บทที่ 17
“ผมบอกคุณแล้วว่าอยากจะมาคุยเรื่องลูกความคนหนึ่งของคุณที่ชื่อเอลเลียต เทย์เลอร์” วินเซนต์ ดี. เลสเตอร์ ทนายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงในการว่าความคดีให้ฝั่งจำเลย แน่นอนว่าลีเคยได้ยินชื่อของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทอง นัยน์ตาสีฟ้าเฉียบคมและท่าทีแบบผู้ดีอังกฤษที่มาพร้อมกับสำเนียงของเจ้าตัว ใบหน้าหล่อเหลาเกินความจำเป็นนั่นก็สมคำร่ำลือ แต่เลสเตอร์ตัวจริงหนุ่มกว่าที่หล่อนคิดไว้มาก ก็จากชื่อเสียงเรียงนามที่ได้ฟังมาแล้ว ส่วนมากคนที่ได้อยู่ในระดับนี้อายุน้อยๆ กันเสียที่ไหน
หล่อนเชิญให้เขานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานหลังจากที่จับมือและทักทายกันพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงหล่อนคงรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นยินดีที่จะได้คุยกับทนายจำเลยชั้นแนวหน้า แต่เพราะเรื่องที่เลสเตอร์ต้องการจะคุยเกี่ยวกับเทย์เลอร์ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนเครียดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ทำเอาลียิ่งขยับอย่างไม่สบายตัวเท่าไร
แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เรียบเรียงคำพูดได้อย่างมืออาชีพ
“ฉันคิดว่าคุณคงได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์หรือในอินเทอร์เน็ตมาบ้าง” หล่อนว่า สมัยนี้ใครๆ ก็พึ่งพาโลกออนไลน์กันทั้งนั้น “และคุณก็น่าจะรู้ว่าเขาหายตัวไปจากโรงพยาบาลหลังจากที่โดนแทงจนเกือบตาย”
“แต่ในข่าวนั่นบอกว่าเขาหนีไป” เลสเตอร์ยิ้มเหยียด และในฐานะทนายที่ทำงานให้ฝั่งจำเลยเหมือนกัน ลีสามารถตีความได้ว่าเขายิ้มเหยียดพวกตำรวจหรือไม่ก็คนเขียนข่าวที่ใส่ร้ายลูกความของหล่อน และนั่นทำให้ลีรู้สึกสบายตัวมากขึ้นกับการคุยกับอีกฝ่าย
“ค่ะ คนเพิ่งโดนแทงมาสามที เข้าห้องไอซียู เข้าห้องผ่าตัด คงจะหนีไปได้ไกลมาก”
“คนพวกนั้นก็หาข้ออ้างมาได้ตลอดว่าแบบ คนร้ายคงมีแบ๊คอัพหรือมีพรรคพวกคอยช่วย”
“ไม่ได้คิดเลยว่าที่เขาเพิ่งโดนแทงมาแบบนี้ก็เพราะข้างในเรือนจำดูแลไม่ดี”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเข้าใจกันดี ทนายจำเลยไม่ถูกกับตำรวจ เป็นเรื่องที่รับรู้กันผ่านทางสายอาชีพอยู่แล้ว
“ก็… อย่างที่ว่าแหละค่ะ คุณเลสเตอร์” ลอเรน ลีขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ หากชายหนุ่มอีกคนไม่ถือสา เขากลับพูดง่ายๆ ว่า
“เรียกผมว่าวินเถอะครับ คุณลี”
“ค่ะ งั้นเรียกฉันว่าลอเรนนะคะ อย่างที่ฉันกับคุณทราบกันดี ตอนนี้เอลเลียต เทย์เลอร์หายตัวไป ไม่ว่าเขาจะหนีไปเองอย่างที่พวกตำรวจว่า หรือจะหายไปด้วยเหตุผลอื่นอย่างที่เราเดา แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในที่ที่เราจะหาตัวเจอได้ เพราะงั้นถึงฉันจะเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ฉันไม่รู้จะช่วยคุณยังไงดีจริงๆ ค่ะ”
วินเซนต์นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด นัยน์ตาสีฟ้ามองคู่สนทนาตลอดอย่างจับสังเกต และเขาก็รับรู้ได้ว่าลอเรนไม่ได้โกหก หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าเทย์เลอร์ไปอยู่ที่ไหน แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะก้าวต่อในกระดานเกมนี้
“คุณทราบไหมครับว่าทำไมผมถึงอยากคุยกับคุณเรื่องเขา”
“ให้ฉันเดานะคะ” หญิงสาวว่าอย่างคนที่ทำการบ้านมาดี “เรื่องของแจ๊ค พอร์เตอร์ใช่ไหม เทย์เลอร์เป็นคนส่งผู้ชายคนนั้นเข้าตาราง และตอนนี้เขาก็เป็นลูกความของคุณ”
“ใช่ครับ” วินว่า ไม่แปลกใจที่ลอเรนจะสืบหาข้อมูลตรงนี้มาก่อน “และจากที่ผมได้คุยอะไรหลายๆ อย่างกับเขา ผมว่าผมมีหนทางช่วยลูกความของตัวเองรวมถึงลูกความของคุณด้วย มันจะเป็นการพึ่งพาอาศัยกันแล้วก็ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพียงแค่เทย์เลอร์ช่วยขึ้นให้การในศาลสักหน่อยเท่านั้น”
“คุณเจออะไรมางั้นเหรอคะ”
นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มประกายวูบอ่านยาก เหมือนเขากุมอะไรบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเอาไว้มากๆ แต่ในขณะเดียวกันเพราะสิ่งนั้นเองก็ทำให้เขาต้องระวังมากขึ้นมาเงาตามตัว
ในที่สุดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง วินก็พูดขึ้นมา
“แจ็ค พอร์เตอร์ ลูกความผมตัดสินใจที่จะให้รายชื่อคนภายในเพื่อขอลดโทษ”
“คนภายในแก๊งอย่างนั้นเหรอคะ? ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่ใช่คนในแก๊งธรรมดา เพราะเขามีตำแหน่งอยู่ในกรมตำรวจประจำเขตของคุณ”
ลอเรน ลีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หล่อนอึ้งไปจริงๆ กับข้อมูลนี้ “คุณพูดจริงเหรอ? ”
“ผมไม่ได้พูดครับ ลูกความผมต่างหากที่พูด”
ลีลาแบบพวกทนาย ไม่ยอมรับอะไรที่อาจนำความเดือดร้อนเข้าตัวง่ายๆ ลอเรนเข้าใจดี
“ฉันไม่ได้อยากว่าร้ายลูกความนะคะ วินเซนต์ แต่คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้โกหก”
“มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผมเชื่อเขา นักสืบของผมเองก็พอจะสืบเบาะแสที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้พอร์เตอร์ยืนยันเสียงแข็งว่าลูกความของคุณ… เอลเลียต เทย์เลอร์ หรือที่คนในกลุ่มเรียกกันว่าอายออฟไอเดนมีส่วนเกี่ยวข้องแล้วก็รู้เห็นมากที่สุดในเรื่องนี้ เขาหาหลักฐานมามัดตัวคนฝั่งนั้นได้ และคำให้การของเขาจะทำให้คำพูดของลูกความผมมีน้ำหนักมากขึ้น”
ถึงตรงนี้ลอเรนต้องระมัดระวังแล้ว แค่อ่านสีหน้าเจ้าหล่อนวินก็เดาได้ว่าลีกำลังคิดอะไร
“แต่คุณแน่ใจเหรอคะว่านั่นจะไม่ทำให้ลูกความของฉันต้องรับโทษมากขึ้น”
“ขึ้นอยู่กับวิธีการพูดของพวกเรา” เขาจงใจใช้คำว่าพวกเราเพื่อให้ลอเรนรู้สึกว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว “แต่เชื่อผมเถอะว่าชื่อนี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน ทั้งลูกความของผมและลูกความของคุณจะได้ผลประโยชน์อย่างมากทีเดียว ติดอยู่แค่ว่าเพราะอีกฝั่งเป็นวงในที่ตำแหน่งค่อนข้างสูง เพราะงั้นเราต้องระวังกันพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงกระทบหลายฝ่าย”
“คุณบอกฉันได้ไหมคะว่าคนที่ลูกความคุณกล่าวหาเป็นใคร ที่ว่าเป็นวงในของฝั่งตำรวจนั่น”
“คุณไม่อยากรู้หรอก ลอเรน”
“เรากำลังจะทำงานร่วมกันไม่ใช่เหรอคะ”
ถึงคราวที่วินต้องระมัดระวังบ้างแล้ว เขาตรึกตรองในหัวครู่หนึ่งก่อนจะถามย้อนสั้นๆ
“เทย์เลอร์ไม่เคยพูดกับคุณเรื่องนี้เลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ ฉันถึงไม่ค่อยแน่ใจไงคะว่าลูกความของคุณพูดความจริงอยู่รึเปล่า”
วินเซนต์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว
“จูเลียน ฮอร์ตัน”
ถึงตรงนี้ลอเรนก็ลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ มองหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากจะเชื่อ หากสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดของวินทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขาพูดเรื่องจริง
"คุณต้องล้อฉันเล่นแน่"
"หน้าผมเหมือนคนที่กำลังล้อเล่นงั้นเหรอ แต่แน่นอนว่าต่อให้เราได้ข้อมูลตรงนี้มา แต่ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรมามัดตัว มันก็จะเป็นแค่ลมปาก แล้วก็อย่างที่คุณรู้ว่าคำพูดจากฝั่งจำเลยไม่เคยเป็นที่น่าเชื่อถือเวลาอยู่ในศาลอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเล่นให้ถูกทาง หาหลักฐานและพยานที่ชัดเจนและแน่นพอมาได้ คดีนี้จะใหญ่แบบที่สะเทือนได้ทั้งนิวยอร์ก"
"คุณก็เลยต้องการตัวเทย์เลอร์"
"ผมเชื่อว่าเขาจะช่วยลูกความผมได้ ใช่"
"แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน" ลอเรนพูดขณะมองตาวินตรงๆ "ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน วิน"
วินเซนต์กลบเกลื่อนความผิดหวังของตัวเองไว้ในสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างแนบเนียน เขารู้ว่าลอเรนไมได้โกหก แต่เขาก็ยังพยายามที่จะคว้าอะไรก็ได้ที่อาจพอมีหวัง
"คุณเป็นทนายของเขา ลอเรน" ชายหนุ่มว่าพร้อมกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ "ถ้าเกิดว่าเขาติดต่อคุณมา ผมอยากให้คุณคุยกับเขาเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าที่เขาไม่ยอมพูดอะไรกับคุณเพราะความเสี่ยงมันมากเกินไป แต่ตอนนี้จะไม่ได้มีแค่เสียงเขาเสียงเดียวอีกแล้ว เพราะงั้นบางทีเขาน่าจะตอบรับข้อเสนอของผม"
"ค่ะ" ลอเรนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ถ้าเขาติดต่อมา"
และเพราะใบหน้ากับน้ำเสียงนั่น วินจึงเอ่ยปากถาม "คุณคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม"
ลอเรนยิ้มเครียด "ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งนั่นแหละค่ะ จนกระทั่งคุณพูดว่าฝั่งที่อยู่ตรงข้ามเขาเป็นใคร ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาจะไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ฉันหรือพวกตำรวจฟัง แล้วตอนนี้คุณก็ถามว่าฉันคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม คุณคิดว่าฉันควรคิดยังไงล่ะคะ? "
วินไม่ตอบ แค่พยักหน้าทีหนึ่งเป็นเชิงรับรู้เท่านั้น
ทนายจำเลยทั้งสองคนรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่ว่าเอลเลียต เทย์เลอร์ไปกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งละก็ ป่านนี้เขาคงโดนเก็บ และคงไม่มีโอกาสที่ใครๆ จะได้เจอศพเป็นแน่
…
หลังจากวันที่คีลพาเอลเลียตออกมาจากโรงพยาบาลก็ปาเข้าไปเกือบสี่เดือนแล้ว
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลมั่นใจว่าตัวเองฟื้นตัวและแข็งแรงมากพอที่จะเคลื่อนไหว ทำอะไรต่างๆ ได้ตามปกติแล้ว ดังนั้นต่อให้คีลจะคัดค้านยังไง เอลเลียตก็ยืนยันที่จะขอเข้าร่วมการประชุมของทีมเฉพาะกิจที่แอบสืบเรื่องที่เขาเคยให้ข้อมูลไปอย่างลับๆ
"ถึงยังไงเรื่องทั้งหมดนี่มันก็เริ่มเพราะผม" เอลเลียตว่าเสียงแข็งหลังจากที่โดนคีลออกปากห้ามคืนก่อนหน้าที่จะมีการประชุม "ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงนะ คีล แต่คุณไม่มีสิทธิ์กันผมออกจากกลุ่ม ยิ่งหลังจากที่คุณหมอโจดี้บอกว่าผมแข็งแรงดีแล้วด้วยแบบนี้"
ใบหน้าคมยังมีสีหน้าปั้นปึ่ง ไม่พูดอะไรตอบ เอลเลียตจึงพูดด้วยสุ้มเสียงอ่อนลง
"ผมเองก็เคยทำงานกับทีมของคุณมาก่อน จำได้ไหมครับ เชื่อผมเถอะ ผมช่วยได้แน่ๆ ผมจะไม่ทำตัวเป็นภาระคุณหรอก"
"ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย เอล"
"ผมรักคุณนะ คีล" เอลเลียตสบตาคนรักตรงๆ "แต่ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง และคุณเองก็ควรเลิกประคบประหงมผมเกินความจำเป็นได้แล้ว ผมหายดีแล้วจริงๆ "
นั่นแหละ การประชุมช่วงหัวค่ำในวันถัดมาเอลเลียตถึงได้มานั่งหัวโด่อยู่กับทีมสืบสวนจำเป็นของเขาด้วย แถมการที่เอาเอลเลียตมาร่วมทีมด้วยก็ไม่มีใครค้าน เพราะทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาต้องการคมเพิ่ม เพราะการสืบสวนที่กำลังทำอยู่นี่เป็นการทำอย่างลับๆ พวกเขาต้องทำคดีที่เป็นงานประจำควบคู่ไปด้วย แต่ละคนจึงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ที่จะได้คนร่วมทีมเพิ่ม
คงมีแต่คีลคนเดียวเท่านั้นแหละที่อารมณ์ไม่โสภากับเรื่องนี้
"เอาล่ะครับ ขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้ ฟอร์ด อาการป่วยของคุณเป็นไงบ้าง หวังว่าคุณคงไม่ได้ฝืนตัวเองมากเกินไปนะ"
ชายหนุ่มที่ใส่ผ้าปิดปากโบกมือขึ้นในอากาศ "ผมดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ วิลล์ ไม่ต้องเป็นห่วง"
"ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มการประชุมของวันนี้กันเลยเถอะ ใครมีอะไรอัปเดตให้ผมฟังบ้าง"
เอลเลียตหันหน้าไปมองเจนนิเฟอร์ เคลลี่ที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน หล่อนทำการติดตามฮอร์ตันโดยแท็คทีมกับจอร์แดนที่เก่งด้านเทคโนโลยีมากกว่า หลังจากนั้นฟอร์ดก็เริ่มรายงานสรุปสถิติเกี่ยวกับคนร้ายแก๊งที่ปล้นธนาคารที่ยังจับกุมไม่ได้
"เหมือนพวกมันไหวตัวทันตลอด หลายครั้งแล้วที่เราระบุแหล่งกบดานของพวกมันได้ แต่พอบุกไปก็ต้องปะทะกันหรือไม่ก็ไม่เจออะไรเลย"
"เพราะว่าเราจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบทุกครั้งใช่ไหม และฮอร์ตันก็ต้องรู้" จอร์แดนเสนอความเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของทุกคน
"ไม่มีทางที่เราจะบุกเข้าไปในรังโดยที่ไม่ต้องแจ้งเบื้องบนเลยเหรอครับ" ฟอร์ดหันไปถามเคลลี่ที่เป็นเจ้านายโดยตรงของตัวเอง หญิงสาวส่ายหน้า
"เราไม่รายงาน เราก็ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ อีกอย่างก็คือเราทำงานร่วมกับเอฟบีไอรอบนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยทีมของเราเอง"
เอลเลียตฟังบทสนทนาที่ทั้งสี่คนคุยกันครู่หนึ่งก็เริ่มจับใจความได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร เขาหันไปมองคีลที่กำลังแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจนนิเฟอร์อย่างเคร่งเครียด ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรตอนที่หมอนั่นขอดื่มน้ำจากขวดของเจ้าหน้าที่สาวเพราะของตัวเองหมดแล้ว การดื่มน้ำจากปากขวดแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากจูบทางอ้อม และเขาก็หึงเป็นเหมือนกันนะเว้ย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะมางอแงตอนนี้ เขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์กับคีล และตอนนี้ก็มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องรับมือ
"ผมว่าผมน่าจะแฝงตัวกลับเข้าไปฝั่งนั้นอีกรอบ"
เหมือนหย่อนระเบิดลงกลางวง ทุกคนเงียบลง หันหน้ากลับมามองเขาอย่างแปลกใจในขณะที่คีลเป็นคนเดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก
"คุณคิดได้แค่วิธีแฝงตัวแบบนี้หรือไง"
เอลเลียตไม่สะทกสะท้านกับเสียงเย็นๆ ของคนรัก
"ฟังนะ คีล ผมรู้ว่ามันฟังดูสิ้นคิด แต่ผมคิดมาดีแล้ว ถ้าอยากจะได้ลูกเสือก็ต้องเข้าเข้าถ้ำเสือ พวกตำรวจอย่างพวกคุณก็ถือคตินี้ไม่ใช่เหรอครับ"
"แล้วคุณจะกลับไปให้เขาฆ่าเหรอคะ" จอร์แดนถามอย่างไม่เข้าใจ "เขาพยายามจะเก็บคุณรอบหนึ่งแล้วนะ เทย์เลอร์ แล้วไม่ใช่ว่าไอ้เหตุผลที่คุณมากบดานอยู่นี่ก็เพื่อหนีจากเขาหรอกเหรอ"
"ผมไม่ได้จะกลับไปหาจูเลียน ฮอร์ตัน" เอลเลียตว่า เงียบไปจังหวะหนึ่งก่อนจะพูดพรวดออกมาอย่างอึดอัด "ผมจะกลับไปหาเทลออฟอดัมส์"
"ในที่สุดคุณก็พูดถึงชื่อนี้" เคลลี่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจจริงๆ "ก่อนหน้านี้เราพยายามง้างปากคุณแทบตาย แต่คุณก็ยืนยันว่าจะไม่พูดถึงเขาท่าเดียว"
ตั้งแต่ที่คีลพาเขามาที่นี่ ทั้งตัวคีลเองและคนอื่นๆ ในทีมก็พยายามถามเขาเรื่องเทลออฟอดัมส์ คีลเคยหัวเสียแบบสุดเหวี่ยงกับเขาเรื่องนี้รอบหนึ่งเพราะเอลเลียตไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรเลย
คนผมน้ำตาลให้เหตุผลว่าอดัมส์เป็นคนที่เตือนเขาเรื่องที่จะโดนฆ่า เป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเขามาตลอด เขาไม่สามารถหักหลังอีกฝ่ายได้ เพราะงั้นต่อให้เขาจะยอมโยนไพ่ลงหมดทั้งหน้าตัก โยนจูเลียน ฮอร์ตันทิ้งให้พวกตำรวจ แต่เขาไม่สามารถสละคนที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอดได้
แต่ตอนนี้... เอลเลียตกลับพูดถึงเทลออฟอดัมส์ขึ้นมา และมันทำให้คีลที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
"แล้วคุณจะบอกเขาว่าอะไร คุณจะแน่ใจได้ไงว่าเขาจะไม่เอาไปบอกฮอร์ตัน"
"ผมเป็นคนโปรดของเขา" เอลเลียตตอบตรงๆ ไม่ได้สนใจสีหน้าคีลที่ยับขึ้นเรื่อยๆ "ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พยายามจะช่วยให้ผมหนีได้หรอก ผมเชื่อว่าเราต้องได้หลักฐานที่จะมัดตัวฮอร์ตันจากอดัมส์ได้แน่ เขาทำงานในส่วนของการส่งถ่ายข้อมูลแล้วก็คอยคุมเบื้องหลังแทบจะทั้งหมด ถ้าพวกคุณอยากจะจับฮอร์ตันได้เราจำเป็นต้องเข้าผ่านทางอดัมส์"
"แล้วตกลงว่าเทลออฟอดัมส์เป็นใคร" คีลถามเสียงเรียบ จ้องตาเอลด้วยสายตาเย็นชาแบบที่คนมองแทบจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งได้ "ผมกับทีมถามคุณมาแบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วแต่คุณก็ไม่เคยบอก มาวันนี้คุณพร้อมที่จะพูดแล้วเหรอว่าใครคือเทลออฟอดัมส์"
เอลเลียตทำหน้าเหมือนลำบากใจ แต่เขาเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าถ้ายื่นข้อเสนอ เขาจำเป็นต้องทิ้งไพ่ใบที่แสนล้ำค่านี้ลงจากมือ
"ลีโอ ฮอร์ตัน"
เคลลี่ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความตกใจทันที ทั้งจอร์แดนกับฟอร์ดที่ยังนั่งอยู่ก็มีสีหน้าอึ้งๆ ไม่ต่างกัน
"ล้อเล่นน่า" เคลลี่หาเสียงตัวเองเจอก่อน "ไม่ใช่ว่าเขาทำงานเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองเหรอ"
"อ้อ แน่ล่ะครับ คุณผู้หญิง เขาเป็นเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ"
เจนนิเฟอร์ล้มตัวลงไปนั่งอีกรอบเหมือนหมดแรง มือยกขึ้นมากุมขมับพร้อมกับบ่นพึมพำอย่างอ่อนใจ
"นี่เรากำลังฝากความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของชาติไว้กับอาชญากรงั้นเหรอ"
“ใจเย็นๆ ครับบอส” คีลว่าขณะเอื้อมมือไปแตะบ่าหญิงสาวอย่างปลอบประโลม
เอลเลียตถลึงตาใส่คีล แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกต แปลกดีที่เขารู้สึกหึงใครจริงๆ จังๆ แบบนี้ เพราะตอนที่คบกับลีโอ (ถ้านั่นเรียกว่าคบได้นะ) เขายังแทบไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะไปทำอะไรกับใคร เหมือนกับที่ลีโอก็คงไม่สนเหมือนกัน แต่พอเป็นคีลแล้วเขากลับรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณหมอโจดี้เคยพูดทำนองว่าสองคนนี้เหมาะสมกันด้วยล่ะมั้ง เอลเลียตเลยยิ่งร้อนใจ ไม่อยากให้คีลเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แต่เหมือนหมอนี่จะไม่ได้ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย นี่เขาหึงจริงๆ แล้วนะ
เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวต้องเคลียร์กันบนเตียง
“แล้วนี่ตกลงเราจะเอายังไงดีครับ” เอลเลียตว่า พยายามเบี่ยงความสนใจให้กลับมาที่ตัวเอง เพื่อที่คีลจะได้เลิกปลอบเคลลี่สักที “เรื่องที่ผมบอกจะแฝงตัวผ่านทางลีโอไป ทุกคนว่าไง”
“ผมไม่เห็นด้วยครับ” แน่นอนว่าคนแรกที่พูดแบบนั้นคือคีล สีหน้าเจ้าตัวราบเรียบเหมือนเคย แต่นัยน์ตาน่ะแทบจะลุกเป็นไฟ ถ้าเอลเลียตหึงคีลกับเคลลี่ คีลเองก็หึงเอลกับเทลออฟอดัมส์นั่นเหมือนกัน แต่เอลเลียตยังไม่รู้ตัวเรื่องนั้น
“คุณก็ไม่เคยเห็นด้วยกับผมสักอย่างแหละ”
“คราวก่อนคุณก็แฝงตัวเข้าไปตอนจะจับแจ็ค พอเตอร์ แล้วเป็นไงล่ะ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”
“แต่ผลสรุปก็คือผมช่วยคุณจับคนร้ายได้ตั้งสามสี่คน” เอลเลียตเชิดหน้าขึ้น ตอบกลับอย่างท้าทาย “แล้วเป็นไงล่ะ คุณก็ได้ผลงานเต็มๆ จากการที่ผมแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มคนพวกนั้น”
“แต่คุณแน่ใจเหรอคะว่าเทลออฟอดัมส์จะเชื่อคุณ” ลิลลี่ จอร์แดนที่นั่งคิดมาครู่หนึ่งเอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจ จริงๆ หล่อนก็คิดว่าที่เอลเลียตเสนอมาก็น่าสนใจอยู่ แต่ก็ยังมีหลายอย่างให้กังวล “คนฝั่งของเขาเกือบจะฆ่าคุณได้อยู่แล้ว เขาต้องระแวงแน่ถ้าอยู่ๆ คุณจะโผล่ไปหาเขา”
“อดัมส์พยายามช่วยชีวิตผมครับ จอร์แดน” เอลเลียตว่า ข้อเท็จจริงนั้นทำให้เขาเสียใจที่ต้องหักหลังลีโอ แต่เอลเลียตเองก็คิดหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว “ผมคิดว่าตัวเองทำได้ที่จะไม่ทำให้เขาระแวงผม”
“เขาจะต้องถามว่าคุณออกมาจากโรงพยาบาลนั่นได้ยังไง” คีลพูดต่อ เหมือนความอดทนของเจ้าตัวก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ “และถ้าเขารู้ว่าพวกตำรวจช่วยคุณออกมา เขาจะไม่ไว้ใจคุณแน่”
“ไว้ใจสิ ผมก็บอกเขาว่าผมจะหักหลังพวกคุณไง”
คนผมดำส่ายหน้าระรัว “นี่มันเสี่ยงเกินไป”
“แต่ถ้าเกิดว่าคุณคิดจะบอกเขาว่าทางตำรวจช่วยคุณไว้ และคุณก็กำลังจะหักหลังพวกเรา คุณจะเสนออะไรให้เขาได้ละคะ” เคลลี่ถามหลังจากคิดตามเรื่องทั้งหมด “ฉันหมายถึง… ถ้าคุณเอาเรื่องภายในกรมตำรวจไปเสนอให้เขา ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นสำหรับเขาอยู่ดี ในเมื่อเขามีข้อมูลพวกนั้นอยู่ในมืออยู่แล้ว ทั้งจากตัวจูเลียน ฮอร์ตันหรือจากตัวเขาเอง”
“เรื่องนั้นผมจะหาทางออกอีกที แต่ผมเชื่อว่าลีโอไม่ได้เห็นผมเป็นแค่ตัวหาผลประโยชน์เท่านั้นหรอก ผมเคยสนิทกับเขามากนะ”
ถึงตอนนี้หน้าของคีลก็บูดสนิทไปเรียบร้อย คนอื่นๆ อาจจะไม่ทันสังเกตแต่เอลเลียตเห็น
“ไม่รู้สิครับ ผมว่านี่มันฟังดูไม่ดีเท่าไร” ฟอร์ดที่นั่งเงียบมานานแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง “หลายอย่างมันดูเสี่ยงเกินไปอย่างที่จอร์แดนกับบอสว่า”
“แล้วพวกคุณเห็นทางออกที่ดีกว่านี้เหรอครับ” เอลเลียตถามขึ้นในที่สุด ทุกคนนิ่งไป เขารู้ดีว่าคนอื่นๆ เห็นด้วยกับเขาแต่ไม่อยากพูด ยิ่งเขาเป็นคนก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองฝั่งด้วยแบบนี้ การจะปล่อยกลับไปที่ฝั่งตรงข้ามก็ดูเสี่ยงสำหรับทุกคนด้วย
เพราะงั้นแล้วเอลเลียตจึงตัดสินใจพูดเสริมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของคนในทีม
“ก่อนที่พวกคุณจะตัดสินใจ ขอผมพูดอะไรหน่อย หนึ่งเลย ผมน่ะ เคยจะโดนจูเลียน ฮอร์ตันฆ่าตายมาอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่มีทางคิดจะกลับไปหาเขาหรือทำงานกับเขาอีกแน่ ไม่ว่าจะงานไหนก็ตาม สอง จูเลียนกับลีโอเป็นพ่อลูกกันทางสายเลือดก็จริง แต่ลีโอพยายามช่วยผมไม่ให้ถูกพ่อของตัวเองฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะงั้นแล้วผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าผมจะโผล่หน้าไปหาเขา ผมกับเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน สาม จากข้อสองที่ผมพูดไป การจะได้หลักฐานหรือเบาะแสมามัดตัวฮอร์ตันสำคัญตรงนี้ และผมรู้ว่าพวกคุณเองก็อ่านสถานการณ์นี้ออก”
“ฉันเห็นด้วยค่ะถ้าจะให้เอลไปสืบเรื่องนี่ผ่านทางเทลออฟอดัมส์” เคลลี่พูดขึ้นในที่สุด อันที่จริงหล่อนชอบหลายอย่างในตัวอาชญากรคนนี้ และจากที่ชายหนุ่มว่า เคลลี่เชื่อว่าทุกคนในที่นี้ต้องยอมรับอยู่อย่าง
ไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าวิธีที่เอลเลียตเสนอ… แม้ว่านั่นจะหมายถึงความเสี่ยงของตัวชายหนุ่มเองก็ตาม
“ฉันก็เห็นด้วยค่ะ” จอร์แดนพูดตามบ้าง ถึงตอนนี้เอลก็หันไปมองหน้าคนรักกับฟอร์ดเป็นเชิงถาม แน่นอนว่าคนรักของเขาส่ายหัวปฏิเสธทันที
“ผมไม่เห็นด้วยครับ”
เอลเลียตกดความไม่พอใจลงแล้วหันไปหาชายหนุ่มคนสุดท้ายในห้อง
“ฟอร์ดล่ะครับ คุณจะว่าไง? ”
“อืม…” ฟอร์ดครางในลำคออย่างลำบากใจเพราะทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา แรงกดดันมากเป็นพิเศษจากคีลและเอล “ผม… ผมว่าเราไม่น่าจะมีทางอื่นที่ดีไปกว่าที่เทย์เลอร์แล้วเหมือนกัน”
เอลเลียตกำหมัดพร้อมกับร้อง ‘เยส! ’ อย่างสะใจ คีลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างเบื่อหน่าย คิ้วขวาถึงกับกระตุกเมื่อเห็นเอลเลียตส่งยักคิ้ว ส่งยิ้มยียวนมาให้อย่างผู้ชนะ
เดี๋ยวเถอะ… เดี๋ยวคืนนี้ได้เคลียร์กันยาวแน่ เคลียร์กับไอ้ตัวแสบที่ชอบทำอะไรขัดคำสั่งเขาเนี่ย
-------------------------------------------------
Talk: โง้ยยย รู้สึกวันนี้ทำงานเหนื่อยกว่าทุกวันยังไงไม่รู้ค่ะ ฮือออ ขอกำลังใจจากทุกคนหน่อยเร้ววว//อ้อน