Chapter 9
อินทัชยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู วันนี้คาบบ่ายเลิกเร็วกว่าปกติชั่วโมงหนึ่งเพราะอาจารย์มีธุระ เขาเลยว่าจะไปรับน้องๆที่เลิกเรียนตอนบ่ายสาม ส่งเจ้าอ้นกับเจ้าอุ้มที่บ้าน หาข้าวหาน้ำให้พวกมันกินเสร็จแล้วถึงจะอาบน้ำแต่งตัว นอนสักงีบค่อยไปทำงานต่อ
พูดเรื่องทำงาน..จะว่าไป พักนี้เขาไม่ค่อยเห็นกนธี สิงหนาทมาที่เลานจ์ทุกคืนเหมือนเคย ประมาณสัปดาห์หนึ่งถึงจะโผล่มาแค่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มานั่งดื่มน้ำผลไม้แล้วก็ฟังเพลงด้วยสีหน้าที่สดชื่นขึ้นกว่าแต่ก่อน
คุณพสิษฐ์เคยโทรมาบอกเขา ว่าตอนนี้พี่กุนต์มีนัดคุยกับหมอนฤเบศร์ทุกอาทิตย์ และทุกครั้งที่จบไปหนึ่งเซซชั่น ทางนั้นก็จะได้อะไรหลายอย่างกลับมา ได้เปลี่ยนแปลงความคิด และเรียนรู้ที่จะอยู่กับอดีตด้วยความสุข ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าพี่กุนต์ไม่ลองเริ่มที่จะเปิดใจพูดคุยกับเขาในคืนนั้น
กำแพงใจ..ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน หากมีคนเจาะช่องเข้าไปได้ การจะสร้างบานประตูเพื่อเปิดให้ถึงจิตใจก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว
เขาเองก็รู้สึกดีเหมือนกันที่ได้ช่วยใครคนหนึ่งเอาไว้ แม้จะเป็นแค่การนั่งฟังเฉยๆก็ตาม
อินทัชยืนรอรถเมล์อยู่พักใหญ่ แดดแรงขึ้นเรื่อยจนหยดเหงื่อผุดซึม กระทั่งแผ่นหลังเขาชุ่มโชกเพราะความร้อนอบอ้าวของช่วงวัน เขามองคนมีเงินที่นั่งอยู่ในรถเก๋ง ต่อให้ด้านนอกจะร้อนระอุสักแค่ไหน ก็ยังมีแอร์เย็นฉ่ำและเพลงเพราะๆนั่งฟังในช่วงที่การจราจรติดขัดน่าหงุดหงิด
ถ้าเลือกได้..เขาก็อยากเกิดมามีฐานะเหมือนคนพวกนั้นเหมือนกัน ได้นั่งรถของตัวเองมันย่อมดีกว่าโหนรถเมล์อยู่แล้ว พอกลับบ้านไปก็ได้นอนสบายๆบนโซฟา เปิดแอร์เย็นๆ ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ดูทีวีและหลับไปบนเตียงอุ่น
อินทัชแค่นยิ้ม เขาทำทุกอย่าง ยอมทำงานให้มาก ขยันเก็บเงินให้เยอะ ก็เพื่อจะทำให้น้องๆไม่ลำบาก
คิดแล้วอดสงสารอ้นกับอุ้มไม่ได้ เอาไว้การเงินเขาอยู่ตัวมากกว่านี้ เขาจะย้ายไปหาห้องเช่าใหม่ มีแอร์สักตัว มีเตียงใหญ่ๆ ให้น้องๆได้นอนกลิ้งเล่น จะได้ไม่นอนจมเหงื่อแบบทุกคืนในห้องเช่าโกโรโกโสนั่นอีก
ขณะยืนทอดถอนใจ บีเอ็มสีดำขลับก็เข้ามาจอดเทียบ เขาไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่ากระจกที่นั่งข้างคนขับลดลง ก่อนที่ใบหน้าของใครคนหนึ่งจะชะโงกมา เขาเลิกคิ้ว มองแว่นกันแดดสีชาที่อีกฝ่ายสวม
“จะไปไหนโอ๊ต..พี่ไปส่งไหม”
“พี่กุนต์..” อินทัชมองคนขับ “มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
รอยยิ้มอ่อนโยนระบายอยู่บนเครื่องหน้าได้รูป “ไว้ค่อยคุย ขึ้นรถสิ เดี๋ยวคันหลังด่าพ่อหรอก”
อินทัชมองด้านหลัง พอเห็นว่ารถพี่กุนต์อยู่ในเลนรถเมล์เลยตัดสินใจก้าวขึ้นรถ ทางนั้นหันกลับไปมองถนน ขับออกไปและเปิดไฟเลี้ยวเข้าเลนกลาง
แอร์ในรถยนต์คันโก้เย็นฉ่ำอย่างที่คิด ทั้งยังมีเสียงเพลงเก่าฟังสบายเปิดคลออยู่ด้วย กนธีเหลือบมองคนที่ยังมีเหงื่อท่วมตัวแล้วเพิ่มความเย็นให้ อินทัชพยายามนั่งให้หลังพิงเบาะน้อยที่สุดเพราะกลัวเบาะหนังราคาแพงจะเปื้อน
กนธียิ้มจาง เขาดูออกว่าเด็กหนุ่มค่อนข้างเกร็ง “ทำตัวตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณครับ” อินทัชเงียบไปครู่
“กำลังจะไปไหนล่ะ”
“ว่าจะไปรับน้องที่โรงเรียนครับ”
“อ้นกับอุ้มเรียนที่ไหนหรือ” เจ้าของรถชวนคุย
“โรงเรียนพญาไทครับ”
“อ้นอยู่ประถมสี่ อุ้มอยู่อนุบาลสองใช่ไหม ถ้าจำไม่ผิด”
“ใช่ครับ ปีหน้าอุ้มก็เข้าป.หนึ่งแล้ว” อินทัชเล่า
“อ้าว..ไม่มีอนุบาลสามหรือ”
“ไม่มีครับ อนุบาลสองแล้วก็ป.หนึ่งเลย”
กนธีเรียนโรงเรียนเอกชน เขาเข้าตอนอายุสามขวบกว่า มีตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงสาม เพิ่งจะรู้ว่าของรัฐบาลมีอนุบาลหนึ่งถึงสอง แต่ก็รับเด็กเข้าตอนอายุสี่ขวบ พอขึ้นชั้นประถมหนึ่งก็อายุหกขวบเท่ากันอยู่ดี
“แบบนี้ก็ต้องส่งน้องชายสองคนเรียนด้วยสินะ..ขยันจริงๆ” เขาชมอย่างจริงใจ เพราะตอนที่อายุเท่ากับอินทัช กนธีไม่ได้ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเลย “เห็นบอกว่ามีคุณยายอีกคนด้วยใช่ไหม อายุท่านเท่าไรแล้วล่ะ”
“หกสิบห้าแล้วครับ ที่จริงคนบ้านนอกน่าจะแข็งแรงกว่านี้ แต่ยายผมมีโรคประจำตัวเยอะ แกเป็นเบาหวานตั้งแต่สมัยสาวๆ พอเป็นมานาน มันก็มีโรคไตแทรกด้วย นี่ก็ฟอกไตทุกอาทิตย์มาเป็นสิบปีแล้ว”
“อา..เหนื่อยหน่อยนะ” กนธีพึมพำ ฟอกไตครั้งหนึ่ง ไม่ได้ใช้เงินน้อยๆเลย
“ต้นปีก่อน เพิ่งจะผ่าตัดหัวเข่าเทียมไป” อินทัชส่ายหัว “ดื้อน่าดูเลยล่ะครับ แกกลัวหมอน่ะ แต่ก็ต้องบังคับ ไม่อย่างนั้นแกจะเดินไม่ได้”
“แล้วแบบนี้ใครดูแลล่ะ” เขาจำได้ว่าพ่อของโอ๊ตไปมีครอบครัวใหม่ ส่วนแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว
“ผมจ้างคนแถวบ้านให้ช่วยดูครับ”
กนธีพยักหน้ารับ เขาไม่แปลกใจเลย ที่เด็กที่หาเงินได้ราวห้าหมื่นกว่าบาทต่อเดือน กลับยังอาศัยอยู่ในบ้านเช่าซอมซ่อ ก็เพราะว่าอินทัชยังมีครอบครัวให้รับผิดชอบอีกมาก ไหนจะค่าเรียนน้องๆ และค่ารักษาพยาบาลของยาย ไม่รวมค่าจ้างดูแล ด้วยเจ้าตัวไม่สามารถกลับไปที่น่านบ่อยๆได้
“นี่..ถามจริงเถอะ”
อินทัชหันไปมองคนด้านข้าง
“เคยมีวันไหนรู้สึกท้อบ้างไหม”
“มีสิครับ” เขาหัวเราะ “แต่ก็แค่นั้นแหละ ผมล้มไม่ได้..ไม่อย่างนั้นทุกคนจะแย่กันหมด เลยบอกตัวเองว่าจะหยุดพักเป็นครั้งคราวบ้างก็ไม่เป็นไร แต่อย่าก้าวถอยหลังหรือหยุดเดินก็พอ”
“นั่นสินะ..”
“อีกอย่างนะครับ..งานแค่นี้ ไม่เห็นจะลำบากอะไรเลย ผมไม่ได้ไปเดินแบกปูนแบกทรายเสียหน่อย ถ้าท้อบ่อยๆก็คงทุเรศน่าดู..ผมเชื่อว่าสักวัน ผมต้องได้อะไรดีๆกลับมาถ้าผมพยายามมากพอ แต่ถ้าไม่ได้อะไรมาเลย ผมก็คงเสียใจนิดๆ แต่ไม่ได้ให้คุณค่ากับมันมาก ถ้ายังไม่ตายก็พยายามใหม่ได้ครับ ความพยายามของคนเรามันไม่มีจุดสิ้นสุดหรอก”
ให้ตายเถอะ กนธีสบถในใจ ถ้าเขาเจอเด็กอย่างอินทัชเร็วกว่านี้ เขาคงสมัครใจที่จะรับดูแลไปจนกว่าจะปีกกล้าขาแข็งและเดินออกไปได้ด้วยตัวเอง และเขาจะไม่เสียใจเลยที่ได้ใช้เงินของตนเพื่อเด็กที่มีความคิดความอ่าน ทั้งยังเป็นผู้ใหญ่อย่างที่อินทัชเป็น
..ไอ้สี่คนก่อนหน้านั้น มันเทียบอินทัชไม่ติดฝุ่นเลยแม้แต่น้อย..
“พี่กุนต์..” อินทัชเรียกคนที่เงียบไป “พี่เปิดที่ปัดน้ำฝนทำไม”
กนธีเพิ่งได้สติเลยบิดมันกลับที่เดิม นึกด่าตนเองที่คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง
เด็กหนุ่มหัวเราะ สนใจเพลงที่เปิดคลอแผ่วเบาแทน “summer kisses winter tears เหมาะกับอากาศช่วงนี้จังเลยนะครับ ยกเว้นตรงวินเทอร์นี่แหละ..”
คนฟังขบขัน “พี่ชอบท่อนนี้ The fire of love, the fire of love can burn from afar and nothing can light the dark of the night like a falling star.” เขาเคาะนิ้วกับพวงมาลัย มือข้างหนึ่งวางพาดขอบประตูด้านข้าง “Summer kisses winter tears, like the stars they fade away. Leaving me to spend my lonely nights with dreams of yesterday.”
อินทัชเงียบไปอึดใจหนึ่ง “เรื่องคุณศรัณย์..พี่โอเคแล้วใช่ไหม”
“อืม..” กนธีว่า “เรื่องเก่าๆก็คือ dreams of yesterday นั่นแหละ ไม่ได้จางหายไปไหน..และจะยังอยู่ในใจเสมอ”
“ผมดีใจด้วย”
ชายหนุ่มลอบมองคนที่อ่อนวัยกว่ามาก เขายิ้มจางเมื่อนึกถึงคำพูดของน้องชาย
“ถึงเรื่องทั้งหมดพวกเราจะคุยกันไว้แล้วก็ตกลงจ้างอินทัช แต่ผมอยากบอกพี่ว่า เด็กคนนั้นเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ เขาไม่ยอมรับเงินสักบาท เขาบอกว่าอยากช่วยพี่” ..เขาติดหนี้เด็กคนนี้มากมายเหลือเกิน..
กนธีไม่ได้เล่าว่าเรื่องที่อินทัชคบคิดกับพสิษฐ์ในคืนนั้น เขาจับได้แล้ว แต่มันก็ไม่มีอะไรนี่นา เจ้าไผ่ก็น่าขัน มันกลัวเขาจะโกรธ ตลกชะมัด..เขาไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นนะ เขารู้ว่าใครรักและหวังดีกับเขา ใครกันที่ยอมทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการถูกเขาโกรธเพราะมีความห่วงใยเป็นที่ตั้ง คนอย่างเขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ต้องโกรธไร้สาระตอนถูกหมอบังคับกินยาเสียหน่อย พวกที่โวยวายต่อว่าคนที่ทำอะไรให้เราด้วยความรักน่ะ..เพี้ยนสุดๆ
รู้เอาไว้เถอะ คนพวกนี้แหละ จะเป็นกลุ่มสุดท้ายในโลกที่โอบกอดเราไว้ ตอนที่เราไม่เหลืออะไรเลย ถึงพวกเขาจะดูวุ่นวายกับเราไปสักหน่อย แต่ต้องหัดมองให้ทะลุ เดี๋ยวจะเห็นถึงความห่วงใยที่แท้จริงได้เอง
“ยังไงก็ตาม..ขอบคุณโอ๊ตมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ “แล้วก็..ระดับภาษาน่ะ กับคนอายุน้อยกว่า ใช้ขอบใจก็พอครับ”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ขอบคุณนี่แหละ..สุภาพดี จะแบ่งชั้นกันไปทำไม”
อินทัชเหลือบมองใบหน้าที่ระบายยิ้มอ่อนโยน
..ผู้ชายคนนี้..ไม่เหมือนคนอื่นๆที่เขาเคยพบเจอมา..
“ว่าแต่..” กนธีเกาหัวแกรกๆ “โรงเรียนพญาไทนี่ไปทางไหนล่ะเนี่ย”
“โธ่..พี่กุนต์”
.
.
.
เพราะว่ากนธีขับรถหลง กว่าจะวกกลับมาที่ถนนศรีอยุธยาอีกครั้งก็เลยเป็นตอนที่โรงเรียนเลิกแล้ว วันนี้โอ๊ตโทรบอกคนรู้จักที่เขามักจะวานให้มารับน้องกลับบ้าน ว่าเขาจะเป็นคนไปเอง ทางนั้นเลยไม่ได้ออกมาจากบ้านเช่า
อินทัชให้พี่กุนต์จอดรออยู่ตรงถนน เขาลงไปหาอ้นกับอุ้มที่ยืนจูงมือกัน รออยู่ข้างกำแพงด้วยสภาพเหงื่อแตกพลั่ก
“อ้น..อุ้ม” เขาเรียกน้องชาย “พี่มารับแล้ว”
“พี่โอ๊ตมา~” อ้นไม่รู้ว่าวันนี้พี่ชายจะเป็นคนมารับ เด็กชายแค่ยืนรอพี่ข้างห้องตามปกติ
น้องอุ้มฉีกยิ้มแก้มกลม โผเข้ากอดขาพี่คนโตด้วยความดีใจ เพราะนานๆทีพี่โอ๊ตถึงจะมารับที่โรงเรียน
อินทัชนั่งยองๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกเช็ดเหงื่อให้น้องๆ “ไหน..หัวล้านเหม็นเขียวหรือเปล่า”
อ้นยื่นหัวให้พี่ดม พี่โอ๊ตก็หอมฟอด จากนั้นก็หันไปจูบเหม่งของน้องอุ้มต่อ
“รอนานไหมไอ้ตัวแสบ”
“ไม่นาน” อ้นส่ายหน้า “นี่ๆ..วันนี้อ้นมีเรื่องจะเล่าด้วยแหละ”
“ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวพี่กุนต์รอนาน”
อ้นกับอุ้มเอียงคอมอง แต่ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะพี่ชายคว้าแขนไปคนละข้างแล้วจูงให้เดินตาม ภาพทั้งหมดที่สามพี่น้องกระทำต่อกันไม่ได้เล็ดลอดไปจากสายตาของผู้ชายอีกคนที่นั่งยิ้มอยู่ตามลำพังเลย
พอเด็กๆเห็นรถเก๋งคันโต สีดำสวยแวววับ เปิดออกมามีแอร์เย็นเจี๊ยบพัดปะทะหน้าก็ทำตาโตด้วยความทึ่ง
“อู้หู..”
“อย่ามัวแต่อ้าปากค้าง น้ำลายหกแล้ว” อินทัชจับให้เจ้าอ้นปิดปาก บอกให้มันขึ้นไปนั่งด้านหลังแล้วถึงจะหิ้วปีกเจ้าอุ้มตามไปอีกคน ส่วนตัวเขาก็กลับมานั่งข้างพี่กุนต์ตามเดิม
กนธีถอดแว่นกันแดดออก ชายหนุ่มรีบหันมาหาเด็กๆที่เข้ามายืนเกาะเบาะ ส่งเสียงร้องท่าทางตื่นเต้น
“พี่กุนต์มา~”
เขายิ้มให้ ออกปากพูด “ตาแก่ขอโทษน้า~ ตาแก่หง่อมแล้ว ก็เลยหลงทางคร้าบ”
“เย้! พี่กุนต์มารับ~” น้องน้อยแต่ละคนได้ฟังเสียที่ไหน
อินทัชปรามไอ้น้องตัวแสบทั้งสองให้นั่งที่ “อย่าซนนะ ไม่งั้นพี่กุนต์ไล่ลงจากรถจริงๆด้วย”
“โอ้โห..ขู่น่ากลัวจัง” เจ้าของรถหัวเราะ เขาเหลือบมองกระจกหลัง “นั่งดีๆนะเด็กๆ เดี๋ยวจะพาซิ่ง”
อ้นกับอุ้มเลยรีบปีนกลับขึ้นไปบนเบาะ นั่งกันสงบเสงี่ยม เตรียมตัวให้อีกฝ่าย ‘ซิ่ง’ ซึ่งล้อก็หมุนไปได้ประมาณหนึ่งไฟแดง จากนั้นก็ติดแหง่กอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหนอีกร่วมครึ่งชั่วโมง
ปกติกนธีคงนึกเหนื่อยหน่ายที่ต้องมาติดอยู่กลางถนนแบบนี้ แต่เพราะว่ามีเด็กน้อยคอยชวนคุยจุกจิกข้างหู เขาเลยแอบนึกในใจ ขอให้รถติดต่อไปอีกสักชั่วโมงก็น่าจะดี
“พี่กุนต์ตั้งใจมารับอ้นกับอุ้มหรือครับ” อ้นยิ้มแฉ่ง ดวงตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว~”
อินทัชหัวเราะหึๆ พี่กุนต์นี่หลอกเด็กเก่งชะมัด “ไม่ต้องพูดเอาใจพวกมันก็ได้ครับ”
“ไม่ได้พูดเอาใจ อันที่จริง..วันนี้พี่จงใจขับผ่านแถวมหา’ลัยของโอ๊ตด้วย” กนธียิ้ม เหลือบมองคนที่ทำท่าประหลาดใจ “ก็คิดอยู่หรอกนะว่าถ้าได้เจอก็คงดี”
“อยากเจอผมทำไมครับ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“ถ้าเจอโอ๊ตก็จะได้หาเรื่องไปเจออ้นกับอุ้มไง” เขาหัวเราะ “ถ้าอยากเจอโอ๊ตคนเดียว ไปหาที่เลานจ์ก็ได้ แต่พี่อยากเจอเด็กๆ อยากเล่าเรื่องแมวเหมียว”
อุ้มทำเสียงครืดๆในลำคอเลียนแบบแกงส้ม เรียกเสียงหัวเราะจากกนธี
“แกงส้มกับถั่วทั้งสี่เป็นยังไงบ้างครับพี่กุนต์” อ้นกระตือรือร้นน่าดู
“ถั่วทั้งสี่..” คนเป็นผู้ใหญ่อดขำไม่ได้ “แกงส้ม ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วแปป แล้วก็ถั่วงอก สบายดีครับ ตอนนี้พวกถั่วๆ ลืมตาแล้ว คลานกันต้วมเตี้ยม พุงกลมเป็นลูกชิ้น น่าจับกลืนมากเลย”
อุ้มหัวเราะก๊าก “พี่กุนต์กินแมว”
“ไม่หรอก..พี่ชอบกินเด็ก” พูดแล้วก็ไอค่อกแค่กกับมุกห่วยบรมของตัวเอง
“นี่ๆ อ้นมีเรื่องจะอวดแหละ” เด็กชายปีนกลับขึ้นเบาะแล้วรื้อกระดาษที่พับจนยับย่นในกระเป๋าออกมาโชว์
อินทัชหันมอง เห็นคะแนนสิบเต็มสิบเขียนไว้ด้วยตัวสีแดงก่อนเพื่อน “สอบวิชาอะไรล่ะเรา”
“เปล่าน้า..อันนี้เรียงความ” อ้นยิ้มยิงฟัน “คุณครูให้เขียนในห้องครับ หัวข้อ ฮีโร่ของผม”
“อื้อหือ..อ่านให้พี่กุนต์ฟังหน่อยได้ไหม อยากรู้จังเลยว่าอ้นเขียนว่าอะไร”
“ได้ครับได้” อ้นตื่นเต้น
อุ้มชูมือหรา “หนูอ่านให้ฟังนะ”
“น้องอุ้มยังอ่านไม่ออก เอาไว้น้องอุ้มโตกว่านี้ก่อน น้องอุ้มค่อยเขียนแล้วอ่านเอง วันนี้ให้พี่อ่านก่อนนะ” อ้นกระแอมสองที ยืดอกอย่างภาคภูมิใจเมื่ออ่านออกเสียง “ฮีโร่ของผม..ก็คือพี่ชายของผมครับ”
อินทัชเงียบกริบ กนธีที่นั่งฟังได้แต่ยิ้ม
รถยังคงติดแช่อยู่ที่เดิมไม่ขยับ แต่พวกเขาไม่มีใครสนใจ ต่างคนต่างตั้งใจฟังเสียงเล็กๆพูดเจื้อยแจ้วถึงความในใจที่มีต่อ ‘พี่ชายคนดี’
“ผมชื่ออ้น มีพี่ชายชื่อโอ๊ต มีน้องชายชื่ออุ้ม ผมอยู่ที่บ้านเช่ากับพี่และน้อง พวกเรามาจากจังหวัดน่าน พี่ชายเป็นคนพาพวกเรามาอยู่กรุงเทพครับ” อ้นพูดเสียงดังฟังชัด “พวกเราไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ มีแค่ยายคนเดียว พอมากรุงเทพ พี่ชายของผมเลยเป็นที่พึ่งให้ผมกับน้อง พี่โอ๊ตอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว เรียนไปด้วย ทำงานพิเศษไปด้วย พี่ทำงานหนัก ทำงานดึกทุกคืน กว่าจะกลับมาถึงห้อง ผมกับอุ้มก็หลับไปนานแล้ว บางครั้งตอนเช้า พี่ก็ตื่นไม่ทันพวกผมไปโรงเรียน ผมกับน้องต้องขอให้พี่ข้างห้องเป็นคนพามาส่ง แต่ผมไม่น้อยใจพี่โอ๊ตหรอกครับ ผมรู้ว่าพี่เหนื่อยเพื่อพวกเรา เงินที่พี่หามาได้ พี่ส่งไปให้ยาย แล้วก็เอามาจ่ายค่าห้อง จ่ายค่าอาหาร จ่ายค่าเรียนให้ผมกับน้อง พี่โอ๊ตสัญญากับพวกเราไว้ก่อนที่จะมากรุงเทพ ว่าถึงแม้เราจะมีกันแค่สามคน แต่พี่ก็จะให้ทุกๆอย่าง และเป็นทุกๆอย่างให้พวกเราเอง”
อินทัชหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่กนธีรู้ดีว่าเด็กหนุ่มกำลังซ่อนไอร้อนผ่าวที่ขอบตาต่างหาก
“หลายครั้งที่ผมอยากได้ของเล่น อยากอยู่โก้ๆแบบเพื่อนคนอื่นบ้าง แต่ผมก็พยายามเข้าใจว่าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้ว ถึงจะไม่ได้มีเหมือนคนอื่นเขา แต่พวกผมยังมีพี่ชายคนดีที่หนึ่งอยู่ทั้งคน พี่โอ๊ตทำทุกอย่าง ยอมลำบากให้น้องสบาย ยอมอดให้น้องอิ่ม ยอมทุกข์ให้น้องมีความสุข แล้วจะให้ผมกับน้องงอแงกับพี่โอ๊ตได้ยังไงล่ะครับ”
อุ้มพยักหน้าหงึกหงัก เห็นด้วยกับพี่อ้น
“พี่โอ๊ตเป็นคนชอบเสียสละเพื่อน้องๆ ตอนแรกที่มาอยู่บ้านเช่า พวกเราไม่ค่อยมีเงินครับ พี่โอ๊ตยอมไม่กิน เพื่อให้พวกผมได้กิน พี่โอ๊ตบอกว่า พี่โอ๊ตเป็นคนโต พี่คนโตต้องดูแลน้องให้สุขสบาย ผมเลยจำไว้ แล้วก็ทำกับน้องอ้น เหมือนที่พี่โอ๊ตทำกับผม ตอนนี้ พวกเราสบายขึ้นแล้วครับ แต่พวกเราก็ยังเสียสละให้กันและกัน ถ้าก๋วยเตี๋ยวถุงหนึ่งมีลูกชิ้นห้าลูก พวกเราจะกินกันคนละลูก อีกสองชิ้น ผมกับอ้นจะขอให้พี่โอ๊ตกินแทน เพราะแต่ก่อน พี่โอ๊ตยอมไม่กินลูกชิ้นเพื่อพวกเรา ถึงตอนนี้ พวกเราต้องดูแลพี่โอ๊ตบ้างแล้วครับ”
อินทัชเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันร้องไห้ให้น้องเห็น
..แต่ถ้าน้ำตาจะซึมออกมาเพราะความสุข..คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง..
“พี่โอ๊ตครับ..จริงๆกระดาษแผ่นนี้ เขียนบรรยายสิ่งที่พี่โอ๊ตทำให้พวกเราไม่หมดหรอกครับ ผมเคยสงสัย เพลงที่ร้องว่า จะเอาโลกมาทำปากกา และเอานภามาแทนกระดาษ เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ..มันแปลว่าอะไร แต่วันนี้ ผมรู้แล้วว่าเพลงนั้นมีความหมายยังไง ถึงจะเป็นเพลงที่พูดถึงพ่อกับแม่ แต่ในชีวิตพวกเราไม่มีพ่อแม่อยู่อีกแล้ว เมื่อไหร่ที่ได้ยินเพลงนี้ ผมขอนึกถึงพี่โอ๊ตแทนแล้วกันนะครับ” อ้นยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง “สุดท้ายนี้..พวกผมสัญญาว่าจะเป็นน้องที่ดีและเชื่อฟังพี่โอ๊ต จะไม่ทำให้พี่ลำบากใจ และผมอยากบอกว่า พี่โอ๊ตคือพ่อ คือแม่ คือพี่ คือครู คือฮีโร่ในดวงใจของผมกับน้องอุ้มตลอดไปไม่ว่าพวกเราจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม”
กนธีรู้สึกลำคอแห้งผากเมื่อมองน้องอ้นโผล่หน้าเข้ามากอดรัดพี่ชายคนโต อินทัชถอนหายใจ เขาหันไปกอดน้องทั้งสองคน ตบหลังเบาๆโดยไม่โต้ตอบอะไรออกมาสักคำ
“มาทำซึ้งอะไรกันตอนนี้วะ” อินทัชส่ายหัว ยิ้มบางอย่างนึกระอา
“พี่โอ๊ตเขินหรือ” อ้นหัวเราะ “อ้นก็เขินนะ”
“หนูก็เขิน”
กนธีลูบหัวเด็กๆด้วยความเอ็นดู พอดีกับที่ไฟเขียววาบขึ้น เขาเลยออกรถ
“พี่ชอบเรียงความของน้องอ้นมากเลย” เขาพูดด้วยความจริงใจ “มิน่าล่ะ..คุณครูถึงให้คะแนนเต็ม”
อ้นแก้มแดงเรื่อ “ขอบคุณครับ”
“แบบนี้ต้องฉลองหน่อยไหม”
“ฉลองอะไรครับพี่กุนต์” อินทัชมองคนด้านข้าง
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว โอ๊ตเข้าทำงานกี่ทุ่ม”
“สองทุ่มครึ่งครับ ร้านเปิดสามทุ่มครึ่ง” เขาตอบ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
กนธียิ้มเผล่ “จะขออนุญาตโอ๊ต พาพวกเราไปเลี้ยงมื้อเย็น แล้วก็กินไอติมกัน..ดีไหมครับ” ประโยคหลังเขาหันมาถามเด็กๆ และก็ได้แรงสนับสนุนเป็นเสียงปรบมือ โห่ร้องด้วยความดีใจแทบจะทันที
“ผมว่า..” อินทัชคิดจะปฏิเสธ แต่เห็นแววตาละห้อยของน้องๆแล้วแทบจะขยับปากไม่ได้เลยทีเดียว
“น่า..ไม่นานหรอก” กนธีเสนอ “ให้พี่ได้ตอบแทนเรื่องวันนั้นบ้างเถอะนะ ยังไงก็ใช้เวลาไม่นาน ไม่เกินหนึ่งทุ่มหรอก แล้วเดี๋ยวพี่จะพาเด็กๆไปส่งที่บ้าน แล้วไปส่งโอ๊ตที่ทำงานให้ด้วยเลย สารถีกนธีพร้อมรับใช้ครับ!” เขาตะเบ๊ะ
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พี่” เด็กหนุ่มหัวเราะ “เอาเถอะครับ..ตามใจพี่กุนต์เลย”
อ้นกับอุ้มชูมือไชโย “เย้~”
[ต่อด้านล่าง]