...ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้น...เมื่อห้าปีที่แล้ว...
…..
……….
‘ไม่เป็นไรแน่นะลูก ถ้าเงินไม่พอใช้ก็บอกได้นะ’
“พอครับ พอ.. ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”
‘..งั้นก็เดินทางดีๆ นะ อย่ากลับหอมืดค่ำนักล่ะ’
“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”
บทสนทนาระหว่างโอเมก้าหนุ่มหัวสีกับปลายสายที่แสดงความเป็นห่วงนั้นดังแว่วทำลายความเงียบยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ เวลาล่วงเลยเกือบจะเที่ยงคืนทำให้ร้านค้าต่างๆ และถนนหนทางดูเงียบผิดหูผิดตากับเมื่อตอนหัวค่ำนัก ทว่าแม้จะดึกดื่นแบบนี้ ผู้เป็นแม่ก็ยังคงโทรมาหาเขาไม่ขาดสายแม้สักวัน
หลังจากที่โคลวิสเรียนจบมหาวิทยาลัย...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักก็ได้จบลงไปพร้อมๆ กันด้วย ความรักที่มีให้กันจืดจางลงไปอย่างรวดเร็วเพราะอัลฟ่าที่เขารักไปเจอโอเมก้าคนใหม่ที่ทั้งเด็กกว่า น่ารักกว่า แน่นอนว่าสดใหม่กว่า.. โคลวิสก็หมดอาลัยตายอยากไปนานหลายเดือน
กระทั่งตัดสินใจจะลืมอดีตทั้งหมดและตั้งต้นชีวิตใหม่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเขา ด้วยการย้ายตัวเองมาอยู่ในเมืองใหญ่เพียงลำพังด้วยเงินเก็บของตัวเอง และเริ่มทำงานในร้านเบเกอรี่ตามความถนัดที่เรียนมา หลังร้านปิดก็ไปเป็นนักร้องตามผับบาร์เล็กๆ หารายได้เสริมยามค่ำคืน
“อากาศเริ่มหนาวแล้วแฮะ..” มือสวมกอดตัวเองเมื่อโดนลมหนาวพัดใส่ นี่ก็ระหกระเหินมาได้ครึ่งปีแล้ว ถึงแม้ชีวิตตอนนี้จะเริ่มอยู่ตัวแต่คนที่บ้านก็ยังเป็นห่วงอยู่ ก็...คงจะเป็นธรรมดาล่ะนะ…
“ขอโทษนะครับ ใช่คุณนักร้องที่อยู่ในร้านเบนิโต้เมื่อสักครู่รึเปล่า?” เสียงทักของบุคคลปริศนาเอ่ยเรียกสติของโคลวิสที่กำลังเดินเหม่อซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อ
“หืม? ..ใช่ครับ?” โคลวิสหันไปมองคนที่เข้ามาทักเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะมีหลายครั้งที่คนจะตามเขามาหลังจากจบคิวการร้องเพลงที่บาร์นั้นเพราะชอบเสียงของเขา บางครั้งก็มาจับมือขอลายเซ็นบ้างหรือเอาทิปเล็กๆ น้อยๆ มาให้ มีกระทั่งขอจีบหรือชวนไปต่อหลังเลิกงานด้วย…ซึ่งที่ผ่านมาก็โดนปฎิเสธไปทุกรายนั่นแหละ ยังดีหน่อยที่คนพวกนั้นไม่ช่างตื๊อและยอมรามือเมื่อเห็นรอยตีตราที่หลังคอซึ่งเป็นหลักฐานว่าเขาเป็นโอเมก้าที่มีคู่แล้ว...ถึงตอนนี้จะไม่มีแล้วก็เถอะ
โคลวิสพยายามไม่สบตากับชายแปลกหน้าและรีบเดินเลือกซื้อของที่ต้องการให้เร็วขึ้น
“ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยนะ มาฟังคุณร้องเพลงแทบทุกคืนเลย”
นี่ไงล่ะตัวอย่างที่พูดถึง.. ชายหนุ่มที่ดูท่าทางจะอายุไล่เลี่ยพอๆ กันกับเขายิ้มแป้นแล้นให้และจ้องมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด “แต่..ไม่กล้าเข้าไปทักคุณสักที แถมพอหมดคิวคุณก็มักจะรีบกลับก่อนตลอดเลย”
“หน้าผมคงดูน่ากลัวสินะ” โคลวิสยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์
“อ่ะ ผมขอเลี้ยงคุณได้มั้ย เอ่อ..ว่าไงดี คิดซะว่าเป็นการให้ทิปอย่างหนึ่งนะครับ”
“เกรงใจน่ะครับ แค่มาฟังทุกครั้งผมก็รู้สึกขอบคุณแล้วล่ะ” โคลวิสรับของจากพนักงานหลังจ่ายเงินและเดินออกจากประตูร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแฟนเพลงของเขาก็ยังคงเดินตามมาติดๆ
ในหัวของโคลวิสกำลังคิดว่าจะสลัดอีกฝ่ายให้หลุดยังไงดี ขืนยังปล่อยให้ตามติดแบบนี้มีหวังเดินตามไปส่งจนถึงหอพักแหงๆ
“คุณไม่สนใจจะไปเป็นนักร้องมืออาชีพบ้างเหรอครับ?”
“ผมแค่ชอบร้องเพลงแต่ไม่ถึงขนาดอยากมีชื่อเสียงหรอกครับ”
แม้ว่าครั้งยังเด็กมันจะเคยเป็นความฝันสูงสุดของเขา แต่ตอนนี้ก็ได้หยุดความปรารถนาที่ไกลเกินเอื้อมนั้นไปแล้ว ทว่า ถึงจะปฎิเสธไปแบบนั้น แฟนเพลงคนนี้ก็ยังคงตามตื้อเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งรีบเดินเพื่อสลัดอีกฝ่ายทิ้งเท่าไหร่ก็เหมือนจะทำให้ถูกไล่ตามติดประชิดตัวยิ่งขึ้น จนพวกเขาเดินมาใกล้ย่านที่พักอาศัยราคาถูก ยิ่งทำให้ผู้คนเบาบางลงแถมเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินมาใกล้จนผิดปกตินี่อีก
“ผมคงต้องกลับแล้ว”
“อา...น่าเสียดายนะครับ ...งั้นคราวหน้าขอเลี้ยงข้าวคุณได้มั้ย?”
นั่นไงล่ะ… มุกคลาสสิกชะมัดเลย
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่หวังดี แต่ผมขอรับไว้แค่น้ำใจเท่านั้น” โคลวิสหยุดเดินและหันมายกมือห้ามเหมือนจะให้คนเดินตามหยุดการกระทำและการตื๊อทุกอย่าง รวมทั้งเอ่ยปฎิเสธอ้อมๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่ก็ดึกมากแล้ว ที่พักผมอยู่อีกไกลเลย เกรงว่าคุณจะเดินกลับลำบาก เพราะงั้นคงต้องแยกย้ายแล้วล่ะครับ”
“หือ? ที่พักของคุณเลี้ยวตรงหัวมุมนี้ก็ถึงแล้วนี่ครับ?”
โคลวิสหน้าซีดทันทีเมื่อพบว่าคนที่เดินตามเขามานั้นรู้ตำแหน่งหอพักของเขาทั้งที่ไม่เคยบอกใคร นี่แสดงว่าผู้ชายคนนี้แอบสะกดรอยตามเขางั้นหรือ? กี่วันแล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะเนี่ย!?
“อ่า…” แฟนเพลงปริศนาเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นปิดปากราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป บรรยากาศเงียบลงไปสักพัก โคลวิสยืนนิ่งค้างรอดูท่าทีอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตระหนกจนปิดไม่อยู่ “เฮ้อ...พลั้งปากไปซะแล้วสิ… แต่สีหน้าคุณตอนนี้ก็น่ารักดีนะครับ”
ชัดเลย พวกโรคจิตชัดๆ!!
โคลวิสหันตัวกลับและออกวิ่งไปทางตรงข้ามกับหอพักของตัวเองพลางตะโกนร้องให้คนช่วย เขาวิ่งตรงไปยังทางที่คิดว่ายังพอมีคนพลุกพล่านบ้างอย่างพวกร้านเหล้าบาร์หรือตลาดใกล้ๆ ที่มักจะเริ่มเปิดขายของตั้งแต่กลางดึก แต่สับขาหลอกไปได้ไม่นานก็โดนจับตัวได้
ชายอันตรายคนนี้ตรงเข้าล็อกคอและเอามือปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว จากพลังกายที่มากล้นกว่าและกลิ่นฟีโรโมนที่ลอยคลุ้งแตะจมูกเมื่อถูกเข้าประชิดทำให้โคลวิสเดาได้ว่าคนคนนี้คงเป็นอัลฟ่าแน่นอน
“ตอนหนีหัวซุกหัวซุนก็น่ารักยังกับกระต่ายน้อย...” น้ำเสียงกระเส่าที่กระซิบอยู่ข้างหู ของอัลฟ่ากลัดมันชวนขนลุกผิดกับตอนที่เข้าหาเหยื่อครั้งแรก ยิ่งตอนนี้พวกเขาเพิ่งผ่านการวิ่งมาหมาดๆ ทำให้เสียงหอบที่ปะปนมานั้นน่าขยะแขยงสุดๆ “กลับไปที่ห้องของคุณกันดีกว่า...ไม่สิ ผมอยากจะเปลี่ยนมันเป็นรังรักของเราในคืนนี้เลยล่ะ”
“อื้ออ!” ไม่ว่าจะพยายามส่งเสียงร้องเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะโชคดีที่ว่ากลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าโรคจิตไม่ได้กระตุ้นตัวเขาให้เกิดอาการฮีท แต่ยังไงก็ไม่อาจสู้เรี่ยวแรงอีกฝ่ายได้ ถ้ายังดิ้นขัดขืนไร้ประโยชน์ก็มีแต่จะยิ่งทำให้หมดแรงอย่างเสียเปล่าแถมเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจนโดนลากไปข่มขืนอีกด้วย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพยายามตั้งสติและมองไปรอบๆ เพื่อหาคนช่วย อีกไม่กี่บล็อคข้างหน้าก็จะถึงย่านสถานบันเทิงที่มีทั้งแสงไฟและผู้คนที่ออกมาท่องราตรี แต่จะทำยังไงให้ไปถึงที่นั่นได้…? จากตรงจุดที่เขาถูกดันชิดกำแพงอยู่มันมืดเกินกว่าจะมีใครมองเห็นได้ ทำให้การร้องขอความช่วยเหลือนั้นช่างดูสิ้นหวังเหลือเกิน
ทว่า...
“ทางนี้ค่ะคุณตำรวจ! ทางนี้ๆ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกจากทางเลี้ยวบล็อกข้างๆ ทำให้ทั้งโคลวิสและสต็อคเกอร์หนุ่มหันตามไป สายตาของทั้งคู่เห็นหญิงสาวสองคนกำลังชี้มาทางนี้และหันหน้าไปทางถนนอีกด้าน ก่อนจะเห็นเงาของชายตัวสูงใหญ่กับดวงไฟจ้าแยงตาจากกระบอกไฟฉายกำลังวิ่งตรงเข้ามายังซอยเปลี่ยวที่ๆ พวกเขายืนอยู่
“ตำรวจเหรอ!?” ชายโรคจิตหน้าซีดและปล่อยตัวโคลวิสทันทีก่อนจะหันหลังวิ่งเตลิดไปยังซอยข้างๆ ที่ไร้แสงนีออนจากเสาไฟฟ้าอย่างสุดฝีเท้า
“มันจะหนีไปแล้วค่ะ!!” พลเมืองดีที่มาช่วยไว้ได้ทันท่วงทีรีบวิ่งมาชี้ไปยังทางที่ชายโรคจิตวิ่งหนีหายไป
เมื่อแสงจากไฟฉายเคลื่อนเข้ามาใกล้จุดที่พวกเขายืนอยู่ แต่คนที่วิ่งมาไม่ใช่ตำรวจหรือสายตรวจใดๆ … กลับกลายเป็นเพียงผู้ชายตัวสูงที่มาดดูไม่เหมือนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แม้แต่นิดเดียว หรือว่านี่จะเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบกัน? ...ก็ดูไม่เหมือนอยู่ดี
“หนีไปแล้วจริงๆ แฮะ ดีนะที่มันหลงเข้าใจผิด” ชายคนที่โคลวิสเข้าใจว่าเป็นตำรวจยืนมองลาดเลาสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าชายโรคจิตนั่นจะไม่กลับมาอีกอย่างแน่นอน “คุณ...ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ครับ… ขอบคุณที่ช่วย” โคลวิสตั้งสติแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยิบถุงใส่ของที่ซื้อมาซึ่งเขาเผลอปล่อยตกพื้นไปตอนที่ดิ้นขัดขืน
“พวกโรคจิตแถวนี้นี่เยอะขึ้นจริงๆ นั่นแหละ บ้านอยู่แถวนี้รึเปล่า คะ ให้พวกเราเดินไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับ..” โคลวิสเผลอจ้องมองชายร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาสีทอง...ผมสีน้ำตาลเข้มจัดทรงเรียบ ใบหน้ามีเคราจางๆ แต่แต่งกายสะอาดเนี้ยบ ดูจากขนาดตัวแล้วมองยังไงก็อัลฟ่าอย่างแน่นอน แถมไม่ใช่อัลฟ่ากิ๊กก๊อกปลายแถวอย่างคนเมื่อครู่แน่ๆ แต่ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายมากไปกว่านี้โคลวิสก็ควานหากาแฟกระป๋องในถุงที่เขาซื้อมาเป็นเสบียงสำหรับพรุ่งนี้ยื่นให้ทั้งสามคน
“หือ?”
“แทนคำขอบคุณสำหรับเมื่อกี้น่ะครับ ผมคงรู้สึกไม่ดีนักถ้าหากถูกช่วยฟรีๆ โดยไม่ได้ตอบแทนอะไร”
“ขอบคุณค่า อุ้ย!” หญิงสาวตัวเล็กผมสั้นหยักศกยื่นมือออกไปรับมาด้วยความยินดีแต่ถูกเพื่อนสาวผมดำตีมือเข้าให้
“...เอ่อ คือก็เข้าใจนะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบกาแฟกระป๋องน่ะ ให้แค่พวกเธอแล้วกัน” ร่างสูงยกมือขึ้นบอกปัดและยิ้มแห้งๆ ดูก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้ปฎิเสธน้ำใจเป็นมารยาทอย่างแน่นอน
“ครับ ถ้างั้นผมขอตัว...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” โคลวิสไม่คิดจะดื้อดึงเพราะเขาเองก็อยากกลับไปพักผ่อนเต็มที แต่เมื่อเท้ากำลังจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่เพื่อกลับที่พักของตน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า...อัลฟ่าโรคจิตคนนั้นมันรู้ที่อยู่ของเขานี่หว่า!?
“ขอบใจพวกเธอมากเลยนะ เอาล่ะ...งั้นก็รีบกลับกันเหอะ อากาศชักจะหนาวแล้วด้วยสิ”
“อ่ะ...เดี๋ยวก่อนนะครับ!” โคลวิสร้องเรียกผู้ช่วยชีวิตตนทั้งสามคนเมื่อครู่ไว้
“คะ?” สาวน่ารักผมสั้นหันขวับมามองก่อนใครเพื่อน
“คือว่า...ขอโทษที่ต้องรบกวนพวกคุณไม่เข้าเรื่อง แต่...ช่วยไปส่งผมที่หอของเพื่อนหน่อยจะได้มั้ยครับ?”
“หือม์?” คราวนี้สาวผมดำทำหน้าเคร่งเครียดใส่เขา
“คือ... ไอ้โรคจิตนั่นมันรู้จักหอพักผมน่ะ เกรงว่าถ้ากลับไปตอนนี้อาจจะเจอมันดักรอเอาได้น่ะครับ” โคลวิสแจกแจงด้วยสีหน้าวิตก แม้จะพยายามคุมสติตัวเองแล้วแต่ใบหน้านั้นก็ปิดความกังวลไม่มิดอยู่ดี
“...ริชาร์ด”
“ครับ?”
“ผมชื่อ ริชาร์ด... คนผมดำนี้คือนาตาชา ส่วนอีกคน…”
“โอลิเวียค่า”
“นั่นล่ะ รู้จักชื่อไว้ ตอนนั่งรถไปคุยไปจะได้เรียกกันถูกนะครับ” อัลฟ่าร่างสูงใหญ่คลี่ยิ้มเป็นมิตรมาให้ แม้ไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฎิเสธที่จะไปส่ง แต่คำพูดนั่นก็แทนคำตอบได้ดีทีเดียว
“โคลวิสครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ คุณผู้หญิงทั้งสองคนด้วย”
เมื่อพูดคุยบอกสถานที่กับคนขับรถเรียบร้อยพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นไปนั่งบนรถคันหรูของริชาร์ด ที่จริงโคลวิสก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าริชาร์ดคงไม่ใช่อัลฟ่าธรรมดา แต่นั่งรถหรูราคาเหยียบแสนแบบนี้ก็ทำเอาเขานั่งตัวเกร็ง กลัวจะทำรถเขาเสียหายแล้วไม่มีปัญญาจ่าย!
ระหว่างที่นั่งรถผ่านถนนยามค่ำคืนไปด้วยความเงียบ โคลวิสแอบเหล่มองริชาร์ดที่นั่งข้างๆ เขาคั่นกลางกับหญิงสาวผมดำอีกคนอยู่ ร่างสูงพิมพ์อีเมล์ตอบใครสักคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอมองใกล้ๆ แบบนี้ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายคงมีอายุมากกว่าเขา ทั้งการวางตัวและบุคลิกดูภูมิฐานน่าเกรงขาม แต่ท่าทางขี้เล่นบวกกับรอยยิ้มเมื่อครู่นั้นช่วยลดความตึงเครียดของโคลวิสลงไปมากโข
“ออกมาทำอะไรดึกดื่นแบบนี้ล่ะคะ? หรือว่าหิวเลยมาหามื้อดึกเหรอ?” เหมือนโอลิเวียจะจับได้ว่าโอเมก้าผมสีแสบทรวงจะเหล่มองริชาร์ดอยู่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรและเปิดบทสนทนาทำลายความเงียบ
“เปล่าครับ พอดีเพิ่งกลับจากที่ทำงานก็เลยแวะซื้อของน่ะ” โคลวิสตอบโดยไม่เจาะจงรายละเอียดมากนัก แม้คนข้างๆ จะดูไม่มีพิษภัย แต่เขาเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงในชีวิตมา เลยยังคงระแวงพวกอัลฟ่าอยู่บ้าง กระนั้นที่ต้องหน้าด้านขอติดรถมานี่มันเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ..
“...เป็นโอเมก้าแต่มาทำงานดึกดื่นแบบนี้มันอันตรายนะ แถมยังไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้อีกยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่” นาตาชาที่เงียบขรึมเปิดปากพูดบ้าง
“คนที่ทำงานตอนกลางคืน แบบนี้ก็ต้องระวังอันตรายทุกรูปแบบทั้งนั้นแหละครับ หือ?” โคลวิสขมวดคิ้วจนย่นเมื่อจู่ๆ ริชาร์ดที่นั่งฟังเงียบๆ ก็ยื่นขวดบางอย่างมาให้ ขวดรูปร่างหน้าตาสุดจะคุ้นเคยแบบนี้มัน… “น้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมน?”
“ของผมเอง แต่จะให้คุณเอาไว้ใช้แล้วกัน”
“หา?” โอเมก้าหนุ่มหัวสียิ่งสงสัยหนักข้อ ทำไมจู่ๆ ริชาร์ดถึงมอบมันให้เขา? ในบรรดาของที่เกี่ยวข้องกับโอเมก้าทั้งหมดนั้น น้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนนี่นับว่าแพงติดอันดับต้นๆ ของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยับยั้งการรับรู้กลิ่นของอัลฟ่าและโอเมก้า ไม่นับยาระงับอาการฮีทอย่างดีที่ราคาแพงติดโผทุกแบบสอบถามของแต่ละสำนักข่าว ...และแน่นอนว่าตอนนี้พวกของปลอมลอกเลียนแบบที่กำลังระบาดมันก็ผิดกฎหมายด้วย เนื่องจากไม่มีการรับรองความปลอดภัยและตัวยาเองก็มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างจะเป็นอันตรายอยู่ เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกห้ามจำหน่ายแก่คนทั่วไป
“คุณ...ให้ของแบบนี้กับคนเพิ่งเจอหน้ากันง่ายๆ เลยเหรอ? …”
“คุณก็ขอติดรถผมมาง่ายๆ เหมือนกันนี่” ริชาร์ดหันมายักคิ้วกวนประสาทใส่ แต่ก็ยังคงยัดเยียดขวดน้ำหอมนั้นมาให้ จนโคลวิสต้องรับมันมาอย่างจำใจ
“แต่มันแพงมากเลยนะ...แถมตอนนี้เขาก็ประกาศห้ามใช้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” แม้จะมั่นใจว่าน้ำหอมของคนตรงหน้าเป็นของแท้แน่นอน แต่เขาก็เคยเจอพวกที่โดนหลอกให้ซื้อของปลอมราคาแพงมาไม่น้อย
“อืม ผมรู้ แต่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะมาพังเรื่องแบบนั้นคงไม่ดีใช่มั้ยล่ะครับ มีของที่ทำมาเพื่อไว้ให้เซฟตัวเองแต่กลับออกกฏหมายไม่ให้ใช้ เหมือนกับที่บางประเทศห้ามไม่ให้ผู้หญิงพกสเปรย์พริกไทยนั่นแหละ”
“รับไปเถอะค่า มันดีต่อตัวคุณนะ คราวหน้าถ้าเจอพวกโรคจิตแบบนั้นอีกอาจไม่โชคดีแบบครั้งนี้นะคะ” โอลิเวียพยายามโน้มน้าวให้รับของกำนัลอีกคน
“อย่าไปกดดันนักสิ เขาถูกช่วยไว้แล้วยังจะให้รับของแบบนี้อีก เป็นใครก็ลำบากใจทั้งนั้นแหละ”
“...” ถูกอย่างที่นาตาชากล่าว โคลวิสหลบสายตาจากใบหน้าคมที่ส่งยิ้มมาให้ จะว่าไป...อยู่ใกล้ขนาดนี้เขากลับไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าของอีกฝ่ายเลย.. “คุณริชาร์ดก็ฉีดไว้เหรอ?”
“ใช่ พอดีวันนี้นัดเจอเพื่อนน่ะ แถมยังพาโอเมก้าของตัวเองมาอีกด้วยก็เลยฉีดกันไว้ก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นปัญหาน่ะ” ริชาร์ดกดส่งข้อความแล้วปิดมือถือของตัวเอง “จริงสิ ผมได้ยินมาจากลูกค้าประจำในร้านอาหาร เห็นบอกว่านักร้องของที่ร้านนั่นก็เป็นโอเมก้าด้วย หายากนะ โอเมก้าที่ได้ทำงานเหมือนคนปกติเนี่ย บางที่นี่แทบจะไม่รับคนไทป์นี้เข้าทำงานเลยด้วยซ้ำ”
โคลวิสคิ้วกระตุกเล็กน้อย นี่เขาเจอโรคจิตตามติดชีวิตอีกคนหรือเปล่านี่? เพราะที่ร้านเบนิโต้นั้น นักร้องที่เป็นโอเมก้าก็มีแค่เขาคนเดียวเสียด้วยสิ แต่ขืนพูดออกไปตรงๆ ถ้ามันเกิดดันไม่ใช่ขึ้นมา... คงจะโดนคนตรงหน้าฟ้องหมิ่นประมาทเอาแหงๆ
“เหรอครับ...แล้วคุณจำหน้าเขาได้มั้ย?”
“น่าเสียดาย แค่มองยังไม่เห็นเลยครับ ผมอยู่ในมุมที่มองไม่เห็นตรงเวทีด้านในร้านน่ะ” ริชาร์ดถอนหายใจบางเบา “เสียงเพราะมากเลยล่ะ ยังแอบนึกอยู่เลยว่าเป็นนักร้องดังจากค่ายเพลงที่ไหนหรือเปล่า”
“อ่าฮะ”
“เสียงร้องมีพลังดีมากๆ ความจริงผมก็ชอบร้านที่มีเพลงคลอเบาๆ มากกว่า แต่คนนี้ร้องเพลงได้สะกดอารมณ์คนฟังดีจริงๆ” ริชาร์ดเอ่ยชมไม่หยุดปากโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าโคลวิสด้วยซ้ำ “แต่ว่า...กว่าจะถามสารทุกข์สุขดิบเพื่อนจบ นักร้องก็เปลี่ยนคิวกันซะแล้วน่ะสิ...อดเลี้ยงเหล้าสักแก้วเลย”
“ไว้วันหลังคุณค่อยไปเจอเขาก็ได้นี่นา”
“ไม่ได้มาแถวนี้บ่อยๆ น่ะ แต่ถ้ามาอีกล่ะก็รับรองว่าแวะไปแน่”
ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันเลยไปเรื่องอื่นๆ จิปาถะแล้ว โคลวิสยังคงเท้าคางมองไปนอกหน้าต่างรถและแอบอมยิ้มอยู่เพียงคนเดียว… แสงไฟของเมืองยามราตรีรายทางสาดส่องเข้ามาเป็นจังหวะ ฉายให้เห็นความปิติในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของโอเมก้าหนุ่ม หัวใจพองโตจากคำชมไร้เจตนาแอบแฝง และ... รอยยิ้มของคนข้างๆ ที่ยังติดตาแม้จะมองเหม่อไปไกลแค่ไหนก็ตาม...
“คุณผู้ชายคะ ดิฉันกับโอลิเวียขอลงตรงนี้เลยแล้วกันค่ะ”
“อ้อ...ได้สิ กลับดีๆ ล่ะ” ริชาร์ดอนุญาต แต่โคลวิสหันหน้ามาเพราะคำที่หญิงสาวเรียกชายหนุ่มราวกับเป็นเจ้านาย…
“สาวๆ พวกนี้เป็นคนรับใช้ที่บ้านของผมน่ะ วันนี้วันหยุดพวกเธอแล้วบังเอิญเจอกันที่ร้านเลยชวนกลับด้วยกัน อย่าเข้าใจผิดซะล่ะ” รอยยิ้มขี้เล่นหันมามองคนที่จ้องตน
โคลวิสรู้สึกหน้าแตกนิดหน่อยเพราะเผลอคิดไปว่าสาวสวยกับสาวน่ารักทั้งสองคนเป็น...เป็นอะไรสักอย่างกับอัลฟ่าผู้มีพระคุณ ว่าแต่…? ทำไมเขาต้องโล่งใจด้วยล่ะ
“ขอบคุณที่มาส่งครับ” โคลวิสโค้งตัวแสดงความจริงใจให้คนที่พามาส่งถึงหน้าหอเพื่อนของตน ซึ่งเพื่อนร่วมวงของนักร้องโอเมก้าก็หลับไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยอมตื่นมารับเพื่อนด้วยสภาพงัวเงียสุดๆ
“เรื่องเล็กน้อยน่า คุณเองก็...ไปแจ้งความไว้ก่อนก็ได้นะ ถ้าหมอนั่นสะกดรอยไปขนาดนั้นแล้วเกรงว่าคุณคงจะพักอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้วล่ะ” ริชาร์ดกล่าวเตือนด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น
“แน่นอนครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง...ว่าแต่...มีอะไรที่ผมพอจะตอบแทนคุณได้บ้างมั้ยครับ? คือ...เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ผมอยากขอบคุณที่ช่วยผมไว้แล้วยังพามาส่งตามที่ขอร้องอีก” แม้ริชาร์ดจะปฎิเสธเรื่องนี้มาตลอดทาง แต่โคลวิสก็ไม่ยอมเลิกล้มความคิดที่จะตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายอยู่ดี
“คุณนี่ตรงไปตรงมาดีนะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าตัวเองอย่างคิดไม่ตก เขาตัดสินใจหยิบเอานามบัตรจากกระเป๋าเสื้อของตัวเองยื่นให้โอเมก้าหนุ่ม “ตอนนี้ดึกแล้ว มีอะไรก็ติดต่อไปที่นี่วันหลังละกันนะ”
โคลวิสรับนามบัตรนั้นมาอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้ก้มลงอ่านอะไรในนั้น เขามองตามอัลฟ่าร่างสูงใหญ่ไปกระทั่งอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูกลับขึ้นรถ แต่...ความรู้สึกที่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว บวกกับเขาเองก็ไม่อยากเก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวอีกด้วย หนุ่มโอเมก้าหัวสีจึงสลัดความลังเลใจและพูดสิ่งที่ค้างคาออกไป
“ขอถามอะไรหน่อยสิครับ!”
“หือ?” ริชาร์ดชะงักตัวและหันกลับมามอง ซึ่งเสียงเรียกของโคลวิสก็ทำเอาทั้งริชาร์ดและเพื่อนร่วมวงที่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้านมองเขาด้วยความฉงนเหมือนกันทั้งคู่
“ทำไม...พวกคุณถึงช่วยผม..ไม่สิ คุณ...ทำไมถึงยอมเสี่ยงเอาตัวเข้ามาช่วยล่ะ?”
ริชาร์ดเลิกคิ้วเมื่อเจอคำถามแปลกหูเข้า เขากรอกตาไปมาเหมือนกำลังทบทวนสิ่งที่ถูกถามอยู่ ซึ่งนักร้องหนุ่มก็นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรออกมาตรงๆ
ที่โคลวิสถามไปเช่นนั้นเพราะว่าการที่อัลฟ่าจะจับโอเมก้าไปเป็นคู่แม้จะไม่ยินยอมนั้นเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติจนชาชินกันเลยทีเดียว แถม...อัลฟ่าส่วนใหญ่ก็ล้วนมีเส้นสายและอำนาจพอจะทำให้ตัวเองพ้นผิดด้วยซ้ำ
ซึ่ง...ความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังติดอยู่ในความรู้สึกจนถึงตอนนี้ และมือของเขาก็ยังคงสั่นแม้จะเล็กน้อยก็ตามที
ดังนั้น จึงมีน้อยคนนักที่จะทำหน้าที่พลเมืองดีช่วยเหลือโอเมก้าที่ตกเป็นเหยื่อ ก็เพราะไม่มั่นใจว่าพวกอัลฟ่าที่ลงมืออุกอาจแบบนั้นเป็นใครมาจากไหน เผลอๆ จะซวยถึงขั้นไม่มีเงาหัวเอาได้ถ้าไปขัดขวางความต้องการของอัลฟ่าเลือดร้อนที่ดันเป็นคนมีอำนาจ…จะบอกว่าเขาโชคดีก็ได้ที่คนร้ายเป็นแค่พวกอัลฟ่าปลายแถวไม่มีแบ็คอัพ แล้วก็มีคนดีๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน…
โคลวิสก็ยืนรอคำตอบอย่างใจจ่อโดยไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย แต่เพื่อนที่ยืนรอรับโอเมก้าหนุ่มอยู่ก็ดูจะเริ่มง่วงอีกรอบ ริชาร์ดเลยยอมเปิดปากพูด...
“...การช่วยใครสักคนมันก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ คุณนี่บ๊องจัง”
“หา!?” โคลวิสอุทานเสียงหลง แต่ก่อนจะได้ถามอะไรต่อนั้น ริชาร์ดก็ชิ่งหนีขึ้นรถไปเสียก่อน เขาจึงทำได้แค่มองตามหลังรถคันงามที่แล่นหายไปในความมืดโดยที่ยังคงอยากรู้คำตอบนั้นต่อไป
“...อะไรของเขาล่ะเนี่ย?”
ในเช้าวันต่อมา โคลวิสรีบตื่นไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ แต่ก็พบว่าคนร้ายเมื่อคืนนั้นโดนจับได้ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเพราะคนข้างห้องที่พักอยู่หอเดียวกันนั้นแอบเห็นตอนที่ชายอัลฟ่าโรคจิตเดินป้วนเปี้ยนไปมาหน้าห้องของเขาและพยายามจะงัดประตูเข้ามาในห้อง จึงได้บอกเจ้าของหอให้โทรเรียกตำรวจมารวบตัวได้ทัน ซึ่งก็ต้องขอบคุณเพื่อนข้างห้องคนนั้นล่ะนะที่มีสอบในเช้าวันนั้นพอดี ก็เลยซัดกาแฟจนตาสว่างเพื่ออ่านหนังสือโต้รุ่ง ไม่งั้นข้าวของอย่างเสื้อผ้าหรือกางเกงชั้นในอาจถูกขโมยไปด้วยก็ได้...คิดแล้วก็สยอง
โคลวิสทำการชี้ตัวคนร้ายและให้ปากคำนิดหน่อยในช่วงเช้าก็ออกจากสถานีตำรวจและเดินทางไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ตามเดิม
“ก็ตามนั้นล่ะ ฉันขอค้างอยู่ที่ห้องนายสักพักจนกว่าจะหาหอใหม่ได้ละกันนะ”
‘ได้ๆ ถ้านายทนความรกของห้องฉันได้ก็เอาเลย’
“ขอบใจมาก เดี๋ยวเลิกงานวันนี้มาช่วยขนพวกเสื้อผ้ากับของใช้เล็กๆ น้อยๆ หน่อยละกัน มีไม่เยอะหรอก”
‘โอเค เอาไมโครเวฟนายมาด้วยล่ะ ส่วนตู้เย็นน่ะใช้ของฉันก็ได้’
“อ่าฮะ งั้นไว้เจอกัน”
หลังจากวางสายไปพร้อมๆ กับรถเมล์ที่รอแล่นมาจอดตรงป้ายพอดิบพอดี ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาบนตึกใกล้ๆ เป็นป้ายของสถาบันฝึกสอนทำอาหารที่กำลังเปิดรับสมัครคน หนึ่งในหลักสูตรนั้นคือคอร์สการเรียนชงกาแฟที่เปิดสอนโดยบาริสต้ามืออาชีพ... โคลวิสหยุดนิ่งไม่ยอมเดินขึ้นรถจนคนขับต้องเอ่ยทักว่าจะไปมั้ย แต่เขาก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นเชิงปฎิเสธและขอโทษ...แล้วเดินกึ่งวิ่งไปทางตึกนั้นแทบจะทันที
...ผมไม่ค่อยชอบกาแฟกระป๋องน่ะ…
“ขอโทษครับ ผมขอไปสายนิดหนึ่งนะครับ” โคลวิสไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด อีกฝ่ายก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน แต่เท้าของเขากลับยังคงจ้ำตรงไปยังตึกเรียนนั้น หลังจากวางสายกับเจ้าของร้านเบเกอรี่ เขาก็ยกกาแฟกระป๋องในมืออีกข้างนั้นดื่มจนหมดและทิ้งลงถังอย่างรวดเร็ว แม้สายตาจะจดจ้องไปยังที่ๆ มุ่งหน้าตรงไป แต่ในหัวเขาตอนนี้กลับมีเพียงรอยยิ้มกวนประสาทของคนที่ช่วยเขาเอาไว้เมื่อคืนอยู่เต็มหัวไปหมด