ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
คุณค่า...ที่คุณคู่ควร
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันควรจะเป็นไปในทิศทางใด ไม่รู้ว่าคำตอบมันควรจะออกมาแบบนี้หรือไม่ ฉันเหมือนคนที่อยู่ตรงทางแยก ทางที่บังคับให้ฉันต้องเลือกเดิน ทางที่ไม่เคยคิดว่าในวันนี้ฉันจะได้เลือกมัน ไม่เคยคิดว่าจะได้ตัดสินใจ ทางที่เคยเดินร่วมกันมาตลอด ๕ ปี แต่สิ่งที่ฉันกำลังจะตัดสินใจ ฉันเองก็ไม่รู้ว่านี่คือคำตอบที่ดีที่สุดของชีวิตหรือไม่
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ พิมพ์ หรือ พิมพ์ลภัส ชื่อของฉันหมายความว่า คนที่มีลาภคือรูปงาม ฉันไม่เคยคิดว่าฉันสวย แค่พอไปวัดไปวาได้ก็เท่านั้นเอง แต่หลายๆคนก็บอกว่าฉันเองสวย แต่เรื่องนั้น ช่างมันเถอะ ถึงจะสวยไม่สวยแต่ถ้าหากว่าเราไม่เห็นคุณค่ามันหรือไม่มีคนเห็น ในความคิดของฉัน แล้วเราจะสวยไปทำไม เรื่องของฉัน ไม่ใช่สิ เรื่องของเรามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนนะ อืม คงจะตอนนั้นเอง ตอนขึ้นปีสอง
“พิมพ์แกไปเดินแพลตตินั่มกะฉันป่ะ อยากได้รองเท้าใหม่น่ะ นะนะ ไปเป็นเพื่อนหน่อย” วารินทร์เพื่อนสนิทของฉันเองค่ะ เราสนิทกันตั้งแต่ปีหนึ่ง ฉันเรียนอักษรฯที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วารินทร์เป็นคนตัวเล็กกว่าฉันมาก ฉันเองสูง ๑๗๓ มีคนเรียกฉันโย่งด้วยนะ ยิ่งตอนเรียนมัธยมโดนล้อจนเสียความมั่นใจ แต่พอเรียนมหาวิทยาลัย มีคนสูงกว่าฉันเยอะ ยิ่งในคณะของฉันเอง มีสูงกว่าฉันอีกหลายคนเลยล่ะ
“อะไรแก วันก่อนก็ไปซื้อมาจากสวนแล้วไม่ใช่เหรอ จะซื้อไปถมบ้านไง”
“อะไรล่ะแกก็ คู่นั้นมันกัดเท้าฉันอ่ะ จะไปถอยมาใหม่ ไปงานวันเกิดยัยอรไง แกเองก็ไม่ดูคู่ใหม่ไปบ้างเหรอ”
“ฮื่อ ไม่เอาอ่ะ คู่เก่าฉันก็ยังใส่ได้” “ผ้าใบคู่นั้นแกเนี่ยนะ โหยแก ไปงานวันเกิดยัยอร ไม่แต่งตัวไปเดี๋ยวมันก็โวยหรอก” เรื่องการแต่งตัวของฉันนี่ก็เป็นที่ตำหนิของเพื่อนๆในกลุ่มเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากฉายา “อีเบ๊อะ” ยังมี “อีเฉิ่ม” ฉันแต่งตัวไม่เก่ง หน้าไม่เคยแต่งเลย ทาแต่แป้งเด็กบางๆพอไม่ให้หน้ามัน ฉันไม่ได้รู้สึกอายหรือไม่พอใจเวลาทีเพื่อนๆล้อ เพราะฉันเองก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันยอมรับโดยดุษฎี
“จะมาโวยอะไรล่ะแก ไปก็ไปแล้วไง แค่ไม่แต่งตัวเปรี้ยวๆเหมือนพวกแกน่ะเหรอ มันรู้หรอกน่าว่าฉันเป็นคนยังไง”
“ค่า แม่คุณ สวยอ่ะเนอะพูดได้ซี้ อย่างแกน่ะ ไม่ต้องแต่งหน้า ไม่แต่งตัว พวกผู้ชายก็ตอมกันหึ่ง”
“นี่ยัยวา คนนะไม่ใช่ขี้ แหมแก” ตกลงแล้วฉันเองก็ต้องพาวารินทร์ไปเดินแพลทตินั่มจนได้
“แหมๆ ไหนบอกไม่เอาๆ ดูดิ แกก็อดไม่ได้อยู่ดีล่ะ” เดินเป็นเพื่อนวารินทร์อยู่นานฉันเองเลยอดใจไม่ไหว ซื้อเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีสดๆมาตัวหนึ่ง
“ก็มันไม่แพงนี่แก ใช้จ่ายมากไม่ได้หรอก เดี๋ยวแม่ด่าเอา”
“แหมแกจะประหยัดไปไหนเนี่ย สอนพิเศษก็สอน จะเก็บเงินไปทำไรยะ” ตัวฉันเองเป็นคนราชบุรี อยู่กับแม่ มีน้องชายอีกหนึ่งคนกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ฉันสงสารแม่ที่ต้องหาเงินส่งเสียเราสองคนเรียน เพราะแม่ฉันเองเป็นแม่ค้าในตลาดขายผัดสดเท่านั้น ฉันเองพอสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยได้ก็ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจะเช่าหอพักอยู่กับเพื่อน คือวารินทร์และ กาญจนา แต่นั่นมันก็เงิน ถึงแม้จะหารกัน พอเรียนไปได้เทอมหนึ่งฉันจึงรับสอนพิเศษตามบ้าน ก็เท่านั้นเอง
“กินเตี๋ยวไหมแก ซื้อไปฝากไอ้กาญมันด้วย” ฉันเอ่ยปากชวนวารินทร์
“เอาดิ อยากกินอยู่เหมือนกัน” หอพักของเราอยู่แถวบ่อนไก่ ผู้คนพลุกพล่าน ที่เลือกที่นั่นก็เพราะมันไม่แพงมาก อีกทั้งเดินทางไปมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก
“พิมพ์ๆ มีคนมองแกว่ะ” กาญจนาสะกิดบอกฉันตอนเย็น หลังจากที่เราเดินออกมาจากหอสมุด
“บ้าเหรอแก เขาไมได้มองฉันหรอกย่ะ มองแกนั่นล่ะ”
“จริงอ่ะ อุ้ย หน้าฉันโอยังแก เติมแป้งหน่อยไหม หน้าผากมันป่ะ”
“เวอร์จริงๆ สวยจ๊ะ สวยมาก” “อิอิ ค่อยมั่นใจหน่อย” กาญจนาเล่นหูเล่นตากับชายคนนั้น ท่าทางน่าจะเป็นรุ่นพี่
“เอ่อ น้องครับ ชื่อไรครับ น่ารักจังเลย” ฉันไม่ได้สนใจคำที่เขาถาม แต่กาญจนาดูสนใจมากเป็นพิเศษ
“เอ่อ ชื่อกาญค่ะ” กาญจนาอายม้วนไป เอาสีข้างมาถูกับตัวฉัน
“แล้วน้องล่ะครับ” เขาคงหมายถึงฉันใช่ไหม ฉันเลยหันไปมองเขา
“ใครคะ หนูเหรอพี่” ฉันถามเขาแบบงงๆ
“ครับ เรานั่นล่ะ น่ารักจังครับ” ฉันมองหน้าเขาแปลกๆทันที กาญจนาเองก็ทำท่าอารมณ์บูดขึ้นมา
“ว่าแล้ว อารมณ์เสีย แหมไอ้บ้า ฉันล่ะนึกว่าจะมาเหล่ฉันซะอีก เห็นไหมแก แกนั่นล่ะๆอยู่ก็ไม่เชื่อ” กาญจนาโวยวาย ฉันเองไม่ได้คิดอะไร ฉันไม่ใช่ทอมค่ะ ไม่เคยคิดชอบผู้หญิง แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ฉันสามารถบอกได้ว่า ฉันชอบเขา ยังไม่มี
“แกอย่าไปสนใจเลย หน้าตาประหลาด ท่าทางจะเด็กวิทย์ แว่นตาฉันล่ะนึกว่าแว่นขยาย แกลองนึกดูดิ ถ้าเขาถอดแว่นขึ้นมา เขาจะมองอะไรยังไงวะแก” เราสองคนหัวเราะกันคิกคัก
“นี่ยัยพิมพ์ อย่าบอกนะว่าแกจะแต่งตัวแบบนี้ไปงานยัยอรน่ะ ต๊าย จะปิดไปไหนยะหล่อน เปิดบ้างอะไรบ้าง ให้เขาเห็นบ้างสิวะแก ขาขาวๆสวยๆน่ะ มีดีก็ไม่อยากโชว์ เป็นฉันหน่อยไมได้ ฮึ” วารินทร์ทำเสียงสูงตอนที่ฉันแต่งตัวเสร็จ
“เออ อะไรของแกนะพิมพ์ ใส่เป็นแต่ยีนส์เหรอแก ใส่กระโปรงบ้างดิ ฉันให้ยืม นะนะ ลองใส่หน่อย”
“นั่นดิ ของฉันก็มีสวยๆตั้งหลายตัว ขาแกสวยจะตายไป” วารินทร์กับกาญจนารบเร้าอยู่นาน ฉันจึงยอม ใส่กระโปรงตัวที่ยาวที่สุด ฉันเป็นสาวค่อนข้างหัวโบราณเหรอ ไม่หรอก แต่ฉันแค่คิดว่าไม่รู้จะใส่ไปอวดใคร ขาฉันไม่ได้สวย ฉันไม่มั่นใจ ถึงแม้มั่นใจแต่ฉันคงคิดว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้ดูมัน นี่มันคือความคิดของฉัน
“ว้าย ฝนตกแน่ๆคืนนี้ ยัยพิมพ์ใส่กระโปรง” พอไปถึงงาน เจ้าของงานก็กรี๊ดออกมาเสียงดัง ฉันอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนดี คือกระโปรงนิสิตก็ใส่แบบพลีทยาวตลอด และชุดนักศึกษามันไม่เหมือนกับชุดข้างนอก เพราะชุดข้างนอกฉันไม่เคยใส่กระโปรงเลย
“เบาๆหน่อยสิยะแก ฉันอายเขานะ” ต้องลากแขนอรไปปรามไม่ให้มันเสียงดัง แต่คงไม่ทันแล้ว
“ว้าย จริงด้วย ต๊าย ใส่กระโปรงก็หวานไปอีกแบบนะเนี่ย ทำไมไม่รู้จักใส่บ้างนะยัยพิมพ์”
“แต่จะยาวไปไหนเนี่ย โบฮีเมียนเหรอยะหล่อน ขาสวยๆก็อวดบ้างสิ ให้หนุ่มๆน้ำลายหกหน่อยสิยะ” เสียงใครต่อใครดังเซ็งแซ่ ฉันเองก็อายหน้าแดงก้มหน้าท่าเดียว เดินเข้างานไปเพื่อนๆก็แซวตลอดงาน อรเองมีเพื่อนเยอะมาก เพราะเห็นคนที่หน้าตาไม่คุ้นเลยก็มี ผู้ชายก็มีไม่น้อยเหมือนกัน นั่นมันยิ่งทำให้ฉันอาย
“ไม่เคยใส่กระโปรงเหรอครับน้อง เห็นเพื่อนๆแซวกันใหญ่เลย” ตอนที่ฉันไปเข้าห้องน้ำแล้วตอนเดินออกมา นั่นเป็นตอนที่ฉันได้รู้จักกับเขา
“ใครคะ หนูเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ คนข้างหลังน้องต่างหาก” เขามองเลยแผ่นหลังฉันไป ฉันหันตามไป เอ๊ะ ไม่มีใครนี่นา อย่าบอกนะว่าเขาเห็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน
“อะไรอ่ะพี่ ใครอ่ะ ไม่เห็นมีใคร” ฉันเริ่มระแวง หน้าซีดลงทันที
“อ้าว ก็คนที่สวยๆ ผมยาวๆ ที่ยืนใส่กระโปรงยาวๆอยู่นี่ไงครับ” เขาบุ้ยปากไปทางกระจกหน้าทางเข้าห้องน้ำ
“อ่านะ” จากที่ระแวงและกลัว กลายเป็นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที ก็กระจกมันส่องสะท้อนเงาฉันอยู่นี่คะ
“พี่ชื่อจเรนะครับ” เขายิ้ม ฟันเขาสวยดีนะ คงจะดัดมาตั้งแต่เด็ก
“ค่ะ คุยกับใครคะ หนูหรือว่าคนข้างหลัง” ฉันตอบเขาไป ไม่ได้คิดจะตั้งแง่กวนหรืออะไรนะ
“ฮ่าๆ น้องนั่นล่ะครับ คนข้างหลังเขาบอกให้ถามน้อง”
“หนูหิวจัง ขอตัวก่อนนะคะพี่” อย่าเพิ่งคิดว่าฉันหยิ่งหรือท่าเยอะนะคะ แต่ฉันไม่ชอบผู้ชายที่ทำความรู้จักกับผู้หญิงด้วยลักษณะอย่างนี้ ไม่รู้สิ สำหรับฉันคงเพราะที่ไม่เคยด้วยล่ะมั้ง
“พี่ก็หิวพอดีเลยครับ งั้นไปกินด้วยกันไหม พี่นั่งตรงโน้น”
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูมากับเพื่อน หนูไม่รู้จักพี่ด้วย เพื่อนพี่ด้วย ขอบคุณนะคะพี่”
“ถ้าไม่ทำความรู้จัก ก็จะไม่มีวันได้รู้จักกัน ไม่ใช่เหรอครับ น้อง” ฉันจากที่หันหลังกำลังจะก้าวเดิน หยุดกึกลง
“หนูชื่อพิมพ์ค่ะ พิมพ์ลภัส ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่ จเร” ฉันยิ้มให้เขาแล้วรีบเดินหนีมาทันที เขารู้หรือเปล่าไม่รู้ว่าฉันเรียนอักษรฯ แล้วเด็กอักษรฯก็มักจะปลื้มคนที่เขามีคารมคมคายหรือเปล่าไม่รู้ แต่สำหรับฉันคำพูดของคนมันสื่ออะไรหลายอย่าง ฉันชอบคนที่ใช้คำพูดเป็น ไม่ต้องพูดให้มากความแต่มีควาหมายประมาณนั้น
“อุ้ยแก พี่คนนั้นใครอ่ะ โครตหล่อ อ๊าย หล่อมาก มองมาทางนี้ด้วย” พอไปนั่งกับเพื่อนๆ ทุกคนก็หันไปทางเดียวกัน ยกเว้นฉันคนเดียว เพราะเรื่องผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยได้รับการสนใจจากฉันสักเท่าไหร่นัก
“ว้ายจริงด้วย หล่อจังแก ใครอ่ะ ไม่เคยเห็น” เพื่อนๆในกลุ่มรุมเจ้าของงานกันใหญ่
“อ้อ พี่เรน่ะ เรียนวิศวะนะแก เป็นเพื่อนกับพี่ตู่แฟนฉันไง เลยชวนมาให้พวกแกกรี๊ดเล่นๆ”
“กรี๊ด แก หล่อจริงอะไรจริง เขามีแฟนยังอ่ะ” กาญจนาดูเหมือนจะอยากรู้กว่าใคร
“พี่ตู่บอกโสดจ๊ะพวกเธอ เพิ่งเลิกกับแฟนไปเมื่อเดือนที่แล้ว”
“ว้าย ฉันสนเธอ ด่วน แนะนำให้รู้จักเลย” ฉันเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ถึงไมได้มองหันหลังกลับไปดูว่าเพื่อนๆพูดถึงใครกัน แต่ก็พอจะเดาออก คนอะไร ชื่อจเร
“นี่ๆ พวกเธอ นี่พี่เร พี่เรคะ นี่เพื่อนๆของอรค่ะ คนนี้ กาญ คนนี้ดาว วา”
“แล้วก็พิมพ์” ฉันร้อนวูบวาบที่หน้าทันทีเพราะเขาชิงพูดแล้วยิ้มมาที่ฉัน
“เอ่อ พิมพ์คะ” เพื่อนๆหันมาจ้องฉันเป็นตาเดียว ฉันเองก็เม้มปากก้มหน้าลงทันที
“พี่รู้จักน้องพิมพ์เมื่อกี๊นี่เองครับ เห็นแซวน้องพิมพ์กันจัง พี่ขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมครับ” แล้วใครจะบอกปัดไปในเมื่อเพื่อนๆทุกคนอยากจะรู้จักเขาเต็มแก่อยู่แล้ว
“มานี่เลยแก บอกมานะ ไปรู้จักพี่เขาเมื่อไหร่” กาญจนาลากฉันออกมาจากโต๊ะ เกือบจะทันทีที่เขานั่งลง
“อะไรแก ก็เมื่อกี๊ไง เขาถามเมื่อกี๊ล่ะ”
“ว้าย หล่อนะแก ฉันว่า แกน่ะ ดวงมาแล้ว” ท่าทางของกาญทำให้ฉันงง
“ดวงอะไรมายะ” “ดวงเนื้อคู่ไงแก หล่อมากแกพิมพ์ งาบเลยนะ แกไม่เอาฉันเอานะยะ” ฉันหัวเราะออกมา ท่าทางของกาญจนาทำให้ฉันนึกถึงดาราตลกในโทรทัศน์
“บ้าเหรอแก นั่นคนนะ ไม่ใช่มะม่วง จะให้งาบได้ไง” ถามฉันว่าเขินไหม เขินนะ ทำไมตอนนี้หัวใจฉันมันเต้นแรงเหลือเกิน เขาหล่อฉันยอมรับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอคนหน้าตาดี ถ้าให้เทียบกับใครหลายคนที่ฉันเคยเจอผ่านตามา เขาเองก็ไม่ได้หน้าตาดีไปกว่าคนพวกนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่ทำไมเขาน่ามองจังเลย
“นี่พวกหล่อน นี่วันเกิดฉันนะยะ ไม่ใช่เชิญมาถือศีล ชนแก้ว” เจ้าของงานเริ่มมอมเหล้า ฉันเองไม่ดื่มอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เพื่อนมันไม่ยอมจึงต้องจิบไวน์แดงที่อรให้เด็กในร้านเอามาเพิ่ม แต่พอจิบก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนตามใบหน้าและลำคอทันที
“พี่ตู่ขา ไปเจอยัยอรยังไงคะเนี่ย” ตอนนี้โต๊ะของเรามีเพื่อนร่วมโต๊ะเยอะกว่าเดิม กลุ่มของเขาก็เหมือนจะย้ายมานั่งรวมกัน เสียงหัวร่อต่ะอกะรซิกกันดังเป็นระยะ เพราะตอนนี้ประเด็นอยู่ที่เขาและแฟนของอร
“พี่เจออรที่งานสัปดาห์หนังสือน่ะครับ เห็นก็ชอบเลย น่ารักดี” แฟนของอรพูดแล้วหันไปยิ้มให้อร
“บ้าพี่ตู่ก็ อายเพื่อนบ้างสิคะ” พวกเราทุกคนตั้งใจฟังที่อรกับพี่ตู่เล่า
“บอกมาเลยๆ ยัยอร” เพื่อนๆก็เชียร์กันใหญ่ จนอรและพี่ตู่อายม้วนไป ฉันเองก็หัวเราะไปกับเพื่อนๆ แต่เหมือนมีสายตาของเขาจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มที่เคลือบมากับแววตานั้นทำให้ฉันต้องคอยหลบตา
“แล้วนี่กลับยังไงกันครับน้อง” เขาถามตอนที่พวกเรามายืนออกันอยู่หน้าร้าน กาญจนาเมาเละเทะฉันกับวารินทร์ต้องหิ้วปีกคนละข้างเลยทีเดียว
“นั่งแท็กค่ะพี่เร” วารินทร์ตอบไป
“ไม่ดีมั้งครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่านะ แล้วพักอยู่ตรงไหนครับ”
“บ่อนไก่น่ะค่ะพี่” “อ้าว จริงเหรอ บ้านพี่อยู่กล้วยน้ำไทพอดีเลย ป่ะงั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง” ฉันมองหน้าวารินทร์ แต่วารินทร์เองมังแต่ยิ้มอยู่ ฉันเลยสะกิด
“จะดีเหรอแก” “หือ ดีอะไร ดีซิยะ ไม่ต้องเปลืองเงิน แกยิ่งงกๆอยู่ไม่ใช่เหรอ” วารินทร์ตอบกลับมามันทำให้ฉันเงียบไป ที่ฉันถามเพราะว่าการที่ให้คนที่ไม่รู้จักไปเห็นสถานที่พำนักมันจะดีแล้วหรือ ก็แค่นั้นเอง
“ท่าทางจะเมามาก น้องวาไปนั่งพยุงน้องกาญหน่อยสิครับ เดี๋ยวอ๊วกนะ”
“ไม่เป็นไรวา เดี๋ยวฉันเอง” ฉันรีบชิ่งบอกรับอาสาพยุงกาญจนาไปนั่งเบาะหลัง
“ฟังเพลงหน่อยไหมครับ” “แล้วแต่พี่เรเลยค่ะ พี่เรใกล้จบแล้วสิคะเนี่ย เรียนวิศวะนี่ต้องหล่อกันด้วยทุกคนหรือเปล่าคะ” วารินทร์ตั้งหน้าตั้งตายิงคำถาม เขาเองก็หัวเราะแต่สายตาของเขามองกระจกมองหลังตลอดเวลา ฉันไม่อยากเข้าข้างตัวเอง มันไม่มีอะไรหรอก
“แล้วน้องวาเรียนอักษรยากไหมครับ เห็นคนบอกว่าอักษรที่ที่เราเรียนหินสุดๆ”
“ยากค่ะ วาน่ะไม่เก่งหรอกค่ะพี่เร โน่นค่ะ ยัยพิมพ์โน่น ตัวแม่”
“จริงเหรอครับ แต่พี่ว่าท่าทางจะจริง หน้าตาให้นะเนี่ย” เขายิ้มให้ฉัน แต่ประโยคนี้ทำให้ฉันจ้องหน้าเขาตอบ เขาไม่ควรพูดแบบนี้ออกมา หน้าตาฉันมันยังไงเหรอ
“ตัวจริงค่ะพี่ ขยันอีกต่างหาก พอเรียนเสร็จก็ต้องไปสอนพิเศษ” “วา” ฉันปรามออกไป แต่ดูเหมือนวารินทร์จะไม่สนใจในคำพูดของฉันเลย
“โห จริงดิครับ เก่งจังเลย แบบนี้แฟนรักตายเลยดิ” เขาละลาบละล้วงเกินไปแล้ว ฉันจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เขาเองก็เหมือนจะรู้แต่เขากลับทำทีท่าไม่สนใจ ยิงฟันให้ฉันอยู่
“โอ้ย พี่เร นังนี่มันไม่มีแฟนหรอกค่ะ มันไม่สนผู้ชาย” “เฮ้ย” “วา”
“อิอิ เปล่าหรอกค่ะ คือพิมพ์มันบอกว่ามันยังไม่เจอตัวจริงน่ะคะ มันเลยไม่ชายตาแลใครเลย คนมาจีบทุกคณะได้มั้ง” ฉันไม่พอใจในสิ่งทีเพื่อนสาธยายออกไป แต่มันก็แค่สิ่งที่ฉันรู้สึก เขาถามถึงฉันนี่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้วารินทร์ตอบเกี่ยวกับใครถ้าไม่ใช่ฉัน แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าหากจะโกรธเพื่อน ฉันก็คงทำได้แต่เพื่ออะไร ในเมื่อหัวใจของฉันแท้ที่จริงมันดีดร้องอยู่ภายใน รู้สึกยินดีกับการทีเพื่อนเป็นคนเอ่ยถึงฉันบ้าง กับเขา
“ไม่เชื่อหรอกครับ สวยออกขนาดนี้”
“ถึงแล้วค่ะพี่ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” ฉันชอบนะ แต่ก็อึดอัด แต่ก็อดที่จะแปลกใจตัวเองไม่ได้สักที อึดอัดเขา ไม่พอใจวารินทร์แต่ทำไมเวลาที่ฉันอยู่คนเดียว ฉันถึงยิ้มให้กับตัวเองและคิดถึงหน้าของเขา รอยยิ้มของเขา
“สวัสดีครับน้องพิมพ์” ผ่านมาไม่ถึงวัน ตอนเย็นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ปกติฉันจะไม่รับสายแต่เหมือนในใจลึกๆแล้วฉันเองก็รออยู่
“เอ่อ สวัสดีค่ะ ใครคะ” ฉันถามทั้งๆที่จำเสียงของเขาได้
“อ้าว น้องพิมพ์สั่งของไว้ไม่ใช่เหรอครับ เนี่ยพี่อยู่ข่างล่างหอของน้องพิมพ์แล้วนะ”
“ของ ของอะไรคะ หนู เอ่อ พิมพ์ไม่ได้สั่งค่ะ ผิดคนแล้วมั้งคะพี่”
“ไม่ผิดหรอกครับ ลงมารับของหน่อยครับ พี่รอที่หน้าร้านข้าวนะ” เขาวางสายไป ฉันอยากลงไปแต่ไม่ใช่เรื่อง เขาโทรขึ้นมาอีกหลายครั้งแต่ฉันก็ไม่รับสาย
“แกลืมอะไรเหรอวา” เป็นวารินทร์ที่เปิดประตูห้องเข้ามา วันนี้มีเรียนตอนเช้า ฉันเรียนเสร็จแล้วรอที่จะไปสอนพิเศษช่วงเย็น
“ลืมหนังสือ” “ว้าย” พอหันไปก็ต้องตกใจ เพราะคนที่อยู่ข้างหลังวารินทร์คือเขานั่นเอง เขาถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ แต่ฉันใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดธรรมดา เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่เห็นขาอ่อนฉัน
“เอ่อ ขอโทษครับ” เขารีบถอยหลังออกไปจากห้อง เพราะฉันเองรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับยุคนี้สมัยนี้ แต่ก็ฉันไม่เคยกับฉันเองมันไม่แปลก เพราะฉันทำแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว
“อะไรน่ะแก” ฉันตะโกนถามวารินทร์ออกไปจากข้างในห้องน้ำ
“พี่เรน่ะ เขามาหาแก แต่แกไม่ยอมลงไป ฉันออกไปถึงแยกศาลาแดงแล้วเถอะ เนี่ยต้องกลับเข้ามา”
“บ้าแล้วแก ทำไมพาเขาเข้ามาในห้อง ฉันไม่ชอบนะ”
“เออๆ ขอโทษ แกออกมาได้ยัง สงสารพี่เขานะแก รอแกอยู่นานเนี่ยดอกไม้เหี่ยวหมดแล้ว”
“อย่าทำแบบนี้อีกนะแก” ฉันตำหนิวารินทร์แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ วารินทร์รอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินออกไปตามเขาเข้ามา
“เอ่อ พี่ขอโทษนะครับน้องพิมพ์” เขาเอ่ยออกมาเสียงเจื่อนๆ
“งั้นฉันไปก่อนนะแก” วารินทร์ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง
“บ้าเหรอแก งั้นฉันไปด้วย” วารินทร์หันมามองแล้วเหมือนด่าฉันในใจ
“เดี๋ยวก่อนสิครับ เอาดอกไม้ใส่แจกันก่อนดีไหม มันเริ่มจะเหี่ยวแล้ว” เขายื่นดอกไม้ให้ฉัน
“ขอบคุณแทนวาด้วยนะคะพี่” ฉันรับดอกไม้มาจากเขา
“พี่ให้เรานั่นล่ะครับ น้องพิมพ์” เขายิ้ม แต่ฉันหลบหน้าเขาไม่อยากมองในตอนนี้เพราะฉันเริ่มอาย หลังจากที่เอาดอกไม้ใส่แจกันเสร็จเราก็ออกจากห้องมาพร้อมกัน
“แกฉันต้องมีเรียนนะ แกไปกับพี่เรดิ” วารินทร์เองหาทางไปจนได้
“ไม่อ่ะ ฉันจะกลับไปเตรียมการสอน เย็นนี้มีสอนพิเศษ”
“งั้นพี่ไปส่งนะครับ” “ไม่เป็นไรค่ะพี่ ขอบคุณนะคะ” “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ พี่จะเลยกลับบ้านพอดี”
“นั่นดิแก ดีกว่านั่งรถเมล์นะยะ ร้อนจะตาย” เพื่อนรักก็ยุ คงไม่เป็นอะไรถ้าจะให้เขาไปส่ง นี่วันกลางวันแสกๆ ท่าทางของเขาก็น่าจะไว้ใจได้อยู่ เว้นแต่สายตาของเขาที่คอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
“ไม่อยากให้พี่มาส่งเหรอครับน้องพิมพ์” เขาถามขึ้นในรถ
“เอ่อ” “อึดอัดเหรอครับที่พี่อยากรู้จักเรามากกว่าคำว่า เพื่อน” เขาดูจริงจังมากกับคำถาม ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ฉันอึดอัดใจมากเหลือเกิน