บทที่ 12
“นายไม่เป็นอะไรเลยเหรอลาซัส?” หลังจากตื่นมาอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ริชาร์ดก็เอ่ยถามและมองดูลาซารัสอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากทำอะไรๆกันมาแล้วเป็นครั้งที่สอง
“เอ่อ...ก็...ปวดเอวนิดหน่อย...ครับ” คำตอบที่ทำเอาคนพูดหน้าแดงซะเอง ส่วนคนฟังก็เกือบจะสติหลุดพุ่งเข้าไปฟัดใบหน้ามนแสนน่ารักนั้นอีกรอบ แต่ขืนบุกต่อวันนี้คงได้ลางานครึ่งวันแน่...
“ไม่ใช่ๆ ฉันหมายถึงนายไม่มีอาการแปลกๆอย่างปวดท้อง ปวดหัว หรือคลื่นไส้อาเจียนบ้างเลยเหรอ?”
“ผมยังไม่ท้องสักหน่อยนะครับคุณริช!” โอเมก้าหนุ่มตวาดใส่อัลฟ่ามากวัยกว่า
“ไม่ช้ายยย ไม่เกี่ยวกับเรื่องท้องหรอก” ...ถึงจะแอบหวังลึกๆให้ท้องจริงๆอยู่บ้างก็ตาม...“ฉันเคยได้ยินว่าหลังจากตีตราแล้วฟีโรโมนของโอเมก้าคนนั้นจะไม่มีผลกับอัลฟ่าที่ไม่ใช่คู่ของตัวเอง แต่ฉันก็ยังคงได้กลิ่นตัวนายเหมือนเดิม”
“ผมเองก็...ประหลาดใจครับ ยังกับว่าตัวเองเป็นโอเมก้าที่ผิดปกติยังไงยังงั้น”
ตั้งแต่วันนั้นแม้จะผ่านมานานแล้วฟีโรโมนของลาซารัสก็ยังคงมีผลกับริชาร์ดและอัลฟ่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ถูกตีตราความเป็นเจ้าของถึงสองคนแล้วแท้ๆ นั่นเลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องคอยระวังและดูแลลาซารัสเป็นพิเศษ นี่ถ้าหากไม่มีเรื่องของประธานรอสเกรย์เข้ามาเกี่ยวกะทันหันล่ะก็คาเล็มคงได้หาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับโอเมก้าคนนี้ต่ออย่างแน่นอน
“นายไม่ได้ผิดปกติหรอก” ซีอีโอหนุ่มพูดปลอบใจคนในความดูแลของตัวเอง “ขนาดโอเมก้าบางคนเองยังเข้าช่วงฮีทเดือนละครั้งเลย”
“แต่นั่นก็เป็นโอเมก้าผู้หญิงใช่มั้ยล่ะครับ” ลาซารัสเคยได้ลองศึกษาจากในหนังสืองานวิจัยของคาเล็มมาว่าแม้แต่ในไทป์โอเมก้าด้วยกันเอง โอเมก้าหญิงจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้บ่อยครั้งกว่าโอเมก้าชาย ด้วยเพศสภาพดั้งเดิมที่พร้อมจะเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์นี้อยู่แล้ว
“เอ่อ...คิดว่านะ” ริชาร์ดไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เข้าไปคลุกคลีกับงานของเพื่อนโดยตรง ก็แค่พอจะรู้มาบ้างว่าแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน “มันก็คงจะถูกอย่างที่นายว่านั่นแหละ”
เพราะถ้าหากโอเมก้าเข้าช่วงฮีทแถมตั้งท้องได้แค่ปีละครั้งแบบที่ลาซารัสเป็นก็จะมีอัลฟ่ากับโอเมก้าเกิดใหม่ในแต่ละปีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอเมก้าที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะมากพอที่จะให้ทางโรงพยาบาลใช้เครื่องมือแพทย์ตรวจหาเพศสภาพของลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดนั้นด้วยเพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูง บางคนกว่าจะรู้ว่าลูกของตนมีเพศรองเป็นอะไรก็ต้องรอจนกว่าจะโตเป็นวัยรุ่น เพราะอาการฮีทจะไม่แสดงออกในช่วงที่พวกเขายังเป็นเด็กอยู่ บางคนก็อาจถึงขั้นต้องขอลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่สามารถทนอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมเดิมที่มีนักเรียนไทป์อัลฟ่าซึ่งยังควบคุมสัญชาตญาณตัวเองไม่ได้เรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันด้วย
ขนาดอัลฟ่าผู้ใหญ่ยังควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ถ้าไม่ใช้ยาต้านอาการฮีทช่วย แล้วเด็กวัยรุ่นที่ร่างกายยังไม่พร้อมจะรับยาพรรค์นี้ได้จะไปเหลืออะไร
“ผม...จะรอให้คุณหมอจบคดีนี้ก่อน ค่อยลองตรวจดูก็ได้มั้งครับ” ลาซารัสตอบเสียงแผ่วและปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ที่ระเบียงห้องนอน เขาปิดหน้าต่างให้เรียบร้อยเพราะวันนี้ลมค่อนข้างแรงแต่เช้า เกรงว่าจะพัดเอาเศษใบไม้หรืออะไรแปลกๆเข้าห้อง
“...นายไหวรึเปล่า?” ริชาร์ดมองอีกฝ่ายที่พอพูดถึงคาเล็มก็ดันหดหู่ลงเสียดื้อๆ
“ผมไม่เป็นไรครับ” คนตัวเล็กกว่าเดินผ่านร่างสูงที่เดินเข้ามาหาเพื่อเอาหนังสือในมือไปวางเก็บไว้บนชั้นวางข้างเตียง “นี่จะได้เวลาอาหารเช้าแล้ว รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวคุณเจสสิก้าจะดุเอาอีก”
“อ่าฮะ เดินไหวรึเปล่า? ขอโทษที่รุนแรงไป..”
“ผมไม่ค่อยหิวครับ คุณริชไปทานก่อนเถอะ” ลาซารัสพูดแทรกขึ้นมา
“เอ๋?” ริชาร์ดพยายามสังเกตุสีหน้าอีกคน แต่เหมือนลาซารัสเองก็พยายามหลบตาไม่มองหน้าเจ้าของชีวิตตอนนี้ตรงๆ “ลาซัส?”
“ขอผมอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ยครับ?”
“...อืม.. อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ” ริชาร์ดเอ่ยอย่างเป็นห่วงและยอมเดินออกไปจากห้องของลาซารัสอย่างง่ายดาย
เมื่อเสียงประตูปิดลง ลาซารัสก็เดินมานั่งลงกับเตียงช้าๆอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือยกขึ้นลูบใบหน้าและบีบนวดขมับราวกับคิดไม่ตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น มือถือสั่นแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ดวงตาสีฟ้าสดแอบเหลือบไปมอง เป็นข้อความจากเรนเดล โดยปกติก็จะส่งมาทักทายแทบทุกเช้า แต่เช้านี้เขากลับรู้สึกไม่อยากจะเปิดขึ้นมาอ่านอย่างไรอย่างนั้น
“นายทำตัวเอง ลาซัส” ความรู้สึกผิดจุกแน่นในอกแทบหายใจไม่ออก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน และตอนนี้เขาก็เริ่มคิดถึงเรื่องการสร้างไทม์แมชชีนจริงๆเสียแล้วสิ… ในหัวมีแต่คำถามที่พร่ำถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนี้ ทำไมเมื่อคืนเขาถึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาทั้งๆที่มันมีทางออกอื่นให้เลือกแท้ๆ
เสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเรนเดลกำลังเป็นห่วงที่เขาไม่ตอบทั้งที่ปกติแม้จะไม่มีงาน เขาก็ควรจะตื่นแล้วแท้ๆ มือเรียวเอื้อมไปหยิบมือถือของตนมา แต่ก็ไม่กล้าพิมพ์อะไรตอบไปอยู่ดี… พลันนึกถึงอัลฟ่าที่เป็นเจ้าของชีวิตตนเองก็ยิ่งรู้สึกแย่ สีหน้าลำบากใจของริชาร์ดที่โดนบอกให้เก็บความลับไว้ยังคงติดตาเขาอยู่เช่นกัน…
“โดนเกลียดแหงๆเลย..” ลาซารัสพึมพำก่อนจะตอบกลับเรนเดลด้วยข้อความดังเช่นปกติ ในวันพรุ่งนี้จะต้องไปเจอหน้าคาเล็มแล้ว เขาจะกล้าสารภาพบาปออกไปมั้ยนะ?
ริชาร์ดยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องของโอเมก้าในครอบครองของตนเอง ใจหนึ่งก็เป็นห่วงอีกฝ่าย แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรพูดอะไรมากในตอนนี้ แม้จะแอบฟังก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ...ยิ่งน่าเป็นห่วงแฮะ…
อัลฟ่ามากวัยกดเบอร์โทรศัพท์หาโคลวิสทันที ตัวเขาตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงกับโอเมก้าของตน จึงทำได้เพียงลองปรึกษาโอเมก้าคนอื่นเผื่อว่าจะหาทางออกที่ดีกว่าการนั่งคิดคนเดียวได้
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์แต่เช้าทำเอาคนที่โดนปลุกก่อนเวลาปกติหงุดหงิด มือควานหาโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงแล้วกดรับสายทันทีโดยไม่ทันดูว่าหน้าจอเป็นชื่อของใคร
“ใครวะ…?”
“เอ่อ...ฉันเอง ขอโทษที่โทรมารบกวนแต่เช้านะ” พอได้ยินเสียงคุ้นเคย จากที่เมาขี้ตาอยู่ก็ตื่นเต็มตาและลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าที่เตียงอย่างลืมตัว
“เวรล่ะคุณริช!” บาริสต้าหนุ่มเผลอสบถทั้งๆที่ยังถือสายพูดกับซีอีโอของบริษัทอยู่ “อ่ะ! ผมไม่ได้ว่าคุณนะครับ!”
“ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไรๆ” สารภาพเลยว่าเผลอสะดุ้งไปเหมือนกันตอนที่ได้ยินปลายสายพูด “เออนี่ ถ้าฉันจะขอถามอะไรค่อนข้างส่วนตัวสักหน่อย นายจะสะดวกมั้ย?”
“ได้ครับ! ถามได้ทุกอย่างเลยครับ!” ขอแค่อย่าสั่งปิดร้านกาแฟของเขาก็พอ วันหลังจะดูชื่อคนโทรมาก่อนทุกครั้งเลย ไม่สิ...ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะไว้เลยดีกว่า!
“ตอนพวกนายฮีทพวกนายทำยังไง…”
“ห๊าาาาาาา!!” ยังไม่ทันจะได้ฟังจนจบประโยคดีโอเมก้าหนุ่มหัวสีก็แหวเสียงลั่นออกมา เสียงของโคลวิสทำเอาอัลฟ่ามากวัยกว่าถึงกับต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูตัวเองเพราะทนเสียงบาดแก้วหูนั่นไม่ไหว
เออ...สมแล้วจริงๆที่เป็นนักร้อง...
“ใจเย้นน! นี่ไม่ใช่จะละลาบละล้วงนะ คือว่า...ฮัลโหล? เฮ้! อย่าเพิ่งวางสายนะโคลวิส!” ซีอีโออัลฟ่าพยายามรั้งปลายสายไว้สุดชีวิต “นี่เรื่องคอขาดบาดตายนะ อย่างน้อยๆก็ถือว่าช่วยอัลฟ่าแก่ๆคนนึงเอาบุญทีเถอะ”
“คุณมันแย่ที่สุดเลย...” โคลวิสยกมือปิดหน้าตัวเอง ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าคนที่ตัวเองชอบจะเป็นคนแบบนี้
“เออ...ยอมรับก็ได้ แต่ฉันมีเหตุผลนะ” ริชาร์ดเปลี่ยนไปคุยทีอื่นเพราะกลัวว่าเสียงของตนจะดังไปถึงหูลาซารัสที่ยังอยู่ในห้อง “งั้นเปลี่ยนคำถามก็ได้ ปกติโอเมก้าอย่างพวกนายใช้บริการอะไรเวลาเกิดฮีทขึ้นมาเหรอ แบบ...แบบว่าตอนที่ทนไม่ไหวสุดๆ เอ่อ…อุปกรณ์ก็เอาไม่อยู่แล้ว”
ริชาร์ดเพิ่งรู้สึกตัวว่ายิ่งพูดยิ่งเหมือนพวกโรคจิตที่เที่ยวโทรหาเบอร์คนแปลกหน้ายังไงยังงั้น
“โอเค ผมพอจะเข้าใจคำถามแล้วครับ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” โคลวิสพอจะเดาสถานการณ์ออกคร่าวๆแล้วว่าซีอีโอคนนั้นคงเจอไอ้เหตุการณ์อย่างที่ว่ามาแน่ๆ “กรณีของพวกโอเมก้าที่ไม่มีคู่เป็นของตัวเองแต่เกิดฮีทจนทนไม่ไหวชนิดว่าต้องการใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ก็จะไปใช้บริการของบริษัทจัดหาคู่สำหรับโอเมก้าที่ต้องการอัลฟ่ามาช่วยตอนที่ฮีท ก็...คงคล้ายๆ กับพวกโฮสต์นั่นแหละครับ ”
โคลวิสพยายามเลือกใช้คำที่ปลอดภัยเท่าที่ตนพอจะนึกออก เพราะงานบริการแบบนี้มันก็รู้ๆกันอยู่ว่าต้องทำอะไรๆ
“อ๋อ..” ริชาร์ดเริ่มจะนึกอะไรได้ เหมือนเคยได้ยินโอเมก้าบางคนที่เคยรู้จักเล่าให้ฟังอยู่ “นั่นก็น่าสนใจ งั้นขออีกนิดสิ… ตอนที่พวกนายฮีทนี่… จะควบคุมตัวเองได้ขนาดไหนเหรอ?”
“แล้วแต่กรณีสุดๆเลยครับ” โคลวิสเกาศีรษะ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรก่อนดีเพราะมันเยอะจนไม่รู้จะจัดหมวดหมู่อย่างไร “แต่ส่วนใหญ่จะลดเหตุผลลงทั้งนั้น… ยิ่งถ้ามีอัลฟ่าที่ไม่ได้รังเกียจอยู่ใกล้ๆ ก็มีสิทธิ์ทำอะไรโง่ๆเยอะอยู่”
“งั้นเหรอ” คนฟังแอบรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตเล็กน้อย
“...ลาซารัสเค้าฮีทเหรอครับ?” คำถามตรงไปตรงมาถามใส่ปลายสายจนริชาร์ดเปลี่ยนสีหน้าระรื่นมายิ้มแห้งทันที
“ก็ใช่…”
คำตอบเสียงแผ่วของริชาร์ดทำให้โคลวิสพอจะเดาสีหน้าท่าทางของซีอีโอคนนี้ได้ไม่ยาก และเดาได้ว่าคงเผลอล่วงเกินไปแล้วคิดไม่ตกสินะนี่? “ขอโทษเขาไปแล้วรึยังล่ะครับ?”
“หือ? อ่อ...ก็ขอโทษไปแล้วล่ะ… แต่ยังซึมอยู่เลย”
“เปล่าครับ ผมหมายถึงเพื่อนคุณน่ะ ที่เป็นแฟนลาซารัสน่ะครับ”
ริชาร์ดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสัญญาอย่างหนักใจไปแล้วว่าจะไม่บอกคาเล็มนี่สิ “ยัง..”
“...รีบบอกไปก็ดีนะครับ ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคุณจะอยากฆ่าคุณมั้ย แต่มันโล่งใจกว่าเยอะนะ”
“ฮะๆ..ก็….” รอยยิ้มเจื่อนปรากฎที่มุมปากของอัลฟ่าสูงวัย ครั้งที่แล้วเขาเกือบจะโดนฆ่าจริงๆแล้วมั้งนั่น… “งั้น...ไม่กวนนายแล้วก็ละกัน ขอบใจมากนะโคลวิส”
โคลวิสเงียบเสียงไม่ตอบอะไรอีกฝ่ายกระทั่งริชาร์ดตัดสายไป โอเมก้าที่โดนปลุกก่อนเวลายังคงนั่งอยู่ท่าเดิมและปิดหน้าจอมือถือของตัวเอง “ไม่รบกวนหรอกน่า…” แต่เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกไปด้วยซ้ำ…
ริชาร์ดมองโทรศัพท์และเบอร์คุ้นเคยอีกเบอร์อยู่ไม่ห่างจากห้องของลาซารัสนัก เขามองหน้าจอสลับกับประตูห้องนั้นสักพักและตัดสินใจเดินออกมา ตรงไปที่ห้องอาหารก่อนจะถึงเวลามื้อเช้าเสียด้วยซ้ำ
“ขอโทษทีนะลาซัส” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะกดโทรศัพท์และโทรไปหาเบอร์นั้นระหว่างที่นึกว่าเช้านี้จะได้กินอะไรกันนะ?
“คุณริชาร์ดโทรมาครับนายน้อย” เรนเดลส่งโทรศัพท์ของตนให้กับมือของเจ้านายที่ยังสะลึมสะลือเพราะกว่าจะได้นอนก็ราวๆตีสี่ เรียกว่าอยู่โยงจนเกือบถึงเช้า
“มีเรื่องอะไรถึงโทรมาแต่เช้าแบบนี้?”
“กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“เรื่องลาซารัสรึเปล่านะ…” คาเล็มยกโทรศัพท์ขึ้นมาและกรอกเสียงลงไปคุยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ว่าไง?”
“......คาเล็ม” น้ำเสียงของปลายสายที่เรียกชื่อตนฟังดูแล้วอาการน่าเป็นห่วงอย่างมาก
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“มี…ฉันเลยอยากขอโทษนายไว้ก่อน” ริชาร์ดรวบรวมความกล้าเท่าที่มีบอกออกไป “ลาซัสฮีทเมื่อคืน ฉันก็เลย...ทำลงไปอีกแล้วล่ะ”
“..........”
“คาเล็ม...ฉันขอโทษจริงๆนะ แต่มันจะไม่มีผลกระทบอะไรกับการทดสอบยาในวันพรุ่งนี้ใช่มั้ย?”
“ไม่...ไม่มี” หมออัลฟ่าเอ่ยปฏิเสธ “แค่นี้สินะ ฉันหิวแล้ว”
“คาเล็ม เดี๋ย-ว!” ร่างสูงรีบวางสายทิ้งแล้วเดินเอาโทรศัพท์ไปคืนเรนเดล ก่อนจะขอตัวไปล้างหน้าล้างตา กว่าจะลงมาทานอาหารเช้าก็นับว่าใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวตอนเช้านานอย่างผิดปกติ จนอัยการที่มาค้างบ้านลูกความและรอร่วมโต๊ะอาหารมื้อเช้าด้วยนั้นทานล่วงหน้าไปก่อนแล้วเพราะรอไม่ไหว
“ท้องเสียรึไง นึกว่าหลับในห้องน้ำไปแล้วซะอีก”
“...โทษที”
เออร์แฟนมองอย่างนึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ด่าสวนคำพูดกลับมาอย่างทุกที แถมชายสูงวัยก็ดูจะยังตื่นไม่เต็มตาหรือไงไม่ทราบถึงได้ดูไม่มีแรงแม้แต่จะจับมีดและส้อมเอาซะเลย
“ถ้านายไม่กินเดี๋ยวฉันกินคนเดียวหมดนะ”
ท่าทางเหม่อลอยและสายตาว่างเปล่าของคาเล็มทำเอาอาหารรสเลิศของคุณพ่อบ้านจืดชืดลงไปเหมือนกัน
“...อืม” อัลฟ่าสูงวัยตอบรับอย่างเชื่องช้าพร้อมกับวางมีดและส้อมลงข้างจาน “ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ”
สายตาของอัยการหนุ่มและพ่อบ้านมองตามหลังหมอคาเล็มที่เดินขึ้นบันไดกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง
“ดูแปลกๆชอบกล ก่อนหน้านี้ยังกระตือรือร้นดูมีไฟอยู่เลยแท้ๆ”
“อาจจะเหนื่อยก็ได้นะครับ ก็เล่นโหมงานมาตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อให้ทันวันพรุ่งนี้นี่นา” ชายชรากล่าวกับแขก แต่ลางสังหรณ์บอกว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะตั้งแต่วางสายจากริชาร์ดก็เห็นซึมไปทันทีเลย
คาเล็มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิม สมองนึกย้อนถึงเรื่องที่เพื่อนรักโทรมาสารภาพกับตนเมื่อเช้านี้แล้ว เขาได้แต่ฟังเงียบๆไม่ได้ตอบอะไรกลับไปมากเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าควรจะโกรธ เกลียดหรือควรจะรู้สึกยังไงดี รู้แต่เพียงว่าเขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน…
“เดี๋ยวมันก็จบแล้ว…” มือหนาถอดแว่นสายตาเอาออกมาเช็ดเพราะเลนส์พร่ามัวทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เพราะแว่นตา ที่ภาพอะไรๆมันเบลอไปหมดนั้นเป็นเพราะน้ำตามันบดบังทุกอย่างในสายตาของตนเอง
คาเล็มสลัดความเศร้าทิ้งไปจากหัว แม้จะเจ็บปวดกับเรื่องลาซารัสและเพื่อนรักของตน แต่ก็ยังไม่เท่ากับตอนที่เขาสูญเสียโนเอลไปอย่างไม่มีวันกลับคืน
เขาต้องมุ่งมั่นเดินหน้าหน้าต่อ ไม่มีเวลาว่างพอจะมาหยุดอยู่กับเรื่องเศร้าเหล่านี้ มือยกเอาแว่นตาขึ้นมาสวมคืนและมองรายชื่อคนที่ทั้งเสนอตัวมาและเขาไปสอบถามความสมัครใจในการเป็นคนลองยาให้กับเขา ตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่คนที่เขาต้องไปคุยด้วยในวันพรุ่งนี้…แน่นอนว่ามีลาซารัสอยู่ในลิสต์เช่นกัน
คาเล็มแบ่งยาที่อยู่ในขั้นทดลองออกมาเป็นหมวดหมู่และกระจายมันไปให้แต่ละคนทดลองกินสักระยะ แต่ว่า…สักระยะที่ว่านั้นก็นานนับปีเพื่อให้เห็นผลชัดเจน เวลาเป็นปีๆนี้ ถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนคงรู้สึกว่านาน ทว่าสำหรับคาเล็มตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่ามันเข้าใกล้ความจริงอย่างรวดเร็วจนตัวเองยังนึกแปลกใจ
เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะที่คุ้นหูดังเรียกสติเจ้าของบ้าน คุณหมอส่งเสียงขานรับทุ้มต่ำเพื่อให้พ่อบ้านเปิดเข้ามาได้ “ผมเอาของว่างมาให้ เห็นทานข้าวไปแค่นิดเดียว เกรงจะไม่มีแรงทำงานต่อน่ะครับ”
“ขอบใจนะ” คาเล็มตอบเรียบๆและจัดแจงเอกสารบางอย่างลงกระเป๋า
“เรื่องยาเป็นยังไงบ้างครับ?”
อัลฟ่าสูงวัยหันมามองชายชราอย่างประหลาดใจเล็กน้อยเพราะปกติเรนเดลแทบจะไม่มายุ่งเรื่องงานเขาเลย นอกเสียจากมาทำความสะอาดนานๆครั้ง “ก็…ดี ปรับลดสารบางตัวแล้ว โดยเฉพาะพวกตระกูลที่กดประสาท ถึงบางตัวจะยังมีส่วนประกอบอันตรายอยู่ แต่ไม่ถึงชีวิตหรอก”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วคุณแมทเวย์จะได้ยาตัวไหนไปล่ะครับ?”
“…เป็น..ยาที่ค่อนข้างจัดหนักอยู่ นั่นน่ะเพราะเขาอยู่ในหมวดโอเมก้าที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุด เลยพอจะรับความเสี่ยงได้บ้าง”
“น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะครับ” เรนเดลขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่เขาคงดีใจนะครับ ในที่สุดก็ได้ทำอะไรเพื่อคุณบ้าง”
“อ่าฮะ…”
“…..และผมคิดว่าเขาคงยินดีที่จะรับฟังทุกอย่างที่คุณพูดในวันพรุ่งนี้นะครับ” เรนเดลพูดเสียงนุ่มอย่างปลอบประโลมจนคาเล็มต้องหันมามองพ่อบ้านของตนอีกครั้ง แต่ชายชราก็ก้าวเท้าออกไปจนถึงประตูและโค้งให้เขาเหมือนจะขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อเสียแล้ว
เมื่อประตูปิดลง คาเล็มยังคงนั่งนิ่งมองไปทางที่พ่อบ้านผู้ไหวพริบดีเดินจากไป
“……ยุ่งน่า…” คาเล็มสบถเบาหัวเสียเล็กน้อย เขาหันกลับไปหาโต๊ะทำงานของตัวเอง พลันสายตาก็สบเข้ากับนาฬิกาที่เคยให้ลาซารัสใส่เพื่อเก็บข้อมูลอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเองที่คาเล็มเหมือนจะนึกอะไรออกและลุกออกจากโต๊ะไปทันที
คุณหมอขอยืมโทรศัพท์จากพ่อบ้านแล้วติดต่อไปยังคนของศูนย์วิจัยเดิมของตนให้จัดอุปกรณ์ดังกล่าวมาให้อีกนับสิบๆเรือนภายในวันพรุ่งนี้
“นั่นอะไรน่ะ ลืมของสำคัญที่ต้องใช้พรุ่งนี้รึไง?” อัยการหนุ่มหันไปถามพ่อบ้านว่านาฬิกาที่คาเล็มต้องใช้นั้นมันคืออะไร พอได้รู้คำตอบนั้นแล้วเออร์แฟนก็มองด้วยสายตาสงบนิ่ง และยิ่งรู้สึกโชคดีมากขึ้นไปอีกที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นโอเมก้าจริงๆนั่นแหละ
“อยากเปลี่ยนใจมาเป็นพ่อบ้านให้ผมแทนหมอนั่นเมื่อไหร่ก็บอกได้นะคุณเรนเดล เผื่อจะเอือมระอากับรสนิยมถ้ำมองของหมอนั่น” เออร์แฟนแอบกระซิบเสียงเบาแค่พอให้ได้ยินสองคน
“กระผมขอรับไว้แค่น้ำใจแล้วกันครับ” ชายชรายิ้มให้อย่างสุภาพ เมื่อนานมาแล้วริชาร์ดเองก็เคยมาพูดแบบนี้กับเขาเช่นกัน
“อย่าคิดว่าอยู่ไกลแล้วฉันจะไม่ได้ยินนายกำลังนินทาแล้วก็ล่อลวงคนของฉันนะเฮ้ยเออร์แฟน!”
ทีแบบนี้ล่ะหูดีขึ้นมาเลยเชียว...
“งั้นก็ถามตรงๆได้สินะว่านายจะเอานาฬิกาพวกนั้นไปทำอะไร” เออร์แฟนเดินเข้ามาและหยิบอุปกรณ์รูปร่างคล้ายนาฬิกามาทำท่าจะลองสวมดู
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง” มือหนายื่นไปคว้านาฬิกาเอากลับคืนมาและเอาไปเก็บในกล่อง
“บอกตอนนี้เลยไม่ได้รึไง?” ดวงตาหลังแว่นของคุณหมออัลฟ่ามองจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาที่อ่านได้ชัดว่าขี้คร้านจะบอก “มันทำงานยังไงรึ?”
คาเล็มถอนหายใจในความช่างซักช่างถามของเออร์แฟน นี่เป็นเพราะความอยากรู้ตามนิสัยวิชาชีพหรืออย่างไรไม่ทราบถึงต้องการรู้ให้ได้ไปหมดทุกเรื่อง
สุดท้ายก็ยอมบอกแต่โดยดีว่าเรือนที่ใช้อยู่ที่นี่เป็นรุ่นเก่า ของที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้เป็นรุ่นล่าสุดที่ปรับปรุงใหม่แล้ว การทำงานยังคงระบบดั้งเดิมไว้เพียงแต่เพิ่มฟังก์ชั่นให้แจ้งเตือนได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องกินยาเพื่อการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และหากร่างกายยังไม่ได้รับยาภายในห้านาที นาฬิกาจะทำการยิงเข็มฉีดยาเข้าเส้นเลือดให้ทันที และแน่นอนว่าผู้สวมจะไม่สามารถถอดเองได้เพราะควบคุมด้วยรหัสคำสั่งเฉพาะ
“ให้ใส่ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ถอดแบบนั้น แล้วมันจะไม่พังเอาง่ายๆ รึไงนั่น?”
“ทนทายาด กันน้ำกันกระแทกไม่มีการสึกหรอแม้แต่รอยขีดข่วน วิธีเดียวที่จะเอาออกได้มีแต่ต้องตัดข้อมือทิ้งเท่านัันแหละ”
“ไม่โหดเกินไปหน่อยรึนั่นน่ะ” อัยการหนุ่มยกมือกอดอก ก่อนจะโดนสวนกลับว่านี่ยังไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของวิธีการที่เขาและลูกน้องเคยใช้เพื่อให้ตนชนะในการว่าความหรอก
“คนที่คิดพัฒนาเจ้าเครื่องนี่ไม่ใช่ฉันสักหน่อย” พอหันไปจะหยิบของว่างมาทานก็โดนอีกฝ่ายยึดไป มาไม้นี้คงต้องการให้เขาคายชื่อเจ้าของไอเดียออกมาอีกนั่นแหละว่าอีกฝ่ายคือใคร
“ไม่คิดจะแนะนำพ่อคนรสนิยมแย่พอๆกับนายให้ฉันรู้จักหน่อยรึ?” คุณหมอจ้องคนที่พูดโดยไม่วายแอบจิกกัดเขาเล็กๆน้อยๆ มันน่าเล่าให้ฟังมั้ยนี่...
“ก็แค่เพื่อนเก่าในศูนย์วิจัยที่ออกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรอก” บอกปัดเพราะไม่มีความจำเป็น อีกทั้งยังไม่อยากจะนึกถึงอีกฝ่ายแม้ว่าจะเป็นคนต้นคิดอุปกรณ์พวกนี้ก็ตาม
“นายนี่มนุษย์สัมพันธ์แย่จริง เค้าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่แท้ๆ” ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าเออร์แฟนจงใจเน้นเสียงคำว่าแก่เป็นพิเศษ “ลองบอกชื่อมาสิ เผื่อว่าฉันอาจจะรู้อะไรๆมากกว่าที่นายคิดก็ได้”
“นายหมายความว่าไง?”
“ช่วงวันสองวันมานี้ลูกน้องที่ฉันสั่งให้จับตาดูพวกพี่ๆของนาย ดูเหมือนจะได้เรื่องได้ราวอะไรมาบ้างแล้วล่ะ”
“พวกนัันคิดจะทำอะไรอีก!?” คาเล็มลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ อัยการหนุ่มยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือจานอาหารว่างไปแตะบ่าให้คุณหมออัลฟ่าหัวร้อนใจเย็นๆแล้วนั่งลง
“ไม่รู้ว่าจะได้ทำรึเปล่านะ ได้ยินว่าประธานรอสเกรย์จู่ๆก็ล้มป่วยจนต้องให้แพทย์และพยาบาลมาเฝ้าดูอาการในบ้านอย่างใกล้ชิด ดีไม่ดีคงได้วางมือเร็วๆ นี้แล้วให้คนอื่นกุมบังเหียนบริษัทแทนแล้วล่ะ”
นี่จะนับว่าเป็นข่าวดีได้รึเปล่านะ…ที่อุปสรรคชิ้นใหญ่ในชีวิตที่คอยคุกคามเขามาตลอดกำลังจะหายไป
“ได้ยินว่าแพทย์คนนั้นเคยทำงานที่ศูนย์วิจัยเกี่ยวกับยาต้านอาการฮีทในโอเมก้ามาก่อน จู่ๆมาเป็นหมอส่วนตัวให้พี่ชายของนายก็เลยรู้สึกตงิดๆน่ะ”
“...หมอนั่นคงไม่ได้ชื่ออาเซล ฟลอยด์หรอกใช่ไหม?”
“บิงโก ชื่อเดียวกันเป๊ะ” เออร์แฟนวางจานของว่างลงที่เดิมก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งที่หน้าโต๊ะทำงานของคาเล็ม “เวลามีไม่มาก เล่ามาให้หมดเปลือกซะ”
“ทำไมไม่สืบเองอย่างทุกที”
“ไอ้สืบน่ะฉันสืบแน่ เริ่มจากเค้นเรื่องราวของเจ้านั่นจากนายก่อนเนี่ยแหละ”
เรนเดลเดินหลบฉากเพื่อไปจัดการงานบ้านทั้งที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำแล้วปล่อยให้ทั้งคู่ได้สนทนาเรื่องสำคัญกันต่อ
“ถึงจะบอกว่าเพื่อนเก่า แต่ฉันกับหมอนั่นก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนักหรอก ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไหร่นัก”
“ไม่ถูกกันรึ?”
“ก็ไม่เชิง แต่หมอนั่นก็ค่อนข้างทำตัวเป็นกลางนะ ไม่ได้เข้าข้างโอเมก้าแต่ก็ไมได้คิดว่าอัลฟ่าเป็นพวกมีอภิสิทธิ์ชนเหนือใคร”
“อ่าฮะ...งั้นแสดงว่าคงเป็นเบต้าล่ะสิ”
“อืม เคยได้ยินว่ามีบรรพบุรุษเป็นอัลฟ่า แต่ว่าทั้งตระกูลไม่ได้ยึดติดธรรมเนียมอะไรเลยแต่งงานกับเบต้ามาตลอด และในครอบครัวเองก็ไม่เคยมีใครเกิดมาเป็นอัลฟ่าเลยด้วย”
“แล้วที่ว่าฝ่ายนั้นลาออกไปนี่เพราะมีความเห็นไม่ลงรอยกันรึไง?”
“ปัญหาก็คือเรื่องทัศนคติในที่ทำงาน คนที่ศูนย์วิจัยส่วนใหญ่รวมทั้งฉันอยู่ฝ่ายพวกที่สนับสนุนการปกป้องสิทธิของโอเมก้า พอหมอนั่นมีความเห็นต่างขึ้นมาก็เลยมีคนที่ไม่ชอบเท่าไหร่”
“รวมทั้งนายด้วย?”
“ฉันแสดงออกชัดไม่พอรึไงว่าอยู่ข้างโอเมก้าน่ะ”
“โอเค สรุปว่าก็ไม่ค่อยถูกกันอยู่ดีสินะ แล้วที่ว่าออกจากศูนย์วิจัยน่ะตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานมากแล้ว ก็ตั้งแต่ที่ข่าวเรื่องยาต้านอาการฮีทเริ่มส่งผลเสียระยะยาวให้ผู้ใช้ยาจนโดนฟ้องร้องทั้งคณะ หลายคนก็เลยทยอยถอนตัวออกจากงานวิจัยรวมถึงอาเซลด้วย”
เมื่อฟังเรื่องราวมาจนถึงตรงนี้อัยการหนุ่มชักเริ่มรู้สึกสะกิดใจบางอย่าง
“นายเคยนึกสงสัยบ้างมั้ยว่าตัวเองอาจจะโดนกลั่นแกล้งโดยเพื่อนร่วมงานเพราะความอิจฉา”
“...นายสงสัยหมอนั่น?” คาเล็มขมวดคิ้วจ้องเออร์แฟนตาเขม็ง
“ก็นิดหน่อย ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนี่นา ผลงานทุ่มทุนสร้างที่ประสบความสำเร็จแต่มีแค่ชื่อของนายที่ได้รับการยอมรับอย่างออกหน้าออกตา แถมพอเกิดเรื่องเสียหายขึ้นมายังเก็บข้าวของฉวยโอกาสหนีไปอีกต่างหาก”
“นั่นมันเป็นเพราะความผิดพลาดของฉันเองต่างหากล่ะ”
“จะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่นาย แต่หลังจากการทดสอบวันพรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปสืบเรื่องของหมอนั่นอีกที หวังว่าคงไม่ขัดข้องนะ”
“ต่อให้ฉันขอให้นายไม่ไปยุ่งเรื่องหมอนั่น ยังไงๆนายก็คงจะทำอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
“ก็รู้ดีนี่นา”
“...เออๆ แต่อย่าต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมมากจนเกินไปแล้วกัน ถ้าทำได้ฉันก็ไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มนักหรอก”
“ขอบใจที่ให้ข้อมูลดีๆนะ” เออร์แฟนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มองดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าในหัวนั้นกำลังวางแผนอะไรที่คาดเดาไม่ได้อยู่หรือเปล่า แต่คุณหมออัลฟ่าก็ไม่อยากจะถามออกไปเท่าไหร่นัก
“เฮ่อ…” คาเล็มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหยิบอาหารว่างที่เริ่มเย็นชืดขึ้นมาทาน ในใจยังคงหวังให้เรื่องของเพื่อนเก่าที่อัยการเจ้าเล่ห์ระแวงเป็นเพียงแค่สิ่งที่อีกฝ่ายคิดกังวลจนเกินเหตุไปเท่านั้น
(ยังมีต่อ)
ปล. สำหรับเนื้อหาตอนนี้จะค่อยๆทยอยเอามาลงนะคะ ผู้เขียนทั้งสองงานเข้าทั้งคู่เลยยังเขียนไม่จบตอนดี ต้องขอโทษที่ให้รอนานจริงๆค่ะ