ตอนที่10
“โอ๊ะ ถึงแล้วเหรอ”ผมผู้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส สีหน้าแววตาของผมตอนนี้เปลี่ยนไปจากตอนที่รู้ความจริงว่าตัวเองอาจโดนลากคอไปประหารเมื่อไหร่ก็ได้ลิบลับ
ท่านอัศวินผู้เกรียงไกรไม่ตอบคำถามผม เมื่อม้าเพกาซัสของเขาแลนดิ้งลงสู่พื้นเขาก็เปิดประตูลงจากรถม้าไปเลย
ท่านเอเทมกำลังงอนผมอยู่ เอ่อ ความจริงเขาไม่ได้งอนผมหรอกเขาก็แค่เย็นชาของเขาตามปกติ แต่ผมเลือกใช้คำว่างอนเพื่อเพิ่มระดับความกุ๊กกิ๊ก เพราะหลังจากที่มุกเล่นมุกเสี่ยวใส่เขาไปไม่ว่าผมจะพูดหรือทำอะไรเขาก็ไม่ชายตามองผมอีกเลย
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ”ผมเดินต้อยๆตามเขา
พวกเราสองคนอยู่บนเนินเขาซึ่งอยู่ห่างออกมาจากกองทัพหลวงพอสมควร ขนาดนั่งรถเหาะมายังกินเวลาตั้งนานผมจึงไม่กล้าหยอดมุกจีบอะไรท่านเอเทมอีกเพราะว่ากลัวโดนเขาทิ้ง!
สถานที่แห่งนี้คือเนินหญ้าซึ่งทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา และในตำแหน่งที่สูงที่สุดก็มีแท่นหินขนาดใหญ่อยู่
ท่านเอเทมพาผมเดินไปที่แท่นหิน เมื่อเข้ามาใกล้ผมจึงรู้ว่าแท่นแห่งนี้มีลักษณะเหมือนแท่นสำหรับทำพิธีอะไรสักอย่างเพราะบนแผ่นหินมีลายอักขระยึกยือสลักอยู่
ผมไม่เคยเห็นอักขระน่าขนลุกพวกนี้มาก่อน
ทว่าผมกลับอ่านมันออก
ทำไม...ผมถึงอ่านออก?
คำตอบก็ง่ายนิดเดียว ผมคงได้สกิลภาษามาจากดาร์กลอร์ดเป็นเหตุให้ผมสามารถพูดภาษาของคนมิตินี้ได้ ตอนแรกผมไม่ได้เอะใจแต่พอเอะใจแล้วก็ต้องร้องเอ๋~~~~ยาวๆ
อักขระเวทพวกนี้ก็คงเป็นหนึ่งในภาษาเวทมนต์ที่ดาร์กลอร์ดอ่านออกเขียนได้
“เวท...ผูกวิญญาณ อา...ที่ท่านบอกข้าก่อนหน้านี้สินะ ว่าแต่เวทนี้มันเป็นอย่างไรหรือ หวังว่าท่านจะไม่ผนึกวิญญาณของข้าเอาไว้ในที่ไกลผู้ไกลคนแบบนี้หรอกนะ!!”ผมรีบโวยวายไว้ก่อน
“ข้าจะผูกวิญญาณของเจ้ากับข้าไว้ด้วยกัน หลังจากนี้พวกเราจะรับรู้กันและกันว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน”
“หะ ข้าก็จะรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนด้วยงั้นหรือ?”
“ใช่”
“ท่าน...ไม่ทุ่มสุดตัวไปหน่อยหรือ”
“ศาสตร์ต้องห้ามที่ดาร์กลอร์ดถือครองเอาไว้น่ากลัวกว่าที่เจ้าคิด แค่ต้องผูกวิญญาณกับเจ้า ข้าคิดว่ามันคุ้มค่า”
“แล้วถ้าเอ่อ...สมมติว่าวันใดวันหนึ่งความจริงปรากฏว่าคนที่สลับตัวกับข้าไม่ใช่ดาร์กลอร์ดล่ะ ท่านเล่นใหญ่ขนาดนี้ไม่เท่ากับศูนย์เปล่าเหรอ”ผมยกเหตุผลอื่นมาอ้าง ความจริงผมแค่อยากรู้ว่าถ้าผมกลับโลกเดิมไปแล้วเวทนี้จะยังมีผลอยู่หรือไม่
“เวทนี้ผูกได้ย่อมแก้ได้ ขอแค่วันนั้นมาถึง เจ้ากับข้ากลับมาที่นี่พร้อมกันและทำพิธีตัดสัมพันธ์ เพียงเท่านี้เจ้ากับข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“อ้อ...”ผมพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ”งั้นก็เริ่มกันเถอะ”
ขณะนี้พวกเราสองคนยืนอยู่บนแท่นศิลา หันหน้าเข้าหากัน ระยะห่างไม่มากนัก ท่านเอเทมเป็นฝ่ายยื่นมือมาข้างหน้า ผมก้มลงมองมือหนาของเขาเงียบๆรอดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ เข้าใจไปว่าเขาผายมือออกมาเพื่อเตรียมร่ายเวท แต่ดูเหมือนผมจะตีความหมายผิดไปหน่อย
“ส่งมือเจ้ามา”เสียงทุ้มกล่าว
“อ้อ ท่ดๆ”ผมหัวเราะเก้อๆ คนเราก็เน๊าะ ไม่พูดออกมาแล้วผมจะไปรู้ไหม!
ผมเอื้อมมือไปแตะๆเขา จิ้มๆอย่างกล้าๆกลัวๆอยู่สักพักจึงค่อยๆวางมือลงบนฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา อืมมม เมื่อกี๊บนรถม้าผมได้กุมมือท่านเอเทมแล้วก็จริงแต่นั่นก็สัมผัสโดนแค่หลังมือ ผมเพิ่งรู้ว่าฝ่ามือของอัศวินมันหยาบกร้านขนาดนี้
ผมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยอุ้งมือของท่านเอเทมอย่างเผลอไผล”ท่านต้องฝึกหนักมากจริงๆ”
ผมเคยจับมือของลันเทีย สารภาพตรงนี้เลยว่าหลอกจับเพื่อแต๊ะอั๋ง แต่เจ้าตัวไม่รู้ ซื่อๆให้ผมจับไป มือของลันเทียนุ่มยังกับก้นเด็ก และนี่คือเหตุผลที่ลันเทียเองก็ต่อสู้ด้วยดาบไม่เก่ง
คนที่ฝึกดาบมาอย่างหนักต้องมีมือแบบนี้
“หลับตา”
“อา...”ผมขานรับในลำคอ
ท่านเอเทมเป็นคนเย็นชาที่ไม่ใจเย็นเลยสักนิด
“อืมมม”ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อหลับตาแล้วประสาทสัมผัสส่วนอื่นก็ทำงานดีขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตรงฝ่ามือที่ถูกมือหนากอบกุมเอาไว้ ท่านเอเทมบรรจงลูบปลายนิ้วโป้งของเขาบนหลังมือของผมอย่างแผ่วบา เขาท่องคาถาสองสามคำท้องน้อยของผมก็รู้สึกร้อนวูบ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะทั้งๆที่ยืนอยู่บนพื้นดิน
“อย่าเกร็ง”
“ตะ แต่มัน...”
“แค่เจ้ายอมรับพลังเวทของข้าเข้าไปในร่าง อย่าต่อต้าน ไม่ต้องกลัว มันไม่มีอะไร ยอมให้ข้าเข้าไปข้างใน”
เขาไม่ได้เตี๊ยมกับผมสักคำว่าเวทผูกวิญญาณอะไรนี่มันผูกยังไง แล้วขั้นตอนการผูกมันมีอันตรายหรือไม่ มาถึงก็ขอมือแล้วก็ยัดพลังของตัวเองเข้ามาในร่างของผมดื้อๆ
มันอึดอัดเพราะสิ่งแปลกปลอมที่แทรกเข้ามา
คิดว่าเวทมนต์ของท่านเอเทมเป็นสิ่งเล็กๆหรือไง!? ถึงแม้ว่าเขาจะพยามปรับปริมาณลงมาแล้วก็ตามทีแต่มันก็มากเกินไปสำหรับไอ้หน้าอ่อนอย่างผมอยู่ดีนั่นแหละ
“อึก...”เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพลายเต็มหน้าผากขาว ผมรู้สึกตัวเองกำลังสั่นและเวียนหัวอย่างหนัก อะไรบางอย่างในร่างกายกำลังต่อต้านสิ่งที่ท่านเอเทมกำลังถ่ายทอดเข้ามาอย่างรุนแรง
ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังต่อต้านเวทมนต์ของท่านเอเทมก็คือเวทมนต์ในตัวผมเอง
ไม่สิ...มันอาจจะเป็นเวทมนต์ของดาร์กลอร์ด
พลังของผู้ยิ่งใหญ่ระดับเขย่าโลกกำลังต้านกันในร่างของผม!
“อย่าเกร็ง แค่ยอมรับมัน”
“ข้า ข้า ไม่ไหว มัน...ร้อน อึก...”แข้งขาของผมไร้เรี่ยวแรงจนในที่สุดก็ทรุดลง ยังดีที่คว้าไหล่กว้างเอาไว้ได้ทันแต่ในสภาพที่ถูกสั่งให้หลับตาอยู่ก็ทำให้ผมต้องคลำปะป่ายไปทั่วกว่าจะหาหลักยึดที่มั่นเหมาะได้ ร่างของผมอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งยืน มือข้างหนึ่งถูกท่านเอเทมกุมเอาไว้ส่วนมืออีกข้างก็เกาะไหล่อีกฝ่าย ท่าทางจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่
“แฮ่ก ข้า...หายใจไม่ทัน มัน...อึดอัด อึดอัด ฮึก...”
อาการของผมผิดปกติ
ไม่ใช่แค่ผมที่คิดว่ามันผิดปกติ ท่านเอเทมก็เช่นกัน
“แปลก”เขาคงเอ่ยกับตัวเองแต่เนื่องจากเราสองคนอยู่ใกล้กันแค่เพียงเสื้อผ้ากั้นดังนั้นผมจึงได้ยินชัดเต็มสองรูหู
“แฮ่ก...อา...ข้าไม่ไหว...”ผมร้องโอดครวญอย่างหมดเรี่ยวแรง
“พลังของเจ้ากำลังต่อต้านข้า”
“ฮึก... เอเทม ข้า... ฮ่า...เอเทม”ผมร้องเสียงสั่นเครือ ในที่สุดก็ยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ ร่างกายของผมกำลังจะทรุดลงกับพื้นโชคดีที่ได้แขนแกร่งโอบเอวประครองเอาไว้ได้ทัน
“อย่าปล่อยมือจากข้าเด็ดขาด”ท่านเอเทมกำชับผม แต่ตอนนี้ผมมีสติเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น รับทราบแล้วแต่ไม่รู้จะปฏิบัติตามได้มั้ย
“ท่านเอเทม...”ผมซุกหน้าลงกับไหล่กว้างอย่างหมดแรง เสียงอ่อนระโหยเอ่ยเรียกชื่อของร่างสูงข้างหูของเจ้าตัวซ้ำวนเวียนไปมา เสียงหายใจติดๆขัดๆขาดห้วงเหมือนคนกำลังจมน้ำ
มือเรียวข้างที่เหลือเลื่อนขึ้นมากำเสื้อด้านหลังของอัศวินหนุ่มเอาไว้เพื่อระบายความอึดอัด
“ข้า...ฮึกก ไม่ไหว มันมากไป ข้ากลัวตาย”
“ไม่เคยมีใครตายเพราะเวทผูกวิญญาณ”
“ข้ากลัว...ท่านต้องปลอบ...ฮึก ไม่ใช่สั่งสอน ฮืออ...”
“อย่าเกร็ง”
“ท่าน ฮึก พูดเป็นแค่คำเดียว อะ...อือ แย่ที่สุด...คนห่วยแตก”
ช่องท้องของผมรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ พลังเวทมหาศาลของคนสองคนกำลังตีกันให้วุ่นอยู่ในนั้น!
ตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว!
ขณะที่ผมรู้สึกว่ากำลังจะไม่ไหวพลันภาพรอบตัวก็ดับมืด
--------------------------
ท่านเอเทมก็ทุ่มทุนสร้าง ลงทุนขนาดร่ายเวทผูกวิญญาณเบอร์นี้ไม่ผูกใจไว้กะน้องซะเลยล่ะ รับรองนังการันต์หนีไปไหนไม่รอดแน่
#พิชิตใจท่านเอเทม