ตอนที่ 17 กอด
นคินทรเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ปิดโคมไฟบนโต๊ะแล้วมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงโดยใช้หมอนสอดไว้ด้านหลังในขณะที่ปลายนิ้วก็สัมผัสลงบนหน้าจอโทรศัพท์ได้ด้วย หัวคิ้วขมวดมุ่นจนคนมองอดแปลกใจไม่ได้ กระนั้นนคินทรก็ไม่คิดก้าวล้ำพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายด้วยการถามหาสาเหตุ
“ทำไมถึงมาวันนี้ล่ะ”
“เราจะไม่อยู่หลายวัน” พายุพัดตอบ หากแต่ดวงตายังจดจ่ออยู่ที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์
“ไปกรุงเทพฯ เหรอ”
อีกฝ่ายพยักหน้า “ได้ข่าวว่าโค้ชป่วยน่ะ ก็เลยจะชวนมีนไปเยี่ยม แล้วก็ตั้งใจว่าจะกลับมาให้ทันวันเสาร์” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง ลูบหลังเจ้าซ่าหริ่มที่ขึ้นมานอนขดอยู่บนตัก พลันสีหน้าเคร่งขรึมก็แต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”
“ไม่อยากให้สุชาติขาดซ้อมน่ะ อีกอย่าง...กลัวคิดถึงม่อนด้วย เนอะซ่าหริ่มเนอะ”
“เกี่ยวอะไรกับเรา” นคินทรกล่าวก่อนจะลุกขึ้นปิดหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องครืน ๆ
“แล้วม่อนล่ะ ถ้าเราไม่อยู่นาน ๆ ม่อนจะคิดถึงเราไหม”
คนถูกถามหยักยิ้มบางเบากับสายลมที่พัดกระทบผิวหน้า มือดึงบานหน้าต่างเข้าหาตัว ลงกลอนจนเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมา “เราไปคุยกับพ่อแม่ของสุชาติมาแล้วนะ เรื่องที่นายจะพาสุชาติไปแข่งน่ะ”
พายุพัดสบตาอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเนื้อความที่นคินทรพูดไปคนละทิศละทางกับสีหน้าและแววตาที่บอกความนัยอยู่เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มก้มลงมองหน้าเจ้าเหมียวพลางคิดว่าการเลี่ยงไม่ตอบคำถามยังทำให้ลุ้นเสียจนหัวใจเต้นรัวขนาดนี้ หากวันใดนคินทรตอบให้ได้ยินสักครั้ง คนรอฟังคงจะตัวเบาหวิวเป็นแน่
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“เราบอกว่าเป็นช่วงปิดเทอม ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร พ่อกับแม่ดูจะตื่นเต้นกว่านักกีฬาเสียอีก”
“ดีจัง ขอบคุณมากนะ”
นคินทรพยักหน้า แต่แล้วเสียงกุกกักที่ด้านนอกก็ทำให้ต้องชะเง้อมอง เช่นเดียวกับเจ้าซ่าหริ่มที่หันขวับ ทำหูตั้งตาโต จู่ ๆ มันก็ผุดลุกขึ้นแล้วกระโดดแผล็ววิ่งออกไปทางช่องประตูที่เปิดแง้มไว้
“จะนอนเลยไหม เราจะได้ออกไปเก็บตุ๊กตา ไม่อย่างนั้นเจ้าสองตัวคงไล่ตะปบกันโครมครามทั้งคืน”
“ปล่อยมันเถอะ” พายุพัดบอก
ดังนั้นนคินทรจึงเดินมานั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง ฝนที่เริ่มตกลงมาส่งผลให้อากาศหนาวเย็นกว่าทุกคืน ชายหนุ่มสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม กำลังจะล้มตัวลงนอน พลันแขนแกร่งก็สอดเข้าข้างลำตัวก่อนจะออกแรงดึงจนร่างของเขาขึ้นไปทาบอยู่บนตัวของอีกฝ่าย
“ไม่หนักหรือไง” นคินทรกล่าวเสียงอู้อื้อเมื่อแก้มแนบลงกับแผงอกกว้าง หูได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะถี่ ๆ
“หนักก็จะกอด อยากกอดให้แน่น ๆ” ว่าแล้วพายุพัดก็กระชับวงแขน จังหวะนั้นให้รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณช่วงหัวไหล่ด้านขวาแล่นเลยไปถึงปลายมือ ชายหนุ่มกัดฟันรอกระทั่งอาการเริ่มทุเลาจึงเลื่อนมือลงดึงสมุดที่สอดอยู่ใต้หมอนใบข้าง ๆ มากางออก
เสียงพลิกกระดาษและมือที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังเรียกทำให้นคินทรต้องเงยหน้าขึ้นจนปลายจมูกเกือบจะแตะแนวสันกรามของคนตรงหน้า “อ่านให้ฟังหน่อย”
พายุพัดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “พูดให้ฟังก็ได้ เราจำได้ทุกคำ”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของสมุดจึงขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ซบหน้าลงกับซอกคอรอฟังข้อความในสมุดที่เขามักเปิดอ่านทุกคืน ดวงตาทอดตามองไปยังแหวนทองคำขาวบนมือซึ่งวางทาบอยู่บนตำแหน่งหัวใจของคนเขียน
“เรา...พูดไม่เก่ง กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดได้ไม่ครบ เราก็เลยต้องใช้วิธีเขียน หวังว่าม่อนจะอ่านมันจนจบ” พูดไปมือใหญ่ก็ลูบหลังคนที่อยู่เหนือร่างไป เห็นนคินทรค่อย ๆ หลับตาลงจึงกล่าวต่อ
“เคยได้ยินว่าถ้าเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน...หัวใจจะเต้นแรง ถึงแม้จะเห็นเขาตัวเล็กเท่าก้านไม้ขีด เชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเป็นแบบนั้นกับใครเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันที่เราขึ้นรับเหรียญทองเหรียญแรกในชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นตัวสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุจากอก แต่ก็ยังไม่เท่ากับการได้พบใครคนหนึ่ง คนซื่อบื้ออย่างเราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้รู้จักเขา สุดท้ายได้แต่บอกตัวเองว่าอีกเดี๋ยวใครคนนั้นก็จะกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่ค่อย ๆ เลือนหายไปกับกาลเวลา เราก็เลยไม่คิดดิ้นรนไขว่คว้าอะไรอีก แต่อยู่ ๆ เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง และวันนั้นหัวใจของเราก็เต้นแรงกว่าที่เคย เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง เป็นคนรักสัตว์ แล้วชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด” ถึงตรงนี้คนพูดก็ยิ้มออกมา
“เราชอบนั่งมองเขาจากที่ไกล ๆ เวลาเห็นเขายิ้ม เราก็ยิ้มตามไปด้วย เวลาที่เห็นเขาทุกข์ใจเราเองอยากนั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกว่าเราจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เราไม่มั่นใจว่าถ้าเราบอกความรู้สึกให้เขารู้แล้วเขาจะว่ายังไง จะโกรธหรือเกลียดกันไหม จนวันหนึ่ง...เราคิดได้ว่าการบอกให้เขารู้น่าจะดีกว่าการเก็บเอาไว้ เราเลยไม่กลัวอีกต่อไป...ที่จะบอกให้ม่อนรู้...ว่าม่อนคือคนที่ทำให้เราใจเต้นแรงทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ม่อนทำให้คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเรามั่นใจว่า...เราชอบม่อน”
จบประโยคนั้นพายุพัดก็จมูกลงที่หางคิ้วของคนหลับ จากนั้นจึงทอดตามองข้อความที่อยู่สุดหน้ากระดาษ
ขอบคุณนะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
พาย
23 มีนาคม 2550
...
พายุพัดดึงประตูปิด ดวงตาละจากภาพของชายวัยสี่สิบปีเศษที่นอนอยู่บนเตียง มองป้ายที่ติดใต้ช่องกระจกระบุชื่อผู้ป่วย “นที ทองทำนุ” แล้วถอนใจเบา ๆ หากเป็นเมื่อ 20 กว่าปีก่อนคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะเขาคือผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการกีฬาว่ายน้ำด้วยการคว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้ประเทศไทยในการแข่งการกีฬาเอเชียนเกมส์ เมื่อวันเวลาผ่านไปนทีก็ผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ แต่เมื่อต้นปีก่อนเขาเกิดล้มป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จากการตรวจอย่างละเอียดพบว่ามีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS โรคเดียวกับที่เคยคร่าชีวิตนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญรางวัลจากกีฬาโอลิมปิกมาแล้วหนหนึ่ง และเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดลื่นล้มในห้องน้ำจนศีรษะกระแทกพื้น อดีตนักกีฬาและผู้ฝึกสอนว่ายน้ำทีมชาติจึงได้ถูกส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้
“น่าสงสารโค้ชว่ะ ลูกเต้าก็ไม่มี อยู่กับภรรยาแค่สองคน เกิดเจ็บป่วยพร้อม ๆ กันใครจะดูแล” ชลชาติเอ่ยขึ้น
“ที่สมาคมรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“ก็น่าจะรู้นะ ก่อนหน้านี้ที่เรามาเยี่ยมไปรอบหนึ่งเห็นมีดอกไม้เยี่ยมไข้จากสมาคมด้วย”
“แล้วพวกเราพอจะช่วยอะไรโค้ชได้บ้างไหม”
“ก็อย่างที่นายเห็นในกลุ่มที่คุยกัน เพื่อน ๆ จะรวบรวมเงินมามอบเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่โค้ชต้องอยู่โรงพยาบาล แต่ในระยะยาวยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นลองไปปรึกษาอาจารย์ทวีกันไหม”
ชลชาติพยักหน้า จากนั้นสองร่างสูงก็เดินเคียงคู่กันไปตามทางภายในหอพักผู้ป่วย เมื่อผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล บรรดาหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดต่างสะกิดแขนแล้วพากันซุบซิบ ทำเอาคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียนเอกสารต้องเงยหน้าขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เห็นว่าผู้ที่กำลังเดินผ่านคืออดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ก็วางมือแล้วบิดตัวไปมาด้วยความขวยเขิน
...
“รถติดเป็นบ้าเลย เราขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบชลชาติก็ผลุบหายเข้าไปในสุขาชายที่อยู่ใต้ตึกคณะ
เมื่อพายุพัดเดินตามเข้าไป ประตูห้องน้ำก็ปิดลงพอดี ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังอ่างล้างมือ มองตัวเองบนกระจกก่อนจะเลื่อนมือซ้ายขึ้นบีบไหล่ข้างขวา จากนั้นจึงหมุนก๊อกเปิดน้ำล้างมือ พลันหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
“ธรรม์ณธรแม่ง! เอาแต่สั่งงาน สอนก็ไม่สอน” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่เดินเข้ามาส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครอยู่ข้างในหรือไม่
“เออ นี่เราจ่ายค่าเทอมเพื่อมาทำรายงานหรือไงวะ” อีกคนเสริม
“นายว่าไหม ธรรม์ณธรแม่งเอาแต่รับใช้รองคณบดี ทำโครงการให้คณะบ้างละ ไม่เคยจะได้สอนหรอก เอะอะก็สั่งงานแล้วก็ไป”
“ทำแล้วได้ตังค์นี่หว่า ลูกศิษย์โง่ก็ช่างมัน”
เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยยังคงจ้องมองสายน้ำที่ไหลผ่านมือซึ่งถูกันไปมา เมื่อเขาหมุนก๊อกปิดน้ำประตูห้องสุขาก็เปิดออก
ชลชาติก้าวออกมาแล้วกวาดตามองกลุ่มเด็กหนุ่มผ่านเงาสะท้อนในกระจกไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่หน้าโถฉี่ เขาเดินไปหยุดข้างพายุพัด เปิดน้ำล้างมือแล้ว ดึงกระดาษชำระแล้วบรรจงเช็ดอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตาทุกคู่ที่กำลังมองมาอีกครั้ง
“ข...ขอโทษครับอาจารย์” คนเปิดประเด็นเอ่ยขึ้น
“ขอโทษผมเรื่องอะไร” อาจารย์หนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาคนข้างกันต้องแอบกดยิ้มมุมปาก นั่นเพราะนานมากแล้วที่พายุพัดไม่ได้เห็นชลชาติในมุมนี้
“ข...ขอโทษที่เสียงดัง เสียมารยาท แล้วก็...ร...เรื่องอาจารย์ธรรม์ณธรครับ”
เห็นเป็นลูกศิษย์ที่ตนเป็นที่ปรึกษา ชลชาติจึงถือโอกาสอบรมเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ซ้ำอีก “คนที่พวกคุณควรจะขอโทษน่าจะเป็นอาจารย์ธรรม์ณธรมากกว่า” พูดจบก็หันมาสบตาตรง ๆ
บรรดาเด็กหนุ่มได้ฟังก็หลุบตาลง ประสานมือไว้ด้านหน้า
“อาจารย์แต่ละคนก็มีวิธีการสอนของตัวเอง ถามว่าคุณทำรายงานแล้วคุณได้ความรู้ไหม ถ้าไม่คัดลอกแล้ววาง ผมก็คิดว่าน่าจะได้นะ ยังไงเขาก็เป็นอาจารย์ของพวกคุณ จะพูดอะไรก็ควรให้เกียรติเขาบ้าง ส่วนพวกคุณเองก็เป็นเด็ก เที่ยวไปพูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่คนอื่นจะมองอาจารย์ธรรม์ณธรในแง่ลบ เขาจะพลอยมองพวกคุณไม่ดีไปด้วย”
“ครับอาจารย์ ขอโทษครับ” ทั้งหมดเอ่ยขึ้นพร้อมกันพลางยกมือไหว้ จากนั้นจึงหลีกทางให้อาจารย์ที่ปรึกษาเดินออกไป
“วิญญาณประธานชมรมว่ายน้ำเข้าสิงหรือไง” พายุพัดกล่าวขณะก้าวมาขึ้นมาเดินข้างกัน
คำพูดหยอกล้อของเพื่อนรักมิได้ช่วยลดความเคร่งเครียดของชลชาติเลยสักนิด ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะร้อนใจอยู่หน่อย ๆ “พวกนี้ต้องถูกอบรมเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะเอาไปพูดกันสนุกปาก ต่อเติมกันไปเรื่อย เดี๋ยวไอ้ธรรม์จะเสียหาย”
พายุพัดยกมุมปากขึ้นพอให้รู้ตัวว่าตนเองกำลังยิ้มพลางคิดถึงเหตุผลที่ทำให้เขาคบหาชลชาติอย่างสนิทใจจนถึงทุกวันนี้ นั่นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยและความจริงใจที่อีกฝ่ายมีให้ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งธรรม์ณธร
“ที่จริงมันก็ไม่ได้ไปไหน ทำงานอยู่ในคณะนี่แหละ ติดตรงที่...เลือกทำงานให้บางคนเท่านั้นเอง” ชลชาติกล่าว ตามองเจ้าของร่างสูงที่ในมือถือเอกสารซึ่งยืนอยู่หน้าลิฟต์ บังเอิญสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเข้าปะปนไปกับกลุ่มนักศึกษาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
เห็นว่ายังมีนักศึกษายืนรอเพื่อจะขึ้นไปชั้นบนอีกพอสมควร สองคนจึงพากันเดินขึ้นบันไดก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องพักของอาจารย์ทวีตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบอีกฝ่ายกำลังรออยู่พอดี ชลชาติแจ้งความคืบหน้าอาการป่วยของโค้ชนทีให้ทราบ จากนั้นจึงเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขามากันในวันนี้
“ผมกับเพื่อน ๆ ปรึกษากัน อยากจะเสนอให้สมาคมตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติครับ” จากนั้นชลชาติก็อธิบายถึงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของกองทุน
ฟังแล้วอาจารย์นทีก็ถอนใจเบา ๆ “แต่ไหนแต่ไรมาสมาคมก็ไม่ได้มีมาตรการรองรับอดีตผู้ฝึกสอนหรือนักกีฬาทีมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าพวกคุณอยากเสนอให้มีการตั้งกองทุนที่ว่า ผมก็จะช่วยร่างหนังสือถึงสมาคมให้ แต่ผมไม่รับประกันนะว่ามันจะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการของสมาคมหรือเปล่า พวกคุณก็รู้ว่าเงินสนับสนุนต่าง ๆ ยังไงก็ต้องเอาไปลงกับนักกีฬาและผู้ฝึกสอนปัจจุบันที่ยังทำประโยชน์ให้กับสมาคมเป็นอันดับหนึ่ง”
“ผมเข้าใจครับอาจารย์” พายุพัดว่า “แต่วิธีนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือโค้ชนทีกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ได้ในระยะยาว”
อาจารย์ทวีพยักหน้า แม้จะหนักใจอยู่บ้าง แต่ตัวเขาเองก็อยากจะช่วยเพื่อนเก่าเช่นกันดังนั้นจึงตัดสินใจรับปาก “ถ้าอย่างนั้นลองดูก็แล้วกัน”
“แล้วก็อีกอย่างครับ” ชลชาติเอ่ยขึ้น “พวกผมคิดกันว่าจะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลที่รวมอดีตนักกีฬาทีมชาติ มีการเก็บค่าเข้าชมเพื่อเอามาสมทบทุนช่วยเหลืออดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาที่ตอนนี้มีปัญหาสุขภาพ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ผมจะส่งไอ้พายลงแข่ง” ทำพูดติดตลกแล้วโอบไหล่เพื่อนรัก
“อืม อันนี้พอจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เพราะมันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของพวกคุณกันเอง ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ก็บอกแล้วกันนะ”
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ อาจารย์ทวีก็ขอตัวไปสอนนักศึกษา ดังนั้นชลชาติจึงเดินออกมาส่งพายุพัดที่หน้าตึกคณะเพราะเขาเองยังเหลือชั่วโมงที่ต้องสอนอีกเช่นกัน
“เดี๋ยวเย็นนี้เราซื้อของกินเข้าไปนะ ว่าแต่นายจะกลับคอนโดเลยหรือเปล่า”
“ยังหรอก” พายุพัดกล่าว “ว่าจะแวะไปหาพี่เดชน่ะ”
ชลชาติพยักหน้าด้วยคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี “เดช” หรือ “เดชา อนุชิตอนันต์” คือนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออโธปิดิกส์ อดีตแพทย์ประจำทีมทีมนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ปัจจุบันประจำอยู่ที่สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกายของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“ไปเยี่ยมเฉย ๆ หรือว่านายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“แค่อยากเจอ ไม่ได้เจอนานแล้ว” พายุพัดตอบเรียบ ๆ จากนั้นสองคนก็แยกกันที่หน้าคณะ
...
ทันทีที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก พายุพัดก็ก้าวเข้าไปด้านในอาคาร ตาคมกวาดมองตัวอักษรบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์พยาบาลซึ่งประกอบกันเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้ “สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย” เป็นที่ที่บรรดานักกีฬาต่างคุ้นเคยกันดีเพราะเข้าออกกันเป็นว่าเล่น ขายาวก้าวช้า ๆ ราวกับกลัวว่าจะได้พบคนที่มาหาเร็วเกินไป เมื่อแจ้งวัตถุประสงค์ของการมาเรียบร้อยแล้ว พยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ก็เดินนำเขาไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นเธอก็เปิดประตูเข้าไปคุยกับคนที่อยู่ด้านใน ครู่หนึ่งจึงกลับออกมา
“รอสักครู่นะคะ พอดีคุณหมอกำลังคุยกับคนไข้ค่ะ”
“ฝากเรียนคุณหมอว่าพรุ่งนี้ผมมาใหม่ก็ได้ครับ”
“ไม่นานก็น่าจะเสร็จแล้วนะคะ คนไข้คนสุดท้ายแล้วค่ะ”
เมื่อได้รับการบอกกล่าวเช่นนั้น พายุพัดจึงตัดสินใจยืนรอที่หน้าห้อง ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความโต้ตอบกับนคินทรได้เพียงไม่กี่ประโยค ประตูก็ถูกเลื่อนเปิดพร้อมกับเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่ง
“เดินคล่องขึ้นแล้วนี่นะ”
“เอ้อ...ตั้งแต่มาให้เจ้าเดชดูดน้ำออกจากเข่าก็หายบวม ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย ขอบใจนายมากนะที่มาเป็นเพื่อน เดี๋ยวเดือนหน้ามาตรวจอีกรอบ อาจะวิ่งให้ดูนะเดช”
“ครับคุณอา จากนี้ก็หมั่นบริหารหัวเข่าตามที่ผมแนะนำไปนะครับ”
พายุพัดเก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็ใจหายวาบ เมื่อพบว่านอกจากตนเองจะรู้จักชายหนุ่มสวมสูทกาวน์แขนยาวนั่นแล้ว ยังรู้จักอีกสองคนที่สวมเครื่องแบบทหารด้วย นั่นก็คือพลตรี นายแพทย์อานุภาพ และพลตรี นายแพทย์ธรณิน พ่อของนคินทรนั่นเอง ภาพที่ตาเห็นเป็นผลให้เท้าทำงานโดยอัตโนมัติ กำลังจะหันหลังกลับ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“อ้าวพาย มาทำอะไรที่นี่” นายแพทย์เดชากล่าว
ดังนั้นพายุพัดจึงจำต้องหยุดแล้วยกมือไหว้ทุกคน
“เธอนั่นเอง” อานุภาพเอ่ยขึ้น
“พ่อก็รู้จักพายด้วยเหรอครับ” เดชาเลิกคิ้ว
เจ้าของร่างสูงใหญ่พยักหน้าก่อนจะหันไปทางเพื่อน “คนนี้ไงที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่ามาด้วยกันกับลูกชายนาย ตอนที่ไปนำเสนอโครงการที่มูลนิธิก่อฝันปันสุข”
“โลกมันกลมดีแท้” ธรณินว่ายิ้ม ๆ
“ผมกับพายเราเคยเจอกันตอนที่ผมยังเป็นหมอประจำทีมทีมว่ายน้ำน่ะครับ” นายแพทย์หนุ่มกล่าว “ไงเรา วันนี้มาแค่แวะมาเยี่ยมพี่ หรือจะมาคุยกันเรื่องนั้น”
“อย่างหลังครับ” พายุพัดตอบเสียงแผ่ว
และเพราะคำว่า “อย่างหลัง” ทำให้เขาต้องเข้าไปนั่งอยู่ภายในห้องตรวจท่ามกลางวงล้อมของทั้งศัลยแพทย์ทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู และคุณหมอกระดูกและข้อ ในที่สุดก็จำต้องเล่าอาการทั้งหมดให้ฟัง
“เป็นมานานหรือยัง” ธรณินเอ่ยขึ้นหลังจากได้ฟังอาการของเพื่อนลูกชาย
“น่าจะตั้งแต่ก่อนไปเรียนเมืองนอกใช่ไหม” เดชากล่าวพลางหันไปหาอีกคนเพื่อหาข้อสรุป
“ตั้งแต่ก่อนเรียนจบก็เริ่มเจ็บมาเรื่อย ๆ ครับ แต่ตอนนั้นคิดว่ากล้ามเนื้ออักเสบธรรมดา ทายาแล้วก็หาย ก่อนไปเมืองนอกเริ่มเจ็บมากขึ้น ผมก็เลยมาปรึกษาพี่เดช”
“เป็นเพราะหักโหมซ้อมใช่ไหม” ธรณินว่า
พายุพัดพยักหน้า
“แล้วหมอที่อเมริกาที่พี่เคยแนะนำให้ล่ะ เขาว่ายังไงบ้าง”
“ทำทุกวิธีแล้วครับ ทั้งกายภาพบำบัด ทั้งฉีดยาเข้าไปแต่ก็ไม่หาย พอต้องเก็บตัวแข่งโอลิมปิกผมก็ไม่ได้ไปพบหมออีกเลย จนประสบอุบัติเหตุแล้วกลับมาที่นี่ก็ยังไม่ได้รักษาต่อ”
“ทางนั้นเขาบอกไหมว่าจะรักษาต่อยังไง” เดชาถามทั้งที่จริงก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
เห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบ พลตรี นายแพทย์อานุภาพซึ่งมีประสบการเกี่ยวกับการฟื้นฟูผู้ป่วยในกรณีเช่นเดียวกันนี้จึงเอ่ยขึ้น “คงกลัวว่าผ่าตัดแล้วจะกลับมาว่ายน้ำไม่ได้เหมือนเดิมด้วยสินะ”
“ครับ” พายุพัดยอมรับตามตรง
“แต่ถ้ามันถึงขั้นที่ปวดมาก ๆ จนกระทบกับชีวิตประจำวันก็ต้องยอมนะพาย” เดชาว่า
“ผมทราบครับ ถ้าถึงขั้นนั้นก็คงต้องยอม แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมเลยจะมาปรึกษาพี่เดชว่าพอจะมีทางยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อยไหม”
“พี่ยังตอบอะไรไม่ได้เหมือนกัน คงต้องให้ทำ MRI ดูให้แน่ว่านอกจากหินปูนเกาะแล้ว ตอนนี้เอ็นหัวไหล่นายเป็นยังไงบ้าง”
จากนั้นเดชาก็เริ่มอธิบายแนวทางการรักษา ไปจนถึงวิธีการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น ระยะเวลาการพักฟื้น รวมทั้งผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อทั้งหมอและคนไข้เห็นภาพตรงกันจึงได้จัดการเรื่องการรักษาให้เป็นไปตามระบบและนัดให้พายุพัดมาพบอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป
พายุพัดเดินตามมาส่งธรณินที่หน้าอาคาร และเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินสวนทางมาเมื่อประตูอัตโนมัติเปิดออก หมอทหารยศพลตรีหยุดรอทหารคนสนิทที่กำลังขับรถลงจากลานจอด ในระหว่างนั้นพายุพัดจึงเอ่ยขึ้น
“คุณลุงครับ คือ...ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณลุงครับ”
ธรณินหันมาสบตาคนพูด “มีอะไรรึ”
“คุณลุงอย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ม่อนฟังนะครับ”
“แล้วเธอจะบอกเจ้าม่อนมันเมื่อไร”
“ผมอยากทำเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นผมจะบอกให้ม่อนรู้ครับ”
“เรื่องสอนว่ายน้ำใช่ไหม” ธรณินถาม เขาเองพอจะรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากคำบอกเล่าของลูกชายและเพื่อนสนิทอย่างอานุภาพมาบ้าง
“ครับ ผมอยากทำมันให้ถึงที่สุด เท่าที่ยังพอทำได้”
“ตามใจเธอก็แล้วกัน แต่อย่าหักโหมให้มากนักล่ะ”
“ครับ คุณลุง”
“พ่อ”
พายุพัดเลิกคิ้ว
“เรียกพ่อก็ได้ คนกันเอง” พูดได้แค่นั้นก็รีบดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง “เจ้าม่อนโทรมา สงสัยจะถามข่าว อ้อ...รถก็มาพอดี พ่อไปก่อนนะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมลาตรงนี้เลยนะครับ...คุณพ่อ” พูดจบก็ยกมือไหว้
“โชคดี” ธรณินกล่าว จากนั้นจึงเดินไปที่รถพร้อมกับกดรับสาย เมื่อยกโทรศัพท์แนบหูก็พูดขึ้น “ไงลูกชาย... อืม... อ้อ... ใช่ ๆ สบายมาก เจอกันคราวหน้าพ่อจะเตะปี๊บให้ดู...”
พายุพัดยิ้มพลางมองตามเจ้าของรูปร่างภูมิฐานในชุดทหารที่กำลังเข้าไปนั่งในรถ นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้เรียก “พ่อ” นับตั้งแต่พ่อแท้ ๆ เสียชีวิต นึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ทำให้ความรู้สึกเมื่อครั้งยังเยาว์วัยหวนคืนมาอีกครั้ง
....
(มีต่อค่ะ)