-33-
เขาไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปตอนไหน แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าตนเองกำลังนอนราบอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มผืนสะอาดห่มคลุมอยู่ บนร่างกายถูกสวมไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งอีกตัวหนึ่ง ผ้าปูเตียงอยู่ในสภาพดีไม่มีร่องรอยการกระทำใด ๆ ที่เป็นหลักฐานบ่งบอกถึงคืนที่ผ่านมา เสียงเครื่องปรับอากาศดังประสานอยู่กับเสียงฝักบัวจากในห้องน้ำ แสงไฟสลัวรางสีนวลทำให้เขามองเห็นสภาพในห้องได้ไม่ยากนัก แต่เพราะหน้าต่างถูกบังปิดไว้ด้วยผ้าม่านเขาจึงไม่อาจคาดเดาเวลาได้ชัดเจน รู้เพียงว่าเป็นเวลากลางวันจากแสงที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เซินเฟยกลอกตาไปรอบตัวก็พบเข้ากับเนคไทเจ้าปัญหาที่ทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดแล้วปัดเนคไทเส้นนั้นตกลงไปบนพื้นอย่างคับแค้นใจ
เขาแพ้ทางผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว!
ในขณะที่คิดร่ำ ๆ จะไปบีบคอฉู่เหวินจือถึงในห้องน้ำ เขาก็พบว่าร่างกายตนเองมีอาการล้าเกิดขึ้นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวอย่างสะดวกได้ เซินเฟยพลิกตัวขึ้นจากเตียงแล้วชะเง้อมองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ เผื่อว่าจะมีอะไรที่ทำให้เขาติดต่อกับโลกภายนอกได้บ้าง อย่างเช่น.....
โทรศัพท์มือถือ?
ในตอนแรกเขาคิดว่าตนเองอาจต้องใช้บริการโทรศัพท์ของโรงแรม แต่ก็คิดผิดคาดไปไกลเมื่อเขาพบว่านอกจากโทรศัพท์เครื่องสีขาวที่โรงแรมมักจะจัดไว้ในห้องเพื่อให้ผู้มาพักสามารถโทรติดต่อพนักงานได้แล้ว ยังมีโทรศัพท์มือถือวางสงบนิ่งอยู่เครื่องหนึ่ง เซินเฟยมุ่นคิ้ว คนอย่างฉู่เหวินจือไม่น่าเลินเล่อขนาดทิ้งของแบบนี้ไว้ใกล้มือเขา หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดว่าเขาไม่น่าตื่นขึ้นมาในตอนนี้กันนะ?
หรือว่าจะเป็นกับดักอะไรอีก?
กับผู้ชายเจ้าแผนการอย่างฉู่เหวินจือ หากไม่คิดให้มากเข้าไว้ก็อาจตกหลุมพรางโดยง่ายเหมือนที่เขากำลังเผชิญขณะนี้
เซินเฟยหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดและลองกดตัวเลขดูทีละตัว เขาไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
ในตอนนี้เขาควรจะโทรหาหวางซิงเป็นอันดับแรกสินะ....
“กำลังเล่นอะไรอยู่หรือครับ?” เสียงที่กระซิบผ่าวข้างหูพร้อมกลิ่นสบู่หอมโชยทำให้เซินเฟยสะดุ้งตัวโยนจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือหลุดมือ เขารีบขยับหนีพร้อมกับใช้มือพยุงตัวเองไว้กับโต๊ะ ตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นฉู่เหวินจือในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวกำลังยืนฉีกยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี ไม่มีท่าทางอนาทรร้อนใจที่เห็นว่าเครื่องสื่อสารส่วนตัวของตนตกอยู่ในมือของคนอื่นซ้ำยังผายมือในเชิงอนุญาตให้เสียอีก “คุณจะโทรหาใครก็เชิญเถอะ ถ้าหากว่าคุณจำเบอร์โทรของใครได้ล่ะก็นะ”
เซินเฟยกัดริมฝีปาก นึกอย่างตอบอย่างเผ็ดร้อนสักยกทว่ามันก็เป็นความจริง....
เขาไม่เคยจดจำเบอร์โทรศัพท์ของใครเลยสักคน แม้แต่ของหวางซิง นั่นเพราะไม่ว่าครั้งไหนที่เขาต้องการติดต่อกับใคร เขาก็จะให้หวางซิงเป็นคนจัดการทุกครั้ง
“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยเมมเบอร์ชื่อของใครไว้ในมือถือ ถ้าคุณอยากจะโทรก็ค้นสุ่มเอาในรายการโทรออกย้อนหลังก็แล้วกัน” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็นั่งลงบนเตียงด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางจับจ้องเด็กหนุ่มที่ละล้าละลังไร้ทางไปอยู่ตรงหน้า
“รู้มากเกินไปแล้ว” เซินเฟยกัดฟันพูด เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้รู้จักทุกซอกมุมของเขาจริง ๆ ถึงขนาดว่าบางเรื่องเขาเองยังไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำไป
ฉู่เหวินจือยิ้มบาง ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา
“มานั่งตรงนี้ก่อนเถอะครับ ถ้าคุณไม่อยากนั่งเสมอผม ผมจะลงไปนั่งบนพื้นก็ได้” ชายหนุ่มกล่าวโน้มน้าวเพราะถึงเขาจะไม่ต้องสังเกตเขาก็รู้ว่าขาของเซินเฟยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมากนักเนื่องจากกิจกรรมหนักหน่วงในคืนที่ผ่านมา ถึงเขาจะไม่อยากกลั่นแกล้งเด็กมากจนเกินไป แต่เขาเองก็จำต้องระบายความต้องการหลังจากอดทนอดกลั้นมานานบ้างเหมือนกัน
เซินเฟยไม่ได้อยากจะทำตัวเสมือนจำยอม แต่เขาเองก็ใช่จะมีทางเลือกจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ แต่โดยดีและไม่ได้สั่งให้ฉู่เหวินจือลงไปนั่งบนพื้นแต่อย่างใด
ฉู่เหวินจือดึงโทรศัพท์มือถือคืนไปก่อนจะวางกลับที่เดิมที่มันเคยอยู่
“นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่?” เซินเฟยเกลียดสถานการณ์ที่คลุมเครือ จึงเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงบังคับตอบ
“ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ผมแค่อยากให้คุณอยู่เฉย ๆ พอทุกอย่างเรียบร้อยผมจะส่งคุณกลับไปให้หวางซิง”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันอยากจะถาม” เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาโดยแรง “นายเป็นคนของใครกันแน่? นายถูกส่งตัวมาเพื่ออะไร? นายคิดจะทำอะไรกับฉันต่อไป?”
“คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะถามมากมายขนาดนั้น” ฉู่เหวินจือหัวเราะพลางไล้หลังมือไปตามแนวสันกรามของเซินเฟย การกระทำเพียงเท่านั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวามในอกอย่างบอกไม่ถูก และโดยไม่ทันรู้ตัว ปลายคางของเขาก็ถูกรั้งให้เชิดขึ้นตามด้วยใบหน้าของชายหนุ่มที่โน้มลงมาหา ไม่ทันที่เขาจะได้เปิดปากพูดอะไรต่อ ริมฝีปากที่ยังมีกลิ่นของยาสีฟันก็เลื่อนเข้าหาจนแนบสนิท ทั้งที่ฉู่เหวินจือยังไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าจูบ แต่เซินเฟยกลับรู้สึกคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว เขาขัดขืนอยู่สักพักก่อนจะถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดแข็งแรงจนกระทั่งประชิดแผงอกกว้าง ฉู่เหวินจือรุกไล่ด้วยลิ้นและริมฝีปากอยู่นานจนกระทั่งรู้สึกอิ่มจึงผละออกมาแล้วคลอเคลียอยู่กับปลายจมูกรั้นเชิด
ในตอนแรก ฉู่เหวินจือเตรียมใจที่จะโดนทำร้ายร่างกายสักผัวะสองผัวะ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขากลับพบร่องรอยของความสะเทิ้นอายในดวงตาสีดำสนิท ริ้วแดงบนแก้วยังระบายอยู่จาง ๆ เมื่อเซินเฟยเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“ดูเหมือนคุณจะหายกลัวสัมผัสของคนอื่นแล้วนะครับ?”
เซินเฟยมุ่นคิ้วกับประโยคนั้น แต่ยังไม่ได้ถามอะไรออกไปเขาก็ถูกกดตัวลงบนเตียง ตามด้วยการคร่อมทับของร่างสูงใหญ่
“นั่นไม่เกี่ยวกับนายไม่ใช่หรือ?” เขาตอบโต้ก่อนจะเบือนหน้าหลบสายตาที่จ้องตรงลงมาอย่างไม่คิดปิดบัง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ฉู่เหวินจือมองเขาอย่างไม่กลัวตายอย่างนี้ หรืออาจจะเป็นตั้งแต่แรกที่พบกันแล้วแต่เขาไม่ทันสังเกตเองก็เป็นได้
“คุณเซิน เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้คุณจะรู้ได้เองเมื่อถึงเวลา” ฉู่เหวินจือพูดพลางไซ้ริมฝีปากกับใบหู ขบกัดติ่งหูนิ่มเบา ๆ ให้เจ้าของร่างรู้สึกซ่านสะท้าน “คุณรู้เพียงแค่ว่าทุกอย่างที่ผมทำก็เพื่อคุณทั้งสิ้นก็พอแล้ว”
“รวมถึงเรื่องแบบนั้นด้วยหรือไง?”
“ก็ไม่เชิง” ฉู่เหวินจือตอบพร้อมหัวเราะ ไม่รู้ว่าเซินเฟยคิดไปเองหรือไม่ แต่ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะหัวเราะเปิดเผยอย่างนี้ไม่บ่อยนัก กระนั้น ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะไม่อยากคุยกับเขาด้วยคำพูดสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากสนทนาตอบโต้กันไม่นาน ฉู่เหวินจือก็แนบจูบลงมาอีก ครั้งนี้เซินเฟยไม่ได้ขัดขืน อาจเป็นอย่างที่ฉู่เหวินจือว่า เขาไม่ได้นึกรังเกียจหรือหวาดกลัวสัมผัสของคนอื่นแล้ว แต่ว่า นั่นอาจจะเป็นเพราะคนที่กำลังสัมผัสเขาคือฉู่เหวินจือที่ได้โอบกอดเขามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ได้
--------------->
มู่อี้จิงไม่ค่อยประทับใจการตัดสินของเบื้องบนสักเท่าไหร่ ทั้งที่เขาส่งหลักฐานทั้งหมดไปให้แล้วและเฝ้ารอเวลานานถึงสามวัน สิ่งที่เขาได้กลับมากลับเป็นหมายจับฐานเป็นผู้ต้องสงสัยการจ้างวานฆ่าไม่ใช่หมายค้นบ้านอย่างที่คิดเอาไว้ ทางผู้ออกหมายได้ให้เหตุผลกับเขาว่า หลักฐานไม่เพียงพอที่จะเชื่อมโยงไปถึงการซุกซ่อนศพไว้ในบ้าน อีกทั้งผู้ต้องสงสัยก็อยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้หนีไปกบดานที่ไหนจึงไม่จำเป็นต้องใช้หมายค้น
แต่ก็เอาเถอะ....ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
มู่อี้จิงได้รับหมายค้นก็พาคนในหน่วยเดินทางไปที่บ้านของเซินหยู่ในทันที เพราะหวางซิงเองก็รอจนแทบเต้นได้อยู่แล้ว
หลังจากเสียงออดเงียบไปนาน เซินหยู่ก็เดินออกมารับแขกด้วยท่าทางฉุนเฉียวเห็นได้ชัด
“ผมมู่อี้จิงเป็นนักสืบจากกรมตำรวจครับ” มู่อี้จิงแนะนำตัวและสังเกตเห็นถึงอาการสะดุ้งเหมือนคนที่มีชนักปักหลังของอีกฝ่าย
“ไม่ทราบว่าคนของกรมตำรวจมีอะไรกับผม?” เซินหยู่พูดตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบจงใจไล่แขก แต่คนแบบมู่อี้จิงเจอแบบนี้มาเยอะแล้ว ถือหมายค้นหรือหมายจับไปบ้านใครก็จะถูกมองกลับเหมือนแมลงสาบไม่ต่างกับสายตาของเจ้าของบ้านเวลามองเซลล์แมนที่มาเคาะประตู หากนอกเหนือไปจากปฏิกิริยาเหล่านี้ก็จะเหลือแต่การวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตของผู้ต้องสงสัย ซึ่งหากเป็นกรณีหลังก็ง่าย ตามจับตัวให้ได้ก็พอ การเค้นคอไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้ว ทว่าเซินหยู่กลับไม่ได้วิ่งร้องแรกแหกกระเชอ เจ้าตัวเพียงแค่จ้องมองพวกเขาอย่างหวาดระแวงและไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้พวกเขาเข้าไปในบริเวณบ้าน
“ผมได้รับหมายให้มาจับตัวคุณในคดีจ้างวานฆ่านักธุรกิจแซ่เซินครับ”
ดูเหมือนเซินหยู่จะรู้ความผิดตนเองอยู่แก่ใจ ใบหน้าจึงซีดเผือดไปชั่ววินาทีก่อนจะปรับกลับมาเป็นปกติ เจ้าตัวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
“นักธุรกิจแซ่เซินไหนกัน? ผมเองก็แซ่เซินเหมือนกัน คงไม่ใช่คนในครอบครัวผมใช่ไหมครับ?” เซินหยู่เอ่ยถามเสมือนตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดีที่ตำรวจยัดเยียดให้ตนกลายเป็นผู้ร้าย
“เซินเฟยครับ”
“เอ๋!? เซินเฟย น....นั่นลูกชายของผมนี่ครับ เกิดอะไรขึ้นกับเขา!?” เซินหยู่ออกท่าทางตื่นตระหนกในทันทีพร้อมกับบีบแขนมู่อี้จิงโดยแรงจนเขาต้องนิ่วหน้า การแสดงออกทางอารมณ์ของเซินหยู่ดูสับสนอยู่พอสมควร แม้ภายนอกจะดูเหมือนตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่ามู่อี้จิงก็สัมผัสได้ถึงความต้องการจะรู้ความจริงบางประการภายในประโยคคำถามนั้น ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาดีที่แอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย ดังนั้นหากจะให้เขาเดา สิ่งที่เซินหยู่อยากจะรู้ก็คงเป็นเรื่องที่ว่า เซินเฟยตายหรือยัง?
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเจ้าตัวจะถามถึงประเด็นนี้ ในเมื่อเซินเฟยหายตัวไประหว่างการปะทะ ซ้ำการ์ดทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าเจ้านายหายไปไหน หวางซิงที่รอดกลับมาก็ปิดปากเงียบไม่ยอมตอบคำถามใคร นับว่าเป็นครั้งที่สองที่เซินเฟยหายตัวไปอย่างมีปริศนา ซึ่งครั้งแรกที่ทุกคนคิดว่าเซินเฟยตายไปแล้ว ในวินาทีสุดท้ายเจ้าตัวก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนราวกับร่างวิญญาณที่กลับมาจากอีกมิติหนึ่ง หากว่าครั้งนี้เป็นอย่างเดิมอีกคงจะไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับคนที่มีชนักปักหลังเช่นคน ๆ นี้
“ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวเกี่ยวกับคุณเซินครับ” มู่อี้จิงปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างมีมารยาท “ขอเชิญคุณไปกับเราด้วยนะครับ”
“เอ๋ ทำไมผมต้องไปล่ะครับ?” เซินหยู่เกร็งรอยยิ้ม “นี่คุณตำรวจ ผมเป็นพ่อเขานะ! ผมจะฆ่าลูกตัวเองทำไมกัน”
“เรื่องนั้นคงต้องรอหลังการสอบสวนน่ะครับถึงจะตอบได้” มู่อี้จิงพยายามปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการควบคุมตัวเซินหยู่ไป
“อย่ามากล่าวหากันมั่ว ๆ นะเว้ยไอ้ตำรวจซังกะบ๊วย! แกมีหลักฐานอะไรวะ หา!” เมื่อเห็นว่าฝ่ายตำรวจไม่รับฟังคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น เซินหยู่จึงเริ่มอาละวาดขัดขืนการจับกุม ทั้งยังลงไม้ลงมือกับคนที่เข้าไปใกล้ด้วย แต่เพราะไม่ได้รับคำสั่ง ทางตำรวจจึงไม่กล้าใช้กำลังกับทางเซินหยู่ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายอาละวาดไปเรื่อย ๆ แล้วหันมองมู่อี้จิงที่ยืนมองอย่างเหนื่อยใจ “ฉันจะฟ้องศาล! จะให้ผบ.ตร.ไล่พวกแกออกให้หมด!”
“ถ้าหลักฐานล่ะก็ ผมมีนะครับ” มู่อี้จิงกล่าวแล้วยกเครื่องบันทึกภาพขึ้นมา ก่อนจะรันให้เจ้าตัวดู เครื่องเล่นภาพไปได้ไม่กี่วินาที เซินหยู่ก็เบิกตากว้าง ใบหน้าซีดสลับแดง ก่อนจะร้องโวยวายเสียงลั่นแล้ววิ่งเข้ามาปัดเครื่องบันทึกตกจากมือมู่อี้จิง แต่โชคดีที่เขาไหวตัวทันจึงเปลี่ยนมือถือแล้วเอี้ยวตัวหลบ
เมื่อเซินหยู่เห็นว่าการต่อต้านของตนไม่เป็นผลสำเร็จจึงวิ่งฝ่าเข้าไปในบ้านแล้วตรงไปยังพุ่มไม้กอหนึ่งซึ่งออกดอกสวยงามใบเขียวเหมือนกับได้รับการดูแลอย่างดี เขาคุกเข่าแล้วแล้วเริ่มต้นพุ้ยดินตรงนั้นราวกับคนบ้า ปากก็พึมพำประโยคซ้ำ ๆ
“เสี่ยวเหม่ย เสี่ยวเหม่ย ออกมาช่วยฉันทีสิ เธอช่วยฉันอยู่เสมอไม่ใช่หรือ? ตอนอาเฟยรังแกฉันเธอยังถ่อไปหาถึงบริษัทเลย อย่านอนนิ่งสิ! ลุกขึ้นมาช่วยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ทุกคนทั้งเพื่อนบ้านที่แตกตื่นออกมาเพราะเสียงของเซินหยู่และตำรวจที่มาทำหน้าที่ต่างตระหนกกับพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของผู้ต้องสงสัย เจ้าตัวใช้มือพุ้ยดินจนถลอกปอกเปิก ปากก็พูดบ่นเหมือนกับกำลังฟ้องร้องใครบางคน แต่ว่าที่ตรงนั้นมีเพียงพุ่มไม้และกองดินเท่านั้น
มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนในสมองมีประกายแสงสว่างวาบเข้ามา
“จับตัวเซินหยู่ไว้!” เขาหันไปสั่งลูกน้องที่เอาแต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก มู่อี้จิงมองหาบ้านที่มีสวนกว้างสักหลังหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าของ “ผมขอยืมจอบสักครู่ได้ไหมครับ?”
“ด...ได้สิ” แม้จะจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เจ้าของบ้านผู้ชราก็ออกปากอนุญาต
มู่อี้จิงวิ่งเข้าไปคว้าจอบก่อนจะกลับมายังพุ่มไม้ที่ตอนนี้โดนพุ้ยดินไปหลายส่วน เซินหยู่ถูกควบคุมตัวไว้ทางหนึ่งแม้จะออกอาการดิ้นรนคล้ายคนบ้าแต่ก็ใช้ตำรวจหลายคนช่วยกันจับจึงเอาอยู่
มู่อี้จิงลงมือขุดดินตรงนั้นทันที แต่เพียงแค่เขาปักจอบแซะดินออกมาส่วนหนึ่งเท่านั้น เสียงร้องที่บ้าคลั่งของเซินหยู่ก็ดังก้องขึ้นจนทุกคนสะดุ้งตกใจ และชั่ววินาทีที่นายตำรวจที่ควบคุมเผลอคลายมือนั้น เซินหยู่ก็สลัดตัวออกพร้อมหันมาแย่งปืนจากนายตำรวจคนหนึ่งก่อนจะปลดสลักแล้วจ่อไปรอบข้างเหมือนกับสุนัขจนตรอก มู่อี้จิงรีบผละจากจอบและพุ่มไม้ทันที
“เดี๋ยวก่อนคุณเซิน! อย่าทำบ้า ๆ นะ!” เขาร้องห้าม
“ใครกันแน่ที่บ้า! แกต่างหากล่ะ! ฉ....ฉันไม่ผิด ไอ้ลูกบ้านั่นมันบังคับฉันเอง! นังนั่นก็เหมือนกัน!”
“คุณเซิน มีอะไรค่อยพูดค่อยจาก่อนเถอะ วางปืนลงซะ” มู่อี้จิงขยับเข้าไปใกล้ช้า ๆ แล้วส่งสัญญาณให้ตำรวจคนอื่นเข้าหาทางด้านหลัง เซินหยู่ส่ายปืนไปมา นิ้วชี้เกี่ยวอยู่กับไกปืนพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ บรรดาเพื่อนบ้านจึงถูกกันออกไปจากบริเวณเพื่อความปลอดภัย
“พวกแกจะมาเข้าใจอะไร! ในเมื่อไอ้ลูกบ้านั่นเป็นได้ทำไมฉันถึงเป็นไม่ได้ล่ะวะ! ฉันเป็นพ่อมันนะ! ไอ้ลูกทรพีที่ฮุบทุกอย่างไว้กับตัวเองน่ะ จะตายมันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง!” เซินหยู่ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรโต้ตอบเพราะรู้ดีว่าไม่ว่าคำพูดนั้นจะดีแค่ไหนก็ล้วนเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายทำอะไรโง่ ๆ ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มู่อี้จิงก็ต้องการให้จับเป็นและดำเนินคดีความตามกฎหมาย เพราะอย่างมากก็แค่ติดคุกตลอดชีวิต มีโอกาสอีกมากที่จะแก้ไขความผิดที่ทำลงไป
ชีวิตมนุษย์ เมื่อตายไปมันก็จบลงแค่นั้น
มู่อี้จิงไม่เคยเห็นด้วยเลยกับการตัดสินด้วยชีวิตอย่างนั้น ใครจะว่าเขาโง่เง่าก็ช่างปะไร เขาก็แค่ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงกับทัศนคติของเขาเอง เพราะอย่างนั้นไม่ใช่หรือเขาถึงเลือกเป็นตำรวจ หากทุกอย่างต้องตัดสินด้วยความตายแล้ว ตำรวจกับกฎหมายจะมีไปเพื่ออะไรกัน
มู่อี้จิงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นพร้อมกับตำรวจนายอื่นโดยไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน ถึงอย่างนั้นเมื่อเข้าถึงระยะหนึ่ง เซินหยู่ก็ไกวปืนไปรอบตัวเหมือนกับกำลังวัดระยะ
“อ....อย่าเข้ามานะ!”
มู่อี้จิงชะงักพลางสูดหายใจ เซินหยู่ไม่อาจทนความกดดันมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เขาส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆ หยุดนิ่งกับที่
“ส่งปืนคืนมาเถอะ ผมสัญญาว่าจะให้ความยุติธรรมกับคุณให้ถึงที่สุด” เมื่อมู่อี้จิงพูดจบ เซินหยู่ก็หัวเราะเสียงลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวผสมผสานไปด้วยความหวาดกลัวและความบ้าบิ่นอย่างที่มู่อี้จิงไม่ได้เห็นบ่อยนักจากคนอื่น ๆ ที่เขาจับกุม และนั่น....ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย แน่นอน....เขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร
“อย่านะ!” มู่อี้จิงร้องห้ามพร้อมวิ่งเข้าไป ทว่า....เซินหยู่กลับหันปืนเข้าปากตนเองก่อนจะลั่นไก เสียงปืนดังเพียงสั้น ๆ แต่เป็นหลายวินาทีสำหรับมู่อี้จิงที่ถูกเสียงปืนนัดนั้นสั่นคลอนความมุ่งมั่นที่ตั้งไว้ในคราวแรก มือของเขายื่นค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อร่างของเซินหยู่ล้มฟุบลง หลายช่วงลมหายใจที่มู่อี้จิงพรั่งพรูอย่างเปลืองเปล่าก่อนจะกำมือแน่นพร้อมกัดฟันจนกรามของเขาแทบจะแหลก
บ้าเอ๊ย!
มู่อี้จิงต้องใช้เวลารวบรวมสติครู่หนึ่งก่อนจะเสยผมที่เปียกชื้นเหงื่อขึ้น แล้วสั่งให้ลูกน้องจัดการกับศพ ส่วนเขากลับเดินไปยังพุ่มไม้เดิมและเริ่มขุดดินต่อไป ไม่นานนักเขาก็ได้เห็นชิ้นส่วนร่างกายของมนุษย์โผล่พ้นดินออกมา แต่เป็นชิ้นส่วนที่แทบจะไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาพร้อมกับน้ำเหลืองและตัวอ่อนของหนอนที่ดิ้นอยู่ตามเศษเนื้อสีคล้ำ
มู่อี้จิงเบือนสายตาหนีภาพตรงหน้า ก่อนจะปล่อยให้คนอื่น ๆ จัดการติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นฟ้า เกล็ดบุหรี่ออกมาจุดสูบ ไม่ใช่เรื่องบ่อยนักที่เขาจะสูบบุหรี่ แต่ในเวลาอย่างนี้หากไม่สูบคงไม่ไหวเหมือนกัน สมองของเขาต้องระเบิดแน่ ๆ
ไม่มีจุดจบอื่นที่ดีกว่านี้แล้วจริง ๆ หรือ?
เขาได้แต่ถามตนเองอย่างนั้นในใจขณะปล่อยให้ควันบุหรี่สีเทาลอยขึ้นไปบนฟ้า....
--------------->