Hello
“Good Morning Joe”
“Morning Alex” โจ้ผู้พึ่งฟื้นจากการจัดการกองสิ่งของและเอกสารการเรียนในอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ อยู่แถวเมืองท่าทางตอนใต้ของอเมริกา เอ่ยทักทายคุณป้าร่างท้วมเป็นผู้ดูแลที่นี่
โจ้เปิดประตูออกมาเพื่อจะออกไปข้างนอก ประสบการณ์การใช้ชีวิตคืนแรกในต่างประเทศของหมอไม่ค่อยจะดีนัก เนื่องจากไอ้ห้องข้างๆ เปิดเพลงเสียงดังตลอดคืน
เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กับการตัดสินใจผิดพลาดที่เชื่อไอ้บีมเพื่อนยาก ว่าอพาร์ตเมนท์ที่นี่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนรู้จักแนะนำมา ทั้งราคาถูกและกว้างโอ่โถง ทั้งใกล้กับมหาวิทยาลัย
เรื่องนั้นหมอไม่เถียง... แต่ถ้าชีวิตอีกสองปีต่อไปนี้จะต้องทนกับเสียงดัง โจ้ยอมย้ายไปที่อื่นดีกว่า
หมอเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ เพราะอเล็กซ์บอกว่ามีห้างเล็กๆ ที่เปิด 24 ชม.อยู่แถวๆ ต้นหาด หมอเดินตามทางที่ผู้คนออกมาวิ่งในยามเช้า อากาศค่อนข้างจะเย็นจัดแต่ก็สดชื่นดีเหมือนกัน
หมอมองหมาพันธุ์ท้องถิ่นสองตัวกำลังวิ่งตีคู่นำเจ้าของอยู่ข้างหน้าแล้วคิดถึงหมาตัวเอง หลังจากบอกพ่อเรื่องเรียนต่อไม่นาน โจ้ก็ลาออกจากโรงพยาบาลและใช้เวลาเกือบหกเดือนที่เหลือย้ายกลับบ้านใหญ่เพื่อให้หมาเตรียมตัวเปลี่ยนที่อยู่ ทั้งให้ตัวเองเตรียมตัวเรื่องภาษาและเริ่มปูพื้นฐานในเรื่องที่ตัวเองจะเรียน
หกเดือนที่วุ่นวายนั้นหมอใช้ชีวิตอยู่กับไอ้สองตัวใหญ่นั้นแทบทุกวัน เรียกได้ว่าถ้าสิงกันได้ก็คงทำไปแล้ว ไอ้เบ็กที่อายุย่างสองขวบมีร่างโตเต็มวัยน่าจะพอๆ กับหมีโพลาร์สีขาวส่วนไอ้พายที่ตอนเด็กมีขนสีน้ำตาลเข้มพอเริ่มโตแล้วขนกลับสีอ่อนลง
ทั้งสองตัวค่อนข้างเลี้ยงง่าย เชื่อฟังคำสั่ง ไม่กัดสิ่งของถือว่านิสัยดีทีเดียว ยกเว้นแต่การออกไปในสวนแล้วขุดดินเป็นรูรวมถึงทำหญ้าของพ่อเละก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดี
โจ้มองทัศนียภาพของเมืองใหม่ที่ต้องมาอยู่แล้วยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง ฝั่งขวาของหมอเป็นทะเลสีครามมีหาดสีขาวสะอาดตัดกับท้องฟ้าสีใส ส่วยฝั่งซ้ายเป็นถนนและภูเขาเตี้ยๆ ที่ทอดยาวไปตามหาด ที่นี่น่าอยู่มากอย่างที่พ่อบอกไว้จริงๆ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เสือถึงบอกว่าไม่อยากอยู่ อาจจะเป็นเพราะบางทีพี่เสือเจอที่ที่อยากอยู่มากกว่านี้ก็เป็นได้
“Sorry”
โจ้ยิ้มและส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เป็นไรให้กับผู้ชายตัวใหญ่ที่วิ่งอยู่แล้วหลบหมาจนเผลอมาชนหมอเข้าจนเซ
หมอไม่เคยคิดว่าตัวเองตัวเล็ก แต่พอได้เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนตัวใหญ่ถึงกับเซ็งชีวิต
จะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่ได้เจอกับคนตัวใหญ่ที่เคยรู้จักและเคยอยู่ข้างบ้านนานแล้วเหมือนกัน หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเบอร์แปลกๆ คอยโทรมากวนอีก มีแค่ข้อความที่ส่งมาเกือบทุกวัน มีของส่งมาบ้างตามโอกาส
โจ้ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไปและก็ไม่ได้ยินดีกับการหายไปของใครคนนั้นเสียทีเดียว เขายังเห็นข่าวคราวของคุณพ. บ้างตามอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้คลิกเข้าไปอ่าน
“Good morning” เสียงเอ่ยทักทายของน้องๆ พนักงานในห้างดังขึ้นเมื่อหมอเดินผ่านประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเข้ามา
ในนี้อุ่นกว่าข้างนอกมาก เขาหยิบตระกร้าสีแดงเป็นอย่างแรกก่อนจะเดินหาสิ่งประทังชีวิตในวันนี้และวันต่อๆ ไป ทั้งขนมและเครื่องดื่มยี่ห้อไม่คุ้นตา ทั้งอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ไม่เคยเห็น โจ้ขลุกอยู่ในนั้นเกือบสองชั่วโมง ถึงได้เดินกลับบ้านใหม่ของตัวเองด้วยถุงของใช้และของกินเต็มสองไม้สองมือ
ด้วยความเคยชินหมอคิดเอาเองว่าเดี๋ยวค่อยนั่งแท็กซี่กลับ พอเดินออกมาถึงได้นึกออกว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย เพราะฉะนั้นแล้วคุณหมอผู้ไม่ชินกับอากาศเย็นจึงต้องหิ้วถุงที่มีน้ำหนักหลายกิโลฝ่าลมหนาวเดินกลับบ้านอย่างน่าสงสาร
“กูมาทำอะไรที่นี่วะ” โจ้บ่นไปเดินไปในทิศทางเดิมกับขามา
.
.
.
“เอ่อ…” หมอโหดผู้ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเฉพาะคำศัพท์ทางการแพทย์ ส่วนการโต้ตอบแบบมนุษย์ธรรมดาค่อนข้างย่ำแย่
กำลังคิดหาคำพูดที่จะบอกคนข้างห้องที่ดูเหมือนพึ่งจะกลับมาจากการวิ่งในตอนเช้าแถมกำลังก้มหน้าก้มตาไขกุญแจไปพลางคุยโทรศัพท์ไปพลางว่าอย่างไรดี เพราะใครคนนั้นยืนเอาตัวใหญ่ๆ ขวางทางที่แคบจนเดินผ่านไปไม่ได้
ตอนนี้โจ้มือชาจนเจ็บและเมื่อยมาก พยายามสบตากับคนข้างห้องที่สวมฮู๊ดปิดหน้าปิดตา และดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะโจ้มองไม่เห็นหน้าของคนข้างห้องแต่อย่างใด
“No! I told you!!! $) @_) +_) _) ! $**) @” เสียงตวาดและประโยคร่ายยาวที่หมอฟังไม่ทันบ่นออกมาเป็นชุด
ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องข้างๆ จะไม่ได้ใส่ใจกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเลย
“Hello” หมอผู้อยากกลับเข้าไปในห้องอุ่นๆ เต็มแก่เริ่มส่งเสียงออกมาบ้าง แต่ก็เบาเกินกว่าที่จะเรียกร้องความสนใจจากคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับการไขกุญแจแต่เอาสติไปจดจ่ออยู่กับการตวาดใส่มือถือไม่ได้อยู่ดี
“Hello โว้ยยย” หมอที่หนาวจนตัวชาทั้งโมโหหิวเอาความโหดที่อาจจะดีเลย์เพราะการเดินทางจากเมืองไทยมาใช้บ้าง
เขาตะโกนที่อาจจะไม่ดังมากแต่ความอำมหิตเต็มหลอด
“Can you move!!! ”
“Sorry...” คนที่ก้มหน้าก้มตาทะเลาะกับโทรศัพท์และกุญแจที่พอหนาวแล้วไขยากเหลือเกิน แถมคีย์การ์ดที่เคยมีก็ทำหาย ค่อยๆ เงยมาหาผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก
หมอหน้าหงิกเหมือนถูกแย่งของเล่นเริ่มเอะใจเมื่อเห็นสันจมูกโด่งโผล่พ้นฮู๊ดตัวใหญ่ออกมา ยิ่งเมื่อคนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นให้เห็นเต็มตาโจ้ถึงกับตาโตอ้าปากค้างและปล่อยให้แผงไข่ไก่ในถุงพลาสติกตกลงไปกองกับพื้น...
นั่นไม่ใช่เพราะคนข้างห้องหล่อมากแต่อย่างใด
“เหี้ยยย! ” และคนข้างห้องก็ไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำด้วย
“ผมไม่ใช่เหี้ยนะ” ใครคนนั้นว่าพร้อมยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ทั้งๆ ที่สายตาพราวระยับนั่นก็ดูแปลกใจและตื่นเต้นไปในคราวเดียวกัน
“หมอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
โจ้ลืมเลยว่าตัวเองหนาวและหิวมาก เขามองคนข้างบ้านไปด้วยประมวลผลสมองไปด้วย จะว่าบังเอิญก็คงไม่ใช่เพราะคนที่แนะนำที่พักตรงนี้มาเป็นเพื่อนของตัวเอง
ประโยคเก่าๆ ที่หมอคุยกับเพื่อนเริ่มผุดออกมาจากซอกหลืบความทรงจำทีละน้อย
‘จิงโจ้ กูมีอพาร์ทเม้นแนะนำใกล้ๆ ที่เรียนมึง เป็นของคนรู้จัก เขาเคยซื้อไว้เป็นห้องนอนห้องนึงห้องอัดเพลงห้องนึงแต่เขาไม่ค่อยได้อยู่’
คนรู้จัก...ก็คงอารมณ์เดียวกันกับตอนที่พายซื้อบ้านแล้วหมอบีมแนะนำหมู่บ้านเดียวกับหมอนั่นเอง
โถ...ชีวิตจิงโจ้
“ซอรี่ ไอแคนนอท สปีคไทย” หมอพ่นภาษาอังกฤษสำเนียงไทยแท้ออกมาก่อนจะคว้าถุงหูหิ้วที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา ส่วนไอ้คนตัวใหญ่ๆ ที่ยืนขวางอยู่หมอจัดการเอาไหล่กระแทกให้พ้นทางแล้วเดินผ่านไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ทำกันแบบนี้เลย” คนที่ถูกเขากระแทกจนเซว่าไปหัวเราะไปจนตาหยี พายช่วยหิ้วถุงของที่ยังเหลืออยู่บนพื้นแล้วเดินตามเอาไหล่ใหญ่ๆ ไปแซะไหล่เขาอยู่แบบนั้น
“นี่ห้องมึงสินะ” หมอที่ไม่เคยอยู่กับความหนาวนานๆ เดินผ่านกล่องระเกะระกะที่ยังจัดไม่เป็นที่ เขาเข้าไปเปิดเครื่องปรับอากาศ พลางกวาดสายตามองห้องโทนสีเข้ม
จะว่าไปแล้วห้องนี้ก็เป็นโทนเดียวกันกับห้องที่บ้านหลังนั้นของไอ้พายชัดๆ
“ครับ พอดีหมอบีมบอกว่าจะมีเพื่อนมาขอเช่า ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเป็นหมอ พึ่งมารู้ช่วงหลัง” พายบอกพลางวางถุงข้าวของเครื่องใช้ลงบนโต๊ะในครัวเล็กๆ ที่ถูกแบ่งออกมาจากบริเวณห้องโถงด้านหน้า
“ผมดีใจนะที่หมอมาที่นี่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมจะไม่มีวันรู้เลยว่าหมอไปอยู่ที่ไหน...”
พายบอกแล้วยิ้มน้อยๆ หลังจากนั้นพวกเขาคุยกันน้อยมาก หมอแทบจะไม่เล่าให้ฟังเหมือนเลย
“ผม...”
โจ้กำลังรื้อกล่องของที่ยังจัดไม่เสร็จเงยหน้าสบตากับคนตรงหน้า ทรงผมที่เคยไว้รองทรงยาวเหลือเพียงผมตัดสั้นที่ไม่ได้จัดทรง ร่างกายสูงใหญที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและผิวสีแทนดูแตกต่างไปจากเดิมนิดหน่อย แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร ซึ่งบางทีอาจจะเกิดจากบรรยากาศของต่างแดนก็เป็นได้
“ผมดีใจนะ ผม...”
จะว่าไปแล้วหมอเองก็ไม่ได้เตรียมใจหรือนึกถึงสถานการณ์แบบนี้ ว่าถ้าเกิดขึ้น หรือถ้าได้เจอกันอีกครั้งจะพูดอะไร จะรู้สึกยังไง
เขารู้แค่ว่า...ตอนที่ได้เห็นหน้าพาย ความกังวลที่จะต้องใช้ชีวิตคนเดียวที่นี่ก็หมดไป
อยากจะบอกเหมือนกันว่า...ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง แต่ก็ฟอร์มหนาเกินกว่านั้น
“หิว ไปทำอะไรให้กินหน่อย จะจัดของ” โจ้บอกพร้อมกับใช้ฝ่ามือตัวเองตบที่หน้าผากอีกคนไปหน
เขาว่าคนตัวใหญ่มานั่งทำหน้าสับสนเหมือนสาวน้อยนี่มันไม่น่าดูนักหรอก
“ครับ” พายตอบพร้อมกับยิ้ม
อากาศในห้องที่เคยเย็นเริ่มจะอุ่นขึ้นบ้างแล้ว โจ้จึงถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกแล้วเริ่มลงมือจัดของที่วางกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง หมอนึกขันโชคชะตาที่ค่อยจะไม่เคยเชื่ออยู่หน่อย...ตลกดีเหมือนกัน
จะว่าไปแล้วบรรยากาศแบบนี้ก็เหมือนเดจาวู เมื่อก่อนหมอเองก็เคยไปฝากท้องที่ข้างๆ บ้านบ่อยๆ เคยอยู่ด้วยกันบ่อยๆ เหมือนกัน
“ไอ้ใบตองกับไอ้พายมันโตแค่ไหนแล้วหมอ”
“โตเป็นหมีกันหมดแล้ว” หมอก่อนจะหัวเราะออกมา
“จะว่าไปแล้วเมื่อคืนมึงสินะที่เสียงดัง” เมื่อกี้พี่แกยังพูดไปหัวเราะไปอยู่เลย แต่พอหันมาถามเรื่องเมื่อคืนกลับใช้เสียงเหี้ยมโหดจนคุณพ.ที่กำลังรื้อของในถุงเพื่อหาวัตถุดิบทำอาหารถึงกับสะดุ้ง
พายพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับตอบ
“ครับ ผมนึกว่าไม่มีใครอยู่ นึกว่าหมอจะมาอาทิตย์หน้า”
จะว่าไปแล้วหมอก็แอบแปลกใจกับรูปทรงของตึกนี้อยู่พอควร เห็นคนดูแลบอกว่าทุกชั้นจะมีห้องสูทตรงหัวมุมสองห้องที่แยกออกมา ห้องเหล่านี้ไว้สำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว ทั้งกว้าง เป็นห้องคู่ที่ทอดตัวออกจากตึกสามารถมองเห็นวิวทะเลได้ชัดเจน
หมองงว่าทำไมค่าเช่าถึงได้ถูกนัก อารมณ์แบบเช่าคอนโดชั้นบนสุดเป็นเพนเฮาส์สุดหรูที่สุขุมวิท 33 แต่ค่าเช่าเท่ากับหอในของมหาวิทยาลัย
“ขอโทษนะครับ” โจ้เลิกคิ้วมองเจ้าของห้องพร้อมกับส่ายหน้าในเชิงว่าไม่เป็นไร
ในตอนที่โจ้ก้มลงหยิบหนังสือในลังกระดาษเขาก็ยิ้มให้กับตัวเอง ดูเหมือนอีกคนจะรู้จักคำว่า...ขอโทษ...อย่างจริงใจบ้างแล้ว
.
.
.