✎ 09
การไปทำงานในช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าสนุกเหมือนอย่างเคย เพราะผมต้องใส่หน้ากากเข้าหาอิม ซึ่งมันเท่ากับว่าผมต้องส่งยิ้มและทักทายเหมือนกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ในใจของผม มันรู้สึกไม่อยากจะมองหน้า และไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับเธอคนนี้ พูดตามตรงว่าผมปั้นหน้าไม่เก่งเหมือนอย่างเธอ แต่ผมก็ต้องทำ
“พี่ตั้มบอกให้เราจัดเอกสารใหม่นะเม่น แกบอกว่าให้เราทำเป็นชุดของบริษัทแบบชุดใหญ่ที่ต้องถ่ายและคัดเอกสารให้ครบทุกแผ่นอย่างละชุด ส่วนเอกสารของพนักงาน พวกประกันสังคม กับ ภงด.1 ก็ให้ถ่ายใบปะหน้า แล้วก็หน้าแรกที่มีรายชื่อของคนไทย กับหน้าที่มีรายชื่อของพนักงานคนที่จะยื่นวีซ่า แล้วก็ตามด้วยหน้าสุดท้ายทั้งสองชุด”
“แล้วอิมจะไปยื่นเอกสารเมื่อไหร่เหรอ ?” ผมย้อนถามเพื่อที่จะได้กำหนดเวลาในการเตรียมงานของตัวเองได้ทัน โดยต้องเผื่อเวลาเตรียมงานอบรมเอาไว้ด้วย เพราะอาทิตย์หน้าจะมีการอบรมพนักงานใหม่ ซึ่งผมต้องเรียกรายชื่อและเตรียมงานด้านอื่นๆ ต่ออีก
“เรากะจะไปยื่นก่อนวันที่ 7 เดือนหน้า เพราะเอกสารเก่าๆ จะได้ไม่ต้องเสียเปล่า แต่ก็ไม่แน่ใจว่ากว่าจะได้รับเอกสารที่จะต้องไปขอคัดใหม่เนี่ย มันจะทันหรือเปล่า” ผมพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ เพราะ ภงด.1 เดือนล่าสุดดันส่งไปที่ชลบุรีแล้ว และปกติเราก็ขอคัดเพียงแค่หน้าที่เราต้องใช้งานเท่านั้น ซึ่งถ้าหากจะรอคัดที่นี่ ก็คาดว่ามันน่าจะไม่ทันการ เนื่องจากเอกสารกว่าจะส่งกลับมาที่จอมเทียนก็ตั้งเดือนหน้าโน่น และทางเดียวที่จะลุ้นให้เอกสารมันคัดได้ทัน ก็คือต้องไปคัดที่ชลบุรี หรือไม่ก็อาจจะโชคดีมากๆ ที่ทางชลบุรีส่งกลับมาให้ทางสรรพากรในเขตของเราภายในเวลาอันรวดเร็ว
“อื้อ” ผมส่งยิ้มให้อิม โดยไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ จากนั้นก็เดินไปขอกุญแจเปิดตู้ payroll ของฝ่ายเงินเดือน เพื่อที่จะเอาประกันสังคมไปถ่ายเอกสารให้พร้อม ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ เพราะเอกสารของเรามันเยอะมาก อีกทั้งเวลาที่เราเตรียมงานวีซ่า เราก็จะใช้กระดาษหมดไปประมาณครึ่งกล่อง หรือบางเดือนก็จะหมดไปเป็นกล่องเลยก็มี และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกดีใจกับการลดหน้าที่ความรับผิดชอบในการออกไปประสานงานกับทางราชการเลยแม้แต่น้อย เพราะว่างานของผมในตอนนี้ มันก็ไม่ต่างกับงานของเด็กฝึกงาน ที่ต้องทำงานไปตามการป้อนข้อมูล โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผนอะไร ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ประสิทธิภาพ แต่ผมก็ยังหาทางออกให้กับตัวเองไม่พบ ว่าผมควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป
มิหนำซ้ำ ผมยังปั้นหน้าใส่อิมได้ลำบากยากเย็นเหลือเกิน“ไม่คิดเลยเนอะ ว่าเด็กใหม่จะกล้าเลื่อยขาเก้าอี้คนที่สอนงานตัวเองได้รวดเร็วขนาดนั้น” เสียงเครื่องถ่ายเอกสารหยุดทำงานพร้อมๆ กับเสียงพูดคุยของพนักงานแผนกอื่นที่มันดังเล็ดลอดออกมาจากส่วนครัวของออฟฟิศ
“ก็ถ้าไม่ใช่เด็กนาย คิดเหรอว่าจะกล้าทำจนถึงขนาดนั้นน่ะ ?” ผมที่กำลังก้มๆ เงยๆ งัดแงะเครื่องถ่ายเอกสาร เพื่อเอากระดาษที่ติดอยู่ในเครื่องออกมา ก็ถึงคราวต้องชะงักงันขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อผมเริ่มจะประมวลผลได้แล้ว ว่าใครคือบุคคลที่สองสาวกำลังกล่าวถึง
“ก็จริงของแกว่ะปอนด์” แล้วผมก็ถึงบางอ้อทันที เมื่อได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพี่เลขาหน้าห้องปะปนมากับประโยคเมื่อครู่ ซึ่งผมก็เจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อสุดท้ายแล้ว อิมก็เป็นเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน และสาเหตุที่ทำให้ผมเชื่อ ก็ไม่ใช่แค่ว่าได้ยินมาจากปากของคนอื่น แต่มันเป็นเพราะอิมยังไม่ได้แสดงฝีมือจนประสบความสำเร็จอะไรเลย แล้วจากนั้นผมก็ดันถูกเตะโด่งออกมาเป็นลูกมือของอีกฝ่ายเข้าให้ แถมเดี๋ยวนี้อิมก็ไม่ได้ไปกินข้าวกับผม และก็ไม่ได้ไปกินข้าวกับคนอื่นในแผนกด้วย เพราะเธอแยกตัวออกไปเอง ซึ่งคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นกันล่ะ
“สงสารก็แต่น้องเม่นนั่นแหละ” ผมกระพริบตาไล่ความอ่อนแอของตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการถูกคนที่เราไว้ใจหักหลัง มันรู้สึกแย่มากแค่ไหน ก็ผมน่ะเหมือนเม่นอย่างที่ไอ้ผู้กองอนิลมันว่า และนิสัยของผมก็เป็นคนจำพวกที่ถ้าหากได้ลองเปิดใจให้ใครสักคนเข้ามาในวงเวียนของชีวิตแล้ว นั่นก็หมายความว่า คนๆ นั้นคือคนที่ถูกเลือก ผมถึงไม่เคยใช้เกราะป้องกันตัวใดๆ เลย
“ทำไมกระดาษแม่งติดแน่นขนาดนี้วะ” ผมเริ่มบ่นเมื่อใช้แรงดึงกระดาษที่มันค้างคาอยู่ข้างในเครื่องถ่ายเอกสารมากเท่าไหร่ แต่มันก็ยังดึงไม่ออกสักที แล้วเสียงเตือนดัง ติ๊ดๆ นี่แม่งก็จะดังไปเพื่ออะไรวะ
ไอ้เครื่องถ่ายเอกสารนี่เฮ้ย! มึงจะเรียกให้คนที่เขากำลังนินทากู รีบวิ่งมาดูหนังหน้าของกูหรือไงวะ!ครืด ครืด
“อื้อ” ผมรับสายไอ้ผู้กองอนิลหลังจากที่กำลังเคี้ยวข้าวจนเต็มปาก เพราะตอนนี้มันได้เวลาพักที่ผมรอคอยแล้ว ซึ่งผมก็ปลีกวิเวกมาหาอะไรกินเพียงลำพัง
(เสาร์นี้ยกเลิกไปทะเลสัตหีบนะครับ พอดีพ่อกับแม่ผมไม่โอเคเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะต้องไปลงเรียนคอร์สเล่นเรือใบน่ะครับ เราก็เลยเปลี่ยนแผนกันว่า ตอนเย็นๆ สักสี่ห้าโมง เราจะไปหาอะไรกินที่ไร่องุ่นกัน คือที่นั่นจะมีร้านอาหารอยู่ร้านนึง ขายพวกพิซซ่า สเต็ก สลัด น่ะครับ พ่อกับแม่ของผมท่านไม่ค่อยได้กินของพวกนี้ ผมก็เลยกะว่าจะพาพวกท่านไปกิน เพราะเคยได้ยินมาว่า พิซซ่าแป้งบางของที่นั่นอร่อย)
“อ่าฮะ” ผมตอบรับไอ้ผู้กองอนิลหัวหน้าทัวร์ประจำทริปในวันเสาร์ พร้อมกับตักข้าวผัดร้อนๆ ของร้านอาหารตามสั่งแถวๆ ร้อยหลัง ซึ่งก็คือร้านเดิมที่ผมเคยพาไอ้คุณอนิลไปกินก๋วยจั๊บนั่นแหละ
(ส่วนตอนค่ำๆ สักทุ่มสองทุ่ม ผมก็ว่าจะพาพ่อกับแม่ไปดูแพลงก์ตอนบลูมที่บางแสนน่ะครับ คุณสนใจจะไปดูด้วยกันไหม ?)
“จะไปที่นั่นมันต้องแล้วแต่ดวงนะคุณ เราจะไม่ไปเสียเที่ยวกันเหรอ ?” ผมย้อนถามทันทีที่นึกขึ้นได้ว่ากิจกรรมของอีกฝ่ายมันต้องแล้วแต่ความเห็นใจของธรรมชาติด้วย เพราะปรากฏการณ์นี้มันขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ
และที่ผมรู้ ก็เพราะว่าผมอ่านมาจากในอินเตอร์เน็ตน่ะสิ!(ของอย่างนี้มันต้องลองเสี่ยงดูครับ มันถึงจะได้รับผลที่คุ้มค่า)
“…”
(ไปนะ.. ผมอยากให้คุณไปด้วยกัน)
“อื้อ” ผมรับปากอย่างเลื่อนลอย เมื่อได้ยินเสียงออดอ้อนของไอ้ผู้กองอนิล ที่มันหาโอกาสฟังได้ยาก และถึงแม้ว่ากิจกรรมที่เราจะต้องไปทำกันในวันเสาร์ จะไม่เชิงเป็นการไปท่องเที่ยวพักผ่อนก็ตามที แต่อย่างน้อยการได้ไปทานมื้อเย็นกับครอบครัวของไอ้คุณอนิล ก็เป็นกิจกรรมที่คาดว่ามันจะทำให้ช่วงชีวิตของผม ได้พบเจอกับอะไรที่มันดีกว่าการต้องถูกเพื่อนที่ไว้ใจหักหลัง
หลังจากตรากตรำทำงานต่ออีกสองวัน และแล้วช่วงชีวิตของผมก็ได้พบเจอกับวันหยุดที่สุดแสนจะรอคอยกันเสียที ซึ่งผมก็ยังคงคอนเซ็ปเดิม คือต้องการใช้ชีวิตอยู่บนเตียงให้นานที่สุด แม้ว่าตอนเช้าจะยังคงมีมอร์นิ่งคอลให้ได้ใช้บริการอยู่เพียงครู่ก็ตาม กระทั่งบ่ายโมงตรง ผมก็ลงมาปิ้งขนมปังและชงโกโก้ร้อนๆ ทานรองท้อง จากนั้นก็ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยเปื่อย และพอใกล้เวลานัดหมาย ผมก็เดินขึ้นไปอาบน้ำข้างบน ใช้เวลาแต่งตัวเพียงไม่นาน เสียงเครื่องยนต์จากรถของใครบางคนก็ดังขึ้นตรงหน้าบ้าน ผมจึงรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ยัดใส่กางเกง พร้อมกับเอาโทรศัพท์หย่อนลงในกระเป๋าเสื้อ ส่วนมือก็ถือกุญแจบ้านและกุญแจรถของตัวเองไปด้วย
“สวัสดีครับ” ทันทีที่เปิดประตูตรงเบาะหลังและโผล่หน้าเข้าไปเจอกับคุณแม่ของไอ้ผู้กองอนิล ผมก็รีบยกมือไหว้ทักทายท่านด้วยความเกร็งและวางตัวไม่ถูก จากนั้นเมื่อผมเข้ามานั่งอยู่ในรถเรียบร้อยดีแล้ว ก็รีบยื่นหน้าไปไหว้ทักทายคุณพ่อที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ แล้วก็นั่งมองวิวตลอดสองข้างทางด้วยความเงียบงัน
กระทั่งรถเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างแถวๆ ร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ของไอ้ผู้กองก็พากันเดินนำหน้าไปยังสวนเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าร้านอาหาร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวนของไร่องุ่นที่ยังคงเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเข้าชม และด้วยความที่วันนี้เป็นวันเสาร์ อีกทั้งยังเป็นเสาร์ที่แดดร่มลมตก จึงทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันมาจนเยอะแยะ
“จากที่ผมศึกษามานะครับ เวลาที่เม่นรู้สึกแปลกที่ เม่นจะอึครับ คุณอยากเข้าห้องน้ำไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป” เอาแล้วไง ไอ้ผู้กองมันเริ่มจะกวนตีนลับหลังพ่อกับแม่ของมันเข้าให้แล้ว
“อ๋อ คุณจะพาผมไปฆ่าคุณหมกส้วมใช่ไหมครับ โอเคเลยครับคุณอนิล” ผมยิ้มรับพลางพยักหน้าหงึกหงักจนใครบางคนถึงกับทำหน้างอ แต่ขอโทษทีเถอะ ไอ้ผู้กอง นานๆ ทีกูจะเอาชนะมึงได้ ขอให้กูได้สาใจแก่หน่อยเถอะ!
“โธ่เม่น ทำไมคุณใจร้ายกับผมจังครับ” อีกฝ่ายกล่าวตัดพ้อ พลางเอื้อมมือมากอบกุบฝ่ามือของผมไว้ พร้อมแกว่งไกวไปมาราวกับเด็ก
“ก็คุณมันชอบกวนตีนไงครับ” ผมกล่าวเสียงเข้มพลางสะบัดมือของอีกฝ่ายออก แต่ฝ่ามืออันซุกซนคู่นั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายผมก็ต้องยอมให้ไอ้ผู้กองมันแกว่งมือผมเล่นเหมือนเดิม กระทั่งเราเดินมาจนถึงบริเวณที่พ่อกับแม่เลือกที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ไอ้คุณอนิลมันก็เลิกวอแวผมได้สักที ซึ่งที่นั่งที่พวกท่านหมายปองก็อยู่ตรงระเบียงใกล้สวนดอกไม้นี่เอง เรียกได้ว่าเป็นที่นั่งที่ได้อินกับบรรยากาศแบบป่าเขาแบบสุดๆ แถมยังอยู่ใกล้กับโรงอบพิซซ่าอีกต่างหาก
“พ่อกับแม่จะกินอะไรครับ วันนี้เจ้ามืออย่างผมเลี้ยงเต็มที่ เชิญปล้นได้เลยครับ” ไอ้ผู้กองอนิลกล่าวพลางลุกขึ้นยืนและตบเบาๆ ที่กระเป๋ากางเกงซึ่งเหน็บกระเป๋าสตางค์เอาไว้ ราวกับต้องการจะบอกกลายๆ ว่าวันนี้มันเป็น ‘ป๋า’ นะ แล้วก็กระเป๋าตังค์หนักมากๆ ด้วย ทำเอาพ่อกับแม่ของมันหัวเราะกันยกใหญ่ จากนั้นพวกท่านก็พากันดูเมนูด้วยความมึนงง เพราะว่ามันเป็นภาษาอังกฤษ สุดท้ายไอ้ผู้กองที่เคยมากินร้านนี้ก็เลยต้องเป็นคนสั่งไปโดยปริยาย
“เราน่ะ ชื่อเม่นใช่มั้ย ?” คุณพ่อผู้มีท่าทางใจดีเอ่ยถามผมที่นอกจากการกินแล้ว ก็ทำได้แค่นั่งปั้นหน้ายิ้มบางๆ ประกอบบทสนทนาของสามคนพ่อแม่ลูก ที่ผมรู้สึกว่ามันน่ารักดี ซึ่งบทสนทนาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเรื่องราวพิเศษอะไร นอกจากกล่าวถึงบรรยากาศรอบกาย รสชาติของอาหาร แต่ไหงหัวเรื่องมันถึงได้มาจบลงที่ผมได้ล่ะเนี่ย
“ครับ”
“แล้วเราทำงานอะไรล่ะ ?” แม้ว่าคุณพ่อจะสอบถามด้วยท่าทางใจดีขนาดนั้น แต่ผมก็ยังเกร็งๆ อยู่ดี
“เอ่อ.. ฝ่ายบุคคลครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงของคนไร้ความมั่นใจ พร้อมกับยกยิ้มส่งไปให้กับคุณพ่อและคุณแม่ที่เอาแต่นั่งมองผมด้วยความสนใจ ขณะที่ลูกชายของพวกเขากลับเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา แถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เปลี่ยน
สงสัยแม่งจะฟินมากที่พ่อกับแม่ของตัวเองมานั่งซักประวัติผมขนาดนี้ไม่ช่วยกูเลยนะมึงไอ้ผู้กอง!“แล้วเราไปเจอกับเจ้าปราบได้ยังไงล่ะ ?” คุณพ่อยังคงตั้งคำถามต่อไป ราวกับท่านรับรู้ได้ว่าผมกำลังวางตัวไม่ถูก ก็เลยอยากจะหาบทสนทนาที่ผมพอจะร่วมวงคุยด้วยได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องนี้ไงครับ
โธ่! คุณพ่อครับ เห็นใจไอ้เม่นด้วย!“ผมทำฝ่ายบุคคลในส่วนที่ต้องไปยื่นเอกสารวีซ่าน่ะครับ ก็เลยได้ไปเจอกันที่นั่น”
“อ้อ” คุณพ่อพยักหน้ารับรู้พลางอมยิ้มให้กับการเจอกันของเราในสถานที่ที่สุดแสนจะวุ่นวาย ซึ่งผมอยากจะบอกคุณพ่อว่า ‘โธ่ คุณพ่อครับ อย่าได้คิดว่าการเจอกันของเรามันจะโรแมนติกเลยครับ’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม่งนรกแตกเถอะครับ เสียงก็ดัง ร้อนก็ร้อน วุ่นวายก็โคตรจะวุ่นวาย แถมความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลูกชายของคุณพ่อในตอนนั้น ก็มีแต่กวนตีนกับกวนตีนเท่านั้นครับที่คู่ควรกับคนอย่างมัน!
“เราคงจะไปที่ทำงานของเจ้าปราบบ่อยเลยล่ะสิ ถึงได้มาคบหากันได้”
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากส่งยิ้มบางๆ ไปให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม เพราะถ้าหากผมได้พูดออกไป มีหวังผมได้บ่นไอ้ผู้กองยาวเหยียดแน่ๆ แถมยังอยากจะกระทืบลูกชายของคุณพ่อให้แบนคาตีนอีกด้วย
ก็เพราะมันนั่นแหละครับ ทำให้ผมต้องเอาเอกสารไปส่งให้ครั้งแล้วครั้งเล่า!“เม่นเขาชอบเอาเอกสารมาให้ผมไม่ครบครับพ่อ สงสัยว่าจะแอบวางแผนจีบผมไว้ล่วงหน้าแน่ๆ” เมื่อไอ้ผู้กองมันเห็นว่าผมไม่ยอมตอบคำถาม มันก็รีบเสนอหน้าเข้ามาตอบอย่างรวดเร็ว
แต่เดี๋ยวนะมึง เรื่องที่มึงพูด ทำไมมันเหมือนหนังคนละม้วนกันเลยวะ ?ไอ้ผู้กองเวรนี่ มึงชักจะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว!ตึ่บ!
“พอดีเอกสารของบริษัทผมมันเยอะน่ะครับคุณพ่อ ก็เลยทำให้เจ้าพนักงานชอบทำเอกสารของผมหาย” ผมกระทืบเท้าไอ้ผู้กองอย่างแรง พลางกัดฟันตอบคุณพ่อด้วยรอยยิ้ม ขณะที่หางตาก็เหล่มองไปยังคนข้างๆ ก็เลยพบว่ามันกำลังทำสีหน้าเจ็บปวดอยู่
“แล้วเม่นเป็นคนจังหวัดอะไรล่ะจ๊ะ” คุณแม่เป็นฝ่ายสอบถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็เป็นการดีที่ผมจะได้ออกห่างจากหัวข้ออันล่อแหลมที่มันเสี่ยงต่ออารมณ์ของขึ้นเป็นอย่างมาก
“ชลบุรีครับ ผมเป็นคนพื้นที่”
“ถ้ายังไงพ่อฝากดูๆ เจ้าปราบมันหน่อยนะเม่น มันต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียว พ่อเองก็กังวล”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยคุมความประพฤติให้ครับ แต่อันที่จริง ปราบเขาก็มีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่เหมือนกันนะครับ” ผมตอบอย่างนอบน้อม พลางอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณพ่อไม่รู้หรือไงว่าลูกชายตัวดีไปร่วมหุ้นเปิดร้านนั่งชิลด์ริมทะเลกับเพื่อนน่ะ แถมเพื่อนก็ยังเป็นคนพื้นที่ซะด้วย
ลูกชายของพ่อไม่ได้โดดเดี่ยวนะครับ “ให้เพื่อนช่วยดู มันจะไปเหมือนกับให้แฟนช่วยดูได้ยังไงล่ะเม่น” คุณแม่กล่าวพลางกลั้วหัวเราะ ทำเอาผมต้องหัวเราะตามอย่างเสียไม่ได้ เพราะอันที่จริงในใจของผมนั้นกำลังเสียจริตมากๆ เลยโว้ย! คือตอนนี้ผมได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวของแฟนแล้วเหรอวะเนี่ย!
โห แม่งโคตรเร็วเลยว่ะ พ่อกับแม่ไม่คิดจะหวงไอ้ผู้กองมันหน่อยเหรอครับ ?หวงสักนิดก็ยังดีนะครับ เพราะบางทีผมยังอยากจะกระทืบมันอยู่เลยครับหลังจากเช็คบิล ไอ้ผู้กองมันก็พาเราออกเดินทางจากสัตหีบเพื่อมุ่งตรงไปยังบางแสน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางสักพักใหญ่ และครั้งนี้คุณพ่อก็ย้ายมานั่งข้างหลังกับคุณแม่ ผมก็เลยต้องย้ายตัวเองไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของไอ้ผู้กองอนิลตามเดิม เพิ่มเติมคือมันไม่กวนตีนใส่ผมต่อหน้าพ่อกับแม่ของตัวเองครับ
ซึ่งก็ดี ผมจะได้งดประสาทแดกชั่วคราวเพราะแค่นี้ก็ถือว่าผมได้ไปเที่ยวพักผ่อนสมองอย่างแท้จริงแล้วล่ะครับสถานที่ยอดฮิตสำหรับการไปดูแพลงก์ตอนบลูม หรือภาษาชาวบ้านก็คือ ‘ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ’ เนี่ย มันอยู่ที่สะพานปลาแถวหาดวอนนภาครับ เพราะว่ามันเป็นจุดที่มืดที่สุด จึงทำให้มองเห็นทะเลเรืองแสงได้สวยงามที่สุด ซึ่งเราจะต้องไปจอดรถไว้ที่ลานอเนกประสงค์ เนื่องจากว่าบริเวณนั้นไม่ค่อยมีที่จอดสำหรับรถใหญ่ จากนั้นก็ต้องเดินเท้าเอาครับ และอุปสรรคอันใหญ่หลวงเลยก็คือ ‘กลิ่น’ เพราะเจ้าแพลงก์ตอนบลูมเนี่ย กลิ่นของมันตามที่เขารีวิวกันมา ต่างก็บอกกันให้แซ่ดว่าเหมือนกับปลาเน่าตายมาหลายวัน ซึ่งผมเองก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ากลิ่นของมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ซึ่งเท่ากับว่าเจ้าแพลงก์ตอนบลูมอะไรนี่ มันสวยก็จริงครับ แต่แม่งเหม็นโคตร!“ไม่เห็นมีอะไรที่แกนำเสนอเลยวะเจ้าปราบ” คุณพ่อกล่าวขึ้น เมื่อเราเริ่มเดินมาจนถึงตัวสะพานปลา ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวมารอชมปรากฏการณ์ธรรมชาติในครั้งนี้อย่างมากมาย
“เราต้องเดินไปให้ลึกกว่านี้ครับ มันถึงจะเห็นชัด” ไอ้คุณปราบมันเดินประคองคุณแม่ของมันไม่ห่าง ขณะที่มันก็คอยตอบคำถามคุณพ่อของตัวเองไปด้วย ผมที่เดินตามหลังก็เลยได้แต่มองภาพของครอบครัวนี้ด้วยความรู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ของตัวเองจับใจ
“คุณเห็นไหม ผมบอกแล้วว่าของอย่างนี้มันต้องยอมเสี่ยงถึงจะคุ้มค่า” กระทั่งเราเดินเรื่อยมาจนผ่านพ้นบริเวณที่มีแสงสว่างส่องถึง เราก็เริ่มจะมองเห็นแสงสีฟ้าๆ ลอยฟุ้งอยู่ตรงโคนเสาหินปูนแทบทุกต้น
“อื้อ” ผมพยักหน้าพลางส่งยิ้มไปให้กับไอ้ผู้กองอนิลที่กำลังเปลี่ยนมาจับจูงข้อมือของผมแทน เพราะในตอนนี้คุณแม่และคุณพ่อกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มันหาดูได้ยากอย่างตื่นตาตื่นใจ
“แต่ตรงนี้กลิ่นไม่ค่อยเหม็นเลยเนอะคุณ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเราเดินเข้าไปสมทบกับผู้ใหญ่ทั้งสอง
“คงเพราะลมมันแรงด้วยมั้งคุณ ถือว่าเป็นโชคดีของเราไป”
“พ่อครับ แม่ครับ ปลายสะพานไม่มีคนเลย ผมว่าเราไปดูตรงนั้นกันดีกว่าไหมครับ ?”
“แกไปกับเม่นเถอะ พ่อกับแม่อยู่ดูตรงนี้ดีกว่า” เมื่อผู้ใหญ่ท่านปฏิเสธ ไอ้ผู้กองอนิลมันก็ลากให้ผมเดินตามไปยังสุดปลายทางของสะพานแห่งนี้ด้วยความมุ่งมั่น
“ทางผมมีการปรับเปลี่ยนการยื่นเอกสารใหม่แล้วนะคุณ มันน่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นได้เยอะเลย” ไอ้ผู้กองอนิลกล่าวขึ้นในขณะที่มันยังคงลากผมไปยังจุดหมายปลายทาง
“อื้อ ผมรู้แล้วล่ะ เพราะอันที่จริงผมก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับงานนี้อยู่” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางอดคิดไม่ได้ว่า การแก้ปัญหาในครั้งนี้ ก็คงจะทำให้อิมได้ความดีความชอบไปโดยปริยาย
“อ่าฮะ ผมเองก็พอจะทราบขอบเขตงานของคุณแล้วเหมือนกัน พอดีผมถามมาจากเพื่อนของคุณน่ะ”
“หึ” ผมหลุดหัวเราะอย่างนึกขำในคำจำกัดความของคำว่า ‘เพื่อน’ ที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาอย่างไม่รู้อะไร แต่กับผมที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ก็คงไม่อาจเอื้อมจะไปเป็นเพื่อนกับเธอคนนั้นหรอก
“คุณเรียกเธอว่าเพื่อนร่วมงานของผม น่าจะเหมาะกว่าครับ”
“คุณโอเคนะเม่น ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงอ่อน ขณะที่สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจน
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากหันไปมองตาอีกฝ่าย แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือบริเวณที่มืดที่สุด เพราะมันอยู่ตรงสุดปลายทางของสะพานปลาแห่งนี้ และมันก็ทำให้ผมมองเห็นทะเลเรืองแสงอย่างงดงาม ซ้ำยังไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์มาให้เสียอารมณ์อีกด้วย
“พอคลื่นซัดแรงๆ มันก็เรืองแสงชัดเลยเนอะคุณ” ผมหันไปพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างกันเงียบๆ หลังจากที่บทสนทนาในเรื่องนั้นต้องจบลงกลางคัน
“อื้อ สวยดี” ไอ้ผู้กองอนิลมันตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางหันมาส่งยิ้มให้ผมที่จ้องมองมันอยู่ก่อนแล้ว
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี.. ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะคุณเป็นคนบอกกับผมเอง” ผมจ้องหน้าพลางพูดกับไอ้ผู้กองอนิลอย่างจริงจัง สาเหตุหนึ่งก็เพื่อย้ำกับตัวเอง และอีกสาเหตุหนึ่งก็เพื่อให้ใครอีกคนสบายใจ
“อื้อ มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ๆ” ชายหนุ่มผู้ที่เคยมีรอยยิ้มกวนตีน บัดนี้เขากลับส่งรอยยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ผมอีกแล้ว มิหนำซ้ำฝ่ามือใหญ่คู่นั้นก็ยังเอื้อมมาลูบไล้เส้นผมที่กำลังปลิวไสวไปตามแรงลมอย่างอ่อนโยน ทำเอาหัวใจของผมรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะปราบ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว พลางมองตรงไปยังแสงสีฟ้าครามในท้องทะเลอันมืดสนิท ขณะที่ความอบอุ่นจากใครอีกคนก็ยังไม่ห่างหายไป
“อืม ถ้าต้องการเมื่อไหร่ก็แวะมา..”
“เซเว่นน่ะเหรอ ?” ผมแกล้งย้อนถามพร้อมกับยกยิ้มกว้าง เมื่อไอ้ผู้กองอนิลมันถึงขั้นแปลงสโลแกนของเซเว่นที่ว่า ‘ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมา’ ขึ้นมาพูดเฉย
แถมแม่งยังทำให้ผมใจสั่นได้อีกด้วยนะ “โธ่คุณ.. ถ้า ‘หิว’ น่ะไปเซเว่นก็ได้อยู่ แต่ถ้าต้องการ ‘กำลังใจ’ ต้องมาหาผมคนเดียวครับ เพราะถ้าหาจากที่อื่นน่ะ มันไม่ฟินเท่าหาจากผมหรอก!” -------------------------------------------------------
เหลืออีกประมาณ 3 ตอน เรื่องนี้ก็ใกล้จะจบลงอย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นพล็อตที่คิดขึ้นได้ชั่ววูบจริงๆ เนื้อหามันเลยไม่มีอะไรมาก และในตอนนี้ ผู้กองอนิลก็จะอบอุ่นหน่อยๆ
แพลงก์ตอนบลูม (Bloom) เกิดจากแพลงก์ตอนพืชชนิดหนึ่งมีชื่อว่า น็อคติลูก้า Noctiluca มีสาหร่ายสีเขียวอาศัยแบบพึ่งพาอาศัยอยู่ในตัวของมัน เมื่อได้รับธาตุอาหารจากการที่ฝนตกหนักและพัดพาลงสู่ทะเล ทำให้แพลงก์ตอนชนิดนี้เพิ่มจำนวนทวีคูณ เมื่อมีจำนวนมากพวกมันก็แย่งกันหายใจ ทำให้ออกซิเจนละลายน้ําลดลง อีกทั้งยังใช้ในการย่อยสลายซากที่ตายแล้ว จนทําให้ไม่เพียงพอต่อการหายใจและการดํารงชีวิตของปลาและสัตว์ทะเลในบริเวณนั้น
แล้วมันเรืองแสงได้อย่างไร ?ความสามารถพิเศษของแพลงก์ตอนชนิดนี้ เมื่อถูกรบกวนมันจะเปล่งแสงออกมา ลองสังเกตได้จากตอนที่มีคลื่นกระทบ หรือยอดเกลียวคลื่น หรือแม้แต่การเอาไม้ไปตีวนในน้ำก็ทำให้เกิดแสงเรืองๆ ได้เช่นกัน
ที่มา : เพจห้องแลปหรรษา สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล