Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 41
“ตีกอล์ฟกับคุณพ่อไม่สนุกเหรอครับ” อาคิราห์ทักขึ้นตอนที่กลับเข้ามานั่งในรถด้วยกันแล้ว พิชช์ฌานเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง
“ก็สนุกดีนี่ ทำไมเหรอ”
“เห็นหน้าคุณเครียดจัง”
“มาเจอพ่อตา มีลูกเขยคนไหนไม่เครียดบ้าง” พิชช์ฌานพูดแกมหัวเราะ “กลัวเขาเอาเมียคืนน่ะซิ”
คนฟังยิ้มกว้างพลางส่ายหน้า
“ไม่มีทางหรอกครับ” อาคิราห์นิ่งไปนิดหนึ่ง “คุณพิชช์ฌานช่วยอะไรผมอย่างได้ไหมครับ”
“หลายอย่างก็ได้”
“ผมอยากให้ช่วยพาผมไปเจอพี่ออมหน่อยได้ไหมครับ ผมมีบางอย่างต้องถามเขา”
“เธอคงต้องเล่าให้ฉันฟังก่อนว่าคุณแม่ของเธอว่าอย่างไรบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ยอมให้เธอไปเจอแน่ ๆ มันอันตราย” พิชช์ฌานพูดอย่างเคร่งขรึม “ช่วงหาเสียงเลือกตั้งเป็นช่วงที่อาจจะเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ เธอรู้ใช่มั้ย บางคนก็นิยมกำจัดคู่แข่งด้วยวิธีรุนแรง”
อาคิราห์ส่ายหน้า เล่าเรื่องที่ไปคุยกับมารดาให้อีกคนฟัง พิชช์ฌานลูบปลายคางของตัวเองอย่างครุ่นคิด
“เธอคิดว่าคุณแม่ของเธอไม่ได้พูดความจริงงั้นเหรอ?”
“เปล่า ผมเชื่อแม่ของผม แต่ว่า..” อาคิราห์ลังเล “พี่ออมดูไม่ใช่คนแบบนั้นเลย ผมเลยอยากถามเขาให้แน่ใจ”
“งั้นฉันจะไปด้วย” พิชช์ฌานพูด “ฉันมีความสามารถพิเศษในการจับเท็จ เผื่อเธอไม่รู้”
“ผมรู้ คนที่ชอบโกหกบ่อยก็มักจะจับผิดคนโกหกด้วยกันได้เก่งไงล่ะ” อาคิราห์พูดหน้าตาเฉย “ไม่แปลกใจเท่าไหร่”
พิชช์ฌานตวัดสายตามองอย่างฉุน ๆ ไม่ได้พูดว่าอะไรอีกเพราะกลัวโดนย้อนเข้าตัว
...........................................................................
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้ม ๆ ถามขึ้นจากข้างเตียง นิลลาหันไปมองอย่างมึนงงก็เจอร่างสูงโปร่งของเจนภพยืนมองมาที่เขานิ่ง “คุณหลับไปนานมาก”
นิลลาก้มลงสำรวจตัวเองเป็นอันดับแรก ไม่มีร่องรอยอะไรบนเนื้อตัวของเขา แสดงว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาคงจะไม่ได้เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ตามที่อีกฝ่ายสัญญาเอาไว้
“ผมพาคุณมาโรงพยาบาล คุณดิ้นหนักมากผมเลยต้องมัดคุณเอาไว้ อาจจะมีรอยเชือกนิดหน่อยตรงข้อมือ” เจนภพพูดอย่างรู้ใจเมื่อเห็นเจ้าโอเมก้ายกข้อมือบอบบางทั้งสองข้างขึ้นมาเพ่งพิศ “หมอฉีดยาระงับอาการฮีทให้คุณ ...ทำไมคุณถึงไม่ได้ทานยาระงับ”
“ยาหมด แล้วฉันก็มัวแต่ยุ่ง ๆ “ นิลลาตอบปัด อีกฝ่ายหรี่ตาลง เกือบจะพูดออกไปแล้วว่าเขาเจอกระปุกยาระงับอาการฮีทในห้องของนิลลา ข้างในนั้นยังเหลือเม็ดยาอยู่เกือบครึ่งกระปุก
“งั้นเหรอ คุณคงต้องระวังมากกว่านี้หน่อย เพราะคราวหน้าอาจจะไม่ใช่ผมที่เป็นคนมาเจอเข้า” เจนภพเลือกที่จะไม่ถามต่อ “นอนพักไปก่อนนะครับ ตอนเย็น ๆ คุณพิชช์ฌานกับคุณอาคิราห์บอกว่าจะแวะมาเยี่ยมคุณ”
“............” นิลลามองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูดด้วย เจนภพเลิกคิ้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
นิลลาส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน คุณมีอะไรก็กดปุ่มเรียกคุณพยาบาลนะครับ” เจนภพพูดอย่างสุภาพแต่ก็ห่างเหินอยู่ในที นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นเงยขึ้นมองตามเขาตาไม่กะพริบ ริมฝีปากบางแห้งผากแตกเป็นแผลที่มีแต่เขาที่รู้ว่าเกิดจากอะไร “พยายามทานข้าวเยอะ ๆ หน่อย คุณผอมเกินไป” เขาหลุดพูดออกไปแล้วก็นิ่ง
“คุณกลับออกไปเถอะ”
เจนภพก้มศีรษะให้แล้วหมุนตัวเดินกลับออกไปจากห้อง
“ขอบคุณมาก” ประตูยังไม่ทันปิดสนิทดี ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงพูดที่เบามากเหมือนกระซิบลอยมาตามลมจากร่างผอมบางที่นอนอยู่บนเตียง มือขวาคนสนิทของพิชช์ฌานชะงักนิดหนึ่ง พยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้แล้วก็กลับออกมาจากห้องพักผู้ป่วยนั้น
เขาไม่เคยชอบโอเมก้าคนนี้เลยให้ตายสิ
เจนภพกลับไปทำงานที่พรรคต่อ สถานะลูกชายของนิมมานยังถูกเก็บเป็นความลับก็จริง ทว่าการได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคจากการสนับสนุนของคน ๆ นั้นก็ทำให้ใครต่อใครในพรรคเกรงบารมีของเขามากขึ้นจากเดิมที่เป็นเพียงมือขวาคนสนิทของพิชช์ฌาน ตอนนี้คนในพรรคให้เกียรติเขาเกือบจะเทียบเท่าพิชช์ฌานทีเดียว
“คุณเจนภพครับ มีสายถึงคุณครับ”
“ใครหรือ”
“จากท่านครับ”
แค่นั้นก็เป็นอันรู้กันว่าหมายถึง ‘ท่าน’ คนไหน เจนภพรับโทรศัพท์มาถือเอาไว้ เม้มปากแน่น เวลานี้พิชช์ฌานก็ไม่อยู่เสียด้วย
“สวัสดีครับ”
“เจนภพเหรอ” เสียงของคนที่เขาเพิ่งจะรู้ว่าเป็นพ่อแท้ ๆ นั้นดังมาตามสาย ชายหนุ่มกำหูโทรศัพท์เอาไว้แน่น “ฉันอยากจะพบเธอเสียหน่อย สะดวกหรือเปล่า”
“ช่วงนี้ผมติดธุระหลายอย่าง คงไม่สะดวก”
“แต่มีเวลาไปพบนายชาติชายงั้นหรือ” อีกฝ่ายพูดต่อมา คนฟังเงียบ “ไม่ต้องตกใจ ฉันแค่บังเอิญได้ยินมาผ่าน ๆ หูน่ะ”
“ผมไปพบเขาตามหน้าที่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนายทุนของพรรคเรา” ชายหนุ่มตอบอย่างสงบ
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำนี่ แต่ถึงอย่างไร...ฉันก็เป็นพ่อของเธอไม่ใช่เหรอ” นิมมานพูดย้อนประโยคเดิมที่เจนภพพูด คนเป็นลูกนิ่งไปอีก “ฉันแค่อยากจะกินข้าวกับเธอสักมื้อ ชวนพี่ชายของเธอมาด้วยสิ จะได้พร้อมหน้าพร้อมตา แต่รายนั้นอาจจะไม่ว่าง...ถ้าฉันเดาไม่ผิด”
“ผมจะติดต่อกลับไปครับ”
“อย่าให้ฉันรอเก้อเลยนะ เห็นแก่คนแก่บ้าง”
เจนภพกดวางสาย เขายังไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองเหมือนกันว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรต่อคน ๆ นั้นกันแน่ อาจจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เขาไม่คิดจะไปฝืนหรือต่อต้านอะไรอีก
แต่จะให้รักเหมือนพ่อก็คงจะเป็นไปไม่ได้
คุณพิชช์ฌานติดต่อมาให้เขาไปหาเบต้าคนหนึ่งที่เคยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคุณอาคิราห์มาก่อน เจนภพใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็หาตัวผู้หญิงคนนั้นเจอ เธอดูระวังตัวแจทีเดียวผิดปกติไปจากแม่บ้านทั่วไปที่เขาเคยเห็น
“ผมจะส่งที่อยู่ไปให้คุณฌานนะครับ” เจนภพว่า
“ฝากจับตามองเอาไว้ก่อนนะเจนภพ ฉันกับอาคิราห์เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวจะไปหา”
“ได้ครับ” เจนภพพึมพำ เคาะปลายนิ้วกับขอบกระจกรถเก๋งเบา ๆ “คุณพิชช์ฌานจะให้ผมเรียกกำลังเสริมไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอก เราไปฉันท์มิตร”
คนฟังเกือบเบ้ปาก ฉันท์มิตรของคุณพิชช์ฌานมักจะลงเอยด้วยการนองเลือดทุกที ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนใจดีนักหรอก เขารู้ อดขนลุกไม่ได้ที่พบว่าตัวเองเป็นน้องชายของฝ่ายนั้นจริง ๆ
ไม่นานรถยนต์ดำปรอทคันใหม่ของคุณพิชช์ฌานก็เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ เขาหน้าปากซอยแคบ ๆ ที่รถวิ่งสวนกันไม่ได้ มอเตอร์ไซค์หลายคันกับวัยรุ่นเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อและรถเข็นขายของ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าข้างในซอยคงเป็นบรรยากาศเหมือนสลัมแน่นอน
“คุณอาคิราห์จะเข้าไปด้วยเหรอครับ” เจนภพรับท้วงเอาไว้ก่อน เขาไม่อยากให้เจ้าโอเมก้าวิ่งร้องไห้ออกมาหรอกนะ “ให้ผมเข้าไปพาตัวเธอออกมาดีไหมครับ”
“ฉันอยากไปเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง” อาคิราห์ยืนยัน เจนภพเปลี่ยนสายตาไปมองเจ้านายที่ขนาบข้างอยู่ ฝ่ายนั้นพยักหน้านิดหนึ่งเป็นเชิงอนุญาต เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะระยะหลังมานี้เขาไม่เคยเห็นพิชช์ฌานปฏิเสธคุณอาคิราห์เลยสักครั้งเดียว
“ให้คนของเราประกบอาคิราห์เอาไว้แล้วกัน” พิชช์ฌานว่า
พวกเขาส่งคนเข้าไปเคลียร์พื้นที่แล้วก็ดูลาดเลาเอาไว้ก่อนแล้ว พิชช์ฌานเดินตามหลังร่างโปร่งบางของภรรยาเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ นั่นอย่างระมัดระวัง อาคิราห์เองก็สอดส่ายสายตาไปรอบตัว เขาไม่อยากเป็นภาระของใครทั้งนั้น
“บ้านหลังนี้ครับ” เจนภพกระซิบ เดินเข้าไปเคาะประตูเรียก “มีคนอยู่ไหมครับ ผมมาเก็บค่าเช่า”
“ฉันจ่ายไปแล้วนะ” มีเสียงตะโกนตอบกลับมาจากชั้นสองของบ้าน อาคิราห์กับพิชช์ฌานหันมามองหน้ากัน
“ใช่เสียงของพี่ออมครับ” อาคิราห์พยักหน้า
“คุณยังจ่ายไม่ครบครับ” เจนภพตะโกนกลับไป “ขาดอีกเยอะเลย”
“ฉันมีใบเสร็จ นี่ไงเล่า” ได้ยินเสียงลงบันไดตึกตักมาจากชั้นบนก่อนที่ประตูบ้านจะถูกไขเปิดออก ร่างของอดีตพี่เลี้ยงของอาคิราห์ปรากฏตัวขึ้น เธออ้าปากค้างแล้วรีบดึงประตูปิดแต่ก็ช้าเกินไปเพราะเจนภพรีบดันเอาไว้ได้ทัน
“กลับไปนะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดด้วยหรอก”
“พี่ออม นี่อัยย์เองนะ อัยย์มาเยี่ยมเฉย ๆ ได้ข่าวว่าพี่ออมย้ายบ้านย้ายที่ทำงาน” อาคิราห์รีบพูด ยื่นหน้าเข้าไประหว่างประตูทำให้อดีตพี่เลี้ยงใจอ่อน ไม่กล้าปิดประตูงับอีก
“คุณอัยย์มาทำไมคะ แถวนี้อันตราย รีบกลับไปเถอะค่ะ”
“อัยย์อยากมาเยี่ยม ให้อัยย์เข้าไปได้มั้ย”
“บ้านพี่สกปรกค่ะ คุณอัยย์กลับไปเถอะ” อรุณาพูดซ้ำประโยคเดิม แต่ว่าเด็กน้อยที่เธอเลี้ยงดูมาก็ดันประตูเข้ามาจนได้ อาคิราห์ก้าวเข้าไปในบ้านเช่าซอมซ่อหลังนั้น กวาดตามองสำรวจรอบบ้านอย่างสะท้อนใจ
“พี่ออมอยู่ได้อย่างไรนี่” อาคิราห์อุทาน “ที่นี่อยู่กี่คน”
“เอ่อ...รวมพี่ด้วยก็หกคนค่ะ แต่ว่าคนอื่น ๆ ไปทำงาน”
“หกคน” อัยย์ร้อง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแคบ ๆ แบ่งซอยเป็นห้องเล็ก ๆ ขนาดเท่าแมวดิ้นตายชนิดที่อยู่สองคนยังอึดอัด แต่นี่อีกฝ่ายกลับบอกว่าอยู่รวมกันหกชีวิต ห้องของพี่ออมอยุ่ชั้นสองของบ้าน อาคิราห์ย่องเท้าเดินขึ้นบันไดไม้เก่า ๆ รอเวลาผุพังตามหลังพี่เลี้ยงขึ้นไปช้า ๆ
แม้ว่าสภาพห้องจะแคบมากแต่การจัดวางของในห้องของพี่ออมก็ยังเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม อาคิราห์มองเห็นกรอบรูปวางตั้งอยู่เหนือฟูกบาง ๆที่ปูบนพื้นไม้ เป็นรูปของเขากับอคินทร์ แล้วก็รูปพี่ออมกับเด็กอีกคนที่เขาไม่รู้จักสองสามรูป คงเป็นเด็กที่พี่ออมเคยรับจ้างเลี้ยงดูมาก่อนหน้านี้กระมัง
“มีรูปอัยย์ด้วย” อาคิราห์พึมพำ หยิบรูปขึ้นมาดูใกล้ ๆ
“พี่เก็บรูปเด็ก ๆ ที่เคยเลี้ยงเอาไว้น่ะค่ะ” อรุณาตอบ ทรุดลงนั่งกับพื้น “คุณอัยย์นั่งบนฟูกได้ค่ะ พี่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูใหม่”
“ห้องของพี่ออมสะอาดมาก ๆ ไม่เหมือน เอ่อ..ข้างนอก” อาคิราห์พูดอย่างเกรงใจ “ทำไมพี่ออมต้องย้ายงานใหม่ด้วย งานห้องสมุดไม่ดีเหรอ”
“ดีค่ะ แต่เขาก็มีคนอื่นเข้ามาทำใหม่เรื่อย ๆ พี่เองก็ไม่ชอบทำงานเป็นหลักแหล่ง”
“พี่ออมมีปัญหาด้านการเงินหรือเปล่า อัยย์ถามจริง ๆ นะ อัยย์อยากช่วย” อาคิราห์ถามเสียงจริงจัง “ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ พี่ออมเลี้ยงอัยย์มาตั้งแต่เล็ก ๆ อัยย์ไม่เคยตอบแทนอะไรเลย”
“โถ ทูนหัวของออม แค่คุณอัยย์โตมาเป็นคนที่ดีขนาดนี้ พี่ออมก็ดีใจแล้วค่ะ ไม่ต้องตอบแทนอะไรเลย” เธอเอื้อมมือมาแตะที่ปลายเท้าของอาคิราห์ น้ำตาไหลเป็นทาง “พี่ออมอยู่แบบนี้ก็สุขสบายตามอัตภาพแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“แต่ว่าพี่เรียนจบปริญญา ประสบการณ์ก็มี ทำไมถึงไม่หางานดี ๆ มั่นคงเป็นหลักแหล่งทำล่ะครับ” อาคิราห์ว่า จับมือหยาบกร้านของพี่เลี้ยงเอาไว้ “พี่ออมไม่เห็นจำเป็นต้องมารับจ้างไปวัน ๆ แบบนี้เลยนะ”
“พี่ออมชอบแบบนี้ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ “คุณอัยย์ไม่ต้องห่วงเลย พี่ออมอยู่แบบนี้มานานแล้วสบายมาก คุณอัยย์กลับไปเถอะค่ะ หายขึ้นมานานแล้วเดี๋ยวคุณผู้ชายเป็นห่วง”
“อัยย์จะไม่กลับจนกว่าจะได้คำตอบจากพี่ออม” อาคิราห์ยืนยัน “พี่ออมลาออกมาทำไม บอกอัยย์ได้มั้ย”
“พี่มีเหตุจำเป็นค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“พี่ไม่อยากให้คุณอัยย์ไม่สบายใจ เรื่องของพี่ออมไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร คุณอัยย์จะต้องออกช่วยหาเสียงอีกไม่ใช่เหรอคะ เหนื่อยหรือเปล่า”
“พี่ออมไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย อัยย์รู้ทันหรอกนะ ถ้าพี่ออมไม่บอก อัยย์จะเอารูปพวกนี้กลับไปด้วยแล้วก็จะอดข้าวสามวัน”
“โธ่” อดีตพี่เลี้ยงหัวเราะทั้งน้ำตา “คุณอัยย์ทำไม่สำเร็จหรอกค่ะพี่ออมรู้”
“เดี๋ยวนี้อัยย์โตแล้ว อัยย์ใจแข็งนะจะบอกให้” อาคิราห์ว่า “ยอมบอกมาเถอะนะ ..อันที่จริง อัยย์ก็รู้มาแล้วล่ะจากการที่ไปถามคุณแม่มา”
ใบหน้าของคนฟังซีดเผือดในพริบตา
“คุณอัยย์ไปถามคุณหญิงเหรอคะ” อรุณาถามละล่ำละลัก “ถามเมื่อไหร่กัน คุณหญิงว่าอย่างไรบ้าง”
“แม่ยอมบอกความจริง แต่อัยย์ไม่อยากเชื่อเลยมาถามจากพี่ออมอีกที” อาคิราห์พูดเรียบ ๆ แล้วก้มหน้าลงต่ำ “พี่ออมบอกอัยย์ทีสิว่าที่แม่พูดมันไม่จริง”
“คุณอัยย์” อรุณาคราง เอื้อมมือมาประคองใบหน้าเรียวหวานเอาไว้ “คุณอัยย์ฟังพี่นะ มันไม่จริงค่ะ ไม่จริงเลย คุณแม่รักคุณอัยย์นะคะ รักมาก ๆ ด้วย แต่ว่าท่านรู้สึกผิดถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
อาคิราห์เกือบขมวดคิ้วแต่ยั้งไว้ทัน เขาเล่นตามน้ำไปต่อ
“อัยย์ไม่เชื่อ ถ้าแม่รู้สึกผิดจริงจะทำแบบนี้ทำไม”
“คุณหญิงรู้สึกผิดจริง ๆ ค่ะ มันกลายเป็นบาปในใจของท่าน ตอนที่ท่านคลอดคุณอัยย์ออกมาท่านก็ร้องไห้ใหญ่ แต่ว่าตอนนั้นพี่ออมไม่รู้เรื่องนี้ พี่ออมมารู้ทีหลัง” อรุณาเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง ทอดสายตามองรูปถ่ายในกรอบที่วางเอาไว้ราวกับนึกย้อนกลับไปในอดีต “พี่ออมก็ผิดเองที่อยากรู้อยากเห็น คุณอัยย์อย่าเข้าใจคุณแม่ผิดนะคะ”
“ทำไมพี่ออมต้องลาออกด้วย แม่ใจร้าย”
“พี่ออมเป็นคนผิดค่ะ คุณหญิงท่านสั่งแล้วว่าไม่ให้เปิดดู แต่พี่ออมก็แอบเปิดดู ถึงได้รู้เรื่อง” อรุณาพูดพึมพำ “พี่ออมเข้าใจคุณหญิงนะคะ สมัยนั้นไม่มีใครยอมรับโอเมก้า ยิ่งครอบครัวของท่านนายกฯเป็นอัลฟ่าบริสุทธิ์ด้วยแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริง ๆค่ะ คุณหญิงถึงจำเป็นต้องทำ แต่ว่ากับคุณอัยย์ไม่เหมือนกันนะคะ คุณหญิงรักคุณอัยย์แล้วก็รู้สึกผิด...”
คนฟังหูผึ่ง
“แม่ทำจริง ๆ เหรอ” เขาแกล้งถามต่อ อีกฝ่ายหลงกลตอบกลับมา
“คุณอัยย์อย่าบอกคุณหญิงนะคะว่าพี่ยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปเมืองนอกอย่างที่เธอต้องการ” อรุณารีบบอก “คุณหญิงส่งลูกโอเมก้าคนนั้นออกไปจากบ้านจริง ๆค่ะ พี่รู้เพราะเห็นในเล่มฝากครรภ์ของท่านว่าท่านเคยมีลูกอีกคนก่อนที่จะท้องคุณอัยย์กับคุณคิน”
อาคิราห์นิ่งตะลึง มองหน้าพี่อดีตเลี้ยงอย่างตกใจ
“ลูกอีกคนเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อ้าว..คุณอัยย์ไม่ได้รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ” อรุณาอ้าปากค้างบ้าง “หรือว่าคุณอัยย์หลอกพี่”
“แม่มีลูกอีกคนที่เกิดก่อนอัยย์กับคินเหรอ ...แสดงว่าอัยย์กับคินก็ไม่ใช่ลูกหลงน่ะสิ อัยย์เคยสงสัยแล้วว่าทำไมเกิดห่างจากพี่อริศราตั้งสิบสองปี ที่แท้คือคุณแม่มีลูกอีกคนเหรอครับ” อาคิราห์ตกใจมาก “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”
“น่าจะเสียชีวิตไปแล้วค่ะ” อรุณาตอบเสียงเบา “พี่แอบถามแม่บ้านคนก่อนที่ลาออกไป เขาเล่าให้ฟังว่าคุณหญิงให้อุ้มลูกคนนั้นไปวางเอาไว้ใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะ วันนั้นฝนตกหนัก...อากาศหนาวมาก ๆ”
อาคิราห์นึกภาพตามแล้วก็ตัวสั่นขึ้นมา
“แม่ให้ทิ้งลูกตัวเองเหรอครับ เขาปล่อยให้ลูกของตัวเองตาย” เขากระซิบเสียงแหบ “เป็นเรื่องจริงเหรอครับ”
อดีตพี่เลี้ยงพยักหน้ารับ
“ทุกอย่างถูกปิดเป็นความลับค่ะ สมัยก่อนโอเมก้ายังไม่ได้รับการยอมรับเท่าสมัยนี้ อัลฟ่าที่คลอดโอเมก้าออกมาถือเป็นความผิดบาปอย่างมหันต์จะต้องถูกรุมประนามอย่างหนัก อย่าว่าแต่ตำแหน่งคุณหญิงเลย แม้แต่จะใช้ชีวิตธรรมดาก็ยังยากลำบากเพราะถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์
“แม่เลือกจะปกป้องตัวเองด้วยการฆ่าลูกที่เป็นโอเมก้าเหรอครับ” ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้อาคิราห์รู้สึกวิงเวียนเหมือนจะเป็นลม “แล้วทำไมแม่ไม่ฆ่าผมด้วยล่ะ ทำไมผมถึงยังมีชีวิตอยู่” แม้จะไม่เคยมอบความรักให้เขาอย่างที่มอบให้ฝาแฝด แต่ว่ามารดาก็ไม่เคยทอดทิ้งเขาอย่างโหดร้ายขนาดนั้น
“เพราะคุณเป็นแฝดค่ะ” อรุณาตอบตามจริง “ทุกคนรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าคุณหญิงท้องแฝด จึงไม่สามารถทำแบบท้องที่แล้วที่อ้างว่าแท้งได้ อีกอย่าง....ช่วงสิบกว่าปีนั้นก็เกิดการปฏิวัติทางสังคมขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทำให้สังคมเริ่มยอมรับโอเมก้ามากขึ้น ถึงแม้ประเทศเราจะยังไม่เปิดกว้างแต่ก็ไม่ถึงขึ้นถอดยศคุณหญิง”
อาคิราห์หลับตาลงอย่างสะเทือนใจ
“คุณอัยย์...อย่าไปคิดมากเลยนะคะ ถึงอย่างไรคุณหญิงท่านก็รักแล้วก็เลี้ยงดูคุณอัยย์มาอย่างดีนะคะ ตอนที่พี่ออมทำงานอยู่ด้วย พี่ออมก็รู้ว่าท่านรู้สึกผิดมาก ๆ กับลูกคนก่อนของท่านที่ทิ้งไป”
“เขาก็เลยเย็นชากับผมงั้นเหรอ”
“เพราะท่านไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกกับคุณอย่างไรมากกว่าค่ะ” อดีตพี่เลี้ยงแก้ให้ “คุณแม่รักคุณอัยย์นะคะ” เธอลูบแขนโอเมก้าอย่างปลอบใจ “อย่าคิดมากเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมแม่ต้องไล่พี่ออมออกด้วย แค่เรื่องนี้เหรอ”
อรุณาอึกอักเหมือนจะเล่าต่อแต่ก็เปลี่ยนใจ
“คุณหญิงขอให้พี่ออมไปเมืองนอกแล้วก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับค่ะ” เธอพูดเรียบ ๆ “พี่ออมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยจนกระทั่งคุณอัยย์มาถามนี่ล่ะ” เธอเช็ดน้ำตากับน้ำมูกในอาคิราห์โดยไม่รังเกียจ “หยุดร้องนะคะ ไม่ต้องร้องแล้วนะ”
“อัยย์ไม่เคยรู้เลย แล้วคนอื่นรู้เรื่องนี้มั้ย....คิน”
“พี่ออมก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เธอส่ายหน้า “พี่ไม่ได้เฉียดไปใกล้บ้านหลังนั้นนานแล้ว”
อาคิราห์พูดคุยกับพี่เลี้ยงต่ออีกนิดหน่อยแล้วก็กลับลงมาด้วยสภาพจมูกแดงตาช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก เขาพบว่าร่างสูงใหญ่ของพิชช์ฌานนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นกลางบ้านโดยมีคนอื่นนั่งแอบอยู่มุมห้องเพื่อรอเขา พิชช์ฌานหันขวับมามองทันที
“ว่าจะขึ้นไปดูแล้ว ทำไมหายไปนานจัง” นักการเมืองหนุ่มพูด ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาแล้วจับต้นแขนทั้งสองข้างของโอเมก้าเอาไว้ “ไปคุยกันในรถแล้วกันนะ” เขาพึมพำ พาอาคิราห์กลับออกมาจากบ้านหลังนั้น
อาคิราห์เงียบอยู่นานจนกระทั่งกลับมาถึงบ้านถึงได้ยอมเปิดปากเล่าให้สามีฟัง พิชช์ฌานทั้งตกใจและแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มนิ่งอึ้งฟังภรรยาเล่าไปร้องไห้ไปจนจบ
“ผมโชคดีมาก ๆ ที่ไม่ถูกทิ้งแบบลูกคนนั้น” อาคิราห์พูดตะกุกตะกัก สูดน้ำมูกฟืดใหญ่ “เคยได้ยินเรื่องแม่ใจร้ายทิ้งลูก ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอกับตัว”
พิชช์ฌานนึกภาพของคุณหญิงภรรยาท่านนายกฯคนนั้นแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ หน้าตาท่าทางงดงามสมกับเป็นนางงามหลายเวที ไม่นึกเลยว่าจะเหี้ยมโหดถึงเพียงนั้น จะโทษว่าเป็นเพราะบริบทสังคมสมัยก่อนก็ไม่ถูก ถ้าเจ้าตัวไม่ได้เห็นแก่ตำแหน่งภรรยาของไตรคุณก็คงไม่ทำ
เขาโอบอาคิราห์เข้าหาตัว เจ้าโอเมก้าซุกใบหน้าเข้ากับอกของเขาสะอื้นฮัก
“ใจเย็น ๆ ก่อน ไม่เอาน่าอาคิราห์” เขาพึมพำ แตะริมฝีปากเข้าที่ซีกแก้มข้างนั้นแผ่ว ๆ รสเค็มปะแล่มของหยดน้ำตาติดที่ปลายลิ้น “นี่เป็นเพียงคำบอกเล่าจากอดีตพี่เลี้ยงของเธอเองนะ ไม่มีอะไรพิสูจน์อีกเลย”
“พี่ออมคงไม่โกหก”
“จะโกหกหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ว่าต้องมีหลักฐานมากกว่าคำพูดของคน ๆ เดียวถึงจะพิสูจน์ได้ อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปก่อนเลย”
“จริงของคุณ” อาคิราห์ใช้เสื้อของสามีเช็ดหน้า “แต่ผมก็เชื่อพี่ออมไปแล้ว” เขาพูดต่อเสียงอ่อย อีกฝ่ายหัวเราะ
“ไม่ได้สิ ห้ามเอนเอียงก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่ยุติธรรมนะ วันนั้นอ่านในหนังสือเรียนเขาว่ายังไง ต้องมีหลักฐานประจักษ์ใช่ไหม” พิชช์ฌานว่า ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยสวยเบา ๆ “เดี๋ยวฉันจะให้คนช่วยสืบให้ ไม่ต้องห่วง”
“ผมคิดวิธีเอาไว้แล้ว” อาคิราห์พึมพำ คนฟังขมวดคิ้วอย่างระแวง
“คงไม่ใช่วิธีแผลง ๆ อีกหรอกนะ ฉันขอห้ามขาด ไม่ให้บุ่มบ่ามทำอะไรเองเข้าใจมั้ย ให้รอฟังผลของฉันก่อน”
เจ้าโอเมก้าพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้