LAST Day : AWAY “ช่อดอกไม้ครับ”
“ดอกอะไรดีคะ?”
หล่อนยิ้มทัก ผมชะงัก..แต่ก็ยิ้มตอบ
“กุหลาบ…สีขาวครับ" การยิ้มให้คือการทักทาย ถ้าเลิกมองโลกในแง่ร้าย..จะรู้ว่า ‘ยิ้ม’ ที่ได้ให้ไปนั้น ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนไปนอกจาก…การได้รับยิ้มกลับมา การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ก็เป็นเรื่องง่ายๆแค่นั้นเอง
ในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน…ช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้ผมได้รับอะไรหลายๆอย่าง อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมใช้เวลาไม่นานในการยืนรอเธอจัดดอกไม้ ยังเช้าอยู่..ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องเร่งร้อนอะไร เพราะงั้นการก้าวเดินออกจากร้านดอกไม้ร้านนี้ถึงไม่ต้องการความกระตือรือร้นมากนัก ผมประคองช่อดอกไม้สีขาวไว้ในอ้อมแขน สาวเท้าเข้าขอบเขตของสถานที่แห่งนี้ รั้วคอนกรีตสีขาวเพิ่งทาสีใหม่สูงตระหง่านกว่ารั้วทั่วไป จากภายนอก…มองเข้ามาไม่เห็นภายในด้วยซ้ำ
จากทางเข้าคือระยะทางของพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้ปกคลุม แต่ไม่ได้ครึ้มหรือช่วยกันแดดได้มากนัก กว่าจะถึงตัวอาคารเดี่ยวต้อนรับก็ใช้เวลาเดินเอื่อยๆราวๆห้านาทีเห็นจะได้ และรอบด้าน..ก็มีเพียงความเงียบงัน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงรถจากตัวถนนใหญ่ด้านนอกด้วยซ้ำ
…โรงพยาบาลเหมือนกัน
แค่..ให้ความรู้สึกหลากหลาย… ผมชักเท้าเหยาะๆขึ้นบันไดสู่ตัวอาคาร ยิ้มทักทายให้พยาบาลหรือพนักงานผู้ดูแลคนป่วยที่มองเป็นตาเดียว ผมเริ่มจะชินชา..พวกเขาไม่ได้มองผมสีทองหรือตาสีน้ำข้าวนี้ด้วยสายตาดูถูก พวกเขาแค่มอง..ก็แค่การมองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความหมายลึกซึ้งหรืออะไร
..การทำตัวให้ชิน..มันง่ายนิดเดียว ผมเท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์พยาบาล ส่งยิ้มให้ทุกคนตรงนั้น..ก่อนจะหยุดอยู่ที่หัวหน้าพยาบาลตรงหน้า
“มาเยี่ยมผู้ป่วยครับ”
“ค่ะ” อีกฝ่ายยิ้มให้ผมเช่นกัน “ชื่อผู้ป่วยด้วยค่ะ”
“ชาร์ลอตครับ” ผมตอบ ซักซ้อมคำนี้มาหลายวันแล้ว
“…ชาร์ลอต คลาไรน์” เธอก้มหน้าคีย์ข้อมูลลงในเครื่อง
ผมถือโอกาสนั้นมองไปรอบๆ…เพียงเฉพาะในตัวอาคารเท่านั้นที่มีคนเดินไปเดินมา ทั้งผู้ป่วย..ทั้งพยาบาลพี่เลี้ยง คนดูแล ห้องด้านซ้ายมือมีคนอยู่เยอะเป็นพิเศษ ผมได้ยินเสียงโทรทัศน์เลยเดาว่าห้องนั้นคือห้องพักผ่อน ถึงแม้คนป่วยหลายคนจะทำแค่จ้องมองตรงไปที่หน้าจอมอนิเตอร์โดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆออกมาเลยก็ตามที
“ชาร์ลอต คลาไรน์..ผู้ป่วยพิเศษนะคะ?”
“ครับ”
หล่อนยิ้ม “ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ”
ผมเข้าใจดีว่าที่นี่ค่อนข้างเคร่งเรื่องความปลอดภัย เคร่งเป็นพิเศษทีเดียว…และผมก็เตรียมแลกบัตรมาก่อนแล้วด้วย เพราะงั้นเลยไม่มีปัญหาอะไร
“คลาไรน์?…ลูกชายหรือคะ?”
“ครับ”
เธอมองหน้าผม นานเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง..ผมรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่เพราะไม่มีสิทธิที่จะพูดเลยได้แต่เงียบลงไปแบบนั้น
ตลอดเวลาหลายปีตั้งแต่ที่แม่เข้ามาอยู่ที่นี่..
….ผมไม่เคยมาเยี่ยมท่านเลย ไม่แม้แต่จะใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของท่านด้วยซ้ำ
เพราะงั้น…ต่อให้ใครต่อใครที่เป็นคนนอกขนาดไหนจะต่อว่าผม ผมก็ไม่เถียงเรื่องนั้นหรอก เพราะถ้าความอกตัญญูนั้นยังพอจะแก้ไขได้ มันก็ควรค่าที่จะทำ
ผมยืนรอไม่นานนัก พยาบาลพี่เลี้ยงที่สวมชุดกางเกงก็โผล่มาจากห้องทางด้านหลัง
“เชิญทางนี้เลยค่ะ” และหน้าที่ของผมคือการเดินตามเธอไป
ด้านในเป็นโถงทางเดินยาวตลอดทาง สองข้างทางคือห้องพักผู้ป่วยรวมสี่คน ผนังไม้อัดบางกรุลายวอลเปเปอร์เก่าๆดูไม่ได้เปลี่ยนมานานแล้ว รองเท้าแตะผู้ป่วยกระจายอยู่หน้าห้องต่างๆ ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังมาจากห้องไหนๆเลย เงียบจนน่าอึดอัด…จนไม่กล้าแม้แต่จะสอดสายตาเข้าไปในห้องต่างๆ
ในที่สุดก็มาถึงโถงลิฟท์ไม่กว้างไม่ใหญ่ และเต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย
พยาบาลพี่เลี้ยงคนนี้มีรูปร่างเล็กแต่ดูทะมัดทะแมง เรือนผมสั้นหยิกติดอยู่บรเวณท้ายทอยขับให้เธอดูเยาว์วัยกว่าคนอื่นๆ…และที่สำคัญคือเธอไม่ได้สนใจที่จะเริ่มบทสนทนากับผมเท่าไหร่
มันทำให้ผมผ่อนคลาย ที่ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามโน่นนี่ของเธอ
เราเข้าลิฟท์ เธอกดขึ้นไปชั้น4…จากที่ผมเห็นก็คือที่นี่มีทั้งหมด6ชั้น แต่ก็แค่ตัวเลขในลิฟท์เท่านั้นแหละครับ
เมื่อประตูเปิดออก บรรยากาศด้านนอกทำให้ผมชะงักเล็กน้อย..แบบที่ด้านล่างเทียบไม่ติดเลยสักนิด
ชั้นนี้ทุกอย่างดูสะอาดและเป็นระเบียบกว่ามาก ผนังทำจากวัสดุเก็บเสียงไม่เหมือนไม้อัดบางๆในชั้นล่าง บานประตูสีขาวมีติดชื่อผู้ป่วยไว้เพียงห้องละคน แถมยังลงกลอนแน่นหนา…คงต้องการรักษาความปลอดภัย จากทั้งตัวผู้ป่วยเองและก็บุคคลภายนอก
เธอพาผมเดินมาจนเกือบสุดทางเดิน หยิบพวงกุญแจขนาดใหญ่ขึ้นมาไขลงทีละกลอน..ซึ่งมีจำนวนมากพอจะให้ผมใช้โอกาสนี้ชะโงกมองเข้าไปในห้อง
…มีผู้หญิงผมยาวคนนึงนั่งอยู่บนเก้าอี้… ถึงแม้ว่าเรือนผมสีเดียวกับผมจะยุ่งเหยิงสยายลงมาปิดหน้าปิดตา รูปร่างผอมบางจนเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในเสื้อคลุมรัดกุมเพียงแค่ตัวเดียว แต่ผมก็รู้ว่าคือ ‘แม่’
…เธอดูสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น นั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้น…
อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมาในอก ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร..แต่คงจะได้คำตอบในเร็วๆนี้
“เชิญค่ะ”
คำพูดนั้นเรียกให้ผมได้สติ ผมพยักหน้าด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ รู้สึกได้เลยว่าขาที่ก้าวเข้าไปในห้องสีขาวแห่งนี้มันสั่น และผมไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะควบคุมมันได้
“ดิฉันรออยู่ข้างนอกนะคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็กดเรียกได้เลย..ปุ่มอยู่บนผนังซ้ายมือ และอีกจุดตรงหัวเตียงค่ะ”
ผมหันกลับไปถามเธอ “…มีกำหนดเวลามั้ยครับ?”
“ไม่ค่ะ” หล่อนยิ้ม “ตามสบายเลย”
..แน่นอน..ก็ที่นี่ไม่ใช่ ‘คุก’ สักหน่อย.. พอผมก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นทั้งตัว ประตูด้านหลังก็ปิดลง..ทิ้งให้ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้มีแต่ความเงียบ เสียงพัดลมติดลูกกรงบนเพดานดังเป็นจังหวะเนือยๆ หน้าต่างบานไม่ใหญ่นักอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามประตู เหล็กดัดแข็งแรงก็กางขึงอยู่แบบนี้เช่นกัน
ลมหายใจที่ขาดห้วงนี้ทำให้ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าเธอ
..แม่ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผมด้วยซ้ำ..ในตอนนี้.. เสียงทารกตัวน้อยร้องลั่นลอยเข้ามาในโสตประสาท ผมจำได้ดีถึงภาพที่ตัวเองกระชากประตูให้เปิดออก ถึงสภาพของห้องที่เละเทะไม่มีชิ้นดี..ยายนอนสลบอยู่บนพื้นฟากหนึ่ง และเสียงน้องสาวคนเล็กของผมที่เรียกให้ตัวผมเองหันไปมอง
ระเบียงด้านนอกจับแสงอาทิตย์สว่างวาบตัดกับภายในห้อง ผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่ตรงนั้น หล่อนยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้…ในมือคือก้อนผ้าและสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ไร้เดียงสา
ผมได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้อง
สัมผัสได้ถึงตัวตนที่แสนอ่อนแอของตัวเอง…ที่ก้าวไปไม่ถึงตรงนั้น…
..ผมสูญเสียน้องสาวคนสำคัญคนนั้นไปตลอดกาล.. ..และในอกก็เจ็บขึ้นมา เจ็บจนต้องยกมือขึ้นมากุมมันไว้..
เจ็บจนสิ่งที่ร้อนผ่าวขึ้นมาที่หน้า เป็นอะไรไม่ได้นอกจากความมืดมิดที่เคว้งคว้างว่างเปล่า ลมหายใจยิ่งกว่าสะดุด..ราวกับร่างกายที่แสนหนักอึ้งนี้กำลังจมดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง……..
ผมหลับตาลง พยายามควบคุมสติ
มันยากกว่าที่ผมคิดไว้ และความเงียบของห้องนี้ก็ไม่ได้ช่วยในการทำสมาธิ อกปวดไปหมด..หัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติกลับกระหน่ำรัวขึ้นมาแบบนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันสงบลงมาได้ด้วยตัวของผมเอง..
เพราะฉะนั้น…
……ขอผมยืม ‘พลัง’ ของคุณหน่อยได้มั้ย..? กระแสอุ่นวาบบางอย่างไหลเวียนเข้ามาเมื่อผมทิ้งเวลาให้ตั้งสมาธิ ผมยืนหลับตาอยู่แบบนั้น..นิ่งอยู่นาน เฝ้านึกถึงช่วงเวลาเลวร้ายที่ผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าสลับกับภาพฝันที่มีความสุข ผิวกายนี้ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ…หัวใจก็เช่นกัน
พอผมลืมตาขึ้น..โลกก็สว่างไสว แม่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น…อยู่ที่เดิม ภายใต้เรือนผมสีบลอนด์ทองยุ่งเหยิงผมเห็นดวงตาสีอ่อนคู่นั้น เธอไม่ได้จ้องมาทางผม…เพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น…ไม่มีแม้กระทั่งเงาของผมด้วยซ้ำ
เธอดูตัวเล็กลงกว่าตอนที่เจอคราวก่อน ขอบตาก็ขึ้นสีแดงช้ำโหลเข้าไปอย่างไม่ได้รับการดูแลที่เพียงพอ กลีบปากสีซีดนั่นแห้งผากพอๆกับผิวกายที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลา เธอดูอ่อนแอบอบบาง..และไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ด้วยซ้ำ
วันนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน…ไม่แม้กระทั่งตัวเธอเอง
หลังจากที่เธอโยนน้องสาวของผมลงมาจากระเบียงในครั้งนั้น เหมือนสวิตซ์จุดให้เธอคลุ้มคลั่ง ทำร้ายผม ทำร้ายน้อง ทำร้ายแม้กระทั่งยายซึ่งเป็นแม่ของตัวเอง และตำรวจก็มารับเธอไป…
……
สิ่งที่เกิดขึ้น….ไม่ใช่ความผิดของใครเลย…
เพียงแค่เรา…ลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากๆไป…ก็เท่านั้น…. ผมสูดลมหายใจ ลากเก้าอี้ที่พิงอยู่ข้างฝาตัวนึงออกมานั่งตรงหน้าเธอ เสียงลากเก้าอี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกตัวเพื่อมองผม และผมก็ไม่คิดว่าแค่นี้เธอจะได้สติขึ้นมาหรอก
“……..ม..แม่ครับ…”
..ให้ตายสิ..การอ้ำอึ้งแบบนั้นมันเห่ยชะมัด.. คนถูกเรียกไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เธอไม่แม้แต่จะขยับตัว หากหน้าอกตรงหน้าไม่ได้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเนิบนาบอยู่ล่ะก็ผมคงนึกไปเองว่านี่คือหุ่นขี้ผึ้งที่ทำได้เหมือนจริงมาก ผมมองหน้าเธอ…เธอที่ให้เลือดเนื้อผม เธอที่ให้ชีวิตกับผม…
…แต่ต่อให้เป็นเธอคนนี้…ก็ทำลายชีวิตของผมไม่ได้.. “แม่ครับ..” ผมเรียกอีกครั้ง ครั้งนี้ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย “เทียนเอง เทียนไข…แม่จำเทียนได้มั้ยครับ? ลูกชายคนโตของแม่ไง”
..ทั้งที่ไม่ได้ขาดหวังให้เธอตอบ..
..แต่ปฏิกิริยานิ่งเฉยแบบนั้นก็เรียกอุณหภูมิอุ่นๆขึ้นมาที่ขอบตาได้..
“แม่ครับ” เสียงที่เอ่ยออกไปสั่นสะท้าน
“..เทียน...เทียนมาหาแม่แล้วนะครับ” มันแย่ที่ผมร้องไห้ออกมา
..ร้องโดยที่ไม่ได้เตรียมใจจะร้องมาก่อน
มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่ผมร้องไห้แบบนี้ จากที่เพียงแค่น้ำตาไหลธรรมดา…ผมกลับเริ่มสะอึกสะอื้น เริ่มร้องไห้เหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ ผมรู้ว่าภายในห้องนี้มีกล้องวีดีโอวงจรปิดถ่ายไว้อยู่..รู้ดี รู้ว่าโตป่านนี้แล้วสมควรที่จะรู้สึกอาย แต่ไม่อาจห้ามให้ตัวเองหยุดสั่นเทิ้มแบบนี้ได้
ผมคิดว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ความฟูมฟายก็ทำให้ผมพูดไม่ออก แม้จะเอ่ยออกไปก็คงได้เป็นเพียงเสียงร้องที่ยิ่งกว่าความเจ็บปวด
ทุกอย่างมันจุกอยู่ในอก..ปวดจนต้องยกมือกดมันเอาไว้
ถึงจะเลือนลาง..ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยในความทรงจำ..ถึงช่วงเวลาในตอนนั้นมันจะผ่านนานแสนนานมาแล้ว…ช่วงเวลาที่กว่าที่ผมจะระลึกได้ มันก็เกือบจะสายเกินไป…
..ผมยังจำสัมผัสของมืออุ่นๆที่ลูบศีรษะให้ผมตอนที่ไม่สบายได้..
..ผมยังจำอ้อมกอดที่แสนอ่อนโยนตอนที่ผมหกล้มครั้งแรกได้..
..ผมยังจำเพลงกล่อมเด็กภาษาฝรั่งเศสที่เธอร้องจนติดปากได้.. เหนือสิ่งอื่นใด…ผมจำได้.. …‘รอยยิ้ม’ ที่เธอเคยมีให้ผม…ผมยังจำได้… กว่าที่จะหยุดร้อง…ช่อดอกไม้ที่วางไว้บนตักชุ่มไปด้วยน้ำตาเสียแล้ว..
..และเหมือนเดิม…เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น…ทอดสายตาเหม่อลอยไกลออกไป…ไม่ได้มองมาที่ผมเลยแม้เพียงสักนิด…
ผมหัวเราะให้กับความงี่เง่าของตัวเอง ผมรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้…และควรจะทำใจได้แล้ว จึงยกมือเช็ดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้าง นั่งเคาะนิ้วเพื่อสงบเสียงสะอื้นตัวเองอยู่เพียงไม่นาน…ก็รู้สึกว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่ผมต้องไป
ผมชะโงกหน้าเข้าไป ค่อยๆแตะมือประคองสองมือเล็กๆนั่น…มันบอบบางมาก…ขาวซีดและบอบบางยิ่งกว่ามือของอักษรเสียอีก แต่พอสัมผัส..กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
..ผมวางช่อดอกไม้ลงในมือคู่นั้น..จับให้เธอประคองมันเอาไว้บนตัก
แล้วยิ้ม..ถึงแม้ว่าไอ้ที่ทำลงไปทั้งหมดจะเป็นการทำเพื่อตัวเองก็ตาม..
“ผมไปก่อนนะ”
พูด..ด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม
“แล้วผมจะมาใหม่นะครับ” ผมเดินออกจากห้อง ขยับยิ้มให้พยาบาลพี่เลี้ยงสักหน่อย..มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิดที่ถึงแม้จะมาคราบน้ำตาอยู่ที่หน้าก็ตาม เธอยิ้มตอบ..และบอกผมให้ใช้ห้องน้ำของพนักงานได้ไม่ต้องเกรงใจ
แรกทีเดียวผมจะเดินจากไปโดยดี แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมมองลอดกลับเข้าไปในช่องหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง
..เธอขยับยิ้มเพียงเล็กน้อย…ก้มลงแตะจมูกลงบนช่อดอกไม้ในมือ..
เพียงภาพๆเดียวที่ทำให้ผมหยุดชะงัก พี่พยาบาลเองก็เช่นกัน..
แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปได้แข้งขาก็อ่อนแรงกระทันหันจนต้องทรุดเอนพิงกับกำแพง เงยหน้าขึ้น..หัวเราะเบาๆเหมือนคนบ้า…ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากการหลับตาลงในครั้งสุดท้าย
…..ที่ไม่อาจห้ามน้ำตาได้อีกจริงๆ..----------------
“คุณไปหาคุณแม่มาแล้วเหรอ?”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามยิ่งกว่าคนที่ใกล้จะหมดแรง แต่ผมไม่ทักเขา
“ครับ ใช่”
“เป็นไงบ้าง?”
“ฮะๆ ก็ไม่เป็นไงหรอก” ผมแกล้งทำเป็นหัวเราะ กุมมือเขาเอาไว้
“…แม่จำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ” “เทียน…”
“….แต่ผมไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอกนะ”
เขายิ้มแทนคำตอบ และเบือนสายตาจากผมขึ้นไปมองบนเพดาน..ผมคิดว่าเขาทำแบบนี้เพื่อกลืนน้ำตา พักหลังมานี่เขาทำเช่นนี้บ่อย..บ่อยจนผมคิดได้ว่าไม่ควรทักเขา และปล่อยให้เขาได้ทำอะไรตามแต่ที่ใจเขาต้องการ ถึงแม้จะเป็นการอดทนอะไรไร้สาระก็เถอะ
..เขาคงคิดว่าตัวเองจะดูงี่เง่า ถ้าหากเอาแต่ร้องไห้ในทุกๆวัน.. ผมไม่ปรารถนาให้เขาร้องไห้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าผมอยากจะให้เขาอดทนมันอยู่แบบนี้..แต่อักษรเข้มแข็ง และเขาใช้ความแข็งแกร่งนั้นเพื่อรักษาตัวเอง..
“งานOpen House เป็นยังไงบ้างครับ?”
“หืม? ไปได้สวยเชียวล่ะ” ผมฉีกยิ้ม พาดคางลงกับมือที่กุมมือเขาอยู่ “เจ้าสีครามกวาดคะแนนนิยมได้อยู่หมัด..อย่างว่า พักนี้มันเก็บเรตติ้งทำคะแนนได้เรื่อยๆ…เห็นว่าจะไปอยู่อเมริกากับกานดา เด็กห้องทุน..เอ่อ..แฟนมันน่ะ”
“ฮะๆ แล้วคนอื่นๆล่ะครับ?”
“ไม่ต้องห่วง…ลัษศรุตทำงานได้ไม่เลว ถึงจะไม่เท่าสมัยที่มีคุณอยู่ก็เถอะ”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย ผมไว้ใจคุณลัษนะถึงได้เลือก”
“อ้าว คุณเป็นคนเลือกเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นค..”
เขาชะงัก แทนการพูดคำต่อไปด้วยรอยยิ้ม…
นี่คือช่วงเวลาที่เขาหายใจไม่ทัน..และผมไม่ทัก นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้
“ผมถ่ายรูปไว้เยอะเชียวล่ะ วันงานน่ะ” ผมบอกเขา เปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนเป็นที่สุด “ไว้ผมเอามาให้ดูนะ”
อักษรยิ้ม
และบทสนทนาก็จบลงแค่นั้น…เขาเลี่ยงความทรมานทางร่างกายด้วยการหยุดพูด
เวลาที่ใช้เพื่อเรียนรู้การกระทำของเขามาเกือบเดือนทำให้ผมสังเกตได้ถึงอะไรเล็กๆน้อยๆ ร่างกายของเขาอ่อนแอลง..แม้แต่การจะลุกขึ้นมาทานอาหารอย่างปกติในแต่ละวันยังทำไปได้ยาก ทุกครั้งที่เห็นเขาพยายามจะทำ…คนที่ทนไม่ได้ก่อนก็คือคุณน้าเกศรา ที่ต้องเสียน้ำตากับเรื่องนี้ในทุกๆวัน ในขณะที่พวกผมทำได้แค่เสียใจ..แต่ไม่สามารถแสดงมันออกมาได้
ผมเคยคิดว่าการฝืนยิ้มตอนที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นมันทรมาน และความจริงที่ว่าเขาทรมานกับเรื่องง่ายๆแบบนี้มาตลอดทำให้ผมไม่รู้สึกลำบากใจเลยที่จะยิ้มกลับไป…ในเวลาแบบนี้…
“นอนเถอะครับ” ผมบอกเขา
“ผมจะอยู่ข้างๆนะ” อักษรชอบฟังเพลงคลาสสิคก่อนนอน และตอนที่เขาหลับตาลง..ผมก็เดินไปเปิดเทปคาสเซ็ทให้เขาฟัง แล้วกลับมานั่งที่ข้างเตียงใหม่จนกว่าจะถึงสามทุ่ม ซึ่งก็ได้เวลาที่พ่อกับแม่ของเขาจะบอกให้ผมกลับบ้าน
และเป็นเช่นนี้ทุกวัน… เขาเคยถามผมด้วยท่าทีลังเลว่า ‘การมาเพื่อนั่งมองเขานอนนี่มันสนุกนักรึ?’ ผมต้องหัวเราะกลบเกลื่อนคำถามนั้นไป และบอกตรงนี้เลยว่า…มันไม่สนุกเลย ไม่เลยสักนิด ไม่ใช่เพราะมันเสียเวลา…แต่เพราะเราต้องอยู่กับความกังวลที่ว่าไม่รู้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเพื่อเจอหน้าผมอีกครั้งมั้ย
…มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้…และผมกลัว… ผมไม่ได้ต้องการมีช่วงเวลาที่ได้คบกับเขา
ไม่ได้ต้องการไปเดท ดูหนังฟังเพลง เที่ยวเล่นที่โน่นที่นี่ ต้องโทรคุยกันทุกเช้าและก่อนเข้านอน ต้องสรรหาของขวัญเซอร์ไพร์สตามวันสำคัญ ต้องมีเวลาให้ ต้องคุยจิ๊จ๊ะแบบที่คนเป็นแฟนกันต้องทำ หรือกระทั่งมีเซ็กส์ด้วย…เรื่องแบบนั้นผมไม่ต้องการ…
ถ้าทุกอย่างมันแลกเปลี่ยนกันได้…สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงแค่อย่างเดียว…
ต่อให้ผมต้องมานั่งมองเขานอนแบบนี้ทุกวันจนกว่าตัวผมเองนี่แหละจะแก่ตายไป…
…ถ้าระหว่างผมกับอักษรมันเป็นได้แค่นั้น…ผมก็จะทำ
เฉพาะคืนวันเสาร์เท่านั้นที่ผมได้รับอนุญาตให้มานอนเฝ้าอักษรได้ เพราะวันธรรมดาผมต้องเรียนหนังสือ..ถึงแม้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่พ่อแม่ของอักษรก็ยังห่วงเรื่องสุขภาพและการเรียนของผมอยู่ไม่น้อย
น้าอิศวรบอกผมว่า…
ชีวิตของผมยังต้องดำเนินต่อไป.. คำสั้นๆแค่นั้นแต่มีความหมายมากมาย ทุกครั้งที่เขาพูดเช่นนั้น..ดวงตาก็จะฉาบไปด้วยความเศร้าสร้อยที่ผมไม่สามารถอธิบายได้
ทุกคืนที่ผมมานอนเฝ้าเขา..ผมก็มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกทุกชั่วโมง เพื่อกระโจนเข้ามาข้างเตียงเขา ตรวจดูว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่รึเปล่าเหมือนคนเป็นบ้า และพอรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้…ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา รอให้ตัวเองสงบนิ่งอยู่ไม่เกินห้านาที แล้วเดินกลับไปนอนต่อ
แค่เห็นเขาตื่นขึ้นมา ยิ้มให้ผมในตอนเช้า..
…โลกทั้งใบก็เหมือนจะหยุดอยู่แค่นั้น…----------------