกลง่ายดายจนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ เรียวปากบางยกขึ้นอย่างได้ใจ จึงได้สติดึงตัวเองให้ผละออกมา
“ปกติแล้วพี่ต้องดึงดันรับมันไป บอกว่าจะเอาไปซักให้เพื่อหาโอกาสเจอกับผมอีก ถูกมั้ย” ยกยิ้มยียวนพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ในขณะที่เขาหัวเราะอีกครั้งแล้วรับมันยัดใส่กระเป๋ากางเกงไป ก่อนเรียกร้องขออีกสิ่งที่คงเป็นจุดประสงค์หลักของการปลีกตัว
“ขอไฟหน่อย” ผมไม่อิดออดที่จะล้วงออกมาให้ มองเขาดึงซองบุหรี่มากะเทาะมวนหนึ่งคาบไว้ แล้วส่งต่อให้ผมทั้งซอง
“ไม่อ่ะ” ผมยักไหล่ “ว่าจะลด”
ไม่สงสัยเลยที่เขาหันมาเลิกคิ้วประหลาดใจ เพราะระยะหลังมานี้มันเป็นคล้ายสัญลักษณ์บางอย่างที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน
เตวิชญ์... พิชญะ... กับบุหรี่ยี่ห้อโปรดของพวกเขา
...ฟังดูเข้าท่านะ คล้ายอะไรบางอย่างที่จะกลายเป็นภาพจำ
แต่คงลงท้ายด้วยโศกนาฏกรรม
“วันก่อนแม่มาหา บอกว่าให้ลดลงบ้าง” ผมเอ่ยเหตุผลที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจริงไหม
“ทำเพื่อแม่ว่างั้น?” ถ้าถามจากสายตาของคนตรงหน้าก็คงได้คำตอบว่ามันไม่จริง
“เขาบอกว่าถ้าเลิกได้จะเพิ่มค่าขนมให้น่ะ”
“หึ”
“ผมน่ารักใช่มั้ยล่ะ” อวดอ้างพลางยักไหล่ อย่างน้อยเสี้ยวหนึ่งในเหตุผลก็คือการอยากทำตัวเป็นลูกที่ดีสักครั้ง
“อือ”
“...” ไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบรับมันอย่างจริงจัง เลยได้แต่นิ่งค้างมองนิ้วเรียวคีบบุหรี่ที่ไร้ควันออกจากปาก พร้อมกับยกมืออีกข้างมาวางบนหัวผมเบาๆ ไล่จับผมยาวที่พริ้วไหวตามลมทัดหูให้อย่างปัดรำคาญ ก่อนที่สัมผัสร้อนจะลูบไล้มันแผ่วเบา ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องสีเงินของห่วงทั้งสามที่เพิ่งหยิบมาใส่ตามรูที่เจาะไว้ตามแนวใบหูอย่างสนใจ
แต่เพียงไม่นานก็เป็นฝ่ายเรียกร้องความสนใจเสียเองด้วยประกายแวววาวในดวงตา
"มึงน่ารัก..." จ้องลึกเข้ามาคล้ายจะยืนยันว่าเขาเห็นตามนั้นจริง
ไม่เคยพอใจกับคำชมนี้เลยสักครั้ง กระทั่งวันนี้...
“พี่จะเอาไฟอยู่มั้ย” เบี่ยงเบนความสนใจด้วยสิ่งที่เขาร้องขอแต่ไม่ยอมรับมันไป ดวงตาสีรัตติกาลเหลือบมองซิปโป้ในมือผมก่อนจะส่ายหน้า พลิกตัวกลับเอนหลังพิงราวสะพานก่อนจะยิ้มออกมา
“ถ้ามึงไม่สูบกูก็ไม่”
“...” คำตอบน่าประหลาดใจทำให้เกิดคำถามมากมาย แต่ผมกลับเงียบงัน จนดวงตาสีรัตติกาลหันกลับมามองแล้วยิ้มขำ
“ตอนนี้มึงไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด”
ไม่แน่ใจนักว่าเข้าใจ จึงไม่ได้เอ่ยอะไร
“กูไม่อยากทำให้อากาศของผู้บริสุทธิ์เป็นพิษ”
“...” แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะกับสถานะที่เขามอบให้
ผู้บริสุทธิ์? ฟังดูไม่ใช่ผมเท่าไหร่
และคำพูดที่คล้ายจะอ่อนโยนแสนดีนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะได้ยินจากปากเขาเช่นกัน
ช่วยไม่ได้ ในเมื่อที่ผ่านมาผมมักถูกตลบหลังด้วยคำร้ายๆ... ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้ไหมว่าคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของตัวเองทรงอิทธิพลแค่ไหน เช่นเรื่องความทรงจำไร้ค่าที่เขาทิ้งไว้ในหัวผมคราวก่อนนั่นไง
ทำให้ผมขบคิด... ซ้ำไปซ้ำมา หาสาเหตุของความเย็นชา กว่าจะพบว่าเขาจงใจ...
ความจงใจที่ทำให้ผมเริ่มระแคะระคาย
ราวเทพปริศนาที่เวทนาหย่อนคำใบ้เอาไว้... จากที่คิดว่าจำไม่ได้ กลายเป็นก้ำกึ่ง เห็นถึงสัญญาณของบางสิ่งที่ส่งผ่านถ้อยคำ
ไม่มีอะไรรับประกันหรอกว่าผมจะชนะเดิมพันหรือเพียงแค่หลงก้าวตามเกมที่เขาวางไว้... ก็แค่ต้องลองเดินหน้าต่อไป...
แต่รู้ไหม... ผมจะไม่ยอมแพ้
“รู้มั้ยเตวิชญ์” เมื่อคิดดังนั้นเลยเผลอหลุดยิ้มออกมา เรียกเขาโดยไร้สรรพนามนำหน้าอย่างจงใจ
เตวิชญ์... เมื่อก่อนผมมักเรียกแบบนี้ตอนที่กำลังหงุดหงิดหรือจริงจัง
เขาว่ามันปีนเกลียว แต่ผมก็จับได้ว่าเขาชอบให้เรียกเช่นกัน
แม้กระทั่งตอนนี้ที่ดวงตาสีรัตติกาลหันมามองด้วยประกายวาว เหมือนจะถามว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างผมจะเล่นลูกไม้อะไร
“ที่พี่พูดว่าอะไรไร้ค่าจะไม่จำ นั่นไม่จริง” ...อันที่จริง ก็แค่อยากบอกให้รู้ไว้เท่านั้นว่าวิธีผลักไสของเขามันใช้ไม่ได้
เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต้องรับมือยังไง
“คนเราเลือกจะจำหรือไม่จำอะไรไม่ได้หรอก สมองเราไม่ได้ทำงานแบบนั้น” ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงที่ยังคงรอฟังว่าผมกำลังจะพูดอะไร ก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงบุหรี่ระหว่างข้อนิ้วของเขามาใส่ปาก...แล้วจุดไฟ สูดพิษร้ายเข้าปอด... พ่นควัน ก่อนจะป้อนมวนนิโคตินสีขาวนั้นคืนใส่ริมฝีปากบาง
“ดังนั้นต่อให้ไร้ค่าแค่ไหน... ต่อให้อยากลืมแทบตาย...” สบดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับที่จ้องมาขณะละเลียดลิ้มพิษตามไป กระทั่งควันสีขาวอ้อยอิ่งเชื่อมเราไว้ด้วยกันอีกครั้ง...
“แต่ความทรงจำนั่นมันก็ยังจะหลอกหลอนพี่อยู่ ถูกมั้ย”
วินาทีนั้นเรากลับมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันโดยสมบูรณ์
สำหรับพี่เต ความสัมพันธ์คล้ายมีสูตรสำเร็จ... ตายตัว
ล่อลวงด้วยเสน่ห์แสนยั่วเย้า มอมเมาด้วยความลึกลับแสนท้าทาย กว่าจะรู้ตัวก็ถูกตักตวง ล่วงล้ำทุกสิ่งที่ต้องการจนหมดไป จากนั้นถูกถ่วงทิ้งน้ำ จมลึกทะเลไร้ก้น... ไม่อาจขุดแม้สายใยความสัมพันธ์
เป็นการถูกทิ้งที่ไม่มีคำว่าหมดรัก... เพราะไม่มีคำว่ารักมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ
...มันทำให้ผมต้องระแวดระวัง
‘ทำไมถึงไม่ให้บอกใครว่าคบกัน’
‘ลับๆ ล่อๆ แบบนี้ก็สนุกดีนี่ครับ’ ผมตอบไปแบบนั้นเพื่อให้พี่ที่เลิกคิ้วถามคลี่ยิ้ม
อันที่จริงมันเป็นคำโกหก
ผมก็แค่ไม่ต้องการเป็นเหมือนคนพวกนั้น... คนที่พี่ให้โอกาสเปิดเผยความสัมพันธ์ แต่ไม่เคยให้ความสำคัญ
ผมเห็นมันมาหลายครั้ง รูปแบบความสัมพันธ์ที่ทุกอย่างอยู่ในกำมือของพี่ฝ่ายเดียว นั่นมันไม่ยุติธรรม ถ้าต้องยืนอยู่กลางแสงไฟ เพื่อรอถูกสลัดทิ้งผมก็ไม่ต้องการ
ผมรู้ว่าตัวเองพิเศษกว่านั้น และจะพิเศษขึ้นทุกวัน...
‘มานี่หน่อย’
พิสูจน์จากการที่พี่ยิ่งเรียกหา แทนที่จะเริ่มผลักไสตามสูตรสำเร็จที่พี่วางไว้
‘ไม่ใช่ตรงนั้น บนตักกูนี่’ จากแค่ได้มอง กลายเป็นเคียงข้าง...
‘ตัวมึงหอมดี’
‘...’ กระทั่งใกล้เพียงลมหายใจ
‘ขออยู่แบบนี้สักพัก’
จะว่าทะเยอทะยานเกินไป หรือเพราะหลงจนหัวปักหัวปำไม่แน่ใจ
‘พี่ขี้อ้อนจัง’
รู้แค่ว่าต่อให้ต้องอยู่ในความลับแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไร
‘หึ... ก็เพิ่งหัดอ้อนครั้งแรกเหมือนกัน’
อยู่เป็นคนในความลับแบบนี้เรื่อยๆ ...ด้วยความหวัง ว่าสุดท้ายแล้วรูปแบบความสัมพันธ์ที่พี่นิยามไว้มันจะบิดเบี้ยวไป
และคนที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างกายพี่มีแค่ผม... เพียงหนึ่งเดียว
“ไหนว่าจะลด” ผมหลุดจากภวังค์หันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่เดินมาตอนกำลังจะจุดบุหรี่สูบพอดิบพอดี
หัวเราะเบาๆ ไม่คิดยี่หระขณะลนปลายบุหรี่ที่คาบไว้จนติดไฟ “มวนแรกของวัน”
เขาเลิกคิ้วล้อเลียนพลางยักไหล่ ก่อนจะเดินเข้ามาหา แย่งบุหรี่จากปากผมไป อัดพิษร้ายเข้าปอดเชื่องช้าแล้วปล่อยควัน
“เหมือนกัน”
...กลายเป็นว่าเรากำลังแชร์พิษร้ายมวนเดียวกัน
ทฤษฎีผู้สมรู้ร่วมคิดสินะ... ทำแบบนี้อาจจะตายช้าลงคนละครึ่งก็ได้มั้ง
ผมคิดขบขัน รับมวนบุหรี่ที่เขายื่นมา สูดควันและยื่นกลับไป ภาพขมุกขมัวของควันบุหรี่ปกคลุมรอบกาย... คล้ายความสัมพันธ์
ไม่มีความชัดเจนอะไรนับจากวันนั้น คำพูดของผมถูกปล่อยผ่าน... ซุกซ่อนไว้ใต้ควันบุหรี่ที่กลับมาเชื่อมเราไว้ด้วยกัน ไม่อาจแตะต้อง เพราะไม่รู้เลยว่าถ้าลองปัดออก ภาพเบื้องหลังควันจะแจ่มชัดหรือหายไป ได้แต่ปล่อยไว้อย่างนั้น... รอโอกาสครั้งใหม่
“เอาผ้าเช็ดหน้ามาคืน” หันกลับมามองคนที่ใช้ปากคาบบุหรี่ไว้ เพื่อล้วงกระเป๋าหยิบสิ่งที่ให้ยืมไปมาให้ รับรู้ได้ทันทีว่าผ้าเช็ดหน้าผืนเดิม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างน้อยก็เศษเสี้ยวหนึ่งของกลิ่นที่กลายเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ของเขา
“เจดบอกว่ามึงโคม่า” อีกฝ่ายทำลายความเงียบ ขณะยื่นมวนบุหรี่ถูกเผาไหม้กว่าครึ่งกลับมา ผมหัวเราะขืนๆ รับมันมาละเลียดควัน... อ้อยอิ่ง แล้วดับทิ้งทั้งที่ปกติคงสูบได้อีกครั้ง
เสียดาย แต่ผมพอใจจะให้มันจบลงด้วยน้ำมือตัวเอง
“ทำนองนั้น” รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร มันเป็นสาเหตุที่ผมตัดสินใจเดินออกมาสูบบุหรี่ครั้งแรกของวัน “อยากดูมั้ย”
ผมถาม แต่ไม่รอให้ตอบอะไร เดินนำเขากลับเข้าไปในสตูดิโอ นั่งลงหน้าโต๊ะเขียนแบบประจำตัว แบบร่างมากมายถูกขีดเขียนลงบนกระดาษไขที่ปูไว้เต็มพื้นที่ ถูกขีดฆ่าในส่วนที่ทิ้ง วงกลมในส่วนที่ดี ...แต่ส่วนใหญ่คือยังไม่ดีพอ
ร่างสูงเดินตามมา หลังจากกวาดสายตามองเพื่อนร่วมสตูดิโอที่สภาพร่อแร่ไม่ต่างกันก็ยิ้มขำลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ เป็นโอกาสให้ผมเปิดปากโอดครวญ
“โปรเจ็กต์ปรับปรุงย่านคนตาบอด”
ผิดเองแหละที่ผมเลือกอะไรที่ยาก ทั้งที่มีตัวเลือกอื่นให้ทำมากมาย แต่การเล่นกับความแตกต่างในระดับที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ผมไม่อยากปล่อยผ่านไป
“ครั้งแรกถูกบอกว่าง่ายเกินไป ต่อมาโดนแก้เพราะดีไซน์จัดเกินไป ครั้งที่สาม โดนตอกหน้าว่าให้ไปทำความเข้าใจยูสเซอร์ใหม่” ผมพร่ำพูดทุกความเหนื่อยใจคล้ายเจอที่ระบาย
อันที่จริงอาจไม่ใช่บุหรี่ก็ได้ที่ผมต้องการ
“ก็จริง” คนฟังหัวเราะ ผมเลยมองตาขวาง
“ให้มาช่วยนะครับ ไม่ใช่ซ้ำเติม”
อยากจะถามอย่างหน้าไม่อายว่าควรทำไง แต่พอหันมองก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นดวงตาสีรัตติกาลกวาดมองงานที่ขีดเขียนมั่วซั่วของผมอย่างตั้งใจ ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมา มองหน้าผมอย่างมีเลศนัย
“อะไร” สายตาไม่น่าไว้ใจจนต้องเลิกคิ้วถาม ขณะที่เจ้าตัวยกยิ้ม มือข้างหนึ่งยกขึ้นมา เอื้อมผ่านสะโพกไปด้านหลัง ถือวิสาสะล้วงลงกระเป๋ากางเกง
ผมได้แต่เบิกตากว้างอย่างไปไม่เป็น กระทั่งเห็นบางสิ่งที่ติดมือเขามาเลยขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะทำอะไร
“ท้าหรือจริง?” ไม่คิดว่าจะใช่เวลา แต่ผ้าเช็ดหน้าในมือกับสายตาที่มองมาก็ทำให้รู้ว่าเขาจริงจัง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการอะไร ที่แน่ๆ สายตาท้าทายคู่นั้นกำหนดคำตอบของผมไว้
“...ท้า” และเขาก็ได้รับคำตอบดั่งใจอย่างง่ายดาย
“นี่มันไม่เข้าท่า” ผมบ่นออกมาเป็นครั้งที่สี่หรือห้านับตั้งแต่ตัดสินใจรับคำท้าที่คิดยังไงก็ไม่เข้าท่าจริงๆ
ไอ้การเดินรอบคณะทั้งๆ ที่ถูกปิดตาอยู่เนี่ย
ถึงจะมีคนเดินนำแถมอนุญาตให้เกาะบ่าไว้ก็เถอะ ขอเถียงในใจว่ายังไงก็ไม่เข้าท่าอยู่ดี
“ไหนว่าต้องทำความเข้าใจยูสเซอร์” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขัน ยังคงพาผมเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ผมไม่แน่ใจว่าคือส่วนไหนของคณะ
ทั้งที่มีคนนำทางน่าจะพออุ่นใจ แต่การมองไม่เห็นก็ทำให้อดระแวงไม่ได้ ทุกสิ่งรอบตัวดูไร้ขอบเขตจนน่ากลัว ทุกการเคลื่อนไหวกลับเชื่องช้า การเดินไปข้างหน้ากลายเป็นเรื่องยาก แต่ข้อดีคือมันช่วยกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นของผมตื่นตัว
ทุกสรรพเสียงรอบกาย กลิ่นที่กระจายชัดในยามกลางคืน สัมผัสจากเท้าที่แม้จะมีรองเท้าผ้าใบห่อหุ้มไว้แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าพื้นที่เหยียบย่างอยู่คืออะไร
“ข้างหน้าเป็นบันได” เขาบอกและทำเอาผมชะงัก รั้งไหล่เขาไว้ชั่วขณะ
เกิดลังเลขึ้นมาว่าควรหยุดดีไหม... เพราะอันที่จริงเท่านี้ผมก็พอจะมีไอเดียต่อยอดได้แล้วว่าควรไปต่อยังไง
แต่บางทีอาจไม่ใช่ผมก็ได้ที่ต้องตัดสินใจ
“ไว้ใจกูมั้ย”
ในเมื่อสุดท้ายถ้าเขาอยากไปต่อ ผมก็ไม่อาจต่อต้านอะไรได้อยู่ดี
"อือ" ตอบไม่ได้เต็มเสียงหรอกว่าไว้ใจ ทว่าคำถามเดียวกลับลบทุกความระแวงออกไปได้ ยอมให้เขานำทางในความมืดต่อไป
อาจเพราะรู้ว่าถึงก้าวพลาดก็จะมีเขารองรับไว้... เป็นความรับผิดชอบของคนที่พาผมมาเสี่ยงอันตราย
“หึ” ในก้าวที่สามผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
“ไม่กลัวแล้วหรือไง” น้ำเสียงล้อเลียนทำให้ผมคลี่ยิ้ม เขาคงสังเกตได้จากแรงบีบไหล่ที่ไม่ได้แน่นเกินไปเหมือนที่ผ่านมา ทั้งที่ทางอันตรายกว่าแต่ผมกลับไม่กดดันอะไร
พอได้ก้าวแรก... ก้าวที่สองก็ง่ายดาย สาม... สี่... ตามระยะห่างหนึ่งช่วงไหล่ไปข้างหน้า สม่ำเสมอมั่นคงจนถึงขั้นสุดท้าย
พื้นคอนกรีตกลับมาราบเรียบ... ระยะห่างคงที่เมื่ออีกคนหยุดเดินนำ
และผมจงใจลดมันด้วยการเดินหน้าอีกหนึ่งครั้ง...กะระยะพอดิบพอดีเพียงปลายเท้าชิดหลังเท้า... หน้าอกชิดแผ่นหลัง... จมูกของผมได้กลิ่นหอมของแชมพูและผิวเนื้อที่ท้ายทอยจางๆ ...กระทั่งถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นนิโคตินที่ทิ้งค้างในลมหายใจ
“รู้มั้ยซีนนี้ยังขาดอะไร” ใบหน้าถูกฝ่ามือร้อนจัดยกขึ้นประคองไว้ แตะเพียงนิดให้เงยหน้าขึ้นให้นิ้วเรียวไล้ตามขอบผ้าปิดตาเชื่องช้า
...ความมืดบอดย้ำชัดถึงลมหายใจร้อนที่เคลื่อนเข้ามา
“ตามหลักการแล้วมึงควรสะดุดล้มเพื่อให้ปากประกบกัน” ผมยิ้มขำกับหลักการน้ำเน่า ก่อนจะแตะมือที่เพิ่งผละออกลงบนไหล่กว้างอีกครั้ง
คลำตามผิวเนื้อแน่นตึงขึ้นไป ไล้ผ่านลำคอ สันกราม...และหยุดลงที่แก้มทั้งสองข้าง ประคองไว้เบามือไม่ต่างกัน
มันก็จริงที่ผมพลาดไป... แต่ก็ใช่ว่าจะสร้างซีนใหม่ทดแทนไม่ได้
“ถ้าสะดุดล้มมันคงกระแทกแรงเกินไป”
“...”
“ซีนนี้พี่คงต้องทำให้มันนุ่มนวล”
ไม่ตรงหลักการน้ำเน่า ไม่เข้าข่ายฉากโรแมนติกของหนังรักชั้นดี...
แค่ริมฝีปากแตะกัน...แต่หวานล้ำเกินจินตนาการ ตอบรับสัมผัสที่เขาป้อนให้ ละเลียดลิ้มรสชาติของนิโคตินปลายลิ้นที่คงไม่ต่างจากยาพิษที่อาบแอปเปิ้ลของสโนว์ไวท์
ทว่าไม่จำเป็นต้องถูกแม่มดร้ายล่อลวง... หรือต่อให้มีป้ายเตือนถึงอันตราย ก็ไม่ลังเลที่จะกลืนกินมันลงไปทั้งคำ