ตอนที่ 12 Loneliness Flower : ดอกไม้ผู้แสนโดดเดี่ยว
(ตอนที่ 12/1)
รถหรูสีดำสนิทคันยาวแล่นมาจอดเบื้องหน้าตึกหลังใหญ่อย่างเงียบเชียบและนุ่มนวล คนขับในชุดเครื่องแบบเรียบกริบลุกขึ้นจากที่นั่งคนขับ เดินย้อนไปเปิดประตูด้านหลังด้วยมาดขรึมสุภาพ หน้านิ่งก้มลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะส่งมือให้คนบนรถจับ ขาเรียวยาวก้าวออกจากรถอย่างช้า ๆ ก่อนจะยืดร่างระหงอันงดงามนั้นขึ้นตรงอย่างมั่นใจ
เค้าหน้าอ่อนเยาว์ในชุดจีนกี่เพ้าเข้ารูปสวย ผมยาวตรงสีดำสนิทรวบไว้ด้านหลังประดับปิ่นหยก ใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางเชิดตรง ดวงตาเรียวคู่งาม มองไปเบื้องหน้าโดยไม่มีการวอกแวก แม้ผู้คนที่ยืนขนาบสองข้างรั้ว จะพยายามชะเง้อชะแง้ พร้อมกับถ่ายภาพจากระยะไกลอยู่ก็ตาม
หญิงสาวผู้นั้นก้าวเดินตามทางลาดที่ปูพรมไว้หรูหรา นัยน์ตาดำคลับสงบนิ่งและเยือกเย็น มีบอดี้การ์ดในสูทสีตาดำสี่คนยืนรออยู่ และก้าวตามประกบว่องไวชำนาญการคุ้มกัน
เธอผู้นี้คือ ลี้ เหม่ยชิง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลลี้อันลือชื่อ หลังจาก ลี้ หย่งชาง ผู้เป็นบิดาได้สิ้นไป
หย่งชางเป็นอดีตมาเฟียมีอายุ เขาประกอบธุรกิจนับไม่ถ้วนจนร่ำรวย ทำให้ตระกูลลี้ได้เงยตาอ้าปากและเป็นอันดับหนึ่งในสังคมชั้นสูงได้ในที่สุด หากเมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ทุกอย่างก็ทลายลง เมื่อมีการค้นพบการร่วมมือคอรัปชั่น โดยแหล่งข่าวกล่าวหาว่าเขาเป็นตัวการ จนท้ายที่สุดได้มีการฟ้องล้มละลายจากคู้ค้าสำคัญ เมื่อข่าวร้ายแพร่ออกไป ยังผลให้ธุรกิจของเขาพังยับในเพียงชั่วเวลาไม่กี่วัน
ในคืนหนึ่งหลังจากนั้น ตระกูลลี้ที่เคยยิ่งใหญ่ กลับล้มลงในพริบตา เมื่อข่าวพบศพของหย่งชางบนเตียงในห้องนอนของเขาเอง สิ้นใจปริศนาด้วยยาพิษ ว่ากันว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตายเพราะรับสภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้ หากแหล่งข่าวหลายสายบ้างว่ากันว่า อาจจะเป็นการสร้างแพะแล้วปิดปาก แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนใด ๆ
ภรรยาที่ตายจากไปหลายปี ทำให้ครอบครัวนี้ไม่เหลือใคร นอกจากบุตรสาวเพียงคนเดียว เหม่ยชิง ผู้มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น
บุตรสาวของหย่งชาง ที่ไม่เคยเปิดเผยตัวออกสู่สาธารณะ จึงโด่งดังขึ้นในชั่วข้ามคืน นักข่าวหลายคนรอคอยการปรากฏตัวของเธอในค่ำคืนนี้มานานหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อเห็นร่างบอบบางนั้นก้าวออกจากรถ ทุกคนก็จ้องมองมาเป็นตาเดียว
จากที่เห็น เธอเป็นหญิงสาวที่สวยสะดุดตา เรือนร่างระหงผอมบางสูงโดดเด่น ยามยืดตัวตรง ยิ่งดูน่าเกรงขาม ดวงตาคู่นั้นไม่แสดงอารมณ์อันใดต่อหน้าสาธารณะชน แม้จะพึ่งผ่านพ้นการจัดงานศพให้ผู้เป็นบิดาไปเพียงไม่กี่วันก็ตาม
ในสภาพที่ครอบครัว..บิดาเพียงคนเดียว ต้องประสบชะตากรรมอนาถ ทรัพย์สินที่มี ถูกยึดจากการฟ้อง เธอผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงถูกญาติผู้เป็นอาคือ ลี้ เช็ง อาสารับไปดูแล
และในวันนี้ เธอก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ของเขาแล้ว บรรดานักข่าวที่ถูกกันออกไป จึงได้แต่เหม่อมองผ่านรั้วสูง โดยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในได้
เช็งเป็นญาติที่ไม่น่าคบสักเท่าไหร่ ข่าววงในลือกันว่า คดีนี้เป็นฝีมือของเช็งที่จับพี่ชายมาเป็นแพะ แล้วยังจะหวังครอบครองลูกสาวแสนงามของหย่งชางอีกด้วย
ประตูห้องส่วน ตัวอันหรูหราเปิดออก ฐานะของเช็งไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นพี่ชาย ร่างสูงค่อนท้วม เอนกายอยู่บนเตียงพร้อมแก้วไวน์ที่พึ่งจิบไปเมื่อครู่ มือหยาบวางแก้วนั้นลงกับถาด ที่คนรับใช้สาวยื่นมารับโดยอัตโนมัติ ก่อนเขาจะโบกมือเป็นสัญญาณ ให้ทุกคนออกไป
เหลือเพียงเหม่ยชิง เด็กสาวผู้มาใหม่ อยู่ตามลำพังกับเช็งเท่านั้น
“เข้ามานี่สิ อาชิง” ชายวัยกลางคนเรียกเบา ๆ อย่างสนิทสนม ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ขาเรียวยาวก้าวเข้าหา เมื่อมาถึงขอบเตียงด้านข้าง เธอก็หยุดลง มือนั้นตบที่เตียงเบา ๆ เชิงให้นั่ง ซึ่งเธอก็ขยับตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย หากสายตาเย็นชายังคงมองมายังผู้ที่ได้ชื่อเป็นอา และเป็นผู้ปกครองในนามของเธอในยามนี้อย่างไม่คลาดสายตา ริมฝีปากบางขยับยิ้ม ตั้งแต่มาถึง เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว
ดวงตาวาววาบจ้องมองเงียบ ๆ ยามมือแข็งแรงของอีกฝ่ายเชยคางเธอขึ้น พลางพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ได้เจอกันนาน งามขึ้นเยอะทีเดียวนะ”
มือบอบบางไม่ได้ปัดมือข้างนั้นออก ไม่มี…แม้แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ ดวงตาเรียวยาวคู่งามของเธอ จ้องเขาโดยไม่กะพริบด้วยซ้ำ
“ฉันรู้…ว่าเธอเป็นคนฉลาด เราเป็นญาติกัน ก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เข้าใจความหมายนี้ใช่ไหม”
ร่างนั้นเอนตัวลงบนหมอนนุ่มเป็นนัย เขารู้ดี ว่าหญิงสาวที่ชาญฉลาดอย่างเหม่ยชิง ย่อมจะเข้าใจ
หากต้องการการคุ้มครองปกป้อง ก็ต้องแลกมาด้วยร่างกาย!
หุ่นเพรียวลมขยับเข้าใกล้กว่าเดิม ก่อนจะโน้มกายเข้าหา พริบตาเดียวเท่านั้น ที่คมมีดสั้น ได้ปักตรึงลงตรงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ
เป็นมีดสั้น...ที่ขโมยมาจากบอดี้การ์ดคนหนึ่ง ที่จนกระทั่งถึงตอนนี้ เจ้าตัวก็ยังไม่ทันได้รู้ว่ามันหายไป!
ดวงตาของเช็งเบิกกว้าง ไม่คาดคิดว่าเด็กสาวตัวแค่นี้ จะลงมือได้เลือดเย็นนัก ฉับพลันเขาจึงระลึกได้ ถึงความผิดปกติบางอย่าง...แต่มันสายเกินไปแล้ว
“ทะ…เธอ …เธอไม่ใช่เหม่ยชิง!” เสียงตะกุกตะกักสำลักเลือดพยายามพูด มือบางหากแข็งแรง ขยับยกผ้าห่มขึ้นบังกาย ก่อนจะดึงมีดนั้นออกเต็มแรง สายเลือดพุ่งทะลัก เสียงร้องแม้จะดังเพียงใด คนด้านนอกก็ไม่ได้ยิน ด้วยเพราะห้องนี้ เป็นห้องเก็บเสียง นั่นเป็นสิ่งที่หญิงสาวรู้ดีเช่นกัน
ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะดับลง เช็งยังเห็นใบหน้างามนั้นมีรอยยิ้ม
…เป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ที่ไร้ซึ่งความหมายใด ๆ
คนผู้นั้นปล่อยผ้าห่มและมีดเปื้อนเลือดลงกับพื้น มือที่สวมถุงมือบางเบา…บางจนยากจะรู้ได้ว่าสวมอยู่ เปิดกลอนหน้าต่างด้านข้าง ก่อนจะทิ้งตัวออกไป
ห้องส่วนตัวนี้ไม่มียามป้องกัน ด้วยความชะล่าใจจากการคุ้มกันมากมายเบื้องนอก มีเพียงชายชุดสูทดำกระจายกันยืนเฝ้ายามตามจุดต่าง ๆ ของตัวบ้านเหมือนทุกวัน ตามตำแหน่งในแผนผังที่ได้รับมา
เด็กสาวในชุดกี่เพ้าออกวิ่งรวดเร็วชำนาญทาง หลบเลี่ยงจุดเฝ้ายามได้อย่างแม่นยำ หากทันใดนั้น สัญญาณเตือนภัยในบ้านก็ดังขึ้น!
ความเคลื่อนไหวในเงามืด ถูกพบในเวลาไม่นาน ชายชุดดำที่ระวังภัย ล้วนมีอาวุธครบมือ ในขณะที่ร่างบอบบางนั้นปราศจากอาวุธ ฝีเท้าคล่องแคล่ววิ่งหลบหลีกแฝงตัวหลอกล่อ นึกขัดใจไม่น้อย ว่าทำไมสัญญาณนั่นจึงดังได้
เสียงแตกตื่นดังมาจากภายในบ้าน ขณะที่เสียงปืนก็ดังฝ่าอากาศมาเช่นกัน หญิงสาวพุ่งหลบรวดเร็ว หากปืนนั้นยังยิงแฉลบไปที่ต้นแขน เจ้าของร่างกัดฟันโหนกิ่งไม้ ก่อนจะทิ้งตัวลงที่อีกฝั่งของกำแพง แล้วหายไปในความมืดมิดยามราตรี
ทิ้งเจ้าของคฤหาสน์ที่นอนจมกองเลือดไว้บนเตียงนุ่ม ท่ามกลางความวุ่นวายไม่รู้จบในคืนนั้น
..............................
ประตูเก่าในตึกหลังหนึ่งถูกเปิดออก ก่อนร่างปราดเปรียวจะแทรกตัวเข้าไปอย่างเงียบเชียบ การเคลื่อนไหวอันไร้เสียงไม่ทำให้คนในตึกรู้ด้วยซ้ำว่าเขามาถึง ห้องที่เกือบจะว่างเปล่า มีเพียงข้าวของจำเป็นไม่กี่อย่างเท่านั้น เขาอยู่ลำพังมานานแล้ว และไม่เคยต้องการใครร่วมห้อง
เพราะใครที่อยู่ห้องเดียวกับเขา...แม้ตอนมาจะยังมีชีวิต แต่ยามไป มักจะกลายเป็นศพเสมอ!
ถึงจะไม่ถนัด แต่เขาก็ทำแผลให้กับตัวเองได้อย่างคล่องแคล่ว นี่ไม่ใช่แผลแรกจากการทำงานประเภทนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ หากหลังจากทำแผลเรียบร้อย สีหน้าคนในห้องกลับเคร่งเครียดขึ้น ดวงตาคมมองไปยังหน้าต่าง
"ออกมาได้แล้ว โคโตะ" เสียงราบเรียบแฝงดุดันหน่อย ๆ พูดขึ้นในความเงียบ
ร่างคล่องแคล่วของชายหนุ่มผู้หนึ่ง โหนตัวขึ้นมาจากหน้าต่างบานนั้น แม้ว่าห้องตรงนี้จะเป็นชั้นสอง มาอย่างเงียบเชียบจนแทบจะไม่รู้สึกได้เลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะฝึกฝนร่างกายมามากก็คงไม่รู้ตัวเช่นกัน
"จับได้เสียแล้ว แหม ซากุจัง ความรู้สึกไวจริง ๆ" เป็นชายหนุ่มร่างเล็กที่ดูกะทัดรัดน่ารักจนไม่น่าแสดงสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้นยามได้เห็นเอาเสียเลย
ดวงตากลมโตสบตากับเจ้าของห้อง พลางส่งยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดีไปให้ จากที่เห็นอายุคงราว ๆ 20 ต้น ๆ เพียงเท่านั้น ผมสีดำสนิทที่ซอยสั้นกะทัดรัด ดวงตาสีเดียวกัน และริมฝีปากสีอ่อนที่ยามยิ้มแย้มเห็นไรฟันขาว น่ารักแกมซุกซนราวหญิงสาวก็ไม่ปาน แม้จะแน่ใจจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ว่า จะอย่างไรก็เป็นผู้ชาย
ใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยดูเป็นมิตรเสียจนใครเห็นก็อยากเข้าใกล้
แต่ไม่ใช่กับเขา…ที่รู้ซึ้งถึงเบื้องหลังคนผู้นี้อย่างแน่นอน
ร่างเล็กผอมบางของคนผู้นั้นนั่งสบายใจที่ขอบหน้าต่าง มืออีกข้างถือนาฬิกาจับเวลาอยู่ ดวงตาคมเหลือบมองตัวเลขในนั้นที่กดหยุดไว้ แล้วพูดขึ้นว่า "30 นาที ไม่เลวนี่ งานเรียบร้อยแล้วสินะ"
คนฟังพยักหน้า หากยังจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้วางใจ "สัญญาณกันขโมย...?"
ชายที่ริมหน้าต่างยิ้มรับแล้วตอบหน้าตาย "ชั้นทำเองแหละ"
ทั่วร่างเกร็งอย่างไม่ไว้วางใจกว่าเดิม เมื่อได้ยินคำตอบนั้น สายตาที่จับจ้องคล้ายต้องการถาม ว่าทำเช่นนั้นเพื่ออะไร
ราวล่วงรู้ คนเบื้องหน้าจึงพูดต่อไป "30 นาที บาดเจ็บเล็กน้อย โดยรวมก็นับว่าสอบผ่าน"
ดวงตาเรียวยาวจ้องมองไม่เลิก จนอีกฝ่ายหัวเราะ "หน้าชั้นไม่มีตาที่สาม เลิกจ้องได้แล้ว"
คนฟังระบายลมหายใจยาว ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อชุดกี่เพ้าออก ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น พลางพูดต่อเรียบ ๆ ว่า "ถ้าจะให้ทำงานต่อไป รับรู้ไว้ด้วย หนึ่ง ฉันจะไม่แต่งหญิงทำงานอีก สอง งานที่ทำ จะฆ่าเฉพาะคนสมควรตายเท่านั้น"
ชายหนุ่มผู้มาเยือนยักไหล่น้อย ๆ แล้วยิ้มตอบ "โอเค ๆ"
"และ สาม ฉันคือซากุ ไม่ใช่ซากุจัง ห้ามเรียกเป็นผู้หญิงแบบนี้อีก!" เสียงดุดันพูดต่อ ก่อนจะเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบเสื้อเชิร์ตกับกางเกงขายาวมาสวม ภายในพริบตา จากหญิงสาวผู้แสนงาม ก็กลายเป็นชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมไป
"เฮ้อ...ซากุคุงก็ได้...ถอดเสื้อ ยั่วกันขนาดนี้ ไม่กลัวโดนกดบ้างรึไง" โคโตะแซวเบา ๆ หากอีกฝ่ายจ้องมาด้วยดวงตาดุ ๆ จนเย็นวาบ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ชายหนุ่มก็เข้าใจความหมายนั้น แม้จะพึ่งพบกับอีกฝ่ายมาไม่กี่ครั้ง แต่เขาล่วงรู้ในประสิทธิภาพของซากุได้ดี รวมถึงความน่ากลัวยามถูกทำให้ไม่พอใจด้วย
เป็นบุคลากรที่มีค่า ที่จะต้องเอามาให้ได้ เพื่องานที่สำคัญในอนาคต ชายหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับอย่างยอมแพ้ ด้วยท่าทางเป็นกันเองและดูสนิทสนม แม้อีกฝ่ายจะไม่ยอมสนิทด้วยเลยสักนิดก็ตาม
ดวงตาสีเข้มกลมโตของเขาจ้องมองมาอย่างจริงจัง "ข้อตกลงทั้งหมดก็โอเคแล้ว มาทำงานกับชั้นได้รึยัง"
คนฟังถอนหายใจแล้วตอบว่า "ฉันมีทางเลือกด้วยรึ?"
ร่างเล็กน่ารักยิ้มให้โดยไม่ตอบคำ แต่เขาเข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี
ชายหนุ่มพูดต่อไปง่าย ๆ หากอีกฝ่ายรู้ดีว่าเป็นคำสั่ง "เตรียมตัวเก็บของซะล่ะ เราจะไปญี่ปุ่นกันพรุ่งนี้" ว่าพลางยื่นซองเอกสารให้ แล้วจากไปอย่างรวดเร็วทางหน้าต่างบานเดิม
ซากุมองผ้าม่านที่โดนรั้งไปอีกฝั่งไหวปลิวไปตามลมพลางครุ่นคิด
เมื่อถูกเลือกแล้ว ย่อมถอนตัวไม่ได้
กับผู้มีพระคุณ จะอย่างไรก็ทำได้เพียงเชื่อฟังเท่านั้น!
.............................
ร่างสูงโปร่งผิวขาวเนียนละเอียดใส่แว่นตาดำหิ้วกระเป๋าใบเล็กเดินอยู่ในช่องผู้โดยสารขาออกของสนามบินนาริตะ พร้อมกับร่างเล็กคล่องแคล่วของโคโตะ มองจากภายนอกเป็นชายหนุ่มที่ดูบอบบางแต่เคร่งขรึมในชุดเสื้อจีนตัวยาว ไม่แปลกนักสำหรับคนที่มาจากฮ่องกงอย่างเขาจะแต่งตัวเช่นนี้
ดวงตาเรียวใต้แว่นมองไปตรง ๆ ไม่ได้ใส่ใจต่อสายตาผู้ใด ผมสีดำยาวถูกรวบไว้ด้านหลังแล้วมัดด้วยเชือกถักเป็นเปียเดี่ยวห้อยคล้อยมา ยังไหล่ที่ดูบอบบางไปสักนิด ลักษณะเป็นชาวจีนอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทางของเขายังดูอ่อนเยาว์นัก ทั้งยังค่อนไปทางบอบบางเสียด้วย ถึงแม้จะมีแว่นดำบดบังใบหน้า แต่ดูก็ยังรู้ว่าอายุคงไม่ถึงสิบแปด …ยังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น เขามีจมูกไม่โด่งมากแบบชาวเอเชียทั่วไป รับกับริมฝีปากบางสีสด และผิวขาวสะอาดแบบคนจีนมีตระกูล โดยรวมแล้วจึงดูดีจนค่อนข้างสะดุดตาอยู่บ้าง
หลังจากหยุดยืนรอคอยอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีผู้ชายในชุดสูทสีเข้มเดินเข้ามาหาโคโตะและนำทางออกไปยังรถที่จอดรอไว้ ร่างเล็กพยักเพยิดให้ตามไป ซากุจึงได้แต่เดินตาม โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
รถคนนั้นมีสีดำสนิท...ไม่น่าแปลกใจ รถของยากูซ่าหรือพวกที่ชอบทำอะไรลับลมคมนัย มักจะมีสีเช่นนี้ ที่เบาะหลังนุ่มสบายราคาแพง ดวงตาเรียวยาวมองตรงไปข้างหน้า นั่งนิ่งราวกับตุ๊กตา โดยไม่พูดจาอันใดอีกเช่นเคยตลอดเส้นทาง ไม่มีกระทั่งคำถาม แม้คนด้านข้างจะมองมาแล้วอมยิ้ม โคโตะรู้ดี ว่าตอนนี้ อีกฝ่ายไม่อยากจะพูด เขาจึงปล่อยให้ในรถ มีเพียงความเงียบ
กับคนบางคน ความเงียบเป็นเพื่อนที่ดีกว่า
จวบจนมาจอดเบื้องหน้าโรงแรมระดับห้าดาวชั้นดี ร่างเล็กของโคโตะก็ลงมาเปิดประตูให้ ก่อนเจ้าหน้าที่ทางโรงแรมจะจัดการเสียอีก
"ชั้นจัดห้องไว้ให้นายแล้วนะ ส่วนคืนนี้...เราคงมาดื่มกันได้ใช่มั้ย" เขากล่าวต่ออย่างกระตือรือร้น ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ พยายามผูกมิตรตลอดเวลา แต่อีกฝ่ายกลับยังนิ่งเฉยดุจเดิม
"ดี งั้นทุ่มนึง จะไปรับที่ห้องนะ" เขาพูดต่อเบา ๆ ก่อนจะโบกมือแล้วจากไป
พนักงานโรงแรมจัดการพาไปยังห้องพักที่จัดไว้โดยไม่ต้องบอก
ทุกอย่าง...ถูกเตรียมการไว้แล้ว
เมื่อพนักงานโรงแรมวางของทุกอย่างลงแล้วจากไป ร่างบอบบางของซากุก็นั่งลงบนเตียงด้านข้าง ที่โต๊ะข้างเตียง มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่
ในกระดาษแผ่นนั้น มีเพียงตัวเลขสามตัว 509
ไม่ต้องบอกก็รู้ มันคือห้องของเป้าหมาย และเวลาดำเนินการ คือ 1 ทุ่มตรง!
กรณีไร้ซึ่งรายละเอียดใด ๆ ย่อมหมายถึง จัดการได้ตามสะดวก มือเรียวของชายหนุ่ม เปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก ภายในมีกล่องยาววางอยู่ด้านใน ตัวกล่องค่อนข้างหนักเมื่อยกขึ้น พอเปิดดูก็พบดาบยาวเล่มหนึ่ง ตระเตรียมไว้ให้
เสียงใสยามฝักถูกชักออก บอกได้ดีถึงคุณภาพของดาบนั้น คมดาบบางใสสะท้อนแสงไฟราวกระจกชั้นดี ความคมของมันไม่ต้องทดสอบก็รู้ ว่าเพียงสะกิดผิวก็เรียกเลือดได้แล้ว
ใบหน้านิ่งสนิทมีรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อนิ้วเรียวลูบไล้ไปที่ตัวดาบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นของโลหะ…และความคมของมัน
การลงมือด้วยของมีคม เป็นสิ่งที่ซากุถนัด เขาไม่ใช้อาวุธอื่น เพราะชอบลงมืออย่างเงียบเชียบและสวยงามมากกว่า
สำนักดาบที่เคยอยู่มาในกาลก่อน ขัดเกลาฝีมือจนพูดได้ว่ายากจะหาใครเทียบได้ แต่นั่น...มันก็เป็นอดีตไปแล้ว
เป็นอดีตที่เขาลืมไปแล้วด้วย
ตอนนี้มีเพียงปัจจุบัน และอนาคต
ปัจจุบัน ที่ต้องฆ่า
และอนาคต ที่ยังคงต้องฆ่าต่อไป...
.............................................
ชาหอมกรุ่นบนโต๊ะยามเช้า ถูกมือคล่องแคล่วหยิบยกจิบ สายตาดุ ๆ มองมาเขม็งจนคนแอบขโมยกินยิ้มเจื่อน "อย่างกไปหน่อยเลย แค่ชาถ้วยเดียวเอง" โคโตะพึมพำพลางสูดลมหายใจเข้า กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรพิเศษบางอย่างในนั้น กลับทำให้รสชาติกลมกล่อมกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด
"ชงชาได้ไม่เลวนี่" สีหน้าคนชิมเริ่มเคลิบเคลิ้ม “สมุนไพรจีนสินะ ยังอุตส่าห์หอบมาด้วยอีกเหรอเนี่ย”
"ใครอนุญาตให้นายเข้ามา" เสียงเคร่งเครียดถามต่อ ก่อนจะวางจานอาหารลงบนโต๊ะ ไม่ได้แปลกใจนักเพราะรู้ดี ไม่ว่าประตูจะปิดล็อคแน่นหนาเพียงใด แต่สำหรับคนผู้นี้ ที่ไปมาได้ราวกับหายตัว มันไม่เคยมีผลใด ๆ ทั้งสิ้น
"ก็นายไง ไม่งั้นคงไม่เตรียมข้าวเช้าเผื่อชั้นหรอกใช่มั้ยล่ะ" คนพูดยิ้มหวาน อาหารที่จัดไว้สองที่ บอกได้อย่างดีว่าคนทำก็รู้ ว่าจะมีแขกมา
เสียงราบเรียบตอบกลับเย็นชาว่า "ฉันยังไม่ได้เชิญ"
"เอาน่า ซากุที่รัก เอ๊ะ...อร่อยผิดคาดแฮะ นายนี่มีฝีมือด้านทำอาหารด้วยเรอะ" สีหน้าคนถามมีแววประทับใจ มือคล่องแคล่วตักกินตุ้ย ๆ โดยไม่ได้หยุด แม้จะยังชวนคุยอยู่ก็ตาม
คำตอบคือความเงียบ ดวงตาเรียวคู่นั้นกลับเศร้าลงวูบหนึ่ง
คนมองจึงเปลี่ยนเรื่อง เพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในห้องดูมืดทะมึนกว่าที่เป็นอยู่ ดาบยาวอันนั้น วางไว้อย่างดีบนโต๊ะด้านข้างมีผ้าปูรองเรียบร้อย ใบหน้าหวานมีรอยยิ้ม "ดาบที่ชั้นให้ คงถูกใจนายสินะ"
"คนชั่วสมควรตาย จะดาบดีดาบเลว ก็ต้องตายอยู่ดี" ซากุพึมพำ ก่อนจะหันหลังเข้าครัวไป
"อ้าว ไม่กินด้วยกันเหรอ" เสียงใสทักต่อ
"ฉันไม่กินข้าวร่วมโต๊ะกับใคร" ร่างผอมเพรียวในชุดจีนตอบเรียบ ๆ
โคโตะยังคงกินต่อไป แถมตบท้าย ยังมีของหวานจากอีกฝ่ายให้ชิมเสียอีก
"อิ่มดีจริง ๆ แฮะ" เขารำพึงเบา ๆ อย่างพอใจเมื่อกวาดทุกอย่างลงท้องไปเรียบร้อย "นายไม่กินด้วย...งั้นชั้นไปดีกว่า ไว้กลางวันค่อยมาใหม่ อย่าลืมเตรียมข้าวเผื่อด้วยล่ะ" ว่ายิ้ม ๆ แล้วก็หันหลังออกไปง่าย ๆ เสียอย่างนั้น
เจ้าของห้องมองตามร่างเล็กของอีกฝ่ายไป พลางทอดถอนหายใจ ก่อนจัดการเก็บจานชามบนโต๊ะโดยไม่พูดไม่จาเหมือนเช่นเคย
ห้องนี้เป็นห้องพักใหม่ เป็นห้องชุดของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาย้ายมาพักด้วยการจัดการของโคโตะ หลังจากงานคืนนั้นเสร็จเรียบร้อย
ห้องใหม่ที่มีครัวในตัว เป็นที่พอใจของซากุมากกว่าเดิม แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่พูดอะไรเช่นเคยก็ตาม จากที่เห็นได้ชัดคือในยามว่าง นักฆ่าผู้นี้ชอบขลุกทำอาหารอยู่ในครัว มากกว่าทำอย่างอื่นเสียอีก อาหารและของสด ทุกอย่างมีในตู้เย็นพร้อมสรรพ
เพราะคนอย่างเขา จะต้องระวังตัวทุกย่างก้าว จึงไม่ควรออกไปเดินเล่นที่ไหน
ดังนั้นไม่ว่าอะไร ก็จะมีคนจัดหาไว้ให้เสมอ ซากุจึงสามารถทำอาหารที่ต้องการได้อย่างใจเย็น
แต่อาหารที่ทำแล้วไม่มีคนกิน...มันน่าเศร้ากว่าเดิมรึเปล่า?
ด้วยสาเหตุนั้น โคโตะเลยหาเรื่องมากินข้าวด้วยทุกวัน
และแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวเลยสักครั้ง แต่ก็เตรียมอาหารไว้เผื่อทุกมื้อ
ไม่ว่าโคโตะจะมาทานหรือไม่ก็ตาม...
............................................
ร่างผอมบางที่เปื้อนเลือดเปิดประตูรถที่จอดสตาร์ทคอยอยู่ที่จุดนัดหมายแล้วนั่งประจำที่อย่างรวดเร็ว รถแล่นออกโดยไม่ต้องสั่งเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบและมีประสิทธิภาพ เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
เสียงใสข้างตัวจากที่นั่งด้านข้างทักทายขึ้น "ทำไมวันนี้เลือดเยอะจริง"
ดวงตาเรียวยาวจ้องมองคนถามเขม็ง
"เป็นนายไม่ใช่รึ ที่ทดสอบฉัน"
คนฟังหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากนุ่มมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "รู้ด้วยงั้นเหรอ"
ความเงียบเป็นคำตอบที่ซากุนิยมใช้ โคโตะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี วันนี้เขาแค่ปล่อยข่าวการลอบสังหารออกไป เหยื่อที่ไหวตัว จึงเตรียมการพร้อมพรักกว่าเดิม แต่ก็เห็นได้ชัด ว่าไม่มีผลใด ๆ กับคนผู้นี้ นอกจากเลือดปริมาณมากขึ้นที่เลอะติดเสื้อผ้ากลับมา
"แต่นายก็สอบผ่านนี่ ถ้าเทียบกับครั้งแรก ๆ แล้ว ฝีมือของนาย เฉียบคมขึ้นเยอะนะ" เขาว่าพลางยิ้มหวาน แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มด้วยเลยสักนิด สีหน้าของนักฆ่าหนุ่มยังคงเคร่งเครียดดุจเดิม
"จะทดสอบไปจนถึงเมื่อไหร่" คำถามราบเรียบ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจนัก
"จนกว่าจะแน่ใจ ว่านายจะจัดการกับ 'เขา' ได้" โคโตะตอบเบา ๆ ดวงตากลมโตของเขาหลุบต่ำ เสียงที่ดูเศร้า ทำให้อีกฝ่ายหันไปมอง แม้จะยังไม่พูดอะไรเช่นเคย
สีหน้าเศร้านั้นปรับเป็นรอยยิ้มน่ารักได้ในพริบตา เมื่อพูดขึ้นว่า "อย่างน้อย ชั้นก็ยังทำตามกฎของนายอยู่ไม่ใช่หรือไง หนึ่ง นายไม่ต้องแต่งหญิงออกปฏิบัติการ สอง ชั้นไม่เรียกนายว่าซากุจัง และสาม...ทุกคนที่นายฆ่า สมควรตายแล้ว!"
ร่างสูงโปร่งของซากุไม่ขยับไปจากที่ มีเพียงเสียงถอนใจแผ่วเบาเท่านั้น ดวงตาคู่สวยหลับลง และไม่สนใจจะคุยด้วยอีก
ชายหนุ่มมองมายังคนที่นั่งด้านข้าง ใบหน้าใสมีรอยยิ้ม รู้ถึงความหมายของท่าทางเหล่านั้นดี
ความหมายนั่นก็คือ
ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไข ซากุก็จะไม่ปฏิเสธ!
.....................................