Episode 09: ความคุ้มคลั่งของอัลฟ่า[2]เคราะห์ดีที่การช่วยเหลือจากบรรดาผู้คุมทันการก่อนที่เขาจะตอบสนองต่ออาการฮีทของเจเรมีไปมากกว่านี้ เจเรมีในสภาพสะบักสะบอมถูกฉีดยาระงับอาการฮีทอย่างฉับพลันและส่งตัวเข้าห้องขังตามเดิม คริสเพิ่งฉุกคิดในตอนนี้เองว่าตั้งแต่ที่อีกฝ่ายมาใช้ชีวิตเยี่ยงนักโทษอยู่ในแดนขังแห่งนี้ได้สักราวอาทิตย์กว่า เจเรมีเพิ่งจะได้รับการฉีดยาไปเพียงครั้งเดียว เมื่อถามผู้คุมก็ได้คำตอบว่าเป็นคำสั่งจากเบื้องบนที่ให้เจเรมีฉีดยาได้เพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น
ฟังก็รู้เลยว่าเป็นแผนของนายพลนั่น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คริสต้องแปลกใจหรอก เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเกมมันถูกวางมาให้เป็นอย่างนี้ แม้แต่เขายังเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะให้เจเรมีมาอยู่กับเขาที่เป็นอัลฟ่าและเป็นคู่แห่งโชคชะตาของหนุ่มผมบลอนด์นั่นทำไม
เจเรมีจะต้องมีชีวิตที่ลำบากและตกต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ใช่ ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้น เขาจะไม่สนใจเท่าไหร่เลยถ้าหากว่านอกจากจะใช้เขาเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมกระดานโดยที่เขาไม่ได้เห็นดีด้วยแล้ว ยังจะทำให้ชีวิตอันแสนสงบสุขในแดนขังของเขาต้องยุ่งยากขึ้นอีก
แค่มีเจเรมีมาอยู่ด้วยก็ชวนให้ปวดหัวแล้ว ยังจะต้องมาอยู่ด้วยตอนเป็นฮีทอีก แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเลย!
คงกะจะให้เจเรมีถูกเขาครอบครองนั่นแหละ เพราะถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เจเรมีจะรู้สึกตกต่ำถึงขีดสุด
คนที่คิดว่าตัวเองเป็นอัลฟ่ามาเกือบทั้งชีวิต จู่ๆ ก็กลายมาเป็นที่รองรับความใคร่ของอัลฟ่าอื่น มันเป็นเรื่องที่คนทิฐิสูงอย่างลูกชายตระกูลเมอร์ซีรับไม่ได้อยู่แล้ว
ใครจะแก้แค้นอะไรกัน คริสไม่อยากจะสนหรอก สนอย่างเดียวคือทำเขาลำบาก หลังจากที่เจเรมีกับเขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว ทั้งคู่ก็ถูกส่งกลับเข้าห้องขัง
เจเรมีนอนแผ่บนเตียงด้วยท่าทางไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก เขาสลบไม่ได้สติมาตั้งแต่ถูกฉีดยาระงับอาการฮีทในห้องน้ำแล้ว ตอนแรกคริสคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเหนื่อย ร่างกายอ่อนแอถึงได้หมดสติไปอย่างนั้น หากแต่เมื่อเข้ากลางดึกกลับไม่ใช่เมื่อหูทั้งสองข้างของคริสได้ยินเสียงละเมอของคนที่นอนอยู่บนเตียงด้านล่างดังลอยมาตามลม
คริสผุดลุกขึ้น ชะโงกหน้าจากชั้นบนของเตียงเหล็กสองชั้นมามองก็เห็นว่าคนละเมออยู่ในอาการกระสับกระส่าย ใบหน้าอาบไปด้วยเม็ดเหงื่อเสียจนคอเสื้อเปียกชุ่ม ซ้ำยังละเมอออกมาเป็นคำพูดฟังไม่ได้ศัพท์ไม่หยุดปาก ท่าทางทรมานนั้นทำให้คนตัวใหญ่ต้องเอ่ยถาม
“ไหวไหมน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เจเรมียังคงครางละเมอออกมา คริสทิ้งตัวลงจากเตียงมายืนข้างๆ ปรายตาสังเกตอาการอย่างพินิจ
หรือจะเป็นไข้?
คิดว่าอย่างนั้นด้วยเห็นว่าวันนี้เจเรมีถูกประทับตรามา บาดแผลฉกรรจ์ที่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยไม่มีการส่งไปรักษาตัวอาจทำให้พิษไข้เข้าเล่นงานเขาเนื่องจากแผลอักเสบก็เป็นได้ และเพื่อความมั่นใจ คริสจึงยื่นมือหนาไปอังที่หน้าผาก ก่อนจะเลื่อนลงมาบริเวณลำคอที่มีรอยคิสมาร์กฝีมือเขาเพื่อวัดอุณหภูมิ เท่านั้นหัวคิ้วเรียวสวยก็ย่นยู่ไปฉับพลัน
ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆ ด้วย...
คิดแล้วก็ดึงมือออกมา ปราดตามองไปด้านนอกประตูลูกกรง สอดส่ายสายตาหาผู้คุมเพื่อที่จะบอกว่าเพื่อนร่วมห้องขังของเขาอาการแย่แล้ว ทว่าก็ลืมไปว่าห้องขังของเขาเป็นห้องขังเดี่ยวสำหรับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่แยกออกมาจากห้องห้องขังรวม ผู้คุมส่วนใหญ่จะไปคอยดูแลในส่วนห้องขังรวมมากว่า ส่วนของเขาอยู่ชั้นในและมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ดังนั้นผู้คุมไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าตลอดเวลาก็ได้เพราะไม่ว่าอย่างไรก็คงจะไม่เกิดเหตุจลาจลง่ายๆ หากเทียบกับบริเวณห้องขังรวมแล้ว
คงต้องรอตอนเช้าแทน...
มันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าผู้คุมไม่เข้ามา เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงอย่างเดียวคือเฝ้าสังเกตอาการให้แล้วรอรายงานผู้คุมในตอนเช้าเท่านั้น
ถามว่าเป็นห่วงไหม... ก็ไม่ คริสแค่ไม่อยากให้ห้องของเขาที่ตอนนี้เรียกว่าบ้านและเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ไปตลอดจนกว่าจะหมดลมหายใจมีใครมาตายมากกว่า
อัลฟ่าหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง สังเกตอาการของเจเรมีเป็นระยะพลางครุ่นคิดไปด้วยว่าชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ช่างเป็นคนที่ขวางโลกเสียเหลือเกิน อะไรไม่ว่า ไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดเลยสักนิด ถ้าหากวันนี้เขาไม่อยู่ในห้องน้ำด้วย ไม่อยากจะคิดว่าป่านนี้จะโดนอะไรบ้าง
ที่เขาพูดไปวันนี้ เจเรมีจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าควรจะปรับปรุงตัวได้แล้ว?
คริสเชื่อว่าเจเรมีไม่ได้โง่ อีกไม่นานก็น่าจะรู้ดีว่าการกระทำของตัวเองมันส่งผลร้ายขนาดไหน แค่เริ่มยังเจอหนักขนาดนี้ หากเวลาผ่านไปนานกว่านี้สักหน่อย คงถูกเล่นงานจนไม่เป็นผู้เป็นคนเลยก็ได้ หากอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้อยู่รอดปลอดภัยล่ะก็ หลังจากนี้ก็คงจะต้อง... พึ่งพาเขา
เจเรมีต้องพึ่งพาเรา...
ก่อนหน้านี้แค่ต้องปรับตัว ทว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากต้องปรับตัวแล้ว ก็ต้องอาศัยการดูแลของเขาด้วย
เพราะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองแท้ๆ เขาถึงตกกระไดพลอยโจนมากกว่าเดิมอย่างนี้
คริสก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ถือเสียว่าช่วยคู่แห่งโชคชะตาจนกว่าจะกลับออกไปยังโลกภายนอกได้แล้วกัน แต่คงจะยากหน่อยนะ เจเรมีเล่นทำให้นายพลนั่นกัดไม่ปล่อยขนาดนี้ คงไม่หลุดจากเขี้ยวเล็บฝ่ายตรงข้ามไปง่ายๆ
“อือ...”
ความคิดของคริสมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงเจเรมีละเมอขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนคนตรงหน้าเขาจะทรมานกว่าเดิมเสียอีก กระสับกระส่ายพลิกศีรษะไปมา เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้าจนไหลเปียกหมอน คนมองเห็นอาการนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปอังหน้าผาก วัดความร้อนจากร่างกายนั่นอีกครั้ง พลันก็ต้องตกใจไปเมื่อรู้สึกว่าตัวของเจเรมีร้อนประหนึ่งไฟ
ร้อนกว่าเดิมอีก ท่าจะไม่ดีแล้วแฮะ
ไม่ดีจริงอย่างที่คริสว่า หากปล่อยให้ไข้ขึ้นสูงอย่างนี้ มีหวังเจเรมีได้ช็อกแน่นอน
คริสผุดลุกขึ้น ถอดเสื้อของตัวเองออกไปชุบน้ำที่อ่างล้างหน้าบริเวณปลายเท้า บิดหมาดๆ กะจะเอามาเช็ดตัวให้คนป่วยให้ร่างกายเย็นลง ทว่าพอเขากลับมานั่งข้างเตียง แหวกสาบเสื้อของอีกฝ่ายออกจนเห็นแผงอกแกร่ง เขาก็ต้องผงะถอยหลังเต็มแรงทันทีที่กลิ่นฉุนปะทะเข้ามาที่จมูกเขา
ไม่ใช่กลิ่นเหม็น แต่เป็นกลิ่นหอมอันเป็นกลิ่นประจำตัวของเจเรมี
กลิ่นตอนที่เจเรมีเป็นฮีท!
ใช่อย่างแน่นอน คริสจำกลิ่นนี้ได้และเขาคิดว่าไม่น่าจะเดาผิดว่าสาเหตุที่ร่างกายของเจเรมีร้อนวูบขึ้นมานั้นคงไม่ใช่เพราะพิษไข้แล้ว หากแต่เป็นอาการฮีทที่เกิดขึ้นมาอีกระลอกแล้วต่างหาก
อวัยวะกลางลำตัวของเจเรมีที่ชูชันดุนเนื้อผ้าขึ้นมาเป็นคำยืนยันอย่างดีว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง คริสสัมผัสได้ถึงความหายนะในวินาทีนั้น เจเรมีที่ละเมอเพ้อไม่ได้สติคงจะไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ คนที่มีปัญหาคือเขาที่ต้องมาสูดดมกลิ่นฟีโรโมนของคู่แห่งโชคชะตาตัวเองต่างหาก
ไหนว่าฉีดยาระงับอาการฮีทแล้วไง ทำไมถึง...!?
ไม่ต้องสงสัยหรอก ขนาดเขาฉีดยาต้านกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าแล้วยังตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมีได้เลย ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะผลข้างเคียงจากยาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อสำหรับคนที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันและกันซึ่งนั่นก็คือตัวยาทำงานบกพร่อง
คริสรู้ข้อเท็จจริงนี้ดีอยู่แล้ว ตอนที่ไปเป้นหนูทดลองผลิตยาระงับอาการฮีทให้กับเจเรมี ทีมแพทย์พวกนั้นก็บอก
แต่มันไม่สมควรจะมาเกิดในเวลาที่เขาอยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสองและไม่มีผู้คุมคนไหนมายืนสังเกตการณ์อย่างนี้!
สถานการณ์แย่ลงทันตาเห็น แย่เข้าไปใหญ่เมื่อคริสชำเลืองเห็นยอดอกของคนที่นอนตัวร้อนฉ่าตั้งตระหง่านขึ้นมาคล้ายกับว่าเชิญชวนให้เขาลิ้มลอง
แค่กลิ่นก็ว่าแย่แล้ว เห็นภาพอย่างนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ทั้งที่เจเรมีไม่ใช่คนที่น่าจะเข้าใกล้หรือชวนให้เสน่หาแท้ๆ แต่ตอนนี้ความเป็นชายของเขาเริ่มตอบสนองขึ้นมาแล้ว
คริสรีบลุกจากเตียง ดิ่งไปที่กล้องวงจรปิดภายในห้อง โบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ที่สังเกตการณ์อยู่จากห้องรักษาความปลอดภัยรับรู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ ทว่าเหมือนทำไปก็เสียเปล่าและเขาก็ไม่สามารถทนรอจนกว่าเจ้าหน้าที่จะเห็นว่าเขากำลังลำบากได้ ปรี่ไปยังลูกกรง ส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก
“เฮ้! มีใครอยู่แถวนี้ไหม! ขอยาให้ที!”
แน่นอนว่าหมายถึงยาระงับอาการฮีทของเจเรมี หรือจะเป็นยาต้านกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าให้เขาก็ได้ ไม่เกี่ยงทั้งนั้น ตอนนี้อะไรก็เอามาเถอะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะวิบัติไปมากกว่านี้
ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันการแล้วกระมัง เพราะทันทีที่คริสส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่หยุด ทั้งเตะ ทั้งถีบ ทั้งเขย่าลูกกรงเกร็งจนเกิดเสียงดัง เจเรมีที่นอนไม่ได้สติอยู่ก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา
คล้ายกับว่าได้สติแล้ว หากแต่ไม่ใช่เลย ตื่นขึ้นมาเพราะความกำหนัดที่พร่างพรายมาทั่วร่างกายล้วนๆ
“อือ...คริส...”
ตื่นแล้วคนเรียกที่เรียกหากลับเป็นผู้ชายที่เอาเขย่าลูกกรงอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งกอริลล่าจะพังกรงเสียอย่างนั้น
คริสชะงักกึก หันไปมองใบหน้าซีดขาวของเจเรมีด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก แล้วก็ต้องผงะไปทันทีที่เห็นว่าการเรียกนั้นเป็นการร้องบอกให้เขาไปมองภาพที่ไม่สมควรเห็น
เจเรมีกำลังสอดมือเข้าไปใต้กางเกงตัวเอง!?
เน้นตรงเป้ากางเกงเป็นพิเศษด้วย มองแวบเดียวก็รู้เลยว่ากำลังลูบคลึงอะไร
“อา...” มือไปสัมผัสโดนแก่นกายอุ่นร้อน เสียงครางกระเส่าก็ดังออกมา
กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีคละคลุ้งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
คริสถึงกับยกมือขึ้นปิดจมูก กันจะได้รับกลิ่นมากขึ้นกว่านี้ แต่จะไปช่วยอะไรได้ ร่างกายเขาตอบสนองกับฟีโรโมนของเจเรมีไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เจ้าน้องชายของเขาแข็งขืนเสียยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังดุนดันเนื้อผ้าราวกับว่าจะออกมารับอากาศภายนอกเสียให้ได้
ที่แย่กว่าคือเจเรมี แค่เอามือสอดเข้าไปคลึงส่วนกลางตัวยังไม่เท่าไหร่ พริบตาเดียวแก่นกายก็ได้รับการเปิดเผย มือหนารูดคลึงตั้งแต่โคนจนสุดปลาย ทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนส่วนปลายของอวัยวะแข็งขืนนั่นมีน้ำสีใสไหลเอ่อออกมา
“อือ...ฮึ่ก...”
เสียงครางกระเส่าแว่วมาให้ได้ยิน ใบหน้าของเจเรมีในตอนนี้ดูเย้ายวนเป็นอย่างมาก เนื้อตัวขาวผ่องแดงเรื่อเพราะเลือดสูบฉีด ยิ่งผิวแดงมากขึ้นเท่าไหร่ กลิ่นฟีโรโมนก็ฟุ้งกระจายมากขึ้นเท่านั้น
คริสมองภาพนั้นอย่างตะลึงงัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเห็นการทำร้ายตัวเองในระยะประชิดอย่างนี้ หากเขาเอาหัวมุดดินลงไปได้ เขาคงไม่รีรอที่จะทำ ทว่ามันทำอะไรไม่ได้ เขาถึงได้ยืนจ้องภาพนั้นด้วยไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
กลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ก็เขาน่ะพ่ายแพ้ให้กับอาการฮีทของเจเรมีตลอดนี่นา
จากตอนแรกที่คิดจะร้องเรียกให้ใครสักคนโผล่มาช่วย ได้กลิ่นหอมหวานลอยเข้าจมูกมากๆ เข้าก็ไม่มีอารมณ์จะคิดครุ่นหาทางออกใดๆ ร่างกายเขาร้อนวูบตั้งแต่ปลายนิ้วมือจนถึงปลายนิ้วเท้า ร้อนมากเป็นพิเศษที่ช่วงหน้าท้อง ร้อนเสียจนเขาต้องรีบก้าวเร็วๆ ไปยังอ่างล้างหน้า เปิดก๊อกแล้ววักน้ำสาดใส่ใบหน้าตัวเองหลายต่อหลายครั้งด้วยหวังว่าความเย็นเยียบของน้ำจะทำให้เขาควบคุมสติได้บ้าง
เขาจะไม่ทำอะไรเจเรมี จะไม่ทำเด็ดขาด แค่นี้เรื่องก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว จะไม่ทำให้มันยุ่งยากไปมากกว่านี้!
ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้อย่างแรงกล้าขณะที่กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีก็รุนแรงมากขึ้น เสียงครางกระเส่าก็ดังขึ้นเช่นกัน ทั้งกลิ่น ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทำเอาคริสแทบจะเอาศีรษะจุ่มลงไปในอ่างล้างหน้าอยู่แล้ว ยังดีที่พอเจเรมีครางออกมาในเฮือกสุดท้าย ความอัดอั้นก็ปะทุออกมาพร้อมกับหยาดหยดสีขาวขุ่นเป็นสัญญาณให้คริสรู้ว่าทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว
คริสหันไปมองเจเรมีที่นอนหายใจกระหืดหอบแล้วก็ถอนหายใจยาว
จบแล้วสินะ...
น่าจะจบสำหรับเจเรมี แต่สำหรับเขานั้นยังไม่จบ อวัยวะกลางลำตัวยังคงแข็งขืนพร้อมที่จะออกรบอยู่เลย คงจะต้องใช้เวลาสัก
หน่อยกว่าที่อาการกำหนัดนี้จะค่อยๆ ผ่อนคลายไป แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นอีกทีเมื่อจู่ๆ กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่น่าจะจางลงหลังจากได้รับการปลดปล่อยลอยโชยขึ้นมาอีก หันไปมองก็ต้องย่นคิ้วหนักกว่าเดิมทันทีที่เห็นว่าแก่นกายของอีกฝ่ายค่อยๆ แข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว
เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?
เท่าที่รู้จักเจเรมีและเห็นอาการฮีทของอีกฝ่ายมา แค่ครั้งเดียวทุกอย่างก็น่าจะยุติแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึง...?
ไม่อยากจะคิดหาคำตอบใดๆ ให้เสียเวลา สิ่งที่เขาควรคิดในเวลานี้คือทำอย่างไรถึงจะผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานนี้ไปได้มากกว่า ดูเหมือนว่ากลิ่นฟีโรโมนที่เจเรมีปล่อยออกมาจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเสียด้วย
ชั่วขณะหนึ่ง คริสรู้สึกราวกับว่าเขามีอาการคุ้มคลั่งขึ้นมา ร่างกายเรียกร้องการปลดปล่อยอย่างถึงที่สุด รู้สึกเหมือนกับว่ามีของเหลวบางอย่างไหลซึมเนื้อผ้าบริเวณเป้ากางเกงอีกด้วย
ไม่...เราต้องไม่ทำอะไรเจเรมี...
บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นทั้งที่ครั่นเนื้อครั่นตัวสุดกำลัง และเขาก็ต้องตบะแตกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงดังเดิม
“อือ...คริส...คริส...”
ไม่ใช่เสียงครางกระเส่า หากแต่เป็นเสียงครางเรียกชื่อเขา หันไปมองก็เห็นว่าคนเรียกจับจ้องมายังตนด้วยสายตาหยดย้อย
ไม่...
ไม่ไหวแล้ว!
ตบะแตกเอาในตอนนี้ สติสัมปชัญญะครบถ้วนดีไม่ช่วยอะไรเลย คริสรีบก้าวมาขึ้นเตียง หยุดที่บริเวณปลายเท้าอีกฝ่าย พยายามจะสะกดจิตตัวเองหากแต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ในหัวบอกว่า ‘อย่าทำ’ ทว่ามือกลับยกขาของเจเรมีที่วางราบอยู่บนฟูกขึ้นตั้งชัน แทรกกายเข้าไปเสียอย่างนั้น ร้ายกว่านั้นคือพอส่วนแข็งขืนหากแต่อ่อนไหวของทั้งคู่สัมผัสกัน เจเรมีก็ครางฮือออกมาให้กลิ่นฟีโรโมนกระจายฟุ้งมากขึ้นไปอีก
คริสสติแตกขึ้นมาในบัดดล ความถูกต้องอะไรไม่อยู่ในหัวเขาอีกต่อไปแล้ว โน้มใบหน้าลงมาประกบปากจูบเจเรมีอย่างกระหาย ริมฝีปากนุ่มถูกดูดกลืนและขบเม้มดุดัน เจเรมีหายใจหอบกระชั้นด้วยหายใจไม่ทัน พออ้าปากจะตักตวงออกซิเจนเข้าปอดก็ถูกคริสสอดปลายลิ้นอ่อนนุ่มเข้ามาด้านในตักตวงความหอมหวานจากเขาอย่างละโมบ
กว่าจะผละออกจากริมฝีปากได้ก็ใช้เวลาครู่หนึ่ง คริสพรมจูบไปตามลำคอ แลบลิ้นเลียไล้รอสคิสมาร์ก สูดดมกลิ่นหอมหวนราวกับจะกลืนกินอีกฝ่ายลงไป พอจูบไล่ลงมาถึงแผ่นอก ความซุกซนก็บังเกิดเมื่อสายตาชำเลืองเห็นยอดอกสีสวย ปากเข้าครอบครองโดยพลัน ปลายลิ้นละเลงไปทั่วตุ่มไตเล็กๆ จนเปียกชุ่ม เจเรมีแอ่นสะท้านตอบรับการสัมผัสก็ยิ่งรุกรานหนักขึ้นไปอีก มือข้างที่ว่างก็ยกขึ้นมาลูบลากยอดอกอีกข้างที่ยังไม่ได้ถูกรังแก นิ้วชี้และนิ้วโป้งบดเบียดเม็ดสีสวยนั่นไปมา เจเรมีบิดเร่าหนัก จิตใต้สำนึกบอกว่าอีกไม่นาน เขาคงจะได้สุขสมเพราะการจู่โจมนี้แน่
และก็จริงเสียด้วย พอคริสใช้ฟันคมๆ ขบลงไปบนยอดอกที่ดูดกลืนอยู่ เจเรมีก็กระตุกเฮือก แอ่นกายขึ้นมาเต็มแรง คริสสัมผัสได้ว่าช่วงหน้าท้องของเขามีของเหลวอุ่นๆ ไหลเปรอะเปื้อน เหลือบมองก็เห็นว่าเป็นหยาดหยดแห่งความหฤหรรษ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นระลอกที่สอง
อึดใจหนึ่ง คริสหลงคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นเท่านี้ เขาเกือบจะได้สติกลับคืนมาอีกแล้วถ้าหากว่ากลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีจางลงไปบ้าง แต่เปล่า... เปล่าเลย นอกจากจะไม่จางลงแล้ว เจเรมีที่หอบหายใจถี่อยู่ยังจะมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
“คริส... ฉัน... อือ...”
ในหัวมีคำถาม แต่ก็ถูกกลบไปโดยเสียงครวญครางของคนใต้ร่าง จากที่จะได้สติกลับคืน กลายเป็นว่าคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม เขาพรมจูบลงต่ำไปยังหน้าท้องที่เต็มไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น ใช้นิ้วแตะลงไปบนร่องรอยนั้นเพียงแผ่วเบา เจเรมีก็สะท้านไปทั้งกาย อากัปกิริยาอย่างนั้นทำให้เขาอดใจไม่ได้ที่จะใช้ลิ้นเลียวนรอบแอ่งสะดือ ก่อนจะเหิมเกริมไต่ระดับลงไปสู่ช่วงล่าง
ช่วงล่างที่มีแก่นกายโผล่ออกมาเหนือกางเกง...
ดวงตาเรียวจับจ้องไปยังแกนกลางที่มีน้ำสีใสหยาดเยิ้มซึ่งกำลังสั่นระริก เขากลืนน้ำลายเอื้อก ยิ่งอยู่ใกล้อวัยวะชิ้นนี้ กลิ่นฟีโรโมนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น...
...มากเสียจนเขาอดใจที่จะโน้มใบหน้าลงไปหมายจะครอบครองแทบไม่ไหว ทว่าก็ชะงักขึ้นมากะทันหัน
ถ้าทำอย่างนั้น เจเรมีจะต้องไปอีกรอบแน่ๆ
อัลฟ่าหนุ่มไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น อย่างน้อยถ้าเขาจะทำเรื่องที่จะเป็นความผิดพลาดมหันต์ เขาก็ขอให้เจเรมีไปพร้อมๆ กับเขาดีกว่า
เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกทิ้งไว้กลางทางเหมือนตอนถูกจับขึงพืดในโรงแรมแน่ๆ!
ปฏิญาณกับตัวเองเรียบร้อยก็เหยียดตัวขึ้นตรง ยื่นมือไปดึงกางเกงของเจเรมีออกให้พ้นตัว ก่อนจะมาสาละวนจัดการปลดเปลื้องกางเกงตัวเองบ้าง
ความเป็นชายตั้งตระหง่านออกมาให้เห็น เส้นเลือดปูดโปนและความร้อนรุ่มของมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทนไม่ไหวเพียงใด
คริสขยับขาของเจเรมีให้กางออก ในหัวก็มีความคิดที่ดีและชั่วตีกันยุ่งไปหมด
อย่าทำ... ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเสียใจทีหลังแน่
ทำเลย... ไม่ว่าอย่างไรหมอนั่นก็ไม่รู้หรอก เป็นฮีททีไรไม่ได้สติทุกที ตื่นมาก็ไม่รู้หรอก
แต่ก็ไม่ควรทำ อย่าทำนะ...
ทำไปเลย... ปลดปล่อยไป ทำไป...
ตีกันอีรุงตุงนัง
แล้วคริสก็พ่ายแพ้ให้กับความชั่วร้ายของตัวเอง เขาใช้ปลายนิ้วลูบไปยังช่องทางคับแคบเพื่อจะสำรวจเส้นทาง ทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงไป เจเรมีก็ผวาเฮือกจนสะโพกแอ่นขึ้นในอากาศ คริสอาศัยจังหวะนี้ใช้ปลายนิ้วร้ายสอดเข้าไปข้างใน ร่างกายของอีกฝ่ายบิดเร่า ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อยด้วยรู้สึกประหลาดกับความแปลกใหม่ ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นสีหน้าเย้ายวนเมื่อสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเริ่มขยับ
“อื้อ...คริส... ตรงนั้นมัน... ฮ้า...”
เสียงครางกระเส่าดังออกมาขาดๆ หายๆ จนฟังไม่ได้ศัพท์
คล้ายกับเจเรมีไม่รู้สึกตัว แต่ไม่รู้ทำไมคริสถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายรู้เห็นทุกอย่างเพียงแต่ไม่ห้าม
ก็ดี ในเมื่อไม่ห้าม เขาจะได้ทำตามใจตัวเอง ตอนนี้อะไรก็ฉุดความหื่นกระหายของเขาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว
ยิ่งขยับนิ้ว เจเรมีก็ยิ่งบิดเร่า ปลายแก่นกายสั่นไหว ของเหลวสีใสไหลซึมไม่ขาดสายด้วยถูกความเสียวซ่านเล่นงาน คริสขยับราวกับรู้ว่าจุดไหนที่เจเรมีรู้สึกดี ผ่านไปครู่เดียว ปากทางที่ถูกนิ้วชำแรกเข้ามาก็อ่อนนุ่มลง พร้อมที่จะรับเอาบางอย่างที่ใหญ่กว่านี้เข้ามาได้
คริสถอนนิ้วออก ขยับบั้นเอวเข้าไปหา มือข้างหนึ่งยกสะโพกของเจเรมีขึ้น อีกข้างกอบกุมอาวุธของตัวเองไปจดจ่อที่ช่องทางคับแคบ ส่วนปลายถูไถเข้ากับรอยแยกนั้น เจเรมีครางฮือ มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่น
“อือ...คริส...”
เจเรมีจะรู้ไหมนะว่าการเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้คริสอยากจะรังแกเขาแค่ไหน
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น บอกเลยว่าไม่ใช่ความผิดฉันนะเจเรมี...”
ถึงสติจะแทบไม่มี แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจแยกแยะความผิดชอบชั่วดีขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะตั้งท่าให้เข้าที่ เตรียมตัวจะสอดใส่เข้าไป ทว่าเพียงแค่ออกแรงดันเล็กน้อย เจเรมีก็ยกสะโพกลอยขึ้นมากว่าเดิม พลันความอัดอั้นระลอกที่สามก็พรั่งพรูออกมา
หยดน้ำสีขาวขุ่นสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามไปทั่ว ภาพที่เห็นดึงสติของคริสให้กลับมาในวินาทีนั้น ฉับพลันเขาก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
วะ...เวรแล้ว...
รีบถอยออกห่างมาเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคร้ามซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไปเลยทีเดียว
เกือบไปแล้วคริส... เกือบไปแล้ว
เกือบจะซวยแล้ว... เขาควรพูดอย่างนี้ แต่ถึงได้สติ ความกำหนัดก็ไม่ได้ห่างหายไปไหน มีเพียงอาการฮีทของเจเรมีเท่านั้นที่ค่อยๆ เจือจางลงไป
แต่... อย่างที่บอก เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกทิ้งกลางทางเด็ดขาด
ในเมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ คริสก็ไม่คิดที่จะทำ เขาทำเพียงขยับมือที่กอบกุมความเป็นชายของตัวเองอยู่ไปมา สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของเจเรมีที่มองเขาอย่างยั่วยวน
พูดได้เต็มปากเลยว่าการถูกมองด้วยสายตาอย่างนั้นมันกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของเขาเป็นอย่างมาก
และยิ่งถูกเรียก...
“คริส...”
...ก็ยิ่งเร้าอารมณ์เป็นที่สุด
ใช้เวลาไม่นาน ความคุ้มคลั่งที่สั่งสมมาก่อนหน้านี้ก็ถูกปลดเปลื้องพันธนาการ หยาดหยดแห่งความสุขรินหลั่งไปบนหน้าท้องของเจเรมี ปะปนกับร่องรอยแห่งความสุขของอีกฝ่ายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้รู้ว่าการได้อยู่ร่วมกับคู่แห่งโชคชะตาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและอันตรายมากเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดไว้
กระนั้นคริสก็ไม่มีอารมณ์จะมาครุ่นคิดอะไรอีกแล้ว เขาทิ้งตัวลงทาบทับร่างของเจเรมี กอดตระกองอีกฝ่าย กระซิบเสียงพร่าข้างหูพร้อมกับหอบหายใจหนัก
“เกือบไปแล้วไหมล่ะเจเรมี”
ที่ว่าเกือบ ไม่แน่ใจว่าเจเรมีเกือบถูกเขาครอบครองหรือเขาเกือบจะทำเรื่องบ้าๆ ลงไปกันแน่ ที่แน่ๆ คือเขาได้สติกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้วในขณะที่เจ้าคนต้นเหตุเริ่มเคลิ้มหลับ
ผละออกมาก็เห็นอีกฝ่ายหลับตาพริ้ม คริสเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาเลยโน้มหน้าไปงับใบหูไม่แรงนักทีหนึ่งเป็นการลงโทษ เจเรมีย่นคิ้ว ไม่ลืมตาขึ้นมาหากแต่สะบัดหน้าหนี
“ไอ้สวะ...”
คงจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองถูกทำอะไร ดูท่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว แต่คงจะฝันว่าคนที่ก่อความรำคาญให้คงหนีไม่พ้นคริสจนละเมออกมา
อัลฟ่าหนุ่มหัวเราะในลำคอ ไม่รู้ว่าจะขบขันกับการกระทำของตัวเองหรือสมเพชดี ที่รู้ๆ คือต้องรีบทำลายหลักฐานทุกอย่างก่อนที่เจเรมีจะฟื้นขึ้นมาเจอ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คุกแตกแน่ๆ
ถึงตอนนั้น คนที่คุ้มคลั่งจะไม่ใช่เขาแล้วล่ะ ...เชื่อสิ
----------------------------------
มาแปะให้แต่เช้าค่ะ กลัวคนอ่านจะคุ้มคลั่งตามขุ่นคริส 555
ตอนนี้เขียนแล้วแบบตลกขุ่นคริส ตีอกชกหัวตัวเองมากอะไรมาก ส่วนเจมี่...เกือบเสียสาวแล้วไหมลูกกก เกือบได้ซะมีแล้วแกรรร๊ 555555
ถามว่าเขาจะได้กันเมื่อไหร่คะ? หูยยย ยังค่ะ อีกหลายตอน สองคนนี้ต้องไม่ได้เสียกันง่ายๆ บนเตียงนี่เบๆ ต้องบุกป่าฝ่าดงก่อน (สปอยล์ทำไม ก๊ากกก)
ถึงหนูเจมี่จะเป็นเด็กดื้อนิสัยเสียแต่ก็ทำขุ่นคริสหลงจนหน้ามืดได้นะฮร้า อิอิ
เย็นนี้ไม่อัพนะคะ แต่จะมาแปะรูปหน้าปกให้ยลกัน พรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้ เรื่องนี้หนูแดงจะตีพิมพ์กับ สนพ.รักคุณ ค่ะ เป็น สนพ.ใหม่ (ดำเนินการโดยหนูแดงเองค่ะ) ฝากเข้าไปกดไลก์กันที่นี่หน่อยน้า จะได้ติดตามข่าวสารกันอย่างใกล้ชิดจ้า
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/ปล.ฝากฟีดแบ็กให้ชื่นใจกันหน่อยนะคะ กำลังใจดี ตอนต่อไปมาเร็วนะ ช่วยกันเรียกขวัญกำลังใจหน่อยเร็ววว ฮา