เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ดูจะมีความรู้สึกกับข่าวใหญ่นี้ในด้านบวกจนเหมือนลืมคำนึงถึงศักยภาพของลูกตัวเอง ภูปวดหัวขึ้นมาติดหมัดที่ทุกคนดูจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้กันไปเสียหมด ทันทีที่ขึ้นมาอยู่ตามลำพังในห้องนอนของตนเอง เด็กหนุ่มก็รีบโยนบทละครที่เพิ่งได้รับมาไปไว้บนโต๊ะแล้ววางทับด้วยตำราเรียนเพื่อหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นก่อนจะเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นเพื่อเตรียมทำการทักทายเหล่าแฟนคลับของตนตามตารางที่วางเอาไว้กับส้มและพิมผู้เป็นหัวเรือใหญ่ประจำเว็บเพจ แต่เมื่อพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดเขาจึงฆ่าเวลาด้วยการเข้าใปเยี่ยมชมในเว็บบอร์ดหลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปมานาน
ท่ามกลางกระทู้ที่ดูจะเป็นหัวข้อสนทนาปกติทั่วไปนั้น มีกระทู้หนึ่งที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นไม่นานก่อนที่ภูจะเข้ามา หัวข้อมีเพียงเครื่องหมายคำถามสามตัวที่เรียงติดกันทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับอะไร ภูเลื่อนคลิกเมาส์ผ่านมันไปแล้วรอบหนึ่งแต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่บรรยายไม่ถูกซึ่งรบกวนจิตใจอยู่กลับไม่ยอมให้มันผ่านเลยไปง่ายๆ เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจกดเข้าไปดูเพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป
หากว่าหัวข้อของกระทู้นั้นดูไร้แก่นสารแล้ว เนื้อหาข้างในยิ่งเป็นขั้นกว่าของมัน ทั้งกระทู้มีเพียงลิงค์ของอินสตาแกรมวางเอาไว้ซึ่งเมื่อกดตามเข้าไปดูก็พบว่าเป็นเพียงแอคเคาท์ใหม่ที่เพิ่งเปิดขึ้นและยังไม่มีการอัพโหลดภาพหรือเนื้อหาใดๆ ลงไปเลย แต่ถึงกระนั้นบางอย่างก็ยังรบกวนจิตใจของภูจนไม่อาจจะกดปิดหน้าจอนั้นลงได้
“ดูอะไรอยู่?” เสียงของกรรณร้องถามพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวเข้ามาสวมกอดภูจากทางด้านหลัง
“ปะ.. เปล่าครับ” ภูรีบกดซ่อนหน้าจอนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรที่ต้องปิดเป็นความลับ ทั้งหมดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากความตกใจล้วนๆ “พี่กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้วครับ กว่าจะได้กลับมาเหนื่อยแทบตาย” กรรณหอมแก้มเด็กหนุ่มฟอดใหญ่ก่อนจะย้ายมาฝังจมูกลงบนเส้นผมและส่ายหน้าไปมาเบาๆ “คิดถึงจังเลย”
“คิดถึงแต่ไม่ค่อยจะโทรมาหาเลยนะ ถ้าผมไม่โทรหาเองก็คงไม่ได้คุยกันเลยล่ะมั้ง” ภูบ่นตัดพ้อกับพฤติกรรมเงียบหายของกรรณตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ยุ่งทั้งวันเลยครับ ขอโทษนะ” กรรณก้มหน้านิ่ง “บางวันกว่าจะว่างก็ดึกมากแล้ว กลัวว่าโทรมาจะรบกวนเวลาพักผ่อนนายเปล่าๆ”
“แล้วนี่จัดการทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเหรอครับ?” ภูเลิกงอนเพราะไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้เสียบรรยากาศ
“เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์แบบ” กรรณล้อเลียนตัวเอง
“มีใครที่ไหนเค้าทำตลกกับเรื่องแบบนี้ออกกันด้วยหรือไง?” ภูขำไม่ออก
“หมดเวลาเศร้าแล้วล่ะ แม่ไม่อยู่แล้ว พี่สิต้องอยู่ต่อไป” กรรณสูดหายใจเข้าปลุกใจตัวเอง “จะมีเสียดายอยู่บ้างก็ตรงที่แม่ไม่ทันได้เห็นว่าลูกชายได้เมียน่ารักขนาดไหน”
“อาจจะเป็นโชคดีของแม่พี่แล้วล่ะที่ไม่ได้เห็น” ภูอดโล่งใจไม่ได้
“แล้วเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ ทำไมพี่เข้ามาต้องรีบกดปิด?” กรรณถาม แต่คำถามนั้นเหมือนจะเป็นแค่การปูทางไปสู่สิ่งอื่นเพราะตอนนี้มือของผู้ถามได้ล้วงเข้าไปในเสื้อของผู้ถูกถามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่อย่า ไม่เอา พ่อกับแม่อยู่ข้างล่าง” ภูพยายามหยุดการเล้าโลมนั้นแต่ก็ดูไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าที่ควรเนื่องจากเกิดอ่อนระทวยขึ้นมากระทันหันเมื่อกรรณจูบเข้าที่ต้นคอเบาๆ
“ล๊อคห้องแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก” กรรณเสริมความมั่นใจให้ขณะที่มือขยันก็ไม่หยุดความพยายามที่จะล้วงผ่านขอบเอวกางเกงของภูเข้าไปแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต “แล้วยังไม่ตอบเลยเมื่อกี้แอบทำอะไร?”
“เปล่าครับ…” ภูไม่รู้จะตอบอะไรซ้ำยังโดนลูบคลำจนหัวมึนตื้อคิดอะไรไม่ออก “พี่ไปหื่นมาจากไหนเนี่ย?”
“ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตั้งนาน ตอนนั้นที่สุโขทัยก็หนีไปนอนโรงแรมกับพ่อแม่ ไม่ยอมมานอนบ้านด้วยกัน” กรรณยิ้มออกมาหลังจากได้ยินเสียงครางอ่อยๆ ของภูดังแว่วหลุดออกมาจากปาก
“พูดยังกับตัวเองในตอนนั้นมีอารมณ์จะทำงั้นแหละ” ภูนึกถึงสีหน้าเหมือนแบกน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรเอาไว้บนบ่าที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกรรณตลอดช่วงงานศพแม่
“อย่างน้อยได้นอนกอดก็ยังดีนี่นา” กรรณใจเต้นโครมคราม อาการเหนียมอายอันเป็นจริตโดยธรรมชาติของภูทำให้เขาตื่นตัวจนแทบคลั่งได้เสมอ “เพราะงั้นวันนี้ต้องมีการชดเชยเกิดขึ้นหน่อยแล้ว…”
“อย่าดิ ผมจะไลฟ์เพจ ได้เวลาแล้ว” ภูอ้าง ทั้งที่ความจริงยังเหลือเวลาอยู่นิดหน่อย
“ไลฟ์เลย เค้าจะได้รู้กันสักทีว่าไอ้หน้าหวานๆ อย่างเนี้ย มีเจ้าของแล้ว” กรรณไม่หยุดแถมตั้งท่าจะแย่งการควบคุมของคอมพิวเตอร์มาให้ตนเอง
“ไม่เอา เดี๋ยวชดเชยให้ก็ได้ แต่ดึกๆ ก่อนนะ ให้พ่อกับแม่นอนก่อน” ภูต่อรองหลังจากนึกทบทวนดูจนมั่นใจแล้วว่าพรุ่งนี้ไม่มีการเรียนหรือคิวงานรออยู่
“ก็ได้…” กรรณยอมตกลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังนัวเนียไม่ยอมไปไหน “บางทีก็เสียดายนะ มีแฟนน่ารักแต่อวดใครไม่ได้”
“ตกลงมีผมไว้อวดคนอื่นเหรอ?” ภูถามน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ไม่ใช่อย่างนั้น จะว่าไงดีล่ะ เวลามีคนมารุมล้อมมากๆ มันก็หวงเป็นนะ บางเวลาก็อยากแสดงความเป็นเจ้าของบ้าง” กรรณยิ้มเขินกับการทำตัวเป็นเด็กจนเกินวัยของตน
“ก็ทำสิ ใครว่าอะไรล่ะ” ภูไม่ขัด “ไม่กลัวพี่ช้างแหกอกก็เอาเลย ทำไปเลย ผมไม่ว่า”
เมื่อได้ยินชื่อพี่ช้างกรรณก็ถึงกับหมดอารมณ์ ชายหนุ่มผละออกจากหลังเก้าอี้ไปล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งอยู่ข้างๆ ขณะที่ภูเหลือบมองเวลาและพบว่าถึงกำหนดการณ์ที่นัดเอาไว้กับทางเพจพอดี เขารีบกดเปิดหน้าจอที่พับซ่อนเอาไว้ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพบว่าหน้าจออินสตาแกรมลึกลับที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ บัดนี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รูปภาพใหม่หนึ่งรูปถูกอัพโหลดเข้ามา ครั้นมองดูแวบแรกเด็กหนุ่มยังคงไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร จนกระทั่งกดเข้าไปดูภาพขยายใหญ่สิ่งที่เห็นก็ทำให้อุณหภูมิของร่างกายตกฮวบลงในทันที เมื่อบุคคลที่กำลังยืนจูบกันอยู่ในภาพนั้นคือเขาและกรรณ
“อะไรกันเนี่ย…” ภูไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่เด็กหนุ่มในรูปนั้นคือตนไม่ผิดแน่ ช่วงเวลาที่ถูกบันทึกภาพน่าจะเป็นวันที่ทั้งสองออกไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่หลังจากที่ภูหายป่วย ไม่ผิดแน่เมื่อดูจากทั้งการรวบผมที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมวกกับแว่นที่ใส่เพื่อพรางใบหน้านั้น
“หือ?” กรรณเริ่มผิดสังเกตกับท่าทีของภูจึงลุกจากเตียงขึ้นมาดูที่หน้าจอบ้าง และทันทีที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูไม่มีผิดเพี้ยน “เวรแล้วไง…”
โดยไม่รอให้ทั้งสองตั้งตัวได้ทันตั้งตัว หน้าจอรีเฟรชตัวเองอีกครั้งพร้อมกับภาพใหม่ที่ถูกอัพโหลดเพิ่มเข้ามา เป็นภาพเดิม ถ่ายจากมุมเดิม แต่ในระยะการซูมที่ใกล้มากขึ้นกว่าเก่าทำให้สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของบุคคลในภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยภาพที่สามในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น และภาพที่สี่ จนมาจบที่ภาพสุดท้ายซึ่งระยะการซูมสูงสุดจนเห็นใบหน้าของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ทันทีที่ดึงสติกลับมาเข้าตัวได้ภูรีบเลื่อนหน้าจอขึ้นไปดูจำนวนผู้ติดตามของแอคเคาท์นี้ก่อนจะต้องสะพรึงเมื่อพบว่ารูปทั้งหมดน่าจะออกสู่สายตาผู้ใช้งานอินสตาแกรมไปแล้วอย่างน้อยหกร้อยคน
ภูรีบกลับเข้าไปในเว็บเพจเพื่อควบคุมความเสียหาย แต่ก็พบว่าช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อภาพเหล่านั้นถูกแชร์ออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกับที่ถูกอัพโหลดขึ้นในอินสตาแกรม เสียงเตือนข้อความเข้าจากกล่องข้อความส่วนตัวในเพจดังขึ้นรัวสนั่นจนภูเสียขวัญต้องรีบกดปิดหน้าจอหนีออกไปตั้งสติ แต่ก็ใช่ว่าจะหนีพ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของภูก็ดังขึ้นตามมาในเวลาไม่กี่นาที เป็นเบอร์ของพี่ช้างที่โทรเข้ามา ภูไม่กล้ารับสายด้วยไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจนเงียบไปก่อนจะไปดังต่อที่เครื่องของกรรณ
“สวัสดีครับพี่” กรรณตัดสินใจรับสาย เขาส่งสัญญาณให้ภูอยู่เงียบๆ เอาไว้ขณะที่ตนตอบคำถามของพี่ช้างที่ยิงกระหน่ำมาเป็นชุดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ครับ เห็นแล้วครับพี่ ใช่ครับ ผมเอง… ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนถ่ายครับ… น้องไม่รู้เรื่องครับ… ขอโทษครับ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลยครับ”
เป็นเวลาหลายนาทีเลยทีเดียวที่กรรณมีเพียงคำขอโทษและการก้มหน้ายอมรับสิ่งใดก็ตามที่พี่ช้างกำลังโวยวายอยู่ในสายโทรศัพท์ แต่ภูก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความวินาศสันตะโรครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมา ไม่ต้องห่วงเลยว่าอีกไม่นานเกินรอเขาจะต้องถูกทางช่องเรียกเข้าไปชี้แจงถึงที่มาของภาพเหล่านี้เป็นแน่ และหากเท่านั้นยังไม่มากพอ นอกจากต้นสังกัดแล้วก็ยังมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกเป็นฝูงตลอดจนคนรู้จักและบรรดาญาติที่ภูจะต้องคอยชี้แจงตัวเองผ่านการตอบคำถามทิ่มแทงใจที่พวกนั้นจะรุมกระหน่ำถามเข้ามาอีก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มมัวแต่กังวลถึงปัญหาที่จะมาจากภายนอกนั้น เขาก็ลืมคิดไปว่าบางทีสิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดในยามนี้อาจจะอยู่ในบ้านของตนเอง ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรที่ห้องรับแขกชั้นล่าง
“พ่อนายต้องไม่ชอบใจแน่…” กรรณพูดขึ้นมาอย่างหวาดหวั่นหลังจากวางสายพี่ช้างไปแล้ว
“พ่อไม่เล่นโซเชียลครับ คงเห็นยากหน่อย ถ้าปิดดีๆ ก็พอได้ หวังแค่ให้มันไม่เป็นข่าวใหญ่ก็พอ” ภูบอกทั้งตัวเองและกรรณไปพร้อมๆ กัน
เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดมาทำให้การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงทันที ภูเงี่ยหูฟังจนกระทั่งมันมาหยุดที่หน้าห้องของตน ลูกบิดถูกหมุนแต่ติดที่กรรณลงกลอนเอาไว้จึงไม่อาจเปิดเข้ามาได้
“ภู ล๊อคห้องทำไม?” เสียงของแม่ดังมาจากหลังประตู
“แป๊ปนึงครับ” ภูส่งเสียงตอบก่อนจะตรวจดูสภาพของตนจนมั่นใจว่าเรียบร้อยดีจึงค่อยเดินไปเปิดประตู “แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“มีสิ…” สีหน้าแม่ดูไม่สบายใจ สายตามองข้ามไหล่ภูเข้ามาหากรรณที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างใน “ลงมาข้างล่างหน่อย ทั้งคู่เลย”
ภูพยักหน้า ใจพยายามคิดในแง่ดีว่าการเรียกพบของผู้ปกครองในครั้งนี้คงเป็นแค่จังหวะประจวบเหมาะบังเอิญพอดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปสุดฉาวที่เพิ่งถูกปล่อยให้ออนไลน์ไปหมาดๆ เด็กหนุ่มเดินตามหลังแม่ลงไปยังห้องรับแขกชั้นล่างโดนมีกรรณตามหลังมาติดๆ สีหน้ากระวนกระวายใจของแม่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่และเมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของพ่อที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก ภูก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่านอกจากจะไม่ใช่เรื่องดีแล้วมันยังต้องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน
“พ่อมีอะไรเหรอครับ?” ภูพยายามทำใจดีสู้เสือเผื่อว่าลางสังหรณ์ของตนจะผิดพลาด
“มีอะไรจะอธิบายเรื่องนี้ไหม?” พ่อเข้าประเด็นทันทีไม่มีอ้อมค้อม ไม่ให้เวลาใครได้เตรียมใจทั้งสิ้น
“เรื่องอะไรครับ?” ภูทำไขสือ
“ก็เรื่องฉากรักบันลือโลกของแกไง ความจำเสื่อมเหรอทำอะไรลงไปถึงจำไม่ได้?” พ่อถามกลับมาเสียงเกือบจะเป็นตวาด
“ผมขอโทษครับ ผมคิดน้อยเกินไป ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นเข้า” กรรณรีบออกตัวรับแทน
“เออ ง่ายดี” พ่อพูดเสียงขึ้นจมูก โมโหสุดขีด “ขอโทษแล้วมันทำให้ชื่อเสียงตระกูลชั้นมันหยุดเสียหายไหม? รู้ไหมว่าตอนนี้เค้ารู้กันทั้งโครตแล้ว ถ้าชั้นไม่ปิดมือถือ ไม่ยกหูโทรศัพท์ออก ป่านนี้ก็ยังโทรมากันไม่หยุด”
“แล้วเค้ารู้กันได้ยังไง…?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงเผยแพร่ออกไปไวและกว้างมากถึงขนาดที่ญาติของตนจะรับรู้ได้
“ก็มันโผล่เต็มหน้าจอทีวีขนาดนั้นมันจะไม่ไปไวได้ไง แกนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่าหา?” พ่อคำรามถามเสียงดังลั่นจนภูสะดุ้งเฮือก
คำตอบนั้นทำให้ทั้งภูและกรรณเข้าใจในทันทีว่าพวกตนประเมินความร้ายแรงของเรื่องนี้ต่ำไปกว่าความเป็นจริงมาก ไม่ว่าเจ้าของรูปถ่ายพวกนี้จะเป็นใคร เขาไม่ได้เพียงแค่ปล่อยมันลงในอินเตอร์เน็ต แต่ยังส่งต่อให้กับสื่อและพวกนักข่าวอีกด้วย
“ผมขอโทษครับ ทุกอย่างผมผิดเอง อย่าว่าน้องเลยครับ” กรรณรับผิดทั้งหมดด้วยตนเองเพื่อปกป้องภู
“แกน่ะผิดแน่อยู่แล้ว!” พ่อของภูตวาดกลับมา “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วซะเปล่า ไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ไม่รู้จักปกป้องชื่อเสียงให้น้อง”
“ขอโทษจริงๆ ครับ” กรรณไม่มีอะไรจะแก้ตัว
“วันนั้นที่คุยกันชั้นก็บอกแกแล้วใช่ไหม? ถ้าแกมาทำให้ลูกชั้นเสียหายหรือเสียใจ ชั้นไม่เอาแกไว้แน่!” พ่อขู่
“พ่อ… พอเถอะ เด็กมันก็ยอมรับผิดแล้ว เค้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกนะ” แม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง
“คนที่ควรจะเครียดเรื่องนี้จริงๆ น่าจะเป็นผมมากกว่านะพ่อ” ภูทนไม่ไหว “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ พ่อก็แค่อายเท่านั้นแหละ”
“เงียบไปเลย” พ่อหันมาชี้หน้าภู “ขึ้นไปรอบนห้อง เดี๋ยวพ่อจะไปเคลียร์กับแกทีหลัง ตอนนี้ขอจัดการไอ้เหลือขอนี่ก่อน”
“ก็คุยตรงนี้เลยสิ!” ภูขึ้นเสียงกลับ “ผมยอมให้เค้าทำเองอ่ะ เค้าไม่ได้บังคับ ถ้าผิดก็ผิดด้วยกันนี่แหละ”
แม่รีบดึงภูออกมาจากห้องรับแขก เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนแต่แม่ก็พยักหน้าบอกให้ทำตามและพาขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง จากบนนั้นภูยังคงได้ยินเสียงโวยวายของพ่อที่สาดอารมณ์ใส่กรรณราวกับพายุคลั่ง นี่มันไม่ยุติธรรมเลย… ภูคิดขณะที่มือทั้งสองปิดหูเอาไว้กั้นไม่ให้เสียงแห่งการทะเลาะวิวาทนั้นเล็ดลอดเข้ามาได้ เด็กหนุ่มรู้สึกแย่ที่พ่อเลือกจะโทษว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของกรรณ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของใครเลย พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
เมื่อคลายมือออก เสียงจากชั้นล่างก็เงียบไปแล้ว ภูมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องนอนก่อนจะพบว่าแสงไฟจากทางฝั่งของกรรณเปิดอยู่ เขาคงกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว ภูรู้ดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงรู้สึกแย่ไม่น้อยไปกว่าตนเป็นแน่ บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำจากการโดนต่อว่าอย่างรุนแรงจากทุกทิศทางเช่นนี้ เด็กหนุ่มเปิดหน้าต่างออกไปยังระเบียงแล้วจึงข้ามไปยังอีกฝั่งก่อนจะเคาะเบาๆ เข้าที่ประตูทางเข้าบ้านจากชั้นสอง
“พี่กรรณ เปิดหน่อยครับ” ภูร้องเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเปิด
“นายกลับไปก่อนเถอะ” เสียงแผ่วเบาของกรรณตอบกลับมาจากด้านใน “ขอพี่อยู่คนเดียวสักพักนะ”
“พี่อย่าคิดมากนะ พ่อก็แค่โกรธ เดี๋ยวหายก็ไม่มีอะไรแล้ว” ภูพยายามบอกให้กรรณไม่ต้องใส่ใจ
“พ่อนายก็พูดถูก… พี่ทำให้นายกับครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง” กรรณยอมรับ “ขอโทษนะ พี่น่าจะคิดให้เยอะกว่านี้ก่อนทำอะไรลงไป”
“นี่มันไม่ใช่ความผิดเราสองคนด้วยซ้ำ…” ภูหดหู่ใจที่กรรณกลับมาอยู่ในสภาวะจิตตกอีกแล้ว
“นายกลับไปเถอะ พ่อกำลังโกรธ ถ้าขึ้นมาเจอว่านายแอบมานี่จะยิ่งไปกันใหญ่นะ” กรรณเตือน
ในเมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่หลบอยู่หลังประตู ภูก็จนปัญญาจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้น อีกทั้งคำเตือนที่ได้รับก็ควรค่าแก่การพิจารณา เด็กหนุ่มตัดสินใจถอยกลับไปก่อนเพื่อรอให้ความคุกรุ่นในบรรยากาศลดลงกว่านี้ ให้อารมณ์ของกรรณสงบกว่านี้แล้วจึงค่อยมาสานต่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง
ภูปีนขึ้นบนขอบรั้วไม้ของระเบียงเตรียมจะข้ามกลับไปยังฝั่งบ้านของตน มันคงราบรื่นไม่มีปัญหาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหากจิตใจของเด็กหนุ่มไม่ได้กำลังว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ จะด้วยการคะเนระยะพลาดหรือเพราะใจที่ลอยห่างออกจากตัวก็ตามแต่ แต่ผลของมันก็คือร่างของภูได้หล่นวูบร่วงลงไปกระแทกกับกำแพงด้านล่าง เคราะห์ดีที่จุดปะทะเกิดขึ้นบริเวณลำแขนอาการบาดเจ็บที่ได้รับจึงไม่ถึงขั้นสาหัส แต่มันก็ร้ายแรงพอจะทำให้เขาไม่อาจจะขยับพาตัวเองออกจากตรงนั้นได้
เสียงร้องโอดโอยของภูเรียกให้ทั้งพ่อและแม่ออกมาดู กรรณก็เช่นกัน เขารีบวิ่งลงมาหาภูที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า จากการประเมินด้วยสายตากระดูกแขนของเด็กหนุ่มน่าจะหัก แต่ด้วยไม่มั่นใจว่ายังมีกระดูกส่วนอื่นที่หักอีกไหมเขาจึงไม่เสี่ยงที่จะเคลื่อนย้ายหรือขยับตัวคนเจ็บในตอนนี้ แม่ที่ตกใจสุดขีดรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับน้ำตานองหน้าในขณะที่พ่อโวยวายใส่โทรศัพท์เรียกให้รถพยาบาลมารับ จนเมื่อวางสายจึงเดินตามแม่เข้ามาหาลูกชายที่นอนหอบหายใจด้วยความเจ็บอยู่บนพื้น
“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบค่ารักษาให้ทั้งหมดเอง” กรรณแสดงความรับผิดชอบ
พ่อของภูตอบรับความปรารถนาดีนั้นด้วยฝ่ามือที่ตบเข้าข้างแก้มของกรรณอย่างแรงจนหน้าหัน ภูอ้าปากจะร้องห้ามแต่ก็เจ็บเกินกว่าจะทำอะไรไหว ได้แต่มองดูกรรณที่ยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นอยู่ต่อหน้าตนโดยไม่อาจช่วยอะไรได้
“พอกันที… ต่อไปนี้แกห้ามมายุ่งกับลูกชั้นอีก” พ่อยื่นคำขาดกับกรรณ
“พ่อ… นี่มันไม่เกี่ยวกับพี่เค้านะ มันเป็นอุบัติเหตุ” ภูพยายามอธิบาย
“แกก็ด้วยไอ้ภู” พ่อหันมาหาภู “ถ้าแกยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกพ่อ ต่อไปห้ามแกยุ่งกับมันอีกเด็ดขาด…”
รถพยาบาลของหน่วยกู้ภัยมาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่สองคนที่ช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำร่างของเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บขึ้นเปลนำไปใส่ท้ายรถเตรียมส่งโรงพยาบาล ภูไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรกับกรรณอีกแม้แต่คำเดียว ทั้งหมดที่ทำได้คือเพียงแค่จ้องมองดูอีกฝ่ายที่มายืนส่งอยู่จนกระทั่งประตูท้ายรถปิดลงกั้นทั้งสองออกจากกัน
To be continued...
2 Episodes left