บทที่ 7 (ต่อ)
วสุโยนกระเป๋าหนังสือไว้บนเตียง จากนั้นก็ทิ้งตัวเองตามลงไป แหงนมองเพดานว่างเปล่าสีขาวอย่างเลื่อนลอยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนสายตาลงมายังผนัง จับจ้องอยู่กับภาพสีน้ำซึ่งเอกภพวาดแล้วเขาขอกลับมาเมื่อวันอาทิตย์ก่อน เขาแปะมันลงบนกระดาษแข็งเพื่อทำเป็นกรอบอย่างง่าย จากนั้นติดมันไว้บนผนังห้องในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เฝ้ามองสีสันอ่อนโยนที่แต่งแต้มเป็นกลีบดอกและใบอยู่ครั้งละนานสองนานอยู่ได้ทุกวัน
จะทำอย่างไรดีนะภัทรพักตร์พูดถูก ตัวเขาต่างหากซึ่งอยู่ตรงนี้ ทุกลมหายใจ ทุกครั้งที่หัวใจสูบฉีดเลือดในกายให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง เขายังคงเป็นวสุ ต่อให้สงสัยว่าเมื่อก่อนอาจเคยเป็นคนอื่น อีกทั้งบางครั้งยังทำอะไรลงไปด้วยแรงผลักดันจากความฝันและภาพซ้อนซึ่งปรากฏขึ้นกระทั่งยามตื่นในระยะหลัง ทว่าเขาก็ไม่มีทางเป็นใครไปได้นอกจากวสุ
แต่หากเชื่อมั่นเช่นนั้นแล้ว คำถามต่อมาจึงยิ่งรบกวนจิตใจ หรือมีแต่เขาที่หลงรักเอกภพอยู่แค่ฝ่ายเดียว?
ในเมื่อวสุก็คือวสุ และวสันต์ก็คือวสันต์ เป็นคนละคนกัน ย่อมหมายความว่าคนที่เอกภพรักไม่ใช่เขา ที่มีอะไรกันวันนั้นเป็นเพราะเขาพูดเหมือนกับตัวเองเป็นอีกคน การมานอนใคร่ครวญเรื่องที่ว่าจึงชวนให้รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที อย่างกับมีแค่ตัวเองซึ่งถูกภาพอดีตดึงรั้ง แม้แต่ความรู้สึกรักที่เกิดขึ้นและเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ก็ยังคล้ายว่าไม่ใช่ความรักอย่างอีกฝ่ายต้องการ
“..เขารักวสันต์...” เด็กหนุ่มพึมพำแผ่วเบากับตัวเอง “...ไม่ใช่วสุ”
แล้วจะทำให้รักวสุได้ไหม? วันนั้นเอกภพเพิ่งพยักหน้ากับเขาที่ขอร้องว่าช่วยเริ่มรักเขาบ้าง..สักทีละนิดก็ได้ จะถือว่านั่นแสดงถึงความหวังของเขาใช่หรือเปล่า
วสุลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง มองผ่านแมกไม้รก ๆ ในฝั่งรั้วตัวเองไปยังบ้านอีกหลัง เอกภพไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมหน้าบ้านแล้ว เมื่อกวาดสายตาจนทั่วก็พบว่าเจ้าตัวย้ายมายืนพิงเสาตรงชานหลังบ้านตัวเอง ยังไม่ทันได้ทำอะไร อีกฝ่ายกลับหันมาเห็นแล้วโบกมือให้น้อย ๆ
เด็กหนุ่มยืดตัวตรงขึ้นอย่างน่าขำ ผงะไปนิดหน่อย ทำเหมือนเป็นขโมยที่ถูกจับได้ กว่าจะรู้ตัวว่าแค่โบกมือทักกลับไปไม่ใช่เรื่องแปลก ก็กินเวลาไปตั้งหลายวินาที รีบเตือนตัวเองให้วางอาการเป็นปกติหน่อย เฟอะฟะอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน
เอกภพกวักมือสองสามครั้ง จากนั้นชี้ไปที่ดุ๊กดิ๊กซึ่งนั่งแลบลิ้นอยู่ข้าง ๆ เป็นเชิงเชื้อเชิญ อ่านปากจากที่ไกล ๆ ได้คล้ายว่าเป็น ‘เล่นไหม?’
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแทบไม่คิด จากนั้นรีบแจ้นออกจากห้อง บอกกับแพรวพิมพาที่นั่งจ้องจอสี่เหลี่ยมว่าเขาจะไปเล่นหมาข้างบ้านครู่หนึ่งเดี๋ยวกลับ เธอเออออตามโดยไม่ได้ติดใจอะไร จากนั้นหันไปสนใจจอโทรทัศน์ต่อ
เขาสาวเท้าเงียบ ๆ มาจนถึงหน้าบ้าน จนปะเข้ากับแมวดำซึ่งเหมือนจะรออยู่ เจอหน้ากันก็ตามห้อยท้ายไปด้วยอย่างรู้งาน
ในขณะเดินผ่านระยะทางสั้น ๆ ระหว่างประตูรั้วของบ้านสองหลังนั้น วสุอดคิดไม่ได้เลยว่าตัวเองช่างใจง่ายนัก กังวลอะไรอยู่เยอะแยะ แต่แค่เห็นหน้าอีกฝ่ายเท่านั้นเองก็แทบลืมไอ้ที่คิดวุ่นวายอยู่ตอนแรกไปหมด
ไม่เป็นไร...เขาปลอบใจตัวเอง ตอนนี้ไม่ได้รัก แต่อย่างน้อยได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว ความทรงจำเก่ายังอยู่ และความทรงจำจากนี้เขาจะสร้างมันขึ้นมาใหม่เอง ไม่เห็นเป็นไรเลย...ไม่เป็นไรจริง ๆ
ทั้งเจ้านายและดุ๊กดิ๊กเดินอ้อมมารอเขาที่หน้าบ้าน หมาขนทองกระดิกหางแล้วแจ้นมารับทันทีที่เห็นว่าใครมา เอาลำตัวแน่น ๆ มาเบียดขาทักทายเขาพอหอมปากหอมคอ จากนั้นหันไปสนใจแมวซึ่งแยกเขี้ยวขู่ฟ่อแล้วเงื้อขาหน้าเตรียมฟาดอุ้งเท้า
“ขาว” วสุปราม
แมวดำขู่แง่ง ๆ อีกครั้งก่อนจะกระโจนขึ้นพุ่มไม้ที่ประจำ ใต้ใบแน่นหนานั้นแสงส่องไปไม่ถึงสักนิด หญ้ารอบ ๆ ต้นซึ่งไม่ถูกแสงเลยจึงพากันเหลืองและตายหมด เหลือแต่ดินเปล่าเป็นหย่อม ๆ ดุ๊กดิ๊กเดินไปนั่งแหมะตรงดินไร้หญ้านั่นพอดี เฝ้าอยู่ข้างล่างจนเจ้าของต้องเรียกกลับ
“หญ้าไม่โตเลยนะครับตรงนั้น” วสุทัก มองพื้นดินที่โผล่ให้เห็นผิดจากตรงอื่นของสวนซึ่งปกคลุมด้วยหญ้าเขียวสด
“หญ้าญี่ปุ่นน่ะ แถวโน้นไม่โดนแสงเลยตายหมด เดี๋ยวคงต้องเล็มพุ่มนั้นออกบ้าง ทึบไปแล้ว”
แมวดำเห็นหมาเดินออกห่างแล้วก็ลงมานวยนาดบนพื้นอีกเหมือนยั่ว แต่เมื่อหมาทำท่าจะพุ่งเข้าไปเล่นด้วยกลับกระโจนขึ้นที่เดิมราวจงใจก่อกวน
“ขาว!” วสุโอดครวญซ้ำ แต่เอกภพยืนขำ
“ช่างเถอะ”
“ผมเลยไม่รู้มันสนิทหรือเขม่นกันอยู่”
“หมาแมวก็อย่างนี้แหละ”
วสุผงกศีรษะเลยตามเลย หันกลับมาสนใจชายหนุ่มตรงหน้าแทน “พี่เอกเคยเลี้ยงแมวไหมครับ”
“ไม่เคย”
“แล้วหมาพันธุ์อื่นนอกจากโกลเด้นล่ะ”
“ไม่เคยเหมือนกัน” ชายหนุ่มว่า ส่งลูกบอลยางขนาดย่อมใส่มือวสุ พยักพเยิดให้ลองปาออกไปในสนามหญ้า
เขางงอยู่อึดใจหนึ่ง แต่ก็ทำตาม เริ่มจากปาเบา ๆ ก่อน
ลูกบอลกลิ้งกลุก ๆ ไปได้ไม่เท่าไร เจ้าก้อนขนสีทองก็วิ่งดุกดิกไปคาบมันกลับมาคืน
“โห”
เอกภพยิ้ม ก้มตัวลงพึมพำที่ข้างหูเขา “ทีนี้ลองอีกที ไกลกว่าเมื่อกี้หน่อย”
วสุพยักหน้า ขว้างมันออกไปไกลขึ้น ดุ๊กดิ๊กแจ้นไปคาบมันมาคืนอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้ชายหนุ่มเป็นคนหยิบลูกบอลออกมาจากปากสัตว์เลี้ยง ยื้อแย่งกันอยู่นิดหน่อยจนหมารักยอมปล่อย ก่อนจะสะกิดเขาแล้วบอกให้ดูอะไรนี่
เขามองตามมือชายหนุ่มซึ่งเงื้อไปข้างหลัง เจ้าตัวหันมาเรียกดุ๊กดิ๊กเหมือนให้เตรียมตัว ก่อนจะปาบอลออกไปลอยโด่งอยู่ในอากาศ สีส้มสดของลูกบอลยางตัดกับสีฟ้าสดของผืนฟ้าไร้เมฆเหนือสนามหญ้า
โกลเด้นรีทรีฟเวอร์สลัดภาพหมาขนทองชอบนอนอืด กระโจนออกจากข้างกายเจ้านายแล้วทะยานออกไปสุดฝีเท้า ตาจับจ้องกับลูกกลม ๆ สีส้มที่ลอยหวือ จังหวะที่เริ่มคล้อยตัวต่ำลง ก็พอดีกับที่มันยันตัวเองกระโดดขึ้นกลางอากาศ อ้าปากลิ้นห้อย เขี้ยวขาวหมายมั่นจะกัดลงบนลูกบอลยางอย่างเท่เหมือนในโฆษณาอาหารสุนัข จากนั้นก็งับลงไปเต็มคำ
ลูกบอลหล่นตุบลงมากลิ้งช้า ๆ อยู่บนพื้น ตามด้วยร่างหมาที่งับได้แต่อากาศหล่นลงมาเหยียบพื้นด้วยอีกตัว ดูดีทุกประการหากมองข้ามเรื่องที่กระโดดรับพลาดเป้า
“โธ่!”
เอกภพครางออกมาเบา ๆ ส่วนวสุซึ่งลุ้นแทบแย่ก่อนหน้านี้ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ขายหน้าจริง ๆ เลยดุ๊กดิ๊ก”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ขณะรับลูกบอลจากสัตว์เลี้ยงที่ยังอุตส่าห์คาบมันจากพื้นมาคืนให้ เกาหูเกาคอแล้วให้ขนมเป็นรางวัล จากนั้นปล่อยมันวิ่งเล่นในบริเวณบ้าน ประเดี๋ยวเดียวก็ไปนั่งเฝ้าแมวใต้พุ่มไม้อีก
“ท่าทางมันจะถูกใจขาวนะ” ชายหนุ่มว่า ล้างมือที่ก๊อกน้ำใกล้ ๆ แล้วถอยไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนไม่ไกลกันนัก ดึงแขนเขาให้ลงมานั่งด้วยที่เก้าอี้อีกตัวข้างกัน มองแมวที่แกว่งหางราวกับจะยั่วใส่เจ้าหมาซึ่งนั่งร้องหงิงอยู่ข้างล่าง แล้วยังหันมาทางพวกเขาเป็นระยะเหมือนอยากฟ้อง
“อยากเล่นด้วยก็ต้องชวนเองสิ” เอกภพหัวเราะใส่หมาตัวเอง ขณะที่วสุเผลอมองรอยยิ้มนั้นของชายหนุ่มอีกทอด จ้องอยู่นานจนเจ้าตัวหันมาเห็น
“อ๊ะ!” เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง โบกมือไปมาเป็นพัลวันตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ได้ออกปากอะไรสักคำ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“..เปล่าครับ”
“จริงหรือ?”
“เอ้อ..” เขาลากเสียงอ่อย ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตายอมรับทั้งที่ยังแอบเหลือบมองอีกฝ่าย “ความจริงแล้วมีเยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย”
เอกภพยิ้มน้อย ๆ ให้กับความตรงไปตรงมานั้น “ค่อย ๆ พูดก็ได้”
“ถ้าเบื่อหรือรำคาญขึ้นมาตอนไหนละก็ บอกได้ตลอดเลยนะครับ”
“จะไปรำคาญได้ยังไง”
“ทำไมถึงจะไม่ได้ล่ะ”
ชายหนุ่มชะงักไป ถ้อยคำเรียบง่ายนั้นราวกับหมัดที่ต่อยเข้าแรง ๆ ใส่กลางหน้า เขาคิดไม่ออกเลยว่าจะรำคาญวสุได้อย่างไร แต่ยังบอกไม่ได้อีกแล้วว่าเหตุใดจึงสำคัญจนไม่สามารถคิดอย่างนั้นด้วยได้
“ไม่รู้สิ..” เขายิ้มบาง “แต่เป็นคนที่คิดว่าจะทำอะไรก็ไม่รำคาญหรอก”
“เพราะพี่เอกคิดว่าผมเป็นวสันต์หรือครับ?”
ไม่ใช่..เขาควรตอบอย่างนั้น แต่กลับพูดไม่ออก ด้วยใจหนึ่งยังลังเลอยู่จริงเหมือนอย่างอีกฝ่ายว่า มีเพียงรอยยิ้มที่ยังวาดอยู่ตำแหน่งเดิมบนริมฝีปาก ทว่าไร้คำตอบรับหรือปฏิเสธ
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร วสุก็เปลี่ยนเรื่องเอง
“พี่เอกเชื่อพวกเรื่องระลึกชาติไหม”
“เมื่อก่อนไม่เชื่อ..” เอกภพตอบช้า ๆ ไม่ละสายตาจากใบหน้าคนถามเลยสักนิด “..แต่ตอนนี้ยอมรับว่าก็คิดบ้างเหมือนกัน”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเลื่อนลอยแล้วถามต่อ
“วสันต์ก็เรียนโรงเรียนที่ผมอยู่ตอนนี้ใช่ไหม"
เขาเลิกคิ้ว ฟังอีกฝ่ายเจื้อยแจ้ว
"ตอนเขาเรียน ที่ข้างสนามฟุตบอลเคยมีต้นคูณต้นใหญ่ ออกดอกสวยที่สุดในโรงเรียน แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว กลายเป็นถนนคอนกรีต”
ชายหนุ่มรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาในอก ต้นคูณนั้นทำไมเขาจะจำไม่ได้ ดอกสีเหลืองสดที่บานสะพรั่งงดงามในฤดูร้อน รูปถ่ายของเขากับวสันต์ใต้ต้นไม้นั้นยังถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีด้วยซ้ำ
“ใช่..” เขาพึมพำ “พี่เองก็เรียนที่นั่นด้วย”
วสุสูดลมหายใจเข้าลึก มองเขาด้วยสายตาเหมือนว่าคิดเรื่องนั้นไว้อยู่แล้ว
“ผมคุ้นกับทุกที่ในโรงเรียนเลย แต่ยังเดินไม่ทั่วเพราะว่าเพิ่งมาอยู่ได้ไม่เท่าไร”
เอกภพพยักหน้ารับ หากวสุมีความทรงจำของวสันต์อย่างที่เจ้าตัวบอก การจะรู้สึกเช่นนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะวสันต์เรียนที่นั่นมาถึงหกปี แล้วยังจบชีวิตลงที่โรงเรียนนั้นด้วยเช่นกัน ร่วงหล่นลงจากดาดฟ้าของอาคารห้าชั้นซึ่งตอนนี้เป็นตึกเก่าเกือบจะที่สุดในโรงเรียน...
เดี๋ยวสิ
“แล้วดาดฟ้าล่ะ?”
วสุเลิกคิ้วกับท่าทีกะทันหันของเขา
“ดาดฟ้าของอาคารเก่า” เขาขยายความเพิ่ม ทั้งสงสัยและกังวลว่าวสุจะจำได้หรือไม่ “ที่มีห้าชั้น ได้ไปที่นั่นหรือเปล่า”
“ตึกเก่าห้าชั้นน่ะหรือครับ” เด็กหนุ่มพึมพำ จากนั้นส่ายหน้าช้า ๆ “ผมเรียนตึกใหม่ เลยยังไม่ได้ไป ว่าแต่ดาดฟ้าที่นั่นมีอะไ—”
พูดได้เพียงเท่านั้นก็กลับชะงักไป สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก มองกลับมาที่เขาราวกับเพิ่งนึกความเชื่อมโยงบางอย่างออก
“...ดาดฟ้า..”
“....”
“...ที่นั่นหรือครับ?”
หลังเสียงกระซิบนั้นของวสุ ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกครู่ใหญ่ กระทั่งแดดร่มลมตก แมวกระโจนลงจากพุ่มไม้แล้วตบเบา ๆ กลางจมูกหมาไปหนึ่งทีก่อนรีบเผ่นหนี ก็เป็นเขาเองที่เอ่ยออกมาในที่สุด
“..อย่าไปเลย ดาดฟ้านั่น”
“...”
“มันเจ็บไม่ใช่หรือ”
วสุกอดแขนตัวเองไว้ ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้า ๆ เขาจำความรู้สึกตอนร่วงลงมาได้ดี มันกรีดย้ำซ้ำ ๆ ในความฝันเขาตลอดมา
“...เจ็บ...แล้วผมก็กลัวมากด้วย”
“เพราะฉะนั้นอย่าไปที่นั่นอีกเลย”
เด็กหนุ่มทิ้งช่วงไปอีกครู่ใหญ่ กว่าจะกระซิบออกมาพลางเงยขึ้นมองหน้าอีกฝ่าย
“พี่เอกรู้ไหม..ผมลองมาคิดกับตัวเองแล้ว”
เอกภพสบตาเขากลับ แต่ยังคงนิ่งเงียบรอให้เขาพูดต่อ
“ถึงวันนั้นผมจะเป็นคนพูดเอง ว่าพี่อยากเรียกผมเป็นวสุหรือวสันต์ก็ได้ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถึงจะมีความทรงจำชัดเจนยังไง แต่ผมก็เป็นเขาให้พี่ไม่ได้หรอก..."
"อา"
สีหน้าอีกฝ่ายดูเจ็บปวด แต่อะไรที่เขาทำไม่ได้ก็คงไม่ได้จริง ๆ
"...ไม่อย่างนั้นตัวผมที่ยังหายใจอยู่ตรงนี้จะไม่มีความหมายในการมีชีวิตอยู่เลย”
พอมาได้ถึงแค่นี้ ทั้งขอบตาและปลายจมูกก็ร้อนจนต้องหยุดไปครู่ใหญ่ สูดน้ำมูกเหมือนเป็นเด็กครั้งหนึ่ง จึงพูดต่อได้ทั้งที่ยังกลัวกับคำตอบอีกฝ่าย
“...ที่ผมรักพี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะมาจากไหน แต่ก็แน่ใจว่าไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ ต่อให้เมื่อก่อนผมเป็นใคร ก็อยากให้พี่เอกเห็นว่าผมตอนนี้เป็นวสุ ถึงแม้ถ้าพี่คิดอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกต่อผมทั้งหมดจะเริ่มจากศูนย์ก็ไม่เป็นไร พี่ไม่ต้องรักผมตอนนี้ก็ได้..ผมรอมาทั้งชีวิต แล้วผมก็คิดว่ายังรอต่อได้อีก...”
“วสุ..”
“ได้หรือเปล่าครับ? ผมขอมากเกินไปหรือเปล่า”
เขาถามเสียงแผ่ว ร่างกายไม่ไหวติง ทั้งที่หวั่นใจจนแทบไม่สามารถนั่งนิ่งอยู่ได้ แม้หากสวมรอยว่าตัวเองเป็นวสันต์ เอกภพก็คงรักเขาได้เหมือนอย่างที่เคยเกิดความรู้สึกนั้นกับคนรักเก่า แต่จะให้มีชีวิตใต้เงาของคนที่ไม่อยู่อีกแล้วตลอดไปคงทนไม่ไหว จะต่างอะไรกับต้นหญ้าพวกนั้นที่อยู่ในเงาทึบของพุ่มไม้จนตายไปเอง
“...พี่เอก?”
สองคนนั้นเอาอีกแล้ว ขาวทำสิ่งที่คล้ายกับเวลาคนถอนหายใจ โบกหางยั่วให้ไอ้ขนทองจ้องไว้ด้วย จะได้ไม่ว่างไปเสนอหน้ารบกวนทาสมนุษย์ของมันอีก หมาโง่ก็หลอกง่ายเสียจริง เห็นหางสีดำ ๆ แกว่งไปมาก็กลอกตาตามราวกับถูกสะกดจิต
มันเหล่หมาอย่างพึงใจ มองเลยไปถึงพื้นใต้แมกไม้หนาทึบที่ตนซุ่มอยู่ ตรงนั้นเป็นดินแห้ง ๆ ที่ไม่มีหญ้างอกนัก คงเพราะอยู่แต่ใต้พุ่มไม้ซึ่งรกครึ้มกว่าจุดอื่น ต่อให้มีร่มเงาและดูเหมือนจะปลอดภัย แต่ไม่มีแสงเลยเช่นนี้คงไม่ไหว หญ้าชอบแดดที่ไหนจะไปงอกได้กัน อย่างเจ้าเด็กนั่น—
“โฮ่ง!”หมาเห่าขัดจังหวะความคิดปรัชญาแมว
หนวกหูน่า!
มันเขม่นจนลูกตาเหลือง ๆ แทบหลุดจากเบ้า พยักพเยิดไปทางนายที่รักของเจ้าหมากับทาสผู้ซื่อสัตย์ของตัวเอง ดุ๊กดิ๊กหันมาจ้องมันตาใสสลับกับเหลียวมองสองคนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ถ้าเงียบ ๆ เสียบ้างคงได้ยินอยู่หรอกว่าคุยอะไรกัน ก่อนหน้านั้นก็มัวแต่วุ่นวายกับเจ้าก้อนขนตุ๊ต๊ะนี่จนไม่ทันฟัง ได้ยินอีกทีตอนวสุถามว่าได้หรือเปล่า...ขอมากเกินไปหรือเปล่า แต่ได้อะไร..ขออะไรมากไปนั้นมันก็ไม่รู้ โทษไอ้อ้วนที่แลบลิ้นแหะอยู่นี่เลย
“พี่เอกครับ?”
นั่นปะไร พอหมาเงียบหน่อยก็ได้ยินแล้ว แต่ทำไมทาสมันต้องไปอ้อนไอ้ผู้ชายคนนั้นตลอดเลยนะ น่าหมั่นไส้เหลือเกิน
“โฮ่ง”
ยังกวน! เดี๋ยวตบจมูกแหว่งเสียนี่!
คราวนี้ต้องขู่ถึงสองรอบ กว่าหมาจะยอมร้องหงิงแล้วย่อตัวลงนั่งดี ๆ ใต้หางซึ่งกวัดแกว่งไปมาของมัน รอดูท่าทีว่ามนุษย์ผู้ชายที่งี่เง่าพอกับหมาของตัวเองจะทำไอ้หนูขี้ง่วงของมันร้องไห้อีกหรือเปล่า
แต่คราวนี้เหมือนจะไม่
วสุขออะไรก็ไม่รู้ แต่เอกภพไม่ยอมตอบ กลับบอกให้หลับตา ซึ่งเจ้าเด็กหน้าง่วงหลังจากงุนงงอยู่เพียงครู่เดียวก็ทำตามอย่างว่าง่าย หัวอ่อนเสียนี่กระไร เมื่อวสุหลับตาตามที่ตัวเองขอ มือใหญ่ ๆ จึงวางแนบลงบนสองแก้มเด็กหนุ่มแผ่วเบา ดูทะนุถนอมอย่างกับเวลาประคองดอกไม้เล็ก ๆ ไม่ให้กลีบช้ำ
ขาวมองตาไม่กะพริบ ไม่ลืมจะโบกหางไปมาเพื่อเห่กล่อมหมา
มันจ้องเขม็งแทบลืมหายใจ ตั้งแต่ใบหน้าสองคนนั้นยังห่างกันในระยะพูดคุยปกติ จนกระทั่งทางฝั่งเอกภพขยับช้า ๆ เข้าไปใกล้เด็กหนุ่มซึ่งยังหลับตาอยู่
ปลายจมูกแตะกันเบา ๆ
แล้วตามด้วยริมฝีปากที่จรดลงไป เอียงใบหน้าจนกลีบปากทั้งคู่แนบกันสนิท ถอนออกแล้วกดลงไปใหม่ซ้ำ ๆ เชื่องช้าจนราวกับจะทำใครสักคนขาดใจลงให้ได้..แต่อ่อนหวานเหมือนกลิ่นดอกไม้ที่ลอยฟุ้งอยู่แถวนี้
ไอ้มนุษย์ผู้ชายนั่นร้ายนัก!
ตอบคำถามไอ้หนูของมันด้วยวิธีแบบนี้ แค่พูดว่า ‘ได้’ คำเดียวมันจะตายหรืออย่างไรมิทราบ จึงต้องมาเลียปากแทนคำตอบ
หมากำลังนั่งเอ๋อ มองนิ่งไปทางเจ้าของ ขาวถือโอกาสนั้นกระโจนลงจากพุ่มไม้เงียบเชียบ ย่องผ่านพื้นดินโหว่ ๆ ซึ่งไม่มีหญ้าขึ้น แต่เห็นเอกภพบอกจะเล็มพุ่มไม้นี้ ซึ่งเป็นความคิดที่ดีหากยังอยากให้หญ้างอก อยู่ใต้เงาครึ้มเช่นนี้พวกชอบแดดมันจะรอดได้อย่างไร
มันซอยเท้าเหยาะ ๆ ไปหาวสุ เด็กน้อยของมันโดนเลียปากไปเยอะแยะ เฝ้าไว้สักหน่อยก็ดี ประเดี๋ยวจะจบแบบครั้งก่อนอีก แต่พอหมาเห็นเข้าก็รีบเสนอหน้าตามมา เศษดินยังติดตรงก้นที่เต็มไปด้วยขนสีทองนั้นด้วยซ้ำ ไอ้หมาซกมกเอ๊ย!
ดุ๊กดิ๊กส่งสายตาเถียง ว่าก็ใต้พุ่มไม้นั่นมีแต่ดิน หญ้าไม่เหลือเลย แล้วจะไม่ให้เศษดินติดขนได้อย่างไร แต่แมวส่ายหน้าว่าฟังไม่ขึ้น ข้ออ้างนี้ใช้ได้อีกแค่ไม่เท่าไร
เพราะเมื่อออกจากเงาได้แล้ว ไม่นานหญ้าสวย ๆ คงงอกงามใหม่เป็นแน่ โปรดติดตามตอนต่อไป
ฟู่วววว
อา...เริ่มหมดความเห็นเองแล้วค่ะ (ฮา)
ขอบคุณคนอ่านงาม ๆ ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนค่ะ ตอนที่แล้วดูเหมือนทุกคนจะเป็นหวัดกันเยอะเลย *แจกจ่ายยาแก้ไอ* แล้วไปเยี่ยมพี่เอกกันนะคะ คุก ๆ ๆ ๆ
พรากกกส์ ข้ามไปของแถมเลยดีกว่า ฮึบ! รีพลายถัดไปนะคะ lol