[H.E.A.R.T.] E.Erotic หัวใจร้อนรัก
Part 2# Thara การกินเด็กทำให้เป็นอมตะ?
“กลับมาแล้ว” ผมพูดขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ซึ่งก็เจอทุกคนมายืนออกันที่ทางเข้าโดยมีพี่ภูเป็นแกนนำ
“เมื่อคืนไปนอนที่ไหน เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยธาร” พี่ภูตีหน้ายักษ์ใส่ผม ส่วนคนอื่นๆ ก็พยักหน้าลงสนับสนุน แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะเล่าอะไรให้ใครฟังหรอกนะ
“ผมเหนื่อย ขอตัวไปนอนก่อนนะพี่ภู” พูดจบผมก็เบี่ยงตัวหลบออกมา พี่ภูที่เห็นอย่างนั้นเลยว่าจะเดินตามมาแต่ก็ถูกตะวันรั้งเอาไว้ซะก่อน
“ปล่อยให้คุณธารอยู่คนเดียวสักพักเถอะครับ ตอนนี้อาจจะมีเรื่องกลุ้มใจอยู่ ไว้ดีขึ้นเดี๋ยวคุณธารก็คงเล่าให้พวกเราฟังเอง” ผมกล่าวขอบคุณตะวันอยู่ในใจ ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเอง
ผมรู้ดีว่าตอนนี้ทุกคนกำลังเป็นห่วงผม แต่ผมเป็นผู้ใหญ่ที่อายุ 27 แล้ว ไม่ใช่เด็กอายุ 17 ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะสักหน่อย
“เฮ้ออออออ” เมื่อถึงห้องผมก็ล้มตัวลงบนเตียงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เพราะระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ความรู้สึกผิดมันได้คืบคลานเข้ามาในจิตใจของผมอยู่ตลอด ยิ่งพอนึกถึงสายตาของหมอกที่มองผมอย่างหลงใหล ราวกับว่าได้มอบหัวใจให้ผมมาแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
กับผู้ชายคนอื่นที่ผมเคยทิ้ง ผมไม่เคยอาลัยอาวรณ์และรู้สึกผิดแบบนี้เลยสักครั้ง ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าผมบอกเงื่อนไขและข้อตกลงอย่างชัดเจนว่าคืนเดียวจบ ไม่เหมือนหมอกที่ผมหลอกใช้ประโยชน์จากความใจดี แถมยังล่อลวงจนหนุ่มที่ใสซื่อแบบนั้นลุ่มหลง เพราะงั้นผมถึงได้จมปลักกับความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจอยู่แบบนี้
นี่ก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่ผมหนีออกมา ผมเดาไม่ออกเลยว่าหลังจากนั้นหมอกจะทำยังไงต่อไป จะอยู่รอผมเหมือนหมาน้อยรอเจ้านาย หรือว่าจะปลงตกแล้วเก็บข้าวของออกจากห้องไป ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าหมอกคงจะเลือกอย่างหลัง เพราะถึงยังไงผมก็ไม่มีทางกลับไปหาหมอกที่นั่นอีกครั้งแน่ๆ
สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับฉันใด ธาราอย่างผมเมื่อตัดสินใจแล้วก็จะไม่หันหลังกลับฉันนั้น ไม่ว่าใครหรืออะไรก็ไม่สามารถทำให้ความจริงข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปได้ ในเมื่อมันถูกกำหนดเอาไว้แล้วจะมีข้อยกเว้นได้ยังไง...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้น ทำให้ผมที่เหนื่อยทั้งกายและใจจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ลืมตาตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ลุกไปเปิดประตูห้องด้วยท่าทางอ่อนล้าและอิดโรย
“มีอะไรหรอตะวัน”
“เอ่อ...ผมจะมาถามน่ะครับว่าข้าวเย็นคุณธารจะกินอะไร”
“หา? นี่ฉันเผลอหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ด้วยความตกใจ ผมก็นึกว่าตัวเองเผลอหลับไปแค่ 30 – 40 นาทีซะอีก
“คุณธารมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ใช่มั้ยครับ เล่าให้ผมฟังได้นะเผื่อผมจะช่วยอะไรได้บ้าง” ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นคนรักของพี่ภูแล้ว แต่ตะวันก็ยังคงดูแลและเอาใจใส่ทุกคนในบ้านอยู่เหมือนเดิม ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้ผมเผลอนึกถึงหมอกเข้าจนได้
ผมรู้สึกลังเลอยู่นิดหน่อยว่าควรจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ตะวันฟังหรือไม่ แต่พอเห็นสิ่งที่คล้ายกัน อย่างเช่นความใสซื่อของหมอกและตะวัน ผมเลยตัดสินใจให้ตะวันเข้ามาในห้อง
“เข้ามาสิ” ผมพูดจบก็เดินนำไปนั่งตรงปลายเตียง ส่วนตะวันก็ปิดประตูแล้วเดินลงมานั่งข้างๆ ผม
ผมนั่งเงียบๆ เพื่อเรียบเรียงคำพูดอยู่สักพัก โดยที่ตะวันก็รอคอยอย่างดีไม่ได้เร่งเร้าอะไรจากผมเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งพร้อมแล้ว ผมจึงได้เล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบังให้ตะวันฟังทั้งหมด ซึ่งพอได้ฟังจนจบตะวันก็ดูอึ้งๆ และมองผมอย่างไม่เชื่อสายตา
“ภาพลักษณ์ฉันมันดูแย่กว่าที่คิดใช่มั้ยล่ะ” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะคนรอบข้างมักจะคิดไปเองว่าผมสูงส่ง แต่ความจริงแล้วผมก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปที่มีอารมณ์ ความต้องการ แล้วก็ด้านมืดในจิตใจเท่านั้นเอง
“ก็...ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ มนุษย์เรามีความคิดและการกระทำที่แตกต่างกันอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เชื่อว่าทุกคนล้วนต้องการความรักจากใครสักคนทั้งนั้น จะเป็นใครก็ได้แต่ขอให้รักเราจริงและรักในสิ่งที่เราเป็นก็พอ”
สิ่งที่ตะวันพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง เห็นผมเป็นคนรักสนุกแบบนี้ แต่ลึกๆ แล้วผมก็ต้องการใครสักคนมาอยู่ข้างกายอยู่ดี แต่มันก็ติดอยู่ที่ว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครถูกใจผมเลยแม้แต่คนเดียว
ส่วนหมอก...จริงอยู่ว่าผมรู้สึกถูกใจอยู่ไม่น้อย ทั้งหน้าตา นิสัย และร่างกายที่เข้ากันได้อย่างดีมาก แต่พอได้รู้ว่าอายุของเราสองคนห่างกันเกือบ 10 ปีผมก็รับไม่ไหวจริงๆ ยิ่งพอคิดว่าตอนผมเข้าเรียนมหา’ลัยหมอกยังอยู่แค่ป.3 แต่พอหมอกจบมหา’ลัยผมก็อายุปาไป 30 ผมก็ยิ่งทำใจไม่ได้ ช่องว่างของอายุเราสองคนมันมากเกินไปจริงๆ
“เรื่องนั้นฉันไม่เถียงหรอกนะ แต่ฉันทำใจคบเด็กที่อายุห่างกันขนาดนั้นไม่ลงหรอก” พอผมยืนกรานแบบนี้ตะวันเลยทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ว่าผมก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างเลยยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะปาก แล้วส่งเสียง ‘ชู่วววว’ เบาๆ เพื่อให้ตะวันเงียบ
“กินเด็กไม่ดีตรงไหน สงสัยพี่ธารไม่เคยได้ยินว่ากินแล้วจะเป็นอมตะ”
“เออ พี่ก็ว่างั้น เด็กๆ นี่ตัวเด็ดเลยขอบอก ทั้งใส ทั้งซิง ทั้งว่าง่าย วุ้ย! พูดแล้วชักหิว”
“มึงหยุดหื่นสัก 5 นาทีได้มั้ย เรื่องของมึงใครเขาอยากรู้ มาช่วยกันคิดเรื่องของพี่ธารดีกว่า”
“นั่นสิพี่ก็เห็นด้วยกับแก แต่แปลกใจจริงๆ นะที่ธารไปนอนกับคนที่เด็กขนาดนั้นได้ นี่ถ้าเกิดเป็นเด็กที่อ่อนกว่านี้สักปีสองปีมีสิทธิ์ติดคุกได้เลยนะเนี่ย”
สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้สึกปรี๊ดจนขึ้นสมอง ถึงไม่ต้องมองหรือเห็นหน้าผมก็รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคไหน
หนอย...งานการไม่มีทำรึไงถึงได้มาแอบฟังกันครบทุกคนขนาดนี้!
ผมหันไปชี้นิ้วสั่งตะวันให้อยู่เงียบๆ ห้ามลุกไปไหน ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ย่องไปที่ประตู จากนั้นก็ดึงพรวดเข้ามาจนเพลิงกับวาที่พิงประตูอยู่ถึงกับหน้าคว่ำ ส่วนพฤกษ์กับพี่ภูที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอะไร แต่หน้าก็เจื่อนไปเหมือนกันที่ถูกผมจับได้ซะแล้ว
“ว้า แย่จัง พี่ธารรู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนครับเนี่ย” วาทำท่าทางแอ๊บแบ๊วเพื่อไม่ให้ผมโมโห
“ความน่ารักไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะวา” ผมกอดอกแล้วเก็กโหด แต่อันที่จริงผมก็แค่แกล้งเล่นๆ ไม่โกรธอะไรหรอก ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงผมเพราะครอบครัวเราก็มีกันอยู่แค่นี้
“โหย พี่ธารอย่าทำหน้าดุสิครับ เดี๋ยวหน้าแก่ไปพี่หมอกไม่รักไม่รู้ด้วยนะ” วาพูดจบก็อมยิ้มจนแก้มป่อง ส่วนผมที่โดนล้อขนาดนั้นจากที่ไม่โกรธก็ชักจะหัวร้อนขึ้นมาแล้ว
“วา!!”
“แว้กกกกก! พี่ภูช่วยผมด้วย!” แล้ววาก็รีบวิ่งไปหลบหลังพี่ภู ซึ่งแน่นอนว่าพี่ภูก็ต้องออกโรงปกป้องน้องที่รักมากจนเหมือนลูกอยู่แล้ว
“ใจเย็นๆ น่า วาก็แค่แซวเล่นนิดหน่อยเอง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พี่ว่าเรามานั่งคุยกันเรื่องนี้กันเลยดีมั้ย” พอพี่ภูพูดแบบนี้แล้วผมจะว่าไงได้ล่ะ ก็ต้องยอมให้ทุกคนเข้ามาคุยกันในห้องอยู่แล้ว เพราะเล่นมาแอบฟังตั้งแต่ต้นจนรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนี่
“ผมว่าพี่หมอกก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้นนะครับพี่ธาร อายุก็ตั้ง 18 – 19 ปีแล้ว” วาที่ตอนนี้นอนคว่ำอยู่บนเตียงผมพูดขึ้น โดยมีเพลิงนอนในท่าเดียวกันอยู่ข้างๆ ในขณะที่พฤกษ์ก็นั่งอยู่ตรงขอบเตียง ส่วนพี่ภูได้ลากเก้าอี้มานั่งที่ปลายเตียง ตรงข้ามผมกับตะวัน
“ที่แกบอกว่าไม่เด็กก็เพราะหมอกอายุเยอะกว่าแกน่ะสิ หรือว่ามีใครในนี้คิดเหมือนกันกับวาด้วย?” ประโยคหลังผมหันไปถามทุกคน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรยกเว้นพี่ภู
“จริงอยู่ ถ้ามองกันที่อายุหมอกดูเด็กจริงๆ แต่พี่อยากให้แกมองที่อย่างอื่นมากกว่า อย่างเช่นนิสัย การกระทำ หรือวุฒิภาวะ แกคิดว่าทั้งหมดที่พี่พูดมาหมอกมีอะไรบ้างที่ดูเป็นเด็ก”
“ก็...นอกจากความใส หมอกก็ดูเป็นผู้ใหญ่คนนึงเลยพี่ภู” เพราะงั้นผมถึงได้ดูพลาด จนชวนหมอกขึ้นโรงแรมไปนอนด้วยยังไงเล่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นแกก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลยนี่”
“นั่นสิพี่ธาร อายุเป็นแค่ตัวเลขพี่ไม่เคยได้ยินรึไง” ประโยคนี้เพลิงเป็นคนพูดขึ้นสนับสนุนพี่ภู
“เรื่องนั้นพี่ก็เคยได้ยินอยู่หรอก แต่ว่านอกจากเรื่องอายุมันก็ยังมีเรื่องอื่นที่เป็นปัญหาอยู่ดี หมอกกับพี่เหมือนคนที่ใช้ชีวิตตรงข้ามกันทุกอย่าง พี่ว่าเราสองคนไม่น่าจะไปกันรอด” พอได้ยินแบบนี้พฤกษ์เลยพูดขึ้นมาว่า...
“แต่ความแตกต่างมันอาจจะเข้ากันดีก็ได้นะครับ ดูจากแม่เหล็กขั้วบวกกับขั้วลบสิพี่ธาร เป็นเพราะเส้นแรงแม่เหล็กที่ต่างขั้วกัน เลยทำให้ทั้งสองขั้วมีแรงดูดจนดึงเข้าหากัน เพราะงั้นถ้าพี่ธารจะกังวลเรื่องความต่าง ผมว่ามันก็ไม่น่าจะมีปัญหามั้งครับ” สิ่งที่พฤกษ์พูดมามันมีเหตุผลดูเป็นหลักการจนเกือบทำให้ผมเคลิ้มอยู่แล้ว แต่มันก็ติดปัญหาเรื่องสำคัญอยู่ดี
“พี่กับหมอกเป็นคนไม่ได้เป็นแม่เหล็กนะพฤกษ์ ทฤษฎีของแกมันเอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้”
“แล้วคุณธารรู้ได้ยังไงครับในเมื่อยังไม่ได้ลอง” ประโยคนี้ตะวันเป็นคนพูดขึ้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมถึงกับนิ่งอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก
ผมยังไม่ได้ลองอย่างที่ตะวันพูดจริงๆ...
“ไหนๆ คุณธารก็ทำให้หมอกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแฟนกันแล้ว ผมว่าคุณธารลองเปิดใจให้หมอกดูก็ไม่เห็นเสียหายนี่ครับ ถ้าเกิดไปกันไม่ได้ก็แค่ตัดขาดกันเหมือนวันนี้ แต่ถ้าไปกันได้ดีคุณธารก็จะได้คู่ชีวิตมาเลยนะครับ”
ผมนิ่งไปทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่ตะวันพูด แค่ลองเปิดใจก็อาจได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กลับมาแล้ว ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้ถือทิฐิและนึกต่อต้านขนาดนั้น
ผมไม่น่าทำร้ายความรู้สึกของหมอกไปแบบนั้นเลย...
“ขอบใจนะตะวัน ฉันตัดสินใจได้แล้ว” ผมยิ้มให้ตะวันก่อนที่จะหันไปยิ้มให้ทุกคน
สีหน้าของผมตอนนี้ ถึงไม่ต้องบอกแต่ทุกคนก็เดาออกว่าผมจะทำยังไงต่อไป เพราะงั้นทุกคนเลยให้กำลังใจก่อนจะแยกย้ายกันลงไปข้างล่าง ส่วนผมก็อาบน้ำแต่งตัวและเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อจะออกไปข้างนอก แต่ผมก็โดนพี่ภูบอกให้กินข้าวเย็นด้วยกันก่อน เพราะผมนอนหลับยาวจึงได้กินเพียงแค่ข้าวเช้าเท่านั้น
หลังจากกินข้าวกับทุกคนเสร็จผมก็ขับรถไปที่โรงแรมเดิมที่เคยนอนกับหมอก แต่แน่นอนว่าหมอกต้องเช็คเอาท์ออกไปแล้ว ดังนั้นผมจึงได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังบริเวณที่เจอหมอกครั้งแรก เพราะผมจำได้ว่าหมอกเคยชี้ไปยังซอยที่เช่าหอพักเอาไว้อยู่
ในซอยนี้ถึงแม้จะไม่ลึกแต่ก็มีหอพักอยู่หลายตึกเหมือนกัน ผมจึงหาที่จอดรถตรงมุมดีๆ แล้วพยายามสอดส่องมองหาหมอกที่เผื่อจะลงมาจากหอ แต่ผมรอเป็นชั่วโมงก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ถ้าจะให้ลงไปถามกับผู้ดูแลหอเขาก็คงไม่ยอมบอก แถมดูท่ายังจะไล่ตะเพิดผมออกมาด้วยซ้ำเพราะกลัวเป็นมิจฉาชีพ
“เฮ้ออออออ” ผมถอนหายใจออกมาที่คว้าน้ำเหลว การตามหาใครสักคนที่รู้เพียงแค่ชื่อและหน้าตามันมีโอกาสเจอยากมากจริงๆ บางทีผมกับหมอกอาจจะไม่ได้เป็นคู่กันก็ได้ เพราะงั้นผมคงต้องตัดใจอย่างเดียวแล้วล่ะมั้ง
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมก็ถอนหายใจอีกครั้งแล้วขับรถออกมาจากซอย ผมยังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อยเลยขับรถช้าๆ พลางสอดส่องสายตาเพื่อมองหาหมอกเช่นเดิม
จนกระทั่งขับมาถึงหน้าปากซอย สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับหน้าผับที่เจอกับหมอกเมื่อวาน มันจะเป็นไปได้มั้ยนะว่าบางทีหมอกอาจจะเข้าไปตามหาผมในนั้น?
ถึงแม้จะมันจะมีโอกาสเพียงแค่น้อยนิดที่จะเจอ แต่ผมก็ยูเทิร์นขับรถไปยังผับดังกล่าวจนได้ เมื่อหาที่จอดได้แล้วผมก็เดินเข้าไปตามหาหมอกข้างใน แต่ไม่ว่าจะพยายามหาที่มุมไหนผมก็ยังหาหมอกไม่เจออยู่ดี
“เฮ้ออออออ” กี่ครั้งแล้วนะที่วันนี้ผมถอนหายใจออกมา ผมรู้สึกว่าความพยายามของผมนั้นช่างไร้ค่า จนคิดว่าจะตัดใจเลิกหาหมอกแบบถาวร
แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมา เสียงฮือฮาจากทางด้านหลังของผมก็ดังขึ้นมาซะก่อน ถึงแม้จะไม่ได้สนใจแต่ผมก็เผลอหันกลับไปมองอย่างช่วยไม่ได้อยู่ดี
โธ่เอ๊ยก็แค่คนจูบกัน ทำเป็นฮือฮาอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้
เรื่องแบบนี้มันก็เป็นปกติของที่นี่อยู่แล้ว ผมแปลกใจจริงๆ ว่าทำไมผู้คนถึงได้สนใจกันนักก็ไม่รู้ ซึ่งพอลองมองดูดีๆ ฝ่ายที่เป็นรับเหมือนจะเป็นนักร้องวัยรุ่นนี่นา ถ้างั้นก็ไม่แปลกหรอกที่ผู้คนจะสนใจ ว่าแต่ฝ่ายที่เป็นรุกคือใครผมชักสนใจซะแล้วสิ
ด้วยความที่เห็นแต่ด้านหลังของเขา ทำให้ผมก้าวเท้าขยับไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะมองหน้าให้เห็นได้ชัดๆ แต่น่าแปลกที่ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ผมกลับยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้น ทั้งส่วนสูง รูปร่าง และทรงผม มันช่างดูคล้ายกับคนที่ผมกำลังตามหาเหลือเกิน
คงไม่ใช่หรอกน่า...
ถึงแม้จะพยายามคิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้ามันก็ชัดเจนเลยว่าผมดูไม่ผิด คนที่กำลังจูบอย่างดูดดื่มกับนักร้องวัยรุ่นคือหมอกจริงๆ ไม่ผิดคนแน่!
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะหมอก! นายเป็นแฟนฉันแต่กล้าไปจูบกับคนอื่นได้ยังไง!” ผมตรงเข้าไปจับสองคนนั้นแยกกันแล้ววีนแตกออกมาทันที ตอนนี้ผมหัวร้อนจนแทบจะพ่นไฟเผาร้านได้อยู่แล้ว
หนอย...ไอ้ผมก็เครียดและกลุ้มใจจนออกตามหาอยู่ได้ไม่รู้กี่ชั่วโมง แต่หมอกกลับออกมาเที่ยวอย่างไม่ทุกข์ร้อน แถมยังนอกใจไปจูบกับคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยอีกต่างหาก เจออย่างนี้ใครมันจะไปทนไหวกันเล่า!
แต่แทนที่เห็นผมกำลังหัวเสียแบบนี้แล้วหมอกจะรีบเข้ามาขอโทษ เปล่าเลย เพราะหมอกกลับขมวดคิ้วแล้วกอดอกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าซะงั้น!
สายตาและท่าทางแบบนั้นทำเอาผมโมโหจนถึงกับเลือดขึ้นหน้า แต่ที่ยิ่งโมโหมากกว่า ก็คือคำพูดกวนประสาทของหมอกนี่แหละ!
“เมาโบท็อกซ์จนเพี้ยนรึไงคุณ ผมชื่อเมฆไม่ได้ชื่อหมอก มาแอบอ้างว่าเป็นแฟนแบบนี้ผมเสียหายนะ”
2BC
สวัสดีค่าทุกคน แปลกใจใช่ม้าที่เห็นเค้ามาลงนิยายวันนี้
ตอนนี้มาลงให้อ่านเร็วกว่ากำหนด เพราะรู้ว่าทุกคนค้างคาจนรีบปั่นจนเขียนเสร็จทันทีพอดี เย่!
แต่...ดูเหมือนว่าอ่านจบตอนนี้ทุกคนจะค้างคามากกว่าเดิมนะเนี่ย อิอิ จะมีใครรู้หรือเดาออกมั้ยน้อว่า
“หมอก” คนที่น่ารัก แสนดี ใสซื่อ และอ่อนต่อโลกคนนั้นอยู่ไหน แล้ว
“เมฆ” คนที่ร้ายกาจ กวนประสาท ปากเสีย และเจนจัดคนนี้เป็นใคร ไหนใครคิดยังไงมาเม้ามอยและเปลี่ยนความคิดกันค่า
ส่วนตอนหน้าก็อาจจะต้องรอกันสัก 3 วันนะคะ พอเข้าปลายเดือนแล้วงานเริ่มหนักจนแอบอู้มาเขียนไม่ได้ ยังไงก็ช่วยรอเค้าหน่อยน้า แล้วถ้าชื่นชอบ (หรืออยากพ่นไฟระบายความค้างคา
) ก็คอมเมนท์เข้ามาเพื่อเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้า ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะ แล้วเจอกันวันเสาร์ค่ะบ๊ายบายยยย
(20 ก.ย. 60)