บทที่ 20
ใครเพื่อนมึงเทพท้อกับประชาธิปไตยที่หายไป @LostDemocracy44
ตั้งตัวเป็นพ่อคนอื่น ถามความเห็นเขาหรือยังว่าอยากได้พ่อแบบลุงมั้ย ถุ้ย! เป็นทั้งทหาร นาย ก. เจ้าหน้าที่รัฐ บุคคลสาธารณะ นักแต่งเพลง โอ้โห กูนึกว่าอยู่ในหนังเรื่อง Split มีหลายบุคคลิกในตัวอะไรขนาดนั้นถามก่อน
#ใครลูกมึง“กว่าแบบร่างจะผ่าน แม่ง กูแก้แล้วแก้อีก”
“ก็ผ่านแล้วนี่ไง” ผมปลอบใจตั้มในขณะเดินลงจากตึกคณะ เขาบ่นเรื่องแบบงานมาสักพักแล้ว “เนี่ย ต่อไปก็แกะลงกระเบื้องยางต่อเลย แต่ของตั้มลงรายละเอียดเยอะมาก เราว่าต้องเมื่อยมือแน่ๆ”
“ไม่อยากลงละเอียดแบบนี้หรอก แต่มึงก็เห็นอะเฟน จารย์แกชอบแบบนั้น ถ้ากูไม่ทำ แก้อีกสิบรอบก็ไม่ผ่าน”
“ตั้มเลยประชดใส่ไปเยอะๆ เลยใช่มั้ย?”
“เอ่อ...ก็ใช่” เขาหัวเราะแหะๆ ผมส่ายหัว หลุดยิ้มออกมา “อะ ขำใหญ่ ได้ทีแล้วขำใหญ่ ใช่ซี่ คนที่แบบผ่านตั้งแต่ครั้งแรกคงไม่เข้าใจว่าการแก้งานซ้ำซากเป็นยังไง”
“ตั้มก็เว่อร์ไป” ผมหัวเราะ
“เออ แล้วจะไปไหนต่อมั้ย?” เขาถามตอนเราเดินมาถึงโถงล่างตึกพอดี “ถ้าไม่ได้จะไปไหนกูจะชวนมึงไปนั่งทำงานอะ จะขอยืมไม้แกะด้วย กูยังไม่ได้ซื้อเลย”
“อ่า…” ผมเกาแก้มเบาๆ เผลอก้มหน้าอมยิ้มกับตัวเอง “มีนัดแล้วน่ะตั้ม ขอโทษนะ”
“กับใคร?”
“ก็…”
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งบอก” ตั้มยกมือห้าม เขาหรี่ตา สีหน้าครุ่นคิด “ให้กูเดา พี่พระพายถูกมั้ย?”
“อื้ม” ผมพยักหน้ารับ
“แหม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความเขินอายหน้าแดง มันอะไรยังไง”
“ก็ไม่อะไร”
“กูก็อยากเชื่อนะถ้ามึงไม่เขินจนแทบจะม้วนตัวแบบนี้” ตั้มส่งเสียงจิ๊จ๊ะ เขาหยิกแขนผมเบาๆ “ทำมาเกาะแขนมามุดหน้ากับไหล่กู น่ารักตายแหละไอ้ตัวดี สารภาพมาเลย ปิดบังอะไรเพื่อนมึงไว้ฮึ?”
“ตั้มไม่ไล่บี้เราสิ มันเขินนนน”
“เขินตอนนี้หรือจะให้กูตะโกนถามดังๆ อีกที”
“ตั้มมมมม”
“ขอโทษที ลูกอ้อนมึงใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน ถึงพี่พระพายจะแพ้ลูกอ้อนมึงแต่ไม่ใช่กับกู บอกเลยว่าความเสือกยืนหนึ่ง กูเกิดมาเพื่อรู้เรื่องของมึงและมนุษย์ทั่วโลก!”
“ถ้าตั้มตั้งใจมุ่งมั่นกับการเรียนเหมือนที่อยากรู้เรื่องของเราก็คงดีอะ”
“ด่ากูตาใสอีกแล้วไอ้ตัวดี!”
“อย่าตีเรา โอ๊ย! บอกแล้ว ไม่หยิกแก้มเราสิตั้ม!” ผมตีมือเขาที่หยิกแก้มผมแล้วจับยืดออก ตั้มส่งเสียงเหอะ เขาเอนตัวพิงกำแพงหรี่ตาจ้องผม “ก็...แบบว่า เรากับพี่พระพายอะ จะว่าไงดี”
“จะว่าไงก็รีบว่ามั้ย เล่นตัวนัก”
“ก็...คบกันแล้ว” ผมก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเพื่อน กลัวโดนล้ออะ
“กูว่าแล้ว!” ตั้มตบมือตัวเองดังลั่น “มึงมาเรียนด้วยออร่าสีชมพูเปล่งประกายขนาดนี้ เรดาห์กูดังตั้งแต่เช้า แหมๆๆ ถ้ากูไม่ถามนี่จะบอกมั้ย อุบอิบเก่งนัก”
“ก็ต้องบอกอยู่แล้ว เราแค่ยังหาจังหวะไม่ได้ไง”
“แล้วคบกันตอนไหน”
“วันเสาร์ที่ผ่านมานี้อะ”
“ได้กันยังอะ”
“ตั้ม!” ผมฟาดแขนเขาเต็มแรงจนอีกฝ่ายร้องลั่นลูบแขนตัวเองรัวๆ “น่าเกลียด พูดจาอะไร เห็นเราเป็นคนยังไงเนี่ย!?”
“กูน่ะไม่ได้เห็นมึงเป็นคนแรดหรือไวไฟอะไรเว้ย” เขารีบแก้ตัว “แต่พี่พระพายต่างหาก รายนั้นน่ะร้าย กูกลัวว่ามึงจะโดนเขารวบหัวรวบหางจับกินตั้งแต่ตกลงเป็นแฟนกันต่างหาก”
“พี่พระพายไม่ได้ทำสักหน่อย” ผมอุบอิบเสียงเบา ก็แค่...เกือบรีดพิษใส่ผม
“ก็ดีแล้วมึง เพิ่งคบกันเอง อย่าไปไวไฟนัก รักนวลสงวนตัวไว้ก่อน พี่มันได้ง่ายๆ ก็ทิ้งง่ายๆ นะเว้ย”
“พี่พระพายไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อยตั้ม” ผมอดแก้ตัวแทนไม่ได้
“ก็เผื่อไว้ก่อน อะไรก็ไม่แน่นอนปะ”
“แต่เรา…”
“หนูเฟนนนน”
ผมหันไปตามเสียงเรียก สายตาปะทะเข้ากับร่างสูงโดดเด่นของพี่พระพายที่ยิ้มร่าโบกมือมาให้แต่ไกล ผมยิ้มตอบ แอบยกมือโบกกลับนิดนึง
“ระริกระรี้จังเพื่อนกูเนี่ย”
“เปล่าสักหน่อยตั้ม”
“เออ งั้นกูไปล่ะ” ตั้มโบกมือลา เขามองหน้าผมอยู่สักพักก่อนถอนหายใจ “อย่าลืมล่ะ ที่กูเตือนอะ เป็นห่วงนะเว้ย พี่มันดูร้ายๆ ส่วนมึงก็เด๋อด๋าตาใสแบบนี้อะ”
“อื้อ ขอบใจนะตั้ม”
“เค เจอกันพรุ่งนี้เว้ย” ตั้มเดินแยกไปอีกทางพอดีกับที่พี่พระพายเดินมาถึงผม
“เพื่อนทิ้งเหรอเรา”
“เปล่าสักหน่อย” ผมแก้ต่าง เผลอหดคอตอนพี่พระพายวางมือบนหัวแล้วลูบเบาๆ “ไม่ลูบหัวสิ ผมเรายุ่งหมดแล้วพี่”
“ก็คิดถึงหนู” เขาหยอดพร้อมกับยิ้มตาเป็นประกาย เล่นเอาผมเขินหน้าร้อนก่อนหลบตาเมื่อเขาพูดประโยคต่อมา “คิดถึงแฟนอะครับ”
“พูดอะไรก็ไม่รู้”
“หนูรู้”
“ไม่รู้จริงๆ”
“ถ้าไม่รู้จริงๆ แล้วหน้าแดงทำไม” พี่พระพายก้มหน้าลงมา เขาพยายามจะมองหน้าผมให้ได้ “หนูรู้ว่าพี่พูดอะไรไม่งั้นจะเขินพี่ทำไม เด็กน้อย โกหกไม่เก่งนะเราน่ะ”
“พี่แกล้งเราอะ”
“พอสู้ไม่ได้ก็โวยวาย แฟนใครเนี่ย”
“พี่จะย้ำคำนี้อีกนานมั้ย พี่อยากให้เราเขินตายหรือไง”
“จะย้ำจนกว่าหนูจะเขินแล้วม้วนมาซุกอกพี่นี่แหละครับ” พี่พระพายยิ้มร่า เขากางแขนออก แอ่นอกจนเกือบกระแทกหน้าผม ผมส่ายหัวดิก ก้าวถอยหลังหนีอีกคนทันที
“น่ากลัวอะ”
“พี่เหรอ?”
“นมพี่อะน่ากลัว”
“อะ พูดแบบนี้แสดงว่ากำลังดูหมิ่นนมดุ๊กดิ๊ก” เขาหรี่ตา “เอาเลยมั้ยล่ะ พี่ดุ๊กดิ๊กใส่ตรงนี้เลย”
“ไม่เอา หยุดเลยนะพี่พระพาย! ห้ามทำนมดุ๊กดิ๊กในที่สาธารณะนะ!”
“ล้อเล่นน่า” เขาหัวเราะ จับหัวผมโยกไปมาแล้วก้มหน้าจนสายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน แววตาพี่พระพายฉายประกายขบขันรับกับรอยยิ้มขี้แกล้ง “พี่ไม่ทำหรอก นมดุ๊กดิ๊กอะพี่ให้หนูดูได้คนเดียว”
“เราควรดีใจใช่มั้ย”
“ใช่สิครับ เป็นคนพิเศษเลยน้า”
“พี่อะ บ้าบอ” ผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้
“แต่ก็ชอบใช่มั้ยล่ะคนบ้าเนี่ย หัวเราะใหญ่ สดใสกว่าพระอาทิตย์ก็หนูนี่แหละเฟน” พี่พระพายโอบไหล่ผมก่อนเราสองคนจะพากันเดินออกจากใต้ตึก “ว่าแต่เราหอบอะไรมาเยอะแยะเลยเนี่ย?”
“งานอะพี่ ตอนนี้เราเรียนภาพพิมพ์ อุปกรณ์ที่ใช้เรียนเลยเยอะหน่อย”
“อ๋อ ที่ต้องแกะลายแล้วพิมพ์หมึกลงกระดาษอะไรแบบนั้นใช่มั้ย”
“อื้อ เนี่ย วันนี้เราแกะจนเมื่อยมือไปหมด”
“เรื่องเมื่อยมือนี่พี่เข้าใจเลย”
“พี่เคยทำเหรอ” ผมเงยหน้ามองเขา พี่พระพายหันมาสบตา เขายิ้มให้ผม
“เปล่าครับ พี่เคยทำอย่างอื่น เมื่อยมือเหมือนกัน”
“ใช้แรงข้อมือเยอะเหรอพี่?” อย่างงานแกะลายนี่ผมต้องเกร็งข้อมือเวลาแกะพวกลายที่ละเอียดๆ เหมือนกัน เพราะถ้าแกะพลาดแฉลบไปต้องทำใหม่หมดเลย
“ครับ ใช้บ่อย แต่ต่อไปคงไม่ต้องใช้มือแล้วแหละ
”
“หือ?” ผมกะพริบตาปริบ ไม่เข้าใจว่าพี่พระพายจะสื่ออะไร เลยได้แต่เดามั่วๆ “อย่างเมื่อก่อนเขียนรายงานแต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาพิมพ์ในคอมแทนงี้เหรอ?”
“ช่าย เปลี่ยนมาใช้นิ้วแทน สองนิ้วบ้าง สามนิ้วบ้างแล้วแต่ความแน่น”
“อีกแล้วอะ พี่ลากเสียงกับพูดจางงๆ อีกแล้ว” ผมมุ่นคิ้ว ขืนตัวจากแขนพี่พระพายที่โอบไหล่ตัวเอง “ต้องมีลับลมคมในในประโยคแน่ๆ เราดูออก”
“หนูคิดมากไป”
“ยิ่งอยู่กับพี่เรายิ่งต้องคิดมากๆ คิดลึกๆ”
“โห ถึงขั้นคิดลึกๆ เลยเหรอ” พี่พระพายหลุดหัวเราะพรืด เขาเหล่ตามองผม ริมฝีปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เรื่องคิดลึกพี่ถนัดนะ ให้พี่สอนมั้ย พี่จะสอนให้ ‘ลึกๆ’ เท่าที่หนูอยากรู้เลยครับ”
“ไม่เอา!”
“ทำไมอะ”
“พี่น่ากลัว”
“น่ากลัวก็แฟนหนูนะเฟน”
“เอ๊ะ พี่พระพายนี่…” ผมตั้งท่าจะบ่น แต่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้นมาก่อน หยิบออกมาถึงเห็นว่าฟรองซ์โทรหา ผมเลยหยุดรับสายเขาก่อน “ฮัลโหลฟรองซ์ หือ...อ๋อ ยังๆ แต่เกือบจะออกแล้ว อะไรนะ เอ่อ...เรามีนัดกับพี่พระพายอะฟรองซ์…”
“เฟนไม่ว่างครับ ว๊าย มาทีหลัง จองตัวเฟนไม่ทัน น่าสงสาร”
“พี่พระพาย!” ผมตีเขาโทษฐานแกล้งฟรองซ์จนฝาแฝดผมส่งเสียงโวยวายลั่นทำปวดหูไปหมด “ฮัลโหลฟรองซ์ อื้อ เอาไงอะ...เอาแบบนั้นเหรอ แต่...เฮ้อ ก็ได้ๆ ฟรองซ์หยุดตัดพ้อเราได้แล้ว เดี๋ยวเรารออยู่ที่ลานจอดรถประตูสามนะ มาถูกมั้ย โอเคๆ ถ้าหาไม่เจอก็โทรมานะ อื้ม บาย”
“หนู” พี่พระพายสะกิดไหล่ผมเบาๆ ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองเขา อีกฝ่ายทำสีหน้าแปลกๆ “อย่าบอกพี่นะว่าฟรองซ์จะมาหา”
“อ่า...ใช่ครับ” ผมพยักหน้ารับ “ฟรองซ์จะไปด้วยอะพี่”
“แต่เราจะไปเดตกันนะหนู”
“เรารู้ เราพยายามปฏิเสธแล้วแต่เราก็ไม่อยากทิ้งฟรองซ์ไว้” ผมกะพริบตาอ้อนพี่พระพายที่ดูไม่สบอารมณ์นิดหน่อย “เรารู้จักนิสัยฟรองซ์ดี ยอมเขาไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยพูดให้อีกทีนึง พี่พระพายไม่โกรธนะ เราโอ๋พี่ก็ได้”
“เปลี่ยนจากโอ๋เป็นอย่างอื่นได้มั้ย”
“พี่อยากได้อะไรอะ”
“อยากได้หนู”
“เดี๋ยวเราฟาดให้สูญพันธุ์เลยนี่!”
“หนู พี่ยังสูญพันธุ์ไม่ได้ ใจเย็น”
“ทำไม!”
“เพราะพี่ยังไม่ได้ขยายพันธุ์!”
“...”
“อยากขยายพันธุ์กับหนูเนี่ย ขอนะคนดี โอ๊ย!”
“ไม่เอางี้สิ” ผมหน้ามุ่ย พยายามตีหน้าดุทั้งที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับสายตาร้ายกาจของคนขี้แกล้ง มองกันขนาดนี้ ถ้าจับผมกินเข้าไปทั้งตัวได้คงไม่รอให้เสียเวลาแน่
“อืม...งั้นเอาเป็น” เขาทำท่าคิด “คืนนี้ขอจุ๊บๆ”
“ก็ให้จุ๊บอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ผมก้มหน้าหลบสายตากรุ้มกริ่ม
“ขอนอนกอดด้วย”
“ก็กอดกันทุกคืนอยู่แล้ว”
“งั้นเหลืออย่างเดียวแล้ว” พี่พระพายหัวเราะหึๆ “ขอกดได้มั้ยจ๊ะหนูจ๋าาาา”
ป้าบ!
“ตีอีกแล้ว เจ็บนะหนู!” พี่พระพายสูดปากทันทีที่ผมง้างมือฟาดเต็มกลางหลังเขา “ล้อเล่นนิดเดียวเอง มือหนักจังเลยเว้ยตัวก็ปุ๊กปิ๊กแค่นี้”
“ล้อเล่น? แต่ถ้าเราเคลิ้มจากล้อเล่นพี่จะเล่นล่อเราน่ะสิ!”
“ใครสอนคำว่าล่อให้หนูเนี่ย”
“เราซึมซับมาจากพี่นั่นแหละ!”
“ซะงั้น” พี่พระพายหัวเราะอีกครั้ง “โอเค ให้ฟรองซ์มาด้วยก็ได้ พี่ว่าพี่มีแผนล่ะ”
“หือ แผนอะไร?”
“คอยดูแล้วกัน”
คนขี้แกล้งหัวเราะคิกคักในขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ยิกๆ ผมอยากรู้แต่ไม่กล้าชะโงกหน้าดูเดี๋ยวพี่พระพายจะหาว่าไม่มีมารยาท เลยได้แต่ยืนรอเงียบๆ ดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“ไหนบอกจะเลี้ยงขนม แล้วนี่ยืนรออะไรอยู่หน้าร้านไม่ทราบครับพี่ครับ”
“ฟรองซ์” ผมสะกิดฝาแฝดตัวเอง “ไม่เอาสิ พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
“เฟนก็เอาแต่เข้าข้างพี่เขา”
“เราเปล่าสักหน่อย” ผมพยายามง้อฟรองซ์ที่เริ่มหน้ามุ่ยอย่างเห็นได้ชัด “ไม่งอนเรานะฟรองซ์ เฟนรักฟรองซ์จะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“คนที่มาขัดขวางคนเขาจะเดตกันนี่มีสิทธิ์มางอแงเหรอถามก่อน”
“เฮ้ย พี่จะเอาให้ได้ใช่ปะ!”
“เอาสิ เอาแน่ แต่เอา…” พี่พระพายละสายตาจากฟรองซ์มาที่ผมก่อนคลี่ยิ้มหวานจัด ส่วนฟรองซ์ไม่รู้เป็นอะไร เขารีบเข้ามายืนขวางหน้าผมเอาไว้แล้วชี้หน้าด่าพี่พระพายทันที
“ภัยสังคม!”
“ก็นายถามพี่ว่าจะเอาใช่มั้ย”
“หมายถึงจะมีเรื่องกับผมใช่มั้ย!” ฝาแฝดผมหักนิ้วขยับคอตัวเองดังกร๊อบ ผมไม่เห็นสีหน้าของฟรองซ์ แต่คิดว่าเขาคงกำลังถลึงตาใส่พี่พระพายอยู่แน่ๆ “ไม่ใช่ให้มาทำตัวลามกชีกอใส่เฟน!”
“โอเค งั้นพี่ชีเปลือยใส่เฟนแทน เรื่องเปลือยๆ นี่ของถนัด”
“นี่!”
“เสียงดังอะไรกันวะ” เสียงหนึ่งแทรกขึ้นกลางวง ผมหันมองก่อนพบพี่สายฟ้าเดินตรงมาที่กลุ่มพวกเรา เขาขมวดคิ้ว มองหน้าผมสลับกับฟรองซ์ก่อนหันไปทางพี่พระพาย “กูแทบไม่ต้องพยายามมองหาเลย เดินตามเสียงทะเลาะมาก็เจอแล้ว”
“เออ มึงมาก็ดีแล้ว ครบสักที”
“สรุปเลี้ยงนะ?”
“เออ”
“ว่ะ ลาภปาก” พี่สายฟ้าหัวเราะร่วน เขาเดินนำเข้าไปในร้าน ส่วนผมมองหน้าพี่พระพายอย่างไม่เข้าใจ จนอีกฝ่ายขยิบตาให้แล้วโอบไหล่ผมเดินเข้าไปในร้านท่ามกลางเสียงโวยวายของฟรองซ์ที่พยายามจะแกะแขนพี่เขาออกจากผมให้ได้
“ผมจะนั่งข้างเฟน”
“แต่พี่นั่งข้างเฟนแล้ว” พี่พระพายพยักพเยิดหน้าไปทางเก้าอี้ข้างพี่สายฟ้า “นายก็นั่งข้างสายฟ้ามันไปแล้วกัน”
“แต่…”
“รีบนั่งเถอะน่า จะได้รีบสั่ง ผมก็หิวเป็นนะครับคุณ” พี่สายฟ้าคว้าแขนฟรองซ์จับดึงทีเดียวเขาก็ตัวปลิวลงไปนั่งตุบลงข้างๆ พอดี “เอ้า นั่งกันเรียบร้อยแล้ว น้องครับ ขอเมนูหน่อย” พี่สายฟ้าโบกมือเรียกพนักงาน ส่วนฟรองซ์ยังนั่งหน้าเหวออยู่ พี่พระพายไม่ต้องพูดถึง เขากลั้นขำจนไหล่สั่นอยู่ข้างๆ ผมเนี่ย “ขอบคุณครับ จะสั่งแล้วผมเรียกอีกทีนะ”
“มึงแม่งเพื่อนตายสอพลอ”
“สอฟอ? มึงจะย่อชื่อกูทำไมวะ”
“กูไม่ได้ย่อชื่อ กูด่ามึงสอพลอ”
“อีสัส กูมาช่วยมึงน้า มึงยิงผิดคนแล้วน้า”
“หยอกเว้ย” พี่พระพายหัวเราะ เขารับใบเมนูมาพลิกๆ แล้วจิ้มเลือก “หนูเอาไรครับเฟน อันนี้มั้ย เห็นบ่นอยากกินงุ้งงิ้งๆ อยู่ข้างหูพี่เมื่อคืน”
“ข้างหู!?” ฟรองซ์ตบโต๊ะลั่น เขาจ้องผมตาโต “เฟน?!”
“ช่ายยยย” พี่พระพายลากเสียง เขายิ้ม ส่งเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ “คือนอนข้างกันไงครับฟรองซ์ มันก็เลี่ยงไม่ได้อะนะที่ต้องใกล้ชิดแนบสนิทกัน โอ๊ย!”
“พี่พระพายเป็นอะไร!?” ผมสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายร้องลั่น
“หึ!” ฟรองซ์แค่นเสียงหัวเราะ มุมปากยกยิ้มสีหน้าสะอกสะใจ ผมเดาได้เลยว่าฟรองซ์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“พี่โดนฟรองซ์เตะหน้าแข้ง”
“ผมไม่ได้ตั้งใจเตะนะ ขามันกระตุกไปเองต่างหาก” ฟรองซ์ลอยหน้าลอยตาตอบ ส่วนผมเริ่มปวดหัวจนอยากกุมขมับ
“หนู พี่เจ็บ” พี่พระพายเสียงอ่อนเสียงเศร้า เขาเอนตัวมาทางผม ทิ้งหัวซบไหล่ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบรับของพี่สายฟ้ากับฟรองซ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้ว...
“นี่กูอยู่ในละครหลังข่าวที่นางร้ายแกล้งร้องไห้ซบไหล่พระเอกแล้วส่งสายตาร้ายกาจใส่กล้องใช่มั้ยวะ”
“มารยาสาไถ!” ฟรองซ์มองเหยียด
“พอๆ ทุกคนเลย” ผมรีบห้ามก่อนเรื่องมันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ “เสียงดัง เราอายโต๊ะอื่น หิวแล้วด้วย เราสั่งขนมมาแล้วกินกันอย่างสงบๆ ไม่ได้เหรอ”
“แต่…”
“ฟรองซ์เราขอ...นะ”
“ฮึ่ย ก็ได้!”
“คิกค้าก”
“พี่พระพายก็เหมือนกัน” ผมหันไปดุคนที่ซบอยู่บนไหล่ แล้วผลักหัวเขาออกไป อีกฝ่ายมองผมหน้ามุ่ย “พี่ก็ชอบแกล้งฟรองซ์ เรารู้นะ”
“แต่หนู…”
“ไม่ต้องมีแต่เลย ไม่งั้นเราหนีกลับจริงๆ ด้วย” ผมกอดอก ตีหน้าดุที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่พระพายกับฟรองซ์มองหน้ากัน ผมเหมือนเห็นกระแสไฟฟ้าปะทุระหว่างพวกเขา จากนั้นทั้งคู่ก็ส่งเสียงเหอะขึ้นมาพร้อมกัน
“ก็ได้!”
“ก็ได้!”
“กูขำตอนนี้จะโดนด่ามั้ยวะ” พี่สายฟ้าพยายามกลั้นยิ้ม เขาหันไปทางฟรองซ์ “หวงแฝดขนาดนั้นเลยเหรอเรา?”
“ถ้าพี่มีแฝดเด๋อด๋าตาใสไม่ทันคนแล้วต้องมารู้จักกับคนแบบเพื่อนพี่ เป็นพี่ พี่จะหวงจะห่วงเขามั้ย?”
“ก็พูดเกินไปปะ พี่ไม่ดีตรงไหน” พี่พระพายพยายามจะกอบกู้ชื่อเสียงตัวเอง
“ทุกตรง โดยเฉพาะตรงที่เป็นภัยสังคม”
“อันนี้กูเห็นด้วยกับฟรองซ์”
“มึงเป็นเพื่อนกูต้องเข้าข้างกูสิวะ”
“ใครเพื่อนมึง ยัดเยียดตัวเองเป็นเพื่อนกูเฉยเลยนะ คราวหลังก่อนคิดว่าใครเป็นเพื่อนถามเขาก่อนนะว่าอยากมีเพื่อนอย่างมึงมั้ย แต่กูบอกให้ว่าทั้งประเทศมี 68 ล้านคนไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนมึงสักคน หึ!”
“เหมือนมึงด่ากูแต่ก็คล้ายแซะใครอีกคน กูเป็นสนามอารมณ์อีกแล้วถูกมั้ย?”
“ถ้าไม่สั่งกันสักทีเราสั่งเลยนะ” ผมพูดจบก็ยกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ ไม่รู้ว่าใครจะเอาอะไรเพิ่มจากที่คุยกันเมื่อกี้มั้ย แต่ผมไม่ถามซ้ำหรอกนะ มัวแต่ตีกันอยู่นั่นแหละ ลงโทษซะเลย ฮึ!
“ไม่หน้างอสิหนู เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”
“เราไม่น่ารักพี่พระพายก็ไม่ต้องมองสิ”
“ห้ามได้ที่ไหน” พี่พระพายหัวเราะ เขาเขี่ยปลายนิ้วกับแก้มผมเบาๆ “เพราะขนาดไม่น่ารักยังน่ารักจนคับโลกได้เลย มันเขี้ยว แฟนใครก็ไม่รู้เนอะ”
“เลี่ยน แหวะ”
“เป็นอีกครั้งที่กูเห็นด้วยกับฟรองซ์” พี่สายฟ้าทำหน้าพะอืดพะอม
“รุมกูกันเข้าไป แหม”
“พี่ก็เลิกหยอดเฟนสักทีสิ ขัดหูขัดตา”
“ขอโทษนะครับน้องฟรองซ์ครับ ไม่ให้พี่หยอดแฟนตัวเองแล้วจะให้พี่ไปหยอดใครครับ ไอ้สายฟ้าเหรอ?”
“ขนลุกไอ้สัส!”
“ก็ไม่ เห็นมะ” พี่พระพายยักไหล่ เขากระตุกยิ้มเมื่อเห็นฟรองซ์หน้าบึ้งฮึดฮัดอยู่คนเดียว แขนยาวยกพาดไหล่ผมแล้วโอบเข้าหาตัว “แต่ก็เข้าใจนะ คนโสดก็จะอิจฉาตาร้อนต่อความรักที่พี่มีให้เฟนแบบนี้แหละ อืมๆ”
“ไม่ได้อิจฉาเลยว้อยพี่!”
“อยากเอาคืนมันมั้ยล่ะ” พี่สายฟ้าหันไปหาฟรองซ์ “ย้ายมาอยู่ไทยถาวรเลยสิ แล้วไปเป็นเมตกับเฟน แค่นี้ไอ้พระพายก็หมาหัวเน่าดีๆ นี่เอง”
“สายฟ้า มึงพวกใครกันแน่เนี่ย”
“พวกมึง แต่ก็หมั่นไส้มึงด้วย จบมั้ย”
“น่าสงสารจังเลย เพื่อนไม่รัก” ฟรองซ์หัวเราะเย้ย พี่พระพายทำท่าจะเถียงกลับแต่ผมตีขาปรามเขาทัน คนตัวใหญ่เลยได้แต่นั่งหน้ามุ่ยจับมือผมไปบีบเล่นแทน “ส่วนเรื่องที่พี่สายฟ้าบอก ความจริงผมก็เคยคิดนะ แต่เห็นรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้วเลยคิดว่าอยู่ญี่ปุ่นไปก่อนดีกว่า รอให้ผลัดเปลี่ยนรัฐบาล ประชาธิปไตยกลับมาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งผมค่อยกลับมาอยู่ไทยก็ได้”
“เชี่ย นี่มันร่างแยกไอ้สายฟ้า!”
พี่พระพายปิดปากอุทานด้วยจริตเดดพูล ส่วนพี่สายฟ้ามองหน้าฟรองซ์ตาเป็นประกาย
“พี่ชอบว่ะ ใจแม่งได้” เขาหัวเราะ “แล้วนี่อยู่ไทยยาวเลยมั้ย จะกลับวันไหน”
“อยู่จนวันเลือกตั้งเลย” ฟรองซ์ตอบ “กลับมาไทยรอบนี้ มาหาเฟนแล้วก็มาเลือกตั้งด้วยนี่แหละ ไม่อยากลงทะเบียนเลือกตั้งนอกประเทศ กลัวบัตรเลือกตั้งหาย ขนาดเพื่อนผมเลือกตั้งนอกเขตลงทะเบียนไว้แล้วแต่กลับไม่มีชื่อเลย”
“แย่เนอะ ประชาธิปไตยหายไปยังไม่พอ บัตรเลือกตั้งใบเล็กๆ หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของพวกเรายังจะหายตามไปด้วย ไม่รู้จัดการกันยังไง เฮงซวยว่ะ”
“บ่นไปก็เท่านั้นแหละพี่ บัตรมันหายไปแล้วทำอะไรไม่ได้”
“ใช่มั้ย ทีคนที่ควรจะหายไปอย่างนาย ก. กลับไม่หายไปสักที โคตรสิ้นหวัง”
“กูขอคั่นรายการได้มั้ย ท็อปปิกโต๊ะเรามันสุ่มเสี่ยงมาก”
“พูดเรื่องจริงมึงจะกลัวทำไม”
“โดนเผด็จการกดหัวจนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเหรอครับคุณพี่”
“สนามอารมณ์ก็คือกูคนเดียวอีกล่ะ” พี่พระพายกลอกตา เขาหันมาส่งเสียงอ้อนผม “หนูดูนะว่าพี่โดนรุมหัวแกล้ง พี่ก็ตัวแค่นี้ หัวเดียวกระเทียมลีบจะไปสู้อะไรเขาได้”
“พี่ก็ไม่ต้องสู้สิ”
“แต่พี่โดนแกล้งนะ”
“งั้นเราปกป้องพี่เองก็ได้” พอผมพูดแบบนั้นพี่พระพายก็ยิ้มตาเป็นประกาย
“โอ๋กันเข้าไป เฟนนะเฟน ฟรองซ์บอกแม่แน่ครับ”
“ฟรองซ์อะ”
“เอ้อ” พี่พระพายพูดแทรกขึ้นมา “เดี๋ยวขอตัวแป๊บ เพิ่งรู้ว่าลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนรถ กูไปเอาแป๊บนึง กินกันไปก่อนเลยถ้าเขามาเสิร์ฟแล้ว”
พูดจบพี่พระพายก็ลุกเดินลิ่วๆ ออกจากร้าน ผมมองตาม อดคิดไม่ได้ว่าพี่เขาลืมกระเป๋าสตางค์จริงๆ หรือน้อยใจที่โดนพี่สายฟ้ากับฟรองซ์รวมหัวกันแกล้ง
“ทำไมชอบแกล้งพี่พระพายกันจังเลยสองคนนี้”
“หมั่นไส้” ฟรองซ์ยักไหล่ “พี่มันมาแย่งเฟนไปจากฟรองซ์นี่ครับ”
“เวลาแกล้งมันแล้วปฏิกิริยามันตลกดี” พี่สายฟ้าพูดต่อจากฟรองซ์ “ถามไอ้รัญสิ รายนั้นก็ชอบแกล้งพระพายมัน”
“สงสารพี่เขาออก” ผมหน้ามุ่ย “พี่พระพายต้องน้อยใจมากๆ แน่เลยพี่สายฟ้า”
“โอ๊ย นี่ก็เด็กดีซะเหลือเกิน หัดปากร้ายเหมือนแฝดเรามั้งเถอะ”
“อ้าว นี่พี่หลอกด่าผมอยู่หรือเปล่า?” ฟรองซ์หันขวับหรี่ตาจ้องหน้าพี่สายฟ้า
“บ้า คิดมาก ผมจะด่าคุณทำไมครับน้องฟรองซ์”
“ไม่รู้ล่ะ พี่เป็นเพื่อนพี่ภัยสังคม บางทีอาจภัยสังคมพอๆ กัน”
“เชื่อเถอะว่าพี่เป็นภัยน้อยกว่าลุงคนนั้น”
“อืม นั่นสินะ…”
ในขณะที่ฟรองซ์กับพี่สายฟ้าคุยกันอยู่โทรศัพท์ผมก็มีสายเรียกเข้า เป็นพี่พระพายนั่นเอง พอกดรับยังไม่ทันได้พูดอะไรฝ่ายนั้นก็รัวมาซะก่อน
“เฟน มาหาพี่ที่รถหน่อย พี่จะเป็นลม”
“หา พี่เป็นอะไร?”
“สัญญาก่อนว่าจะไม่บอกฟรองซ์ ไม่งั้นพี่โดนล้อแน่ แค่นี้พี่ก็น้อยใจจนอยากโดดบ่อปลาสวายวันละร้อยรอบ” น้ำเสียงพี่พระพายตัดพ้อมาก ผมรีบส่งเสียงอื้อรับปากเพราะกลัวเขาน้อยใจไปโดดบ่อปลาสวายจริงๆ ถ้าพี่เขาจมน้ำตายไปแล้วใครจะอยู่ให้ผมชอบอะ ไม่เอานะ “คืองี้หนู ตอนพี่กำลังหากระเป๋าสตางค์อยู่ จู่ๆ ปีเตอร์ตรงลานจอดรถมันก็บินมาเกาะขาพี่ พี่โคตรตกใจรีบสะบัดทิ้งจนเสียหลักหน้าคะมำฟาดกับขอบหลังคารถหัวแตกเลือดไหลซิบๆ ตอนนี้แข้งขาพี่อ่อนแรงนั่งง่อยเป็นผักอยู่ในรถไม่กล้าออกไปไหน หนูมาหาพี่หน่อยได้มั้ยครับ”
“โอเคๆ พี่รออยู่นั่นนะ เดี๋ยวเราไปหา”
“รีบๆ มานะหนู พี่ไข่สั่นหมดแล้ว”
“ไข่?”
“หมายถึงใจ ใจสั่นน่ะหนู กลัวมากเลย”
“อ๋อ โอเคพี่”
“ขอบคุณนะครับ เนี่ย สั่นอีกแล้ว”
“หมายถึงไข่เหรอ”
“ใจสิหนู ใจ!” พี่พระพายแก้คำให้ ส่วนผมหลุดหัวเราะ “ตลกเก่งนะเราเดี๋ยวนี้”
“ก็ได้พี่มานั่นแหละ แบร่” ผมกดตัดสายก่อนพี่พระพายจะได้พูดอะไรต่อ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายตาสองคู่มองมา ผมเลยรีบส่งยิ้มให้พวกเขา “พี่พระพายหากระเป๋าสตางค์ไม่เจออะ เดี๋ยวเราไปช่วยพี่เขาหาแป๊บนึง ฟรองซ์อยู่กับพี่สายฟ้าไปก่อนนะ”
“ไม่เอา ฟรองซ์ไปด้วย ไม่ไว้ใจ”
“ไม่ไว้ใจเราเหรอ”
“ไม่ไว้ใจพี่พระพายของเฟนต่างหากล่ะครับ”
“อะ พอๆ ฟรองซ์อยู่นี่แหละ ส่วนเฟนก็รีบไปลากคอมันกับกระเป๋าตังค์มา” พี่สายฟ้าคว้าข้อมือฟรองซ์ไว้ เขาพยักพเยิดให้ผมรีบไป ผมพยักหน้ารับ หันไปยิ้มขอโทษฟรองซ์อีกทีนึงก่อนเดินออกจากร้านไปหาพี่พระพายที่ลานจอดรถ
ลืมบอกไปว่าพี่พระพายเปลี่ยนจากขับพี่สายหยุด...หมายถึงเวสป้าคันนั้นเป็นเอารถยนต์จากที่บ้านกลับมาใช้แล้วหลังเลิกใช้ไปเพราะทะเลาะกับคุณพ่อ วันนี้เราเลยได้นั่งรถตากแอร์เย็นๆ กันมาแทน เพราะถ้าให้ฟรองซ์มาซ้อนสามบนเวสป้าก็คงไม่น่าจะไหว
V
V
V