“แล้วมึงบอกโบว์ว่ายังไงวะ บอกเรื่องคู่หมั้นหรือว่าบอกเรื่องเก่า ๆ.......ของกู”
“...........”
“...........”
“แค่เรื่องคู่หมั้นโบว์มันก็ร้องจนกูแทบจะทนไม่ได้แล้ว กูจะกล้าพูดเรื่องของมึงได้ยังไง..” มันพูดไม่ได้หรอกเรื่องนั้นน่ะ
“จะให้กูพูดให้ดีไหมล่ะ”
คนฟังส่ายหน้าทันที ก่อนที่ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยจะมองจ้องเข้ามาที่ดวงตาของแคป นัยน์ตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความน่าสงสาร แคปมองแล้วแทบจะทนไม่ได้ จะว่าแบงค์มันเข้ามาเป็นเพื่อนเขาทีหลังอาร์กับปอ ถึงแม้ว่ามันจะน่ารำคาญเพราะว่าคอยมาตามตื้อแต่ทว่ามันเป็นคนดีไม่น้อยไปกว่าใครๆ รู้จักกันมานาน ๆ ก็อดจะรู้สึกอดสูแทนมันไม่ได้
“มึงต้องเข้มแข็งไว้นะ”
“กูจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้นล่ะ”
“เอาน่า คิดได้แบบนั้นมันก็ดีแล้ว”
“..........”
“ลุก เข้านอนเร็ว” แคปลุกขึ้นพยักหน้าชวน แบงค์ถอนหายใจยาวเหยียดก่อนยกสองมือเสยผมที่เปียกหมาดแล้วลุกขึ้นเดินตามหลังคนตัวเล็กกว่าเขาเข้าห้องไป
“หลับตาแล้วก็นอนไปเลยกูปิดไฟเอง” แคปจัดการปิดไฟเรียบร้อยก่อนเดินไปนอนอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมห้องที่มืดมิด คนสองคนนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
ในที่สุดเป็นแคปที่หลับตาลงก่อน....หากแต่อีกคนยังไม่ได้หลับลงไปด้วย ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนจางกับดวงตาคมกริบที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายเกินกว่าจะข่มหลับได้ลง
“แคป”
“หื้อ”
หลังแคปขานรับจบร่างสูงใหญ่พลิกตัวเข้ามาคร่อมคนตัวเล็กกว่าไว้จนจมมิด สองมือกดเอาสองแขนแคปล็อคลงกับเตียงนุ่มจนคนที่ตั้งตัวไม่ทันติดเบิกตาวาวโรจน์ ตะคอกขึ้นอย่างดัง “ทำเหี้ยไรของมึงห๊ะแบงค์!”
“...........” สายตาที่จ้องลงมาแดงก่ำราวกับเปลวไฟ แบงค์ไม่ได้พูดอะไรตอบเขาเพียงแค่ก้มลงมาเรื่อย ๆ ช้า ๆ ใบหน้าคมที่แคปจ้องมองอยู่บัดนี้มันอยู่ห่างจากหน้าเขาแค่นิดเดียวเท่านั้น
“ไอ้แบงค์มึงอย่าบ้านะ”
ใกล้ชิดเข้ามาเรื่อย ๆ จนลมหายใจร้อนผ่าวสัมผัสได้ที่ปลายจมูกซึ่งเกือบจะแตะชิดกันอยู่แล้ว แคปกัดฟันแน่นจนกรามสั่น ก่อนขยับริมฝีปากพูดลอดไรฟันออกมา
“รู้ใช่ไหมถ้ามึงจูบลงมาจริง ๆ นี่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่มึงจะได้สิ่งนี้จากกู”
คำพูดเรียบ ๆ จากแคปคือสิ่งที่ดึงสติแบงค์ให้กลับคืนมาได้ เขาชะงักอยู่เพียงแค่นั้นทั้งที่ปลายจมูกโด่งแตะชิดกันเรียบร้อยแล้ว ครึ่งเซ็นติเมตรเท่านั้นก่อนที่ริมฝีปากหยักจะได้เบียดบดลงไปสัมผัสหากแต่แคปกัดปากตัวเองไว้จนเลือดไหลซิบซึมออกมา
เขาจ้องหน้าแคปอยู่แบบนั้นก่อนที่จะปล่อยมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนอีกฝ่ายแล้วเช็ดลงไปที่ริมฝีปากเล็กให้
ผลั่ก!แคปได้โอกาสผลักอีกคนจนกระเด็นเกือบตกเตียง ลุกพรวดขึ้นแล้วคว้าเอาหมอนจะเดินออกไปนอนที่ด้านนอก แบงค์รีบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้
“ไม่ทำแล้ว ขอโทษนะ”
“มึงนอนนี่แหละเดี๋ยวกูไปนอนหน้าห้องเอง” แคปว่าไม่มองหน้า
“แคป ไม่เอา กูไม่ทำแล้วเข้ามานอนด้วยกัน”
แคปส่ายหน้าบอกไม่แล้วผลักแบงค์ออกบอกให้ปล่อย เขาจะเดินออกไปแบงค์มันลุกขึ้นมาดักหน้าเอาไว้เลย
“ถ้ากูคิดจะทำกูทำต่อแล้วแคปไม่รอให้มึงลุกขึ้นมาได้แบบนี้หรอกนะ”
“ก็ถ้ากูนอนลง ใครจะมารับรองความปลอดภัยกูได้ล่ะ มึงมันบ้าไหมคิดว่าต่อไปกูจะกล้ามากับมึงอีกไหมห๊ะไอ้สัส!”
“..............”
“มึงนอนไปเหอะ”
“งั้นกูไปนอนข้างนอกเอง มึงไม่ต้องไป” แบงค์ดึงเอาหมอนในมือแคปมา เขาจะออกไปด้านนอกเองแคปจึงกระชากคืนไว้ ยืนจ้องหน้ากันสักครู่ไม่มีใครยอมลง แคปฟาดหมอนลงไว้ที่เตียงอย่างเดิมแล้วเดินตึงตังไปนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อตัว
“ถ้ากูรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกเจอว่ามึงรุ่มร่ามกับกูนะ กูจะเอามึงให้เจ็บจนตายจริง ๆ ไอ้เหี้ยแบงค์”
“ไม่ทำหรอกน่า ขอโทษแล้วไง”
“นอนได้แล้วอย่าพูดมาก”
แม้ว่าจะเป็นคืนที่ยากลำบากนักกว่าจะผ่านพ้นไปได้ทว่าในที่สุดเขาสองคนก็หลับกันไปคนล่ะฟากฝั่งของเตียง จนกระทั่งในตอนที่แสงจากดวงตะวันยามเช้าอาบม่านหน้าต่างสีหม่นสาดส่องลอดพ้นรอยแยกเข้ามาแคปถึงได้รู้สึกตัวตื่น แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาหยิบคว้าควานเข้ามาดูคือโทรศัพท์ พอเห็นว่ายังสามารถนอนต่อได้อีกหน่อยก็หลับตาลงในทันที ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่อีกฝั่งเตียงขยับตัวขยุกขยิก
แคปลืมตาโพลง
นึกได้เรื่องเมื่อคืนเขารีบลุกพรวดขึ้นนั่งเลย แบงค์ยังนอนกอดหมอนข้างหลับเป็นตายทำหน้าตาสบายอารมณ์ เขานึกอยากจะถึบมันขึ้นมาทันที เวลาไม่เมานี่มันก็เป็นเด็กดีอยู่หรอก แต่พอเมาเท่านั้นชอบทำแต่เรื่องไม่เข้าท่าบ้าตลอด นึกๆพลางเหล่ตามองไอ้คนที่นอนกรนเบา ๆ อีกรอบ ก่อนที่เขาจะลุกออกจากห้องไปจัดการทำธุรส่วนตัวทุกอย่างให้เรียบร้อย
“ทำไมมึงตื่นก่อนกูวะแคป”
นี่คือคำถามของคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องในสภาพเหมือนหมาเพิ่งฟื้นจากฤทธิ์น้ำเมา แคปนั่งอยู่ที่โซฟาพับหนังสือพิมพ์ลงแล้วเงยหน้ามอง
“กี่โมงแล้วมึงดูเวลาด้วย”
แบงค์หาวหวอดเอนตัวทำท่าจะนอนลงที่โซฟา เขามองดูเวลาด้วยสายตาแบบเบลอๆ
“ไหนมึงบอกวันนี้พี่หนึ่งนัดมึงห้าโมงเช้าไง”
จบคำพูดแคป แบงค์ลุกพรวดขึ้นอย่างเร็ว วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในห้องไม่นานเสียงฝักบัวในห้องน้ำก็ดังฉ่าขึ้น พอแต่งตัวเรียบร้อยแถบจะวิ่งถลาออกมา แคปชี้ไปที่โต๊ะอาหารในครัว
“ไม่ทันแล้ว” บอกไม่ทันแต่เดินไปเปิดฝาชีที่ครอบออก หยิบแซนวิชไข่ที่แคปทำเผื่อไว้ให้ยัดเข้าปากพลางเปิดตู้เย็นคว้านมกล่องแล้วดิ่งไปที่ตู้รองเท้า
“ลุกสิวะแคป กูสายเนี่ย” แบงค์มันพูดทั้งที่คาบของกินเต็มปาก ทั้งกระเป๋าทั้งเครื่องมืออะไรต่อมิอะไรของมัน แคปมองแล้วก็ส่ายหัว เขาเดินเข้าไปดึงเสื้อคลุมกับแฟ้มงานมาช่วยถือไว้ให้ ก่อนที่สองคนจะเข้าลิฟต์ลงไปที่ชั้นล่าง
“กูขับเอง” แคปดึงเอากุญแจรถมาแล้วเปิดเข้าไปนั่งรอ โยนทุกอย่างที่ถือมาใส่เบาะหลัง
“เหยียบให้มิดเลยนะมึง” ด่วน ๆ กูสายฉิบหายเลย
“ถูกปรับมาแล้วสองครั้งยังไม่เจียมตัวนะครับคุณแบงค์” เดี๋ยวนี้มีกล้องตรวจจับความเร็วเกือบทุกเส้นทางด่วน เข้ากรุงทีไรเจอเสียค่าปรับทุกที ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข็ด
“เออน่า เร่งให้หน่อยละกัน”
“มึงโทรไปบอกไป อาจจะเลทสักสิบห้านาทีชัวร์”
แบงค์ทำตามอย่างว่าง่าย รถฝ่ามรสุมช่วงเที่ยงของแยกนรกแตกมาได้ในที่สุดก็มาจอดลงที่ทางเข้าหน้าตึกไพร์มมีเดีย แคปเงยหน้ามองอีกฝั่งด้านข้างของตึกสูงชันเห็นกำลังมีการก่อสร้างตึกหลอดแก้วใหม่ เขาเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี่เอง ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในโครงการของรัชชาด้วย
“เดี๋ยวกูโทรหา แต่คิดว่าคืนนี้คงดึก”
“เออ เสร็จแล้วก็โทรมาละกัน”
“จะมารับใช่ป่ะ”
“ถามทำไมวะ” เขาก็รับส่งมันเวลาเข้ากรุงตลอดอยู่แล้ว
“ก็...นึกว่าเรื่องเมื่อคืน คือ มึงคงจะไม่ยกโทษให้กูอีกแล้วไง” ก็เลยถาม
แคปเหลือบมองไอ้คนที่พูดเสียงแผ่วทันที จริงๆเขานึกมาตลอดว่าท่าทางแบงค์มันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเหี้ยไรเลย ตื่นเช้ามาไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาสักคำ เพิ่งรู้ว่ามันเองก็เก็บเอามาคิดอยู่บ้างเหมือนกัน
“ก็เพราะว่ามึงไม่ได้ทำอะไรไงเราถึงยังคงเป็นอย่างเดิมได้ ซึ่งมึงคิดได้ถูกต้องแล้ว”
“ไม่โกรธกูนะ”
“มึงรู้สึกว่าผิดใช่ไหมล่ะ”
“อืม กูกลุ้มใจหลายเรื่องจริง ๆ ขอโทษว่ะ”
“เออช่างเหอะเดี๋ยวกูเข้ามารับ มึงเข้าไปทำงานได้แล้วไป พี่หนึ่งแกคงบ่นอุบแล้วป่านนี้น่ะ”
“จะกลับไปรอที่ห้องใช่ไหมวะ” แบงค์หันมาถามในตอนที่เขาก้าวลงจากรถไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นได้ มือซ้ายจับกรอบประตูรถไว้
“เปล่า วันนี้มีธุระ”
“............” ทำหน้าทำตาอยากรู้เต็มที่ว่าแคปจะไปไหน ฝ่ายคนมองส่ายหน้าให้รู้ว่าเขาไม่บอก “มึงขึ้นไปทำงานไป”
“โอเค ”แบงค์ยักไหล่ก่อนปิดประตูรถลงให้ รถมุ่งหน้าไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มินตรามีโอกาสได้นั่งมองใบหน้าคนรักของเธอแบบชัดๆใกล้ชิดขนาดนี้ เธอยังถือทั้งช้อนและส้อมคาอยู่กับมือ ในระหว่างเวลาอาหารเผลอจ้องมองเครื่องหน้าคมคายที่หมดจดเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ถึงแม้ว่านิสัยเขาจะดูเย็นชามากไป ก็ไม่อาจนำมาหักล้างกับบุคลิกที่สง่างามสมกับเป็นถึงประธานคนเล็กของรัชชาลงได้เลย เธอนั่งมองเขานิ่งงันอยู่แบบนั้นจนคนถูกมองที่ดูเหมือนจะอิ่มแล้วยกแก้วไวน์สีแดงขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วใช้สายตาถามเธอว่า จ้องหน้าเขาทำไม
“ไม่อร่อย?” เอสมองเห็นอาหารในจานเธอพร่องลงแค่นิดเดียวเท่านั้น
“เปล่าค่ะ มินต์อร่อยมากเลย” ความจริงแล้วอาหารที่ห้องรับรองของรัชชาอร่อยและน่าทานทุกอย่าง ถ้าหากเธอมาหาเขาในเวลาทำงานแบบนี้เอสจะพาเธอลงมาทานอาหารที่ห้องนี้เป็นประจำ รสชาติอร่อยถูกปากมากๆ การจัดก็ดูเรียบหรูที่สำคัญดูเหมือนอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ทุกครั้งจะเป็นของที่เธอชอบทั้งนั้นเธอจึงอดคิดไปไม่ได้ว่าเขาช่างใส่ใจ ทั้งที่ทำหน้านิ่ง ๆ แบบนั้น
“ขอบคุณนะคะเอส”
หลังมื้อเที่ยงจบลงเธอเดินเคียงคู่กับเขาขึ้นไปที่ห้องทำงานใหญ่ ปรเมทผู้เป็นเลขายืนขึ้นค้อมศีรษะให้ในตอนที่เจ้านายของเขาเดินผ่าน ช่วงเวลาบ่ายโมงเศษแล้วมินตรารู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทำงานเพราะอย่างนั้นจึงตั้งใจเลือกเฟ้นเวลาที่จะมาให้ถึงที่นี่ในช่วงเที่ยงของวันเพื่อทานข้าวด้วยกัน
“มินต์กวนคุณหรือเปล่าคะที่รัก” เธอเดินเข้าไปสวมกอดแผ่นหลังกว้างไว้ในตอนที่เขากำลังจะนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ เอสหันไปมองนิดหน่อยก่อนเบี่ยงตัวนั่งลงไปแล้วเธอจึงค่อยขยับเข้ามานั่งบนแขนของเก้าอี้ เอนศรีษะเล็กๆซบไหล่แข็งแกร่ง
เอสหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกเปิดอ่าน ปล่อยให้ว่าที่คู่หมั้นของเขากอดไป
“มินต์ไม่อยู่หลายวันคุณคิดถึงมินต์ไหมคะ” นี่เป็นการถามครั้งที่สามแล้วถ้าเขาจำไม่ผิด ตั้งแต่ก่อนกินข้าว ตอนที่กำลังกิน และล่าสุดคือถามขึ้นมาในตอนนี้ คนฟังเหลือบมองเพียงแค่นิดเดียวก่อนเพ่งความสนใจลงที่เอกสารในมือต่อ มินตราเองก็มองดูบ้าง เธออยากรู้ว่ามันคืองานอะไรกันที่สามารถดึงความสนใจเขาให้มากกว่าตัวของเธอได้
“ที่รักตอบสิคะ คุณคิดถึงมินต์ใช่ไหม”
“อืม คิดถึงครับ” เขาตอบเรียบ ๆ คำพูดที่บอกว่าคิดถึงทำให้เธอดีใจถึงแม้ว่าหน้าตาและน้ำเสียงจะไม่ได้บ่งบอกว่าคิดถึงเธอเลยสักนิดก็ตาม “ดีใจจังเลยค่ะ”’
เอสฟังแล้วนิ่งไป เขาวางงานในมือลงก่อนแตะที่แขนเธอเบา ๆ “มินต์”
“คะ?” เธอขานรับอย่างตระหนกนิดๆ นับครั้งได้ที่เขาจะเรียกชื่อเธอแล้วดึงให้ขยับเข้าใกล้เหมือนกำลังจะพูดอะไรด้วยแบบนี้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางที่ให้ความรู้สึกของบุรุษเพศที่สะอาดแข็งแรงผสมไปกับกลิ่นบุหรี่อ่อนๆจากกายชายหนุ่ม เธอเลื่อนปลายจมูกเฉียดเข้าที่แก้มเขาอย่างตั้งใจ
เอสไม่ได้หลบ
“ว่าไงคะที่รัก”
“มีคนมาจีบคุณบ้างหรือเปล่า”
เธอชะงักทันทีที่ได้ยิน ทั้งดีใจทั้งตกใจ ไอ้คนเข้ามาจีบมันก็ต้องมีอยู่แล้วเธอทั้งสวยทั้งหน้าตารูปร่างดีขนาดนี้ เป็นถึงนางแบบ แต่ไม่เคยคิดฝันว่าคนเย็นชาอย่างเขาจะถามขึ้นมาได้
นี่เขาหึงเป็นด้วยงั้นหรือ
“ทะ...ทำไมเหรอคะเอส มินต์ไม่เคยนอกใจคุณเลยนะ” ดีใจจนแทบพูดออกมาไม่เป็นคำ เอสดึงให้เธอขยับเข้ามาใกล้เขาอีกนิด เธอยิ้มจนหน้าแดงแจ๋ กล่าวถ้อยคำปฏิเสธขึ้นมาเป็นพัลวัล “มินต์ไม่มี...”
“มองคนอื่นบ้างก็ได้”
“.....!!!....” หากแต่รอยยิ้มนั้น ยิ้มได้แค่ไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำเธอถึงกับตะลึงงันรีบหุบยิ้มลงแบบแทบไม่รู้ตัวเหตุเพราะประโยคแสนเย็นชาและโหดร้ายถัดมาของเขา
“อย่ารักผม มากกว่ารักตัวคุณเองเลยนะ”
ความรู้สึกของคนที่ถูกดึงขึ้นไปบนที่สูงแล้วถูกผลักตกลงมาที่พื้น เธอค้างนิ่งอยู่แค่ตรงนั้นเพราะว่าหลังจากที่พูดจบเขาพยักหน้าให้เธอเบา ๆ สายตาคมกริบราวกับบังคับให้เธอต้องยอมเข้าใจ ก่อนที่มือของเขาจะวางปากกาลงแล้วยกหูโทรศัพท์เรียกเลขาให้เข้ามา
เธอจึงต้องผละออกจากเขาแบบจำใจ เดินไปนั่งรออยู่ที่โซฟารับรอง เปิดนิตยสารอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคิดไปว่าเย็นนี้คงจะรอกลับพร้อมกัน
ในขณะที่ปอยืนรับงานจากเจ้านายของเขาอยู่ที่หน้าโต๊ะ เอสยื่นซองเอกสารส่งให้ ในตอนที่เขารับมาเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำที่วางอยู่ข้างแม็คบุ๊คที่ปิดฝาพับไว้อย่างเรียบร้อยกลับดังขึ้น เจ้าของเครื่องหยิบขึ้นมาแล้ววางมันลงก่อนใช้สายตาบอกให้รู้ว่าหน้าที่ของเลขาควรเข้ามาจัดการกับโทรศัพท์ที่เจ้านายไม่ต้องการรับสายและมันกำลังแผดร้องลั่น
พอปอมองเห็นว่าเป็นชื่อใครโชว์ขึ้นที่หน้าจอ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่คุณมินตราว่าที่คู่หมั้นของเจ้านายนั่งอยู่ เอสจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาออกไปที่ด้านนอก สองคนมาหยุดลงในห้องกระจกซึ่งเป็นโซนสูบบุหรี่ เอสกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงกับพนักโซฟาไว้พลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ขณะที่ปอรู้หน้าที่ดียกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแทนแล้วเรียบร้อย
ควันบุหรี่สีหม่นลอยคละคลุ้ง สายตาคมกล้ามองเลขาส่วนตัวที่กำลังคุยต่อคำอยู่กับคนที่ปลายสายสักพักก่อนจะกดวางลงไป เอสยื่นมือไปขอโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา
“คุณโบว์บอกว่าอยากจะคุยกับคุณน่ะครับ ถึงผมจะปฏิเสธไปแต่เธอก็คงจะโทรหาคุณอีกอยู่ดี”
“เมื่อคืนเธอโทรหากูทั้งคืน”
เอสหันมองไปที่ด้านนอก ภาพที่สะท้อนให้เห็นหลังกระจกบานใสที่โอบล้อมตัวตึกคือภาพของแม่น้ำสายหลักที่ทอดผ่านด้านหน้าของบริษัทซึ่งทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ตึกหลักของรัชชาถือเป็นจุดชมวิวที่งดงามเป็นอันดับต้น ๆ ของมหานครแห่งนี้ หวนนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา โบว์โทรหาเขาทั้งคืน แทบไม่ได้หลับได้นอน ผู้หญิงบางคนหน้าตาน่ารักท่าทางเรียบร้อยกลับน่ากลัวฟูมฟายยิ่งกว่าผู้หญิงที่ดูเปรี้ยวจี๊ดแต่เข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหลังจากคืนวันเกิดนั่น เขาอาจจะต้องบอกความจริงกับเธอเรื่องของมินตรา แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่พูดจาสารภาพธรรมดาในขณะที่คนฟังปลายสายร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดจะให้เขาออกไปหาท่าเดียวหากแต่เขาเพียงแค่ปฏิเสธ เธอกลับร้องไห้ออกมาอีกรอบแล้วบอกยอมรับได้ทุกอย่างขอแค่เขายังทำตัวเหมือนเดิมกับเธอ
“ก็คุณไปสร้างเรื่องอะไรไว้ล่ะครับ”
เอสเบนสายตาเย็นยะเยือกเหลือบมองคนที่พูดก่อนจะส่ายหัวแล้วลุกขึ้นผลักบานประตูออกไป เขาเดินมาหยุดลงที่โต๊ะของปอก่อนดึงแฟ้มรายงานที่วางอยู่ยื่นส่งให้ “งานดีนี่”
“นายเห็นแล้วหรือครับ” มันเป็นรีพอร์ตแบบด่วน ๆ ที่ปอเพิ่งปั่นเสร็จเมื่อคืน รายงานที่เขาขึ้นเหนือไปจัดการพนักงานบางคนที่ทุจริตเรื่องเงินของรัชชา นี่เป็นงานภายในซึ่งเอสส่งเขาไปทำ ตอนเช้าเอาเข้าไปวางไว้แต่เห็นว่ามันไม่ขยับจากจุดเดิมแล้วเอสก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาจึงเอากลับออกมาว่าจะแก้ไขใหม่แล้วพรุ่งนี้ค่อยส่งอีกที
“เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ผมนึกว่าคุณยังไม่มีเวลาอ่านครับ”
“อ่านสิ”
“ครับนาย ผมจัดการตามคำสั่งทุกอย่างครับ ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ เรื่องเลขาของคุณสุรชัยเป็นอีกเรื่องที่ต้องรอคำสั่งอนุมัติ เขาอยากได้เลขาเก่าขึ้นไปช่วยเหลืออยู่ที่นั่นด้วย เรื่องนี้ต้องรอนายอนุมัติอีกทีครับ”
“ฝ่ายบุคคลว่ายังไง”
“ฝ่ายบุคคลยังไม่ทราบครับ” เอสพยักหน้ารับรู้ คำสั่งภายในแบบนี้ฝ่ายบุคคลจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเขาอนุญาตแล้วเสมอ
“มึงจัดการให้เรียบร้อย คิดเห็นว่ายังไงก็อนุมัติลงไปแล้วกัน เรื่องนี้กูให้สิทธิ์มึงตัดสินใจแทนได้ โคฯกับเอชฺอาร์ให้ดีด้วย”
“รับทราบครับ” ปอค้อมศีรษะรับคำ ในตอนนั้นเอสมอบงานอีกอย่างหนึ่งให้กับเขา
“ไปทำตอนนี้หรือครับนาย”
“ใช่”
“แต่ว่าคุณมินตรา..” เธออยู่ด้านใน
“มินตราทำไม เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นกูนะถ้าจำไม่ผิด” คนฟังดูหน้าสลดลงทันที เอสมองแล้วก็ส่ายหัวก่อนจะกำชับว่าให้รีบไปรีบกลับ เขาจึงโค้งรับคำสั่งอีกหน จุดหมายคือทั้งตลาดหลักทรัพย์ ทั้งที่ทำการธนาคารใหญ่ตึกปีกอินทรีย์สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของแวดวงการเงินแห่งรัชชา ซึ่งที่นั่นคนนั่งกุมบังเหียนคือท่านเจ้าสัวใหญ่และนายหญิง
เพราะอย่างนั้นสามชั่วโมงมันจะเสร็จทันไหม
แสงแดดยามบ่ายร้อนจนแสบตาในตอนที่แคปก้าวออกมาจากร้านกาแฟเล็กๆ เขาเงยหน้ามองหอคอยชั้นบนสุดของตึกกระจกที่สูงตะหง่านจนเสียดฟ้าฝั่งตรงข้าม มีป้ายทางเข้ายิ่งใหญ่อลังการ “อัครรัชชานนท์” ก้มมองดูเวลาที่ข้อมืออีกหน เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขสองเศษแล้ว ถึงตั้งใจนั่งแหงกเล่นเน็ตอยู่ในร้านกาแฟนานนับสองชั่วโมง ขบคิดและชั่งใจเรื่องที่จะต้องเข้าไปหาใครบางคนที่ตึกนั่น
แคปต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างปอในตอนที่รอกลับรถเพื่อใช้ถนนอีกฝั่ง แต่ทางนั้นดูเหมือนจะปิดเครื่องเอาไว้ เขาพยายามติดต่ออยู่ราวๆสามสี่หนจนรถต้องบังคับเลี้ยวเข้าตัวบริษัท จึงได้วางสายไปก่อน
“สวัสดีครับ ขอดูบัตรด้วยครับ” แคปลดกระจกลงเพื่อคุยกับพนักงานรักษาความปลอดภัย รปภ.ของที่นี่แม้กระทั่งชุดยังใส่เสียเต็มยศ ติดอาวุธเต็มเอว เผลอคิดในใจตายห่าแล้วกูจะต้องเอาบัตรประชาชนแลกเหรอวะ แล้วไอ้เพื่อนปอบ้าแม่งโทรหาเท่าไหร่ไม่ติด เดี๋ยวตูออกไปตั้งหลักก่อนค่อยวกเข้ามาใหม่มันจะดูน่าสงสัยรึเปล่า
“ใช้บัตรประชาชนได้ไหมครับ” แคปดึงบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งให้คุณ รปภ. หลังจากรับไปดูเขายื่นส่งคืนให้
“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระติดต่อเรื่องอะไรกับที่นี่ครับ คุณต้องมีบัตรผ่านเข้าจอดรถนะครับและนอกเหนือจากนั้นตอนที่คุณเข้าไปติดต่อที่ฟร้อนเขาจะขอให้คุณยื่นบัตรแสดงตัวอีกรอบครับ สรุปแล้วคือคุณต้องมีทั้งบัตรเข้าอาคารจอดรถและบัตรสำคัญแสดงตัวว่าคุณมาพบกับใครที่แผนกไหนครับ”
“ผมมาทำธุระน่ะครับ คือผมเข้าใจว่าต้องแลกบัตรแต่ว่า เอ่อ...”
“ผมเสียใจจริงๆครับที่ไม่สามารถให้คุณผ่านเข้าไปได้ ถ้ายังไงคุณลองติดต่อไปที่บุคคลที่คุณมาพบแล้วบอกให้โทรเข้ามาที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยของตึกนี้นะครับ ไม่ก็ให้ติดต่อที่ฟร้อนชั้นหนึ่ง ขอบคุณครับผม” พูดจบทำความเคารพคล้ายกับทหาร แคปทำหน้าไม่ถูก นึกได้อีกทีเขาก็ถามออกไปแล้วว่าสามารถจอดรถไว้ที่ด้านนอกได้ใช่หรือเปล่า
“ได้ครับ บุคคลทั่วไปสามารถจอดที่ลานด้านหน้าได้เลย”
แคปพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณก่อนเลื่อนรถออกจากตรงจุดนั้นแล้วไปหาที่จอดกลางแดดอยู่ที่ลานจอดด้านหน้าซึ่งเต็มไปด้วยบรรดารถยนต์หลากหลายยี่ห้อยิ่งกว่าหน้าห้างฯ กว่าจะหาช่องเข้าจอดได้ทำเอาเขาหัวเสียกับอากาศร้อน ๆ และบ่นอุบอิบกับตัวเอง
“ยุ่งยากฉิบหาย กูไม่ขึ้นไปหาซะดีมะ!” บ่นไปแบบนั้นก็จริงทว่าเดินเข้าประตูกระจกหมุนอัตโนมัติเข้ามาแล้วเรียบร้อย แคปรีบก้มมองดูเสื้อผ้าของตัวเองเพราะคนที่เดินสวนออกไปมองเขาแบบเหลียวหลังเลยทีเดียว
“รับสักทีสิวะไอ้หมาปอ มึงนะมึง” เขายกโทรศัพท์ต่อหาปออีกสักครั้งก่อนที่จะนึกแค่นแค้นในใจเหตุเพราะไอ้เพื่อนตัวดียังคงปิดเครื่องไว้ จนแคปเผลอคิดไปว่าบางทีมันอาจติดประชุมไหมยังไง แล้วถ้ามาแล้วไอ้ตัวคนนัดไม่อยู่เขาจะได้กลับ
เปล่า..ไม่ได้ผิดสัญญา แต่มาหาแล้วมึงดันไม่อยู่เองนี่
“เอ่อขอโทษนะครับ ผม...” แคปชะงักนิดหน่อยตอนที่เดินเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับสาวสวย เธอจ้องเขาตาแป๋วรอฟังคำพูดของเขาเต็มที่ แต่แคปก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าหากบอกว่าตัวเองมาติดต่อขอพบกับท่านประธานของที่นี่มันอาจจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่ เขาจึง..
“ผมมาติดต่อพบคุณปรเมทครับ คุณปรเมท.....” แคปบอกชื่อสกุลจริงของปอไป เธอจึงพยักหน้ายิ้มรับแล้วบอกให้เขารอสักครู่ แคปเห็นเธอยกหูโทรศัพท์กดต่อสายอยู่สักพักก็เปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือแล้วแจ้งเขาว่า
“คุณปรเมทไม่อยู่ค่ะ ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจะมีแขกมาติดต่อพบ ต้องรบกวนคุณรออยู่ที่นี่นะคะ”
“แล้วไม่ทราบว่าเขาจะกลับมาช่วงไหนครับ” ไอ้สัสปอเอ๊ยมึงกลายเป็นท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ กูติดต่อมึงไม่ได้ต้องมาบากหน้าพูดจาเหมือนกับคนไม่รู้จักกันซะงั้น เซ็งสุดดด
“สักครู่นะคะ” มีสายภายในเข้ามาเธอจึงยกหูรับ พอวางลงไปก็บอกกับแคปว่า “น่าจะเป็นช่วงเย็นค่ะ ไม่ก็ จะไม่แวะเข้ามาแล้วรบกวนคุณติดต่อวันพรุ่งนี้เลยค่ะ” เธอยิ้มหวานให้หลังจากพูดจบแล้วทำท่าจะผละออกไป แคปจึงเรียกเธอไว้อีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าพบเจ้านายของคุณปรเมทแทนได้ไหมครับ”
“ถ้าจะเข้าพบท่านประธานคุณจะต้องมีบัตรค่ะ ไม่มีบัตรผ่านให้เข้าพบไม่ได้นะคะ”
“แต่..ผมไม่มีบัตรจริง ๆ ครับ”
“ดิฉันขอโทษด้วยค่ะ เราให้คุณเข้าพบท่านไม่ได้ คุณเอสเธอร์เป็นเจ้านายสูงสุดของที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าพบโดยไม่มีบัตรที่แสดงสิทธิพิเศษนะคะ”
แคปจะพูดอะไรต่ออีกสักอย่างแต่พอดีว่ามีพนักงานหญิงที่ดูสูงวัยมากกว่า สวมแว่นสายตาเลนส์แหลม มวยผมเก็บเรียบร้อยเหมือนคุณครูฝ่ายปกครองเดินเข้ามาถามเธอว่ามีอะไรที่จัดการไม่ได้งั้นหรือ หลังจากคุยกับเธอได้สักพักคุณคนใหม่นั้นใช้สายตามองจิกมาที่แคปแล้วเดินเข้ามาหาเขาใกล้ ๆ พอเธอก้าวพ้นจากเคาน์เตอร์มาถึงได้รู้ว่า เธอขยับแว่นไล่มองตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว
โหดน่าดูยัยผู้หญิงเฮี้ยบคนนี้
“คุณมาจากบริษัทไหนหรือคะ”
“.............” มาจากสวนผลไม้แถวชานเมืองระยองอ่ะ
“คุณไม่มีบัตรเข้าพบ ดิฉันคงจะต้องเชิญคุณให้มาพบท่านที่คุณต้องการทำธุระด้วยในวันหลังค่ะ บอกให้คนของคุณแจ้งทางเราไว้และกรุณาแต่งกายให้เรียบร้อย ถ้าเป็นไปได้ควรสวมใส่สูทรวมถึงสวมรองเท้าหนังหุ้มส้นนะคะ”
แคปก้มลงมองการแต่งกายของตัวเองตามสายตาดวงสวยที่กำลังกวาดมองตัวเขาของเธอ มันไม่สุภาพเหรอวะ เสื้อทีเชิ้ตกับกางเกงยีนส์แบบนี้ แล้วรองเท้าก็นะ ผ้าใบสีนี้มันยังดูสุภาพไม่พอใช่ไหม
“ผมขอโทษเรื่องการแต่งกายครับ แต่ผมจำเป็นต้องติดต่อกับคุณปรเมท ในเมื่อเขาไม่อยู่ผมจึงต้องขอติดต่อท่านประธานของที่นี่แทนครับ”
“ท่านประธานของเราไม่อนุญาตให้คนไม่มีบัตรแสดงตัวเข้าพบค่ะ”
“ผมยื่นบัตรประชาชนไว้ได้ครับ คุณช่วยกรุณาโทรขึ้นไปติดต่อให้ผมสักครู่”
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ทางเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เรียนเชิญคุณกลับออกไปค่ะ อย่าให้ดิฉันต้องเรียกใช้งาน รปภ.เลย”
แคปเลือดขึ้นหน้าเลยทีนี้ ท่าทางคงจะดูเหมือนนักเลงที่กำลังคุกคามเธออย่างไรเขาไม่ทราบได้ หากแต่หลังจากนั้นมี รปภ.สองคนเข้ามายืนประชิดตัวเขาแล้วบอกให้ออกไปรอที่ด้านนอกแทน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนที่เอสเลื่อนแฟ้มงานที่เพิ่งเซ็นต์อนุมัติลงไปเสร็จเรียบร้อย เขาเบนสายตาไปมองที่หน้าจอเครื่องที่สั่นเรียกก่อนยกขึ้นมากดรับ
เป็นสายจากเลขาส่วนตัวที่เขาใช้ให้ออกไปทำธุระ