ตอนที่ 3
“พี่ปอ ผมเจอพี่เก๋เมื่อกี้ ฝากมาบอกให้พี่ส่งเอกสารที่ขอไปเมื่อวันก่อนด้วย”
“โอเค” ผมตอบรับทั้งที่ยังก้มหน้าทำงานตรงหน้า
ไม่ใช่โกรธเรื่องที่มันไลน์มากวนเมื่อคืนหรอกครับ เพราะเรื่องนั้นผมจัดการเอาคืนโดยการดีดหูมันไปตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วนที่ผมนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองอย่างอื่นได้ นั่นก็เพราะถ้างานไม่เสร็จงานจะเข้าผมเอาได้
งานง่ายๆ แค่การตรวจเอกสารไม่กี่แผ่น แต่ผมใช้เวลาตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายจนถึงตอนนี้ ก็ยังทำมันไม่เสร็จ จนถ้ารวมกับที่ไอ้กุนมันบอกเมื่อกี้ เก๋ก็ทวงงานจากผมครบ 3 รอบพอดี
นี่พูดแล้วก็ขึ้น
ถ้าไม่ต้องมามัวทะเลาะกับไอ้ลิงนั่น ผมได้ส่งงานนี้ให้น้องไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว
“พี่ปอ อันนี้ถูกไหม” แฟ้มเอกสารตรงหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยแฟ้มเอกสารใหม่อีกอันที่คนถามยื่นมาให้ดู
ผมพยายามหายใจเข้าลึก หายใจออกลึก ไม่อยากหลุดไปต่อล้อต่อเถียงกับไอ้กุนอีก เดี๋ยวจะยาว รีบตอบคำถามให้มันเสร็จๆ แล้วกลับมาทำงานตัวเองดีกว่า
ไล่สายตาอ่านเอกสารทุกตัวจนครบ ก่อนเลื่อนแฟ้มนั้นกลับคืนไปยังคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้า “ถูก”
“พี่ปอ แล้วอันนี้ใช้ยังไงผมใช้ไม่เป็น”
ยังไม่ทันที่จะได้อ่านเอกสารในมือครบประโยคก็เกิดคำถามจากไอ้ลิงขี้สงสัยขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มันทำสำเร็จ เพราะไอ้ลิงนั่นสามารถทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารมาสบตากับมันได้ แต่เชื่อเถอะสายตาผมไม่ได้เอ็นดูที่มันส่งยิ้มการค้าแบบนี้มาให้เลยสักนิด
“แบบนี้”
ผมทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่เมื่อเสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับไปทำงานต่อ ผมยังคงนั่งมองคนที่เดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องทำงานนิ่ง
“พี่ปอ ผมยืมปากกาแป๊บนะ เดี๋ยวเอามาคืน”
“อืม”
ไอ้ซุนหงอคงกำลังยิ้มแป้น เหมือนมีความสุขเสียเหลือเกินที่สามารถกวนผมเสียจนไม่มีสมาธิในการทำงานได้ มันเดินหันหลังกลับไปที่โต๊ะอีกรอบ วางปากกาที่บอกว่ายืมเมื่อครู่ลงข้างกองดินสอ ยางลบ กล่องลวดเย็บกระดาษ แล้วก็โพสต์อิทที่เทียวมายืมผมไปตั้งแต่เช้า ยังไม่ทันไรก็หันหลังกลับมาพร้อมกับหยิบเอาถุงช๊อคโกแลตสีทองเดินกลับมายื่นให้ผมตรงหน้า
“พี่ปอ กินมะ”
“ไม่เอา”
พูดแล้วก็พิงหลังไปกับเก้าอี้ทำงาน กอดอกจ้องไอ้ลิงที่ยืนดูดนิ้วเอาคราบช็อคโกแลตที่ปลายนิ้วออก อยากรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป แต่พอเห็นผมนั่งจ้องหน้า มันก็กลับมองหน้าผมนิ่ง ไม่ได้สรรหาคำถามมาถาม หรือขอยืมของอะไรบนโต๊ะผมอีก
“จะถามอะไรอีกไหม” ในเมื่ออีกคนไม่ถามผมเลยเป็นฝ่ายถามเอง อยากแน่ใจว่าต่อจากนี้จะไม่มีอะไรมารบกวนการทำงานของผมอีก
“ไม่แล้วครับ”
“อยากให้ได้ยินเสียงอีกนะ” ผมหรี่ตามองคนที่พยักหน้าหงึกหงักรับคำ คลายมือที่กอดอกอยู่ออกเตรียมจะก้มหน้าลงทำงานต่อ
“พี่ปอ”
“โอ้ยยย จะเรียกอะไรนักหนาเนี่ยกุน ขอทำงานเงียบๆ สัก 20 นาทีได้ไหม”
“ไม่ได้ดิพี่”
“ไอ้!” ผมอ้าปากเตรียมจะด่าไอ้ลิงเด็กนั่น แต่ก็เป็นมันที่แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เที่ยงกว่าแล้วเนี่ย ไปกินข้าวกัน พี่พาผมไปกินส้มตำหน่อย อยากกินไรแซ่บๆ ”
พอได้ยินแบบนั้นก็พลิกนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองดู ก่อนจะกลับมามองหน้าไอ้กุนที่ยืนยิ้มแห้งอีกครั้ง เพราะตอนนี้เลยเที่ยงไปเกือบ 20 นาทีแล้ว
“แล้วทำไมไม่ไปกินข้าว”
“ก็รอพี่”
“รอทำไม ตัวไม่ได้ติดกัน ถึงเวลาแล้วก็ไปกิน”
“ก็ถึงเวลาแล้วนี่ไงพี่ ไปกินข้าวกัน นี่หิวจะแย่แล้ว ไม่กินส้มตำแล้วก็ได้ แต่พี่ติดส้มตำผมมื้อนึงนะ”
“ไปติดตอนไหนวะ” ผมงง อะไรคือการพูดเองเออเองของมัน
“ก็เมื่อกี้ไง เดี่ยววันนี้กินข้าวแคนทีนบริษัทไปก่อน เมื่อวานผมกินก๋วยเตี๋ยว วันนี้ผมจะลองกินข้าวราดแกงดู ไม่รู้ว่าจะเหลืออะไรให้กินบ้างเนี่ย”
“พูดมากจริงๆ” ถึงจะบอกแบบนั้นออกไปแต่ผมก็ปิดแฟ้มงานของตัวเองลง แล้วคว้าเอาโทรศัทพ์กับกระเป๋าตังขึ้นมาถือ เดินนำโงกุนไปที่ประตูห้อง “อ้าว ไม่ไปหรอ งั้นไปก่อนนะ”
“เฮ้ย รอด้วยดิพี่”
●●●
ปกติผมไม่ค่อยได้ลงมากินข้าวที่แคนทีนของบริษัทเท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากจะฝากน้องในแผนกซื้อจากข้างนอกเข้ามาให้ หรือไม่ก็โทรมาสั่งที่แคนทีนแล้วให้คนของที่ร้านเอาขึ้นไปส่งให้ โดยให้ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ
แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ลงมา ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยลงมาเลย ผมพาโงกุนไปยืนอยู่หน้าร้านข้าวราดแกงที่สั่งให้ขึ้นไปส่งประจำ เห็นเด็กข้างๆ ทำหน้าหงอย เพราะกับข้าวที่เหลือมีแค่ผัดผัก กับกระเพราหมูสับก้นถาด เลยเอ่ยทักเจ้าของร้านที่กำลังหันหลังคุยอยู่กับเด็กในครัว
“พี่มุกครับ ทำตามสั่งให้ได้ไหมครับ ผมอยากกินข้าวไข่เจียว”
พี่เจ้าของร้านหันมายิ้มกว้างเมื่อเห็นผม แต่เพียงไม่นานสายตากลับไปจบอยู่ที่เด็กอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ กัน
“ได้สิจ๊ะน้องปอ เพื่อน้องปอพี่มุกทำให้ได้อยู่แล้ว แล้วนี่ใครจ๊ะ หล่อเชียว” พี่มุกที่เดินมายืนอยู่หน้าเค้าเตอร์เอ่ยถาม
“สวัสดีครับพี่มุก” โงกุนยกมือขึ้นไหว้ “ผมโงกุนครับ ถ้าไม่รบกวนพี่มุกมากเกินไป ผมขอเหมือนพี่ปออีกจานนึงได้ไหมครับ”
“แหม ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ เดี๋ยวพี่มุกจัดให้แบบพิเศษๆ เลย ว่าแต่พี่มุกไม่คุ้นหน้า พนักงานใหม่ใช่ไหมเนี่ย”
“ครับ ผมมาทำงานวันนี้วันที่ 2 เองครับ นี่ก็ลุ้นอยู่ครับว่าพี่ปอจะให้ผ่านทดลองงานรึป่าว”
“ถ้าน้องโงกุนไม่เกเรนะ รับรองผ่านชัวร์ น้องปอเขาใจดีจะตาย”
“ผมไม่เกเรแน่นอนครับ” ไอ้กุนส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปคุยกับพี่มุกต่อ “นี่ถ้าพี่ปอให้ผมผ่านงานนะ ผมจะมาอุดหนุนพี่มุกทุกวัน 1 เดือนเต็มๆ เลย”
พี่มุกหัวเราะเสียงดัง เหมือนว่าเขาจะชอบใจกับไอ้ท่าขยิบตาส่งวิ้งค์จากโงกุนเข้าแล้ว “โธ่ๆๆๆ น่ารักขนาดนี้ต้องให้ผ่านแล้วนะคะน้องปอ เหมียว ข้าวไข่เจียวพิเศษ 2 จานเอาข้าวเยอะๆ ”
ผมพยายามกำมือของตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ยกขึ้นทำร้ายร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนตอนที่อยู่กันลำพังสองคน เพราะหมั่นไส้ที่ไอ้ลิงเด็กมันเปลี่ยนวิถีของสายตามาทางผมแถมไม่ลืมขยิบตาให้ ตอนที่พี่มุกหันไปสั่งรายการอาหารกับลูกจ้างข้างใน
นี่ถ้าไม่ต้องรักษาภาพพจน์นะ รับรองไอ้ซุนหงอคงหูขาดแน่ เพิ่งมาทำงานได้ไม่นานก็ไปตีสนิทกับร้านข้าวของบริษัทเรียบร้อยแล้ว ไอ้ลิงพูดมากเอ้ย
“ของผมกับน้องครับ” ยื่นเงินแบงค์สีม่วงให้เจ้าของร้านข้าว พร้อมกับเด็กข้างๆ ที่กำลังยืนเงินของตัวเองไปให้เหมือนกัน
“เลี้ยงผมหรอ”
“อืม”
“อู้ววว ใจดีแบบที่พี่มุกบอกจริงๆ ด้วยแฮะ ไม่เห็นเหมือนตอนอยู่บนห้องด้วยกันสองคนเลย”
“ไอ้”
โงกุนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะกับริมฝีปากของตัวเองเพื่อเตือนไม่ให้ผมหลุดด่าเขากลางแคนทีนบริษัท โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้ตัวเองโดนทดความผิดเอาไว้ในใจแล้วเรียบร้อย
รอขึ้นไปก่อนเถอะไอ้ลิง หูหลุดแน่
“เงินทอนจ่ะน้องปอ”
ผมรับเงินทอนจากพี่มุกมานับ ค่าข้าวถึงแม้จะเป็นแบบพิเศษ แต่เพราะทางบริษัทมีนโยบายช่วยเรื่องค่าอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนในบริษัท ข้าวในแคนทีนเลยถูกกว่าอาหารข้างนอกค่อนข้างมาก แต่หลังจากที่นับเงินทอนดูแล้ว ผมก็ต้องร้องทักพี่มุกไปเพราะเขาเหมือนจะได้เงินทอนกลับมามากกว่าที่ควรจะได้
“พี่มุกครับ พี่มุกน่าจะทอนเงินผมเกินมา”
“ไม่เกินจ่ะ ถือว่าพี่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงต้นรับน้องโงกุนไง”
“ไม่ได้สิครับพี่มุก” ถึงพี่มุกจะใส่สร้อยท้องเส้นเบ่อเร่อ แต่ของซื้อของขายแบบนี้จะมาลดราคากันทำไม
“อย่าขัดใจพี่สิจ๊ะน้องปอ”
“ขอบคุณพี่มุกมากนะครับที่เอ็นดูผม แต่ผมขอจ่ายส่วนที่เหลือได้ไหมครับ” ผมหันมามองหน้าเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นพี่มุกเริ่มคว่ำปากตัวเองลงเพราะโดนขัดใจ “ไม่ใช่ผมไม่อยากรับน้ำใจของพี่มุกนะครับ แต่เอาไว้พี่มุกเลี้ยงผมตอนที่ผ่านงานแล้วดีกว่า ถึงตอนนั้นผมขอเป็นข้าวหมูกระเทียมแบบพิเศษๆๆ สักจานแทนจะได้ไหมครับ” ไอ้กุนมันทำเสียงอ้อน
“ถ้าผ่านงานปุ๊บรีบมาหาพี่มุกเลยนะคะ” ถึงจะไม่ชอบที่ให้ใครมาขัดใจ แต่พอเจอลูกอ้อนของน้องพนักงานใหม่เข้าไปพี่มุกก็อ่อนลงทันที
“สัญญาเลยครับ”
“จัดไปจ่ะ”
โงกุนยื่นเงินให้พี่มุกเพิ่ม แล้วหันมาส่งยิ้มให้กับผม อวดความสำเร็จที่สามารถตกลงกับพี่มุกได้
ถึงจะแปลกใจที่ไอ้กุนเพิ่งเจอกับพี่มุกครั้งแรก แต่สามารถเปลี่ยนใจพี่มุกที่ใครๆ ก็รู้ว่าเอาแต่ใจได้ด้วยวการพูดเหมือนกับรู้ใจอีกคนดี
แต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะขยับปากไม่ออกเสียงกลับไปให้คนที่ยืนหน้าระรื่นอยู่ข้างๆ
‘พูดมาก’
●●●
มื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็วเพราะกว่าจะได้กินข้าวกันก็ปาไปเกือบบ่ายแล้ว และเพียงแค่ไม่นานผม กับกุนก็พากันเข้ามาอยู่ในห้องทำงานห้องเดิมเพื่อเริ่มทำงานในช่วงบ่ายกันต่อ
ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มเปิดแฟ้มงานที่ทำค้างไว้ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากทางหน้าห้อง ก่อนที่พี่ชาติ หรือคุณสุชาติผู้จัดการแผนกจะแง้มประตูแล้วชะโงกหน้าเข้ามาถามถึงเรื่องที่ฝากให้ผมช่วยแจ้งกับน้องใหม่ไปเมื่อวันก่อน
“ปอ เรื่องงานเลี้ยงเย็นนี้ปอบอกกับคุณพรพิพัฒน์แล้วใช่ไหม” พี่ชาติหัวเราะพร้อมกับผลักประตูเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นหน้าผม พี่ชาติคงสัมผัสได้ในทันทีว่าผมลืมมันไปเสียสนิท “งั้นพี่บอกเองแล้วกัน”
พี่ชาติหันไปหาพนักงานใหม่ที่นั่งอยู่อีกมุมของห้อง “คุณพรพิพัฒน์ เย็นนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับคุณนะ สถานที่คุณคุยกับปอเขาอีกทีแล้วกัน ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งล่วง แต่หวังว่าคุณจะว่างนะครับ”
“ครับคุณสุชาติ ขอบคุณมากเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรคุณ มันเป็นธรรมเนียมของแผนกเราอยู่แล้ว ทำงานมา 2 วันแล้วเป็นไงบ้านคุณพรพิพัฒน์”
“เรียกผมกุนก็ได้ครับ” กุนมันคงเห็นใจพี่ชาติที่ต้องพูดชื่อยาวๆ ของมัน เลยบอกชื่อเล่นไป
“งั้นกุน ก็เรียกพี่ชาติเหมือนคนอื่นเขาแล้วกันเนาะ เรียกชื่อจริงจะพากันเกร็งไปซะหมด”
“ครับ”
“เป็นไงปอ น้องมันได้เรื่องไหม”
“จะเอาเรื่องไหนดีล่ะพี่ มีหลายเรื่องเลย” พี่ชาติหัวเราะเมื่อเห็นผมมองพนักงานใหม่ด้วยหางตา
“พี่ชาติขำอะไรครับ” ผมถามทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
ทำงานกันมาหลายปี ก็พอที่จะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่บ้าง ผมที่ปกติค่อนข้างจะไว้ตัว หากต้องอยู่ต่อหน้าคนที่ไม่สนิท แต่นี่เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น พนักงานที่พี่ชาติรับเข้ามาใหม่ก็สามารถทำให้ผู้ช่วยคนสนิทแบบผมแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาได้
“ตอนแรกพี่ก็นึกว่าจะเห็นปอแกล้งทำหน้าดุขู่พนักงานใหม่พี่ตลอดเวลาซะอีก”
“ใครแกล้งครับ ผมดุจริงต่างหาก ไม่เชื่อถามไอ้ เอ่อ กุนดูก็ได้” กลายเป็นว่าพี่ชาติหัวเราะเสียงดังกว่าเมื่อกี้ไปอีก
“ดุจริงครับพี่ชาติ แต่ดุน่ะไม่เท่าไหร่ มือไวม๊ากกก ไม่รู้หูผมจะขาด หรือหัวจะบวมก่อนกันเลยเนี่ย”
ดูมัน ได้ทีและเอาใหญ่
“นี่ถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเลยหรอปอ” พี่ชาติหันมาถาม
“โห่ ถ้าพี่ชาติได้ลองมาอยู่กับไอ้ลิงนี่สักครึ่งวันนะ ผมว่าพี่ชาติได้ไล่เตะมันอ่ะ”
“ถ้างั้นก็ทำงานดีสินะ พี่ถึงยังไม่เห็นปอเข้าไปบ่นอะไรให้พี่ฟัง”
“พี่ชาติก็” มาพูดแบบนี้ต่อหน้าเด็กนั่นได้ไง เสียฟอร์มหมด
“โอเคๆ ไม่ต้องทำหน้าดุพี่” พี่ชาติหัวเราะ “งั้นเดี๋ยวพี่กลับไปที่ห้องแล้ว เย็นนี้เจอกันที่งานนะกุน”
“ครับพี่ชาติ”
หลังจากที่พี่ชาติเดินออกจากห้องไป ผมก็ต้องหันมามองเพื่อนร่วมห้องที่วิ่งไปที่โต๊ะทำงานด้วยความรวดเร็ว
โงกุนก็หยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดยุกยิกอยู่ไม่นาน เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้น ถึงจะไม่อยากฟังแต่ทำยังไงได้ในเมื่อเข้านั่งห่างกับอีกคนแค่ไม่กี่ก้าวขนาดนี้
“ว่าไง” โงกุนรับสาย “ไม่ได้...ก็บอกว่าไม่ได้ไง...แล้วแต่เลยถ้างั้น เบื่อเหมือนกันที่ชอบพูดไม่รู้เรื่อง” โงกุนเอาโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดวางสายอย่างมีอารมณ์
“ทะเลาะกับแฟนหรอ”
ผมเดาเอาจากประสบการณ์ของตัวเอง นี่คงไม่พ้นว่าเย็นนี้มีนัดอยู่ก่อนแล้วแต่ต้องส่งข้อความไปขอยกเลิก แล้วก็เกิดการทะเลาะกัน พวกผู้หญิงไม่สนหรอกว่าเหตุผลที่ต้องยกเลิกนัดคืออะไร เพราะตอนนี้พวกเธอกำลังโมโห เธอรู้แค่ว่าเธอนัดก่อน แล้วพวกผู้ชายแบบผมก็กำลังผิดสัญญา
“ยังไม่ใช่แฟนพี่ แค่ลองคุยกัน ไม่โอเคก็แยกย้าย”
“หล่อเนาะ” แบะปากให้กับความหล่อมันไปที
“ก็ธรรมดา”
“ขอโทษแล้วกันที่ลืมบอก เลยต้องทะเลาะกันเลย”
“บ้าพี่ ขอโทษทำไม ดีซะอีกได้เห็นนิสัยกันไวขึ้น จะได้ไม่เสียเวลา”
เอาจริงๆ ผมนี่ถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำว่าเสียเวลาออกมาจากปากของอีกคน อยากรู้เลยว่าคุยกันมานานแค่ไหนถึงใช้คำว่าเสียเวลาได้ นานเท่าเรื่องของผมกับผิงหรือเปล่า
“พี่เถอะ ลืมบอกผมแล้วลืมบอกแฟนตัวเองด้วยหรือเปล่า ถ้าลืมก็รีบไปบอกซะนะ เดี๋ยวมีปัญหาครอบครัวแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”
“ไม่มีแฟน” ผมกลับตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเปิดแฟ้มแล้วก้มหน้าลงอ่านมันเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา
ฟงแฟนอะไร ไร้สาระ
ครืดดด ครืดดด ครืดดด
ทั้งที่อีกคนเปิดระบบสั่นเอาไว้แต่แรงสั่นอย่างต่อเนื่องเพราะมีทั้งข้อความและสายเรียกเข้า ก็มากพอที่จะสงเสียงจนสามารถรู้สึกได้ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะออกไปหาเก๋ จนผมเคลียงานกับน้องเสร็จแล้วและเดินกลับเข้ามา โทรศัพท์ของอีกคนก็ยังคงวางไว้ที่เดิมไม่ได้ขยับที่ไปไหน
“เล่นตัวรึไง เขาโทรมาง้อแล้วยังไม่รับอีก”
“ไม่ได้เล่นตัว แค่ไม่รู้จะคุยอะไรด้วยแล้ว”
“ง่ายขนาดนั้นเลย” ผมเลิกคิ้วถาม
ไม่เข้าใจกับคำตอบของไอ้กุนเลยสักนิด ถึงจะเป็นแค่คนคุย แต่นั้นก็ต้องคุยกันบ่อยอยู่ไม่ใช่หรอ พอมีธุระถึงได้รีบส่งข้อความไปบอก แล้วทำไมถึงได้บอกว่าไม่รู้จะคุยอะไร แล้วก่อนนี้คุยอะไรกัน
“นี่ผมกำลังช่วยเขาอยู่นะ พี่คิดดูสิ ยิ่งเขาเลิกคุยกับผมได้ไวแค่ไหน เขาก็สามารถไปเริ่มต้นกับคนใหม่ได้เร็วเท่านั้น นี่ไม่ใช่ว่ามีคนคุยแบบผมอีกหลายคนหรอ เขาไม่เสียใจหรอก พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เขาไม่ใช่ประเด็นดิวะ ตัวเราต่างหาก” จริงๆ ผมก็แค่เป็นห่วง แล้วก็รู้สึกผิด ที่เป็นสาเหตุทำให้โงกุนกับแฟน เอ้ย คนคุยต้องทะเลาะกัน “ก็เห็นรีบส่งข้อความไปบอกเขา ก็ต้องแคร์เขาบ้างไม่ใช่หรอ”
“ถ้าผมมีนัดกับพี่ แล้วอยู่ๆ ผมเกิดไปไม่ได้ขึ้นมา ผมก็ต้องรีบบอกพี่เหมือนกันปะ ผมไม่รู้หรอกว่าแคร์เขาไหม แต่ที่รีบบอกเพราะมันก็ควรต้องรีบบอกอ่ะ” ก็จริงอย่างที่โงกุนว่า “นี่อย่าบอกจะว่ากำลังรู้สึกผิดอยู่ ถึงได้ถามเนี่ย”
“เออดิ”
“งั้นคืนนี้พี่ไปส่งผมที่บ้านแล้วกัน ถือเป็นการไถ่โทษ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้ซุนหงอคง” ไอ้กุนหัวเราะ คงขำกับชื่อใหม่ของตัวเอง ที่ผมเพ่งเรียกออกไปต่อหน้าเจ้าตัวอยู่ใช่ไหม ก็น่าอยู่หรอก ดันไปว่าเอาไว้ว่าชื่อเขายาวแต่ที่เรียกนี่ก็ยาวไม่ต่างกัน
ก็ซุนหงอคงมันคล่องปากกว่า พรพิพัฒน์ เป็นไหนๆ
“นี่ให้โอกาสพี่ได้ไถ่โทษเลยนะ ไม่เอาหรอ”
“มาเองก็กลับเองเถอะ ไป ไปทำงานได้แล้ว แล้วอย่ามากวนนะ ขอทำงานเงียบๆ เข้าใจ๋”
“ครับคุณณภัทร ดนุนันท์”
เนี่ย ไอ้ซุนหงอคงมันกวนอ่ะ
●●●
“พี่ชาติ ทำไมมีแผนกอื่นมาด้วยอ่ะครับ”
ผมเข้าไปกระซิบถามพี่ชาติที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะตอนนี้ในห้องจัดเลี้ยงขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ได้จุคนในบริษัทถึง 2 แผนกเข้าไว้ด้วยกัน และกำลังอื้ออึงไปด้วยเสียงลูกคอของน้องในแผนกของผมที่กำลังขึ้นไปจับไมค์แหกปากร้องคาราโอเกะโชว์เสียงร้องเพี้ยนๆ อวดแผนกเพื่อนบ้านอยู่
“ก็เขามีพนักงานใหม่เหมือนกัน พอไอ้ภพมันรู้ว่าเราจะมากันวันนี้ ก็เลยเสนอว่าให้จัดรวมกันไปเลย”
ไอ้ภพ หรือคุณสมภพที่พี่ชาติพูดถึง ก็คือผู้จัดการของอีกแผนกที่ว่า ผมไม่ได้มีปัญหาเลยหากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่พร้อมกันกับแผนกอื่นๆ ในบริษัท เพราะตัวผมเองไม่ใช่ดาวเด่นในงานเลี้ยงอยู่แล้ว ผมเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ รับบทแค่มานั่งให้ที่เต็ม พอถึงเวลาก็กลับบ้าน แต่เรื่องที่ทำให้ผมอึดอัดจนอยากจะกลับเอาตอนนี้เลยมันก็คือ แผนกที่จับคู่มาจัดงานร่วมกัน ดันเป็นแผนกของอดีตคนรักของผม
ทุกคนในแผนกรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของผมกับผิง ทั้งตอนที่เป็นแฟนกัน และตอนที่ผิงประกาศเปิดตัวผู้ชายคนใหม่ที่ก็เพิ่งหลุดจากตำแหน่งพนักงานใหม่มาหมาดๆ ตอนนี้ผมเลยได้รับสายตาที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นห่วงหรือเรียกว่าอยากรู้เรื่องของผมมากขึ้นดีจากทั้งน้องๆ ในแผนกของตัวเองและแผนกของผิง
ต้องขอบคุณพระเอกของงาน ที่เรียกได้ว่าช่วยดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ ไปได้เยอะ เพราะตอนนี้ไอ้กุนมันกำลังโดนสาวๆ ทั้งห้องผลัดกันลากไปทางซ้ายทีขวาทีไม่มีว่าง ผมเลยได้นั่งสบายๆ มองแก้วของตัวเอง สลับกับมองเข็มของนาฬิกาที่เดินวนไปเรื่อยๆ
“ไม่สนุกหรอพี่” กุนที่เดินมานั่งทิ้งตัวลงข้างๆ ถาม
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร สายตาก็ต้องย้ายจากคนถามไปอยู่กับคนที่เดินเข้ามาใหม่
“สบายดีไหมปอ” ผิงเข้ามานั่งข้างผมเหมือนกันแต่เป็นคนละฝั่งกับกุน “ไม่เจอกันนานเลย”
“ผิงมีธุระอะไรหรือเปล่า” ที่ผมถามไม่ใช่ว่าอยากจะเสียมารยาทอะไร แต่ตั้งแต่ที่บอกเลิกกันไปก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากอีกคนเลย แม้จะเดินสวนกันภายในบริษัทผมก็ไม่เคยได้รับการชายตามองจากอดีตคนรัก
พอผิงเป็นคนเดินเข้ามาทักแบบนี้ เลยออกจะดูประหลาดไปสักหน่อยสำหรับผม
“ทำไมต้องมีธุระด้วย ทำเราเหมือนผิงเป็นคนแปลกหน้าไปได้ น้องกุนใช่ไหม” ผิงหันไปทักอีกคนที่นั่งอยู่ด้วย จนผมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ครับ” ไอ้กุนตอบรับพร้อมกับส่งยิ้มประจำตัวไปให้
“พี่ชื่อผิงนะ เป็นเพื่อนกับปอ” ไม่ได้อยากจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรในเมื่อเลิกกันไปแล้ว แต่ที่สงสัยในตอนนี้คือผิงต้องการอะไรกันแน่ “อันนี้นามบัตรพี่ มีอะไรให้ช่วยก็โทรมาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ผมมองตามนามบัตรที่เป็นคนเลือกแบบให้ผิงด้วยตัวเองถูกยื่นไปหาอีกคนที่นั่งอยู่อีกข้าง กุนรับมันไปถือไว้ในมือโดยไม่สนใจที่จะอ่าน เพราะกำลังส่งยิ้มและพูดขอบคุณผิง
เพียงไม่นานผิงก็ขอตัวเดินกลับไปที่โต๊ะ สังเกตได้ว่าตอนนี้มีหลายกลุ่มที่มองมาทางผม เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่น้องพนักงานเพิ่งจะยกมาให้ใหม่ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
ผมมองหาพนักงานชงเหล้าคนเดิมเพื่อที่จะขอให้ชงเหล้าแก้วใหม่ให้ เมื่อเรียกพนักงานได้สายตาก็กลับมาจ้องอยู่ที่แก้วเหล้าของตัวเองเหมือนกับที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มงาน และเพราะแบบนั้นทำให้ผมเห็นว่ามีนามบัตรที่ดูคุ้นตาถูกวางอยู่ข้างๆ แก้วเหล้าของผมนั่นเอง
“ไม่เก็บไปดีดี เปียกหมดแล้ว” ผมหยิบเอานามบัตรของผิงขึ้นมา ก่อนจะเช็ดคราบน้ำที่เปียกนั้นกับขากางเกงของตัวเองแล้วส่งมันคือให้กับไอ้กุน
“ผมไม่มีธุระอะไรให้โทรหาพี่เขาอยู่แล้ว” มันว่า
“ก็เผื่ออนาคต เผื่อมีปัญหาเรื่องงาน หรือเผื่ออยากจะหาคนคุยใหม่”
“ถ้ามีปัญหาเรื่องงานผมโทรหาพี่ไม่ดีกว่าหรอ ส่วนเรื่องคนคุย พี่ก็เห็นอยู่ว่าเขามากับแฟน”
ขนาดมากับแฟนยังมาแจกนามบัตรข้ามหน้าข้ามตากันแบบนี้ได้เลย แถมยังมาแจกกันต่อหน้าแฟนเก่าให้ช้ำใจเล่นแบบนี้อีก นี่ผมคบกับผิงมาตั้ง 8 ปีโดยไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้เลยได้ยังไงกัน
“แสดงว่าถ้ามาคนเดียวก็จะเก็บ”
“มาคนเดียวก็ไม่เก็บหรอก พอดีผมชอบเป็นฝ่ายล่ามากกว่าเป็นฝ่ายถูกล่า” ผมขมวดคิ้วให้กับคำตอบของโงกุน
ไม่ใช่เพราะคำตอบมันแปลกประหลาดอะไร
แต่เพราะผมรู้สึกโล่งใจ...ยังไงก็ไม่รู้
แก้วเหล้าแก้วเดิมที่น้องพนักงานเติมส่วนผสมลงไปจนเกือบล้น ถูกนำกลับมาวางลงตรงหน้าผมอีกครั้ง จนผมเลิกนับไปแล้วว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ จนตอนนี้น้องพนักงานมาคอยเดินวนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน แต่ครั้งนี้กลับถูกเบรคเอาไว้จากเสียงของเด็กที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากมือถือ
“พอแล้วมั้ง เมาแล้วรู้ตัวไหมเนี่ย”
ไม่รู้ว่าเพราะดื่มติดต่อกันหลายแก้ว หรือเพราะน้องพนักงานที่คอยชงเหล้าให้มือหนักกันแน่
ตอนนี้ผมถึงรู้สึกได้เลยว่าตัวเองตาปรือจนเกือบจะปิด
ถึงจะสามารถรักษามาดนั่งตัวตรง และพูดคุยได้อย่างเป็นปกติ แต่ถ้ามองกันดีดีก็จะรู้ได้ทันทีว่า ตอนนี้ผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“ยังไม่เมาสักหน่อย ก็แค่มึนนิดๆ ”
ผมเอื้อมมือเตรียมจะหยิบแก้วขึ้นมาดื่มอีกรอบ แต่นั่นก็ทำให้โงกุนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วเอื้อมมือมาคว้าเอาแก้วเหล้าของผมไปถือไว้ในมือได้ก่อน
“ไอ้กุน เอาแก้วคืนมา”
“เรามาตกลงกันก่อน”
“ตกลงอะไร ไม่ตกลง”
“ไม่ตกลงก็ไม่ต้องดื่มแล้ว” มันยื่นคำขาด
ผมจ้องหน้ามันนิ่ง กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาแก้วเหล้าคืนมายังไง ไอ้กุนก็วางโทรศัพท์ขอตัวเองไว้ข้างตัวแล้วยื่นมือนั้นออกไปแบอยู่ตรงหน้าผม “แก้วเหล้า แลกกับกุญแจรถ”
“ทำไมต้องแลก ขอแก้วใหม่ก็ได้ น้องครับพี่ขอแบบนี้เพิ่มอีกแก้วนึง” ผมหันไปบอกกับน้องพนักงานที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ก่อนที่แขนจะถูกรั้งจากคนที่ยืนกรานจะทำข้อตกลงอะไรไม่รู้ จนต้องหันหน้ากลับมาหา
“ถ้าเมากว่านี้แล้วพี่จะขับรถกลับยังไง เอากุญแจรถมา เดี๋ยวผมขับไปส่ง แล้วพี่จะกินให้เมาแค่ไหนก็แล้วแต่พี่”
ก็นับว่าเป็นข้อเสนอที่ดี มีคนขับรถกลับบ้านให้ แถมจะเมาแค่ไหนก็ได้
แต่ทำไมผมต้องทำแบบนั้น
“กลับเองได้เถอะ”
“พี่ปอ” มันเรียกไม่พอยังทำหน้าไอ้มอมใส่ผมอีก มึงอ้อนสู้ไอ้มอมไม่ได้หรอกุน รู้เอาไว้เลย “ผมเป็นห่วง”
ออกจะพิลึกไปหน่อยถ้าดูจากท่าทางและน้ำเสียง
แต่ถ้าดูจากเหตุผลทั้งหมดรวมๆ กันแล้ว กุญแจรถผมเลยได้ไปวางบนมือไอ้ซุนหงอคงในเวลาต่อมา
●●●
“พี่ปอ เก๋ว่าพี่ปอควรไปพัก” ไอ้เก๋หัวเราะกับท่าทางที่บอกว่านานๆ จะได้เห็นสักทีจากผม
ทั้งที่ตอนนี้ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน ทั้งที่งานเลี้ยงยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกง่ายๆ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด หลายคนวางแผนกันแล้วว่าหลังจบจากที่นี่ก็จะไปต่อที่อื่นกัน ผมเองก็อยากจะไปต่อเหมือนกับคนอื่นๆ บ้าง แต่ไอ้เก๋มันดันบอกให้ผมกลับบ้านไปนอนเนี่ยสิ
“กลับไม่ได้ เก๋ไปส่งพี่หน่อย”
“ทำไมกลับไม่ได้คะ”
“ก็ไอ้กุนมันเอากุญแจรถพี่ไป” เก๋หัวเราะออกมาเสียงดัง ตอนที่ผมเอานิ้วไปจิ้มที่อกของไอ้กุนชนิดที่แรงเสียจนมันเสียหลักเอนไปข้างหลัง
“งั้นเดี๋ยวผมกลับเลยดีกว่าพี่เก๋ จะได้ไปส่งพี่ปอด้วย”
“ไม่ไปต่อแล้วหรอ” ผมถาม
“ไม่ไปแล้วค่าาา จะกลับบ้านแล้ว ไหวใช่ไหมกุน ปกติพี่ปอไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาแบบนี้นะเนี่ย”
“แทบไม่ได้ดื่มเลยพี่ แค่นั่งดูพี่ปอก็เมาแล้ว” ไอ้เก๋มันหัวเราะอะไรอีกแล้ววะ ไม่เห็นจะขำเลย
“งั้นพี่ฝากพี่ปอด้วยนะ เดี๋ยวบอกพี่ชาติให้ว่ากุนจะกลับไปส่งพี่ปอก่อน”
“ครับ”
เมื่อตกลงกันได้โงกุนมันก็จัดการลากผมมาที่รถ ที่ใช้คำว่าลาก เพราะมันลากผมจริงๆ
ก็อยากไปต่อแบบคนอื่นๆ นี่ ทำไมไม่เข้าใจกันบ้าง
ขัดขืนกันพอเหนื่อยผมก็ยอมเข้ามานั่งในรถฝั่งผู้โดยสารแต่โดยดี ไอ้กุนมุดเข้ามาในรถอีกรอบเพื่อดึงเอาเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ เหลือบไปเห็นติ่งหูมันเข้าก็นึกถึงความกวนของมันที่ทดเอาไว้ในใจทั้งหมด อาศัยจังหวะที่มันก้มๆ เงยๆ อยู่นั้น ผมก็เอื้อมมือไปดีดเข้าที่หูมันอย่างจัง ด้วยความเจ็บบวกกับตกใจไอ้กุนเลยยืดตัวขึ้นเพื่อหลบตามสัญชาตญาณ แต่เหมือนมันจะลืมไปว่ากำลังก้มอยู่ในรถ หัวเลยไปชนเข้ากับหลังคารถอีกรอบ
“เป็นอะไรกับติ่งหูผมเนี่ย” มันหันมาถามผม ที่ตอนนี้กำลังนั่งขำเสียงดังลั่น สงสารก็สงสารที่ต้องมาเจ็บตัวสองต่อ แต่ขอขำก่อนแล้วกันนะเวลานี้ กลั้นไม่ไหวจริงๆ
“ไหนเอามาดู”
เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองควรไปพักแบบที่เก๋บอกจริงๆ ก็ตอนที่ มือของผมไปแตะอยู่ที่มุมปากของไอ้กุนจากที่ตั้งใจว่าจะไปจับตรงติ่งหู เพราะผมดันกะระยะผิด เห็นไอ้กุนมันสะดุ้งแล้วก็อดอมยิ้มเพราะนึงถึงไอ้มอมขึ้นมาอีกไม่ได้
หน้าไอ้มอมตอนได้ยินเสียงไก่โอ๊กครั้งแรก เหมือนกับไอ้กุนตอนนี้ไม่มีผิด..หน้าหมาสงสัย..
ผมค่อยๆ เลื่อนปลายนิ้วผ่านแก้มไปยังติ่งหู ปัดมือของอีกคนออก แล้วนวดวนบรรเทาความเจ็บให้ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปเป่าลมเบาๆ เหมือนที่พ่อแม่ชอบทำให้ตอนเด็กๆ
“เชี่ยยย” ได้ยินเสียงมันอุทานเป็นคำด่าออกมาเบาๆ พร้อมกับผละตัวออกนอกรถไป สงสัยคงคิดว่าผมจะไม่ได้ยิน แต่ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือเพราะผมเองก็ผิดจริงๆ ที่ทำมันเจ็บ
ยอมให้วันนึงแล้วกันไอ้ลิงหน้าหมา
“ไปกลับบ้าน พี่ง่วงแล้ว”
#เพราะรักรออยู่
พูดถึงไก่โอ๊กทีไร นึกถึงน้องหนิมทุ๊กกกกก ที 5555
ฝากช่อง gluta story แทนพี่ยอร์ชได้ไหม