第八章
ความบังเอิญ
หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสำนักตงฝางขึ้น ข่าวลือที่ว่าท่านอาจารย์หนุ่มคนใหม่ถูกไล่ออกจากสำนักก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองกูจาง
ชาวบ้านเล่าลือกันไปต่างๆ นาๆ ส่วนใหญ่มักใส่สีเติมไข่ เติมแต่งอรรธรสกันสนุกสนานจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมของเรื่องอยู่แม้แต่น้อย
บ้างก็ว่าคนผู้นี้เป็นจอมยุทธหลบหนีแล้วปลอมตัวมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ บ้างก็บอกว่าอีกฝ่ายเป็นแค่บัณฑิตโง่เง่าคนนึงที่บังเอิญไปมีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลของเมืองเข้าเลยทำให้เหตุการณ์สรุปออกมาเช่นนี้
แต่ที่แน่ๆ ผู้ที่ทำตัวเป็นผู้เคราะห์ร้ายอย่างบ้านสกุลเจิ้งนั้นค้าขายดีกำไรมากขึ้นเป็นเท่าตัวจากผลกระทบของข่าวลือนี้
นับว่าเป็นช่วงเวลากอบโกยเงินทองกันเลยทีเดียว
“ข้าล่ะชังน้ำหน้าตาเฒ่างูพิษสกุลเจิ้งนั่นนัก” ฝ่ามือที่จับพู่กันอยู่ในทีแรกกระแทกด้ามไม้ลงกับโต๊ะเสียงดัง กงจวี้จื่อเอ่ยปากบ่นกับสหายตัวขาวหลังจากเล่าเรื่องราวที่ตนไปได้ยินมาจากในตลาดให้คนข้างโต๊ะได้ฟัง
หากแต่หรูฟู่เชิงกลับนั่งฟังนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา ไม่แม้กระทั่งออกความเห็นใด เจ้าตัวเพียงแต่นั่งคัดตำราสำนึกผิดไปเงียบๆ จนคนที่โดนโทษทัณฑ์พร้อมกันยังแอบเผลอนึกว่าตนเองโดนสั่งคัดตำราและนั่งอยู่เพียงคนเดียวในหอหนังสือแห่งนี้บ่อยครั้ง
คุณชายสกุลกงลอบมองดวงตากลมโตหวานล้ำดั่งกระต่ายป่าที่บางครั้งแอบทอแสงไร้ซึ่งแววสุขสันต์ในนัยน์ตาจนคนที่เป็นทั้งศิษย์ร่วมสำนักและสหายสนิทยังอดห่วงไม่ได้
“หรูซ่านเป่า เจ้าไม่คิดจะพูดกับข้าหน่อยหรือ”
“จะก่อกำแพงเมืองต้องใช้ก้อนอิฐและแรงงานมิใช่วาจา” ฟู่เชิงตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว จนคนฟังลุกขึ้นยืนเดินตึงตังมาหาคนตัวขาวที่ใบหน้าไร้รอยยิ้มประดับเอาไว้มาหลายวันพลางจับข้อมือเล็กนั่นให้หันมามองตัวเองตรงๆ
เด็กตัวสูงพูดเสียงเข้มใส่ดวงหน้าขาวว่า “จะพูดกับใครเจ้าก็ต้องหัดมองหน้าคนๆ นั้น แล้วก็ไม่ต้องอ้อมค้อมร่ายรำบทกวีใส่คนเขาไปทั่วเลยนะซ่านเป่า ใครจะไปทันคิดแล้วก็ตีความทุกคำที่เจ้าพูดได้ตลอดเวลากันหือ”
คนตัวขาวขืนตัวจากการจับกุม “เจ้าคัดเสร็จตำราเสร็จแล้วหรือไงถึงเอาแต่เล่าเรื่องของชาวบ้านให้ข้าฟัง” พูดพลางบิดข้อมือตัวเองไปมาเล็กน้อย ปัดมือศิษย์ร่วมสำนักของตัวเองออก
คนที่โดนว่าชอบยุ่งเรื่องคนอื่นยิ้มตาใสทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ใส่บุคคลหน้ามึนที่ทำเป็นไม่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้าน
แต่ข้าก็เห็นเจ้านั่งนิ่งตั้งใจฟังทุกครั้งมิใช่หรือ
จะลุกเดินหนีไปก็ได้ แต่เจ้าตัวเขากลับไม่ทำเองต่างหาก...ฟู่เชิงบีบนวดเนื้อหนังภายใต้ชุดผ้าแพรสีขาวบริสุทธิ์ของตนเอง พลางนึกสงสัยว่าวันนี้กลับไปแขนเขาคงได้มีรอยแดงเป็นปื้นแน่ๆ
นับวันจวี้จื่อยิ่งแรงเยอะขึ้นชะมัด!เด็กทะโมนยิ้มเผล่ตอบรับ เพิ่งได้ยินประโยคยาวๆ จากปากสหายของตนในรอบหลายวันมานี้ก็คราวนี้เอง “เรื่องคนอื่นที่ไหน เรื่องของเหวินซือฝูต่างหาก”
“
ผู้อาวุโส...เรียกเขาว่าผู้อาวุโสเถิด” คนตัวขาวแก้คำผิดให้ หลุบแก้วตาสีเปลือกไม้ลงต่ำหลบซ่อนสีหน้า ตั้งท่าจะหยิบพู่กันเพื่อคัดอักษรต่อ
“ก็นั่นแหละเหมือนๆ กัน ข้าแค่เห็นเจ้าไม่พูดอะไรกับใครเลยมาหลายวันแล้วนะ” จวี้จื่อตอบรับขมวดคิ้วทำสีหน้าเป็นกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
“เจ้าเป็นห่วงเหวินซือฝูอยู่ใช่มั้ย”
“เหลวไหล!” คนตัวขาวพูดเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย
ท้ายประโยคแผ่วเบาราวพูดกับลมกับฟ้าเสียมากกว่า
“
เขาไม่ห่วงแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำ..”
ศิษย์ร่วมสำนักอย่างคุณชายแซ่กงเบ้หน้าไม่รู้จะตอบรับเพื่อนของตัวเองยังไงดี หัวคิ้วขมวดเข้มมุ่นราวกับผูกปมด้ายขดแน่นเป็นก้อนกลมเอาไว้ จนใจจะต่อกรกับความดื้อดึงของคนตัวขาวตรงหน้าตัวเอง
หากใครว่าคนสกุลหรูผู้นี้พูดน้อยเรียบร้อยหัวอ่อนล่ะก็เขาอยากจะเถียงขาดใจ
ดื้อตาใสเลยต่างหากล่ะคนๆ นี้!“นี่ซ่านเป่า..ข้าได้ยินมาว่าตลาดในตัวเมืองน่ะมีบะหมี่เนื้อเจ้าอร่อยอยู่ด้วยนะ เจ้าอยากไปลองรึไม่เล่า” ยอดนักขายแห่งเมืองกูจางเท้าแขนบนโต๊ะอักษรของสหายตนเอง จงใจขัดขวางการเขียนพู่กันของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง พลางเสนอตัวเลือกใหม่ในการลากเด็กตัวขาวให้ออกจากเรือนอักษรนี้เสียที
นิ้วเรียวยาวใต้ผ้าคลุมคีบหนีบท่อนแขนหนาของคนที่ตั้งใจขัดขวางเขาออกส่งๆ เหลือบตามองดวงหน้าของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอ่อนใจส่งให้คนข้างตัวตนเองเป็นการตอกตะปูปิดผนึกทับอีกรอบ “ทั่วทั้งกูจางคงมีแต่เจ้าผู้เดียวแล้วล่ะมั้งที่รู้เรื่องแม้กระทั่งเหลือบไรตามผืนผ้าชาวบ้านเขา”
ถ้อยคำปรามาสที่บ่งบอกว่าเขารู้ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเองต่างหากที่อีกฝ่ายหมายถึง
กงจวี้จื่อนึกอยากลอบเพ่นกบาลสหายร่วมสำนักตัวเองนัก ติดตรงถ้าไม่เกรงใจคนที่ตัวไม่อยู่แต่ลอบพูดเสียงเย็นสั่งกำชับลับหลังเขาเอาไว้ราวกับแผ่นป้ายประกาศิตจารึกไว้ว่า
‘ดูแลให้ดี ’ข้าล่ะอยากดีดเจ้าให้กระเด็นออกจากเรือนอักษรเสียจริงๆ นะเจ้ากระเรียนขนร่วง!
“ก็ได้ๆ ข้ามันรู้เรื่องชาวบ้านดีที่สุด แล้วยังไง..ตกลงเจ้าจะไปรึไม่?” เด็กตัวสูงยกมือขึ้นสองข้างอย่างคนยอมพ่ายแพ้พยักหน้าหงึกหงัก
หรูฟู่เชิงวางใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา เอื้อมมือคล้ายจะหยิบพู่กันไปวางไว้ แต่ชั่วอึดใจเขาก็แอบเอาเจ้าขนกระต่ายที่ชุ่มไปด้วยน้ำหมึกสีดำสนิทป้ายไปบนจมูกของคนที่กำลังเผลอไผลตัว
ก่อนสองเท้าจะออกวิ่งทิ้งแผ่นหลังเล็กไว้ในลานสายตาหายจากเรือนอักษรไปรวดเร็วดั่งสายวาโยพัดพา พร้อมพูดเสียงใสดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกสองส่วนให้คนฟังได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู
“เจ้าจ่ายนะ”
คนนั่งหน้ามึนอยู่คิดตามอีกฝ่ายไม่ทัน ได้แต่เบิ่งตาเรียวเล็กดั่งเสี้ยวพระจันทร์ของตัวเองหมายจะจับเจ้ากระเรียนป่ามาถอนขนก็ช้าไปเสียแล้ว
เด็กหนุ่มลอบกัดฟันกำหมัดแน่น ทบต้นทบดอกเอาไว้ในจิตใจ
ไอ้กระเรียนเจ้าเล่ห์!ตลาดในเมืองกูจางครึกครื้นหนาแน่นไปด้วยผู้คน เนื่องด้วยเป็นเมืองสินค้าหน้าด่านที่ติดกับเส้นทางการค้ากับกลุ่มชาวเผ่าและแว่นแคว้นทางไกล ทำให้ในตลาดมีสินค้าแปลกๆ หายากมากมาย รวมไปถึงของพื้นเมืองและเสื้อผ้าแพรพรรณมากมายให้ได้เลือกสรรกันตามชอบใจ
หากพูดถึงอาหารของเมืองกูจางแล้ว นับว่าชื่อเสียงของที่นี่เป็นหนึ่งไม่มีสองแล้วในแผ่นดินแคว้นฉินนั้น เพราะด้วยการปรุงรสที่คัดสรรวัตถุดิบรวมไปถึงการจัดจานล้วนแต่ประณีตรังสรรค์ เคยมีคำกล่าวไว้ว่าหากมาถึงกูจางแล้วไม่ได้ลิ้มรสอาหารของคนเมืองนี้ นับว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว
ตัวรสชาติจะเน้นออกไปทางหวานนำและเค็มตาม ผสานความละมุนละไมทุกเครื่องปรุงและส่วนผสมเอาไว้ได้อย่างพอเหมาะพอดี อีกทั้งยังมีเนื้อสัตว์ตั้งแต่หมู แพะ แกะ ยันไปยังวัวพันธุ์ต่าง ๆ ที่เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรมภายในเมืองเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศอีกนั้น ทำให้รับรองได้แน่นอนถึงคุณภาพของอาหารในทุกจานที่คนเมืองนี้นั้นรังสรรค์ออกมา
นับว่าเมืองหน้าด่านแห่งนี้เป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชอบร่ำสุราชมดอกท้อท้องกินอาหารตาชมวิวทิวทัศน์ไปด้วยก็ไม่ผิดแต่อย่างใดนัก
ของขึ้นชื่ออีกอย่างของเมืองก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากบะหมี่เนื้อน้ำใสแห่งกูจางนั่นเอง...
ศิษย์จากสำนักตงฝางสองขนาดต่างความสูงออกเดินปะปนไปกับฝูงชนคราคร่ำมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาในตัวเมืองแห่งนี้ เสียงพ่อค้าแม่ขายร้องเรียกตลอดทางพาให้สองคุณชายเพลินตาต้องใจเป็นยิ่งนัก
หากทว่าความสง่างามราวกับเทพเซียนตัวน้อยของหรูฟู่เชิงในชุดสีขาวละเมียดละไมของสำนักการศึกษานั้นดั่งอีกฝ่ายกำลังลอยอยู่แทนการเดินก็ไม่ปาน ทำให้เด็กตัวขาวยิ่งเป็นที่จับจ้องของผู้ที่ได้พบเห็นทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นมา
เคียงข้างกันนั้นมีเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดแพรพรรณแบบเดียวกันแต่ต่างในความรู้สึกของคนมอง คุณชายสกุลกงรูปร่างสูงใหญ่กว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย ใบหน้าคร้ามคมจากแสงแดดกว่าแต่ไม่ถึงขั้นกุลีใช้แรงงาน ใบหน้าหล่อเหลาแต่ไม่ได้คมคายอย่างเช่นอดีตอาจารย์หนุ่ม เบียดไปทางละมุนตาอย่างผู้มีอันจะกินเสียมากกว่า
“ตกลงร้านบะหมี่ที่เจ้าว่าคือร้านไหนกันหรือ” หรูฟู่เชิงเอ่ยทักถามเมื่อเห็นว่าสหายของตนยังเพลิดเพลินกับของในตลาดตรงหน้าไม่มีทีท่าจะพาเขาไปยังร้านจุดหมายปลายทางเสียที
แต่ท้องเขามันดันเริ่มประท้วงไม่เชื่อฟังผู้เป็นเจ้าของเสียแล้วเนี่ยสิ
ยิ่งพอมาเห็นเหล่าบรรดาอาหารมากมายนานาชนิดตรงหน้า ร้านรวงต่างๆ ตั้งแถวเรียงกันเป็นตับขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตนหักห้ามจิตใจไม่ให้รู้สึกแต่ท้องมันก็ดันทรยศเสียแล้ว ไหนเลยกับกระเพาะของเด็กวัยกำลังโตแบบเขากัน ใครจะห้ามความอยากไหว
“ข้านึกก่อนนะซ่านเป่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
คุณชายสกุลกงไม่ได้แกล้งคนตัวขาวแต่อย่างใด แต่ความจำเขามันไม่ดีจริงๆ !
“มันควรจะอยู่ที่หัวมุมถนนเมื่อครู่นี้สิ แต่ตรงนี้มันก็มีอีกสี่ห้าร้าน แล้วมันร้านไหนกันล่ะเนี่ย” คนหลงร้านพึมพำส่ายหน้ามองหน้าความคุ้นเคยไปทั่วทิศทาง
“ไม่งั้นข้ากลับล่ะนะ” เด็กตัวขาวตั้งท่าจะหันหลังหนีไปจากตรงนี้ หากแต่เจ้ามือที่ตั้งใจพามาเลี้ยงกระโดดคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อน
“ใจเย็นนะซ่านเป่า ใจเย็นๆ” ฝ่ามือใหญ่ตบปุๆ ลงบนอกเพื่อนตน “เอาอย่างนี้..เดี๋ยวข้าไปซื้อเจิงกั่วจ้ง
(1) ที่ร้านตรงนั้นมาให้เจ้ารองท้องไปก่อนแล้วจะถามหาร้านบะหมี่มาให้ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวนะ”
กงจวี้จื่อร่ายยาวเป็นลำนำดับโทสะของคนโมโหหิวลง ฟู่เชิงพยักหน้ารับบอกให้เพื่อนตัวเองรีบไป
ใครโมโหหิวกันเล่า...ไม่มีทั้งนั้นแหละ!เทพเซียนองค์น้อยยืนรอคนที่ออกไปซื้อขนมรองท้องให้ตัวเองพลางสอดส่ายสายตาไปทั่ว เห็นแผ่นหลังของเพื่อนสนิทตนเองก้าวไวๆ ตรงดิ่งไปยังแผงร้านค้าร้านนึงพลางใช้หน้าตาของตัวเองหยอกล้อกับแม่ค้าสาวแล้วก็อดส่ายหน้าอิดแหนงแคลงใจไม่ได้
คุณชายเจ้าสำราญจริงๆ เลยเพื่อนของเขา
มิรู้ว่าชาตินี้ระหว่างหิวตายกับได้กินขนม อย่างไหนจะเกิดก่อนกันพลันในครรลองสายตาหวานล้ำพิสุทธิ์ หรูฟู่เชิงเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หัวหน้าคนงานและเหล่าลูกน้องของบ้านสกุลเจิ้งอยู่ในลานสายตา อีกฝ่ายดูท่าคงจะเห็นเขาเข้าแล้วเช่นเดียวกัน ฝั่งโน้นหันไปกระซิบกระซาบพยักเพยิดมาที่ตนเอง
“จวี้...”
คนที่โดนหมายตาตั้งใจจะร้องเรียกเพื่อนของตนเองที่ยืนเกี้ยวแม่ค้าสาวแผงขนมอยู่นั้นก็ห้ามปากตัวเองไว้ได้ทัน ฟู่เชิงสังเกตเห็นได้ว่ากลุ่มชายฉกรรจ์นั้นคงไม่ทันเห็นศิษย์ร่วมสำนักของตนที่ยืนอยู่อีกฝั่งถนน อีกฝ่ายจับจ้องเขาเพียงคนเดียว
ดังนั้นคนที่คิดจะปกป้องเพื่อนของตนจึงหุบปากฉุบกลืนถ้อยคำลงลำคอขาวไป
อย่างไรก็ให้เจอกันไม่ได้ ด้วยนิสัยมุทะลุเลือดร้อนของคนสกุลกงเช่นนี้
คงไม่พ้นมีเรื่องต่อยตีกันกลางตลาดแห่งนี้แน่นอน
หนีก่อนค่อยคุย นี่คือคติของฟู่เชิงในตอนนั้นฝีเท้าไวเท่าความคิด หรูฟู่เชิงออกวิ่งจากจุดที่ยืนอยู่ทันที ร่างบางหอบหิ้วชุดยาวรุ่มร่ามของสำนักตงฝางไปประจันหน้ากับกลุ่มคนงานบ้านสกุลเจิ้งก่อนเลี้ยวตัดที่หัวมุมตลาดทันทีเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเดินไปจนเจอแผงขนมที่เพื่อนตัวเองยืนอยู่
นกกระเรียนขาวออกบินถลาพร้อมกับโดนกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนไล่ตามจับหมายจะถอนขน ตั้งแต่มีเรื่องไปคราวก่อนดูอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมจบจริงๆ เสียด้วยสินะ
ยิ่งเวลานี้ข้างกายไม่มีคนตัวสูงใหญ่คอยปกปักษ์เป็นปราการคุ้มครองพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
...ท่านอยู่ที่ไหน...ชั่วขณะนึงหรูฟู่เชิงเห็นใบหน้าแสนเย็นชาลอยเข้ามาในห้วงคำนึง
สมองคิดเท้าก็ออกวิ่งไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มต้องใช้ทั้งสมาธิและสติอย่างมากจนเส้นเลือดที่ข้างขมับกระตุกเกร็ง ร่างบางพยายามลัดเลาะตามมุมถนนบ้านเรือนไปหวังจะให้คลาดกันเพื่อสลัดอีกฝ่ายให้หลุด
หากแต่ว่ากลุ่มคนพวกนั้นก็เป็นดั่งหมาล่าเนื้อจมูกว่องไวที่ไล่ตามเหยื่ออันโอชะอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้คนที่ตั้งใจวิ่งหนีในทีแรกสลัดอย่างไรก็ไม่หลุดพ้นเสียที
เมื่อสัตว์นักล่าเห็นเหยื่อแสนหวานอยู่ตรงหน้าเพียงผู้เดียวไร้ซึ่งการคุ้มครองใดๆ ดังนั้นพวกมันจึงกัดไม่ปล่อยกะเอาให้ตายจมคมเขี้ยวเสียเลยในวันนี้!
หรูฟู่เชิงออกวิ่งมาจนถึงหัวมุมบ้านหลังนึงก็หักหลบเลี้ยวเข้าซอกมุมทันที
ทว่านับตั้งแต่เกิดจนผ่านสิบหกฝนสิบหกหนาวนี้ เด็กหนุ่มอยากยอมรับว่าครานี้เป็นการกระทำที่โง่ที่สุดที่เขาตัดสินใจกระทำลงไป
เมื่อซอกถนนคับแคบไร้ผู้คนนั้นไม่มีทางให้ไปต่อ!
จะกลับตัวหันหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนตัวขาวหันหน้ามาประจันกับกลุ่มคนงานที่เดินแลบลิ้นเลียริมฝีปากมาแต่ไกล
พวกมันผ่อนปรนฝีเท้าลงย่างเดินเรียบเรื่อยเชื่องช้าเข้ามาหาคนจนมุมราวกับไม่รีบร้อนเชือดคอเหยื่อของตนแต่อย่างใด
เด็กหนุ่มไร้ทางสู้หันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายพยายามข่มสีหน้าหวาดกลัวสุดฤทธิ์แม้ในใจเขาจะอกสั่นขวัญแขวนมากขนาดไหน
“อาจารย์ของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ” ถ้อยคำคล้ายจะเย้ยหยันอยู่ในที
เจ้ากระเรียนขาวแห่งกูจางยังคงแย้มยิ้มพยายามแสดงท่าทีวางเฉยเอ่ยทักอีกฝ่ายตอบกลับไป แม้หน้าอกแบนราบจะกระเพื่อมขึ้นลงด้วยเพราะออกแรงวิ่งมาเป็นเวลานาน “พวกพี่ชายตามข้ามาด้วยเหตุอันใด”
กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นท่าทีของลูกนกไร้ทางสู้ก็หันไประเบิดหัวเราะหยาบช้ากันในพวกของตน ก่อนหันมาจ้องมองจาบจ้วงร่างขาวโพลนดั่งหิมะแรกรุ่นเอาไว้ในลูกตา
หัวหน้าคนงานตะคอกเสียงดังใส่หรูฟู่เชิงว่า “เห็นคุณชายมาคนเดียว พวกข้าเลยอยากเดินเป็นเพื่อนด้วยก็เท่านั้น”
“พูดคุยกันใยต้องวิ่งไล่ต้อนข้าจนอับมุมเช่นนี้” ใบหน้าเนียนใสมีหยาดเหงื่อเม็ดเป้งล้อมกรอบทั่ววงหน้าขาวเอาไว้ ริ้วสีแดงแล่นไปทั่วร่างกายเพราะฟู่เชิงเป็นคนตัวขาวจัด แม้กระทั่งใบหูก็ยังแต่งแต้มไปด้วยสีชาดดั่งผลลูกท้อสุกปลั่ง
“ก็คุณชายวิ่งหนีพวกข้าก่อน”
คนที่โดนปรามาสคิดในใจ
‘ไม่หนีจะอยู่รอให้พวกเจ้าจับข้าไปตุ๋นน้ำแกงกินอย่างนั้นหรือ’
“เช่นนั้นพวกพี่ชายก็ไปเจอข้าที่สำนักเถิด พวกข้ามีชาดีไว้ต้อนรับพวกท่านมากมาย”
คนฟังได้ยินดังนั้นก็เหยียดยิ้มพ่นลมหายใจฮึดฮัดส่งเสียงดังหึ ดูท่าเด็กตัวขาวคนนี้จะไม่ประสาต่อโลกเกินไปแล้ว
ร่างหนากักขฬะตรงเข้าไปจับที่ข้อแขนเล็กก่อนออกแรงกระชากเสียจนอีกฝ่ายตัวปลิวกระดูกแทบจะหักคามือ
หัวหน้าคนงานยังพูดเสียงต่ำใส่ดวงหน้าขาวดั่งหยกงามแห่งลั่วหยางขู่เข็ญอีกว่า “งั้นเชิญคุณชายไปกับพวกข้าหน่อยปะไร” ออกแรงบีบข้อมือขาวจนผิวหนังบอบบางขึ้นแถบแดงเป็นทาง
ชั่วพริบตาวัตถุบางอย่างก็แหวกอากาศเสียงดังหวือขึ้นมาปักลงตรงกลางเสาเรือนด้านข้างคนทั้งสอง!ลูกเกาทัณฑ์แหลมคมแล่นผ่านช่องว่างระหว่างใบหน้าหยาบกร้านไปเสียจนคมของดอกธนูนั้นแฉลบผ่านสันจมูกงองุ้มผิดรูปทำให้เกิดรอยเสียดสีแสบผิวเสียจนหยาดโลหิตสีแดงเข้มไหลออกมาเล็กน้อยที่ใบหน้านั่น
ร่างของหัวหน้าคนงานแข็งเกร็ง!
เหล่าลูกน้องชายฉกรรจ์ผงะล่าถอยหันรีหันขวางมองไปรอบทิศเพื่อหาต้นตอของลูกธนูนั้น
“
ใครมันกล้า! ” สุ้มเสียงต่ำแผดดังหมายจะขู่ให้คนที่หลบซ่อนตัวเผยออกมา
มือหยาบกร้านที่จับกุมอยู่นั้นรีบปล่อยข้อมือเล็กออกทันที เผลอตัวถอยหลังไปเสียสองสามก้าวอย่างลองหยั่งเชิง
ยังไม่ทันจะอ้าปากพ่นคำอีกเป็นครั้งที่สอง ลูกธนูหัวเหล็กวาววับก็พุ่งแหวกม่านอากาศเสียงดังฟิ้วตรงมาปักลงที่ข้างเท้าของหัวหน้าคนงานอีกสามลูกพร้อมกันทันทีจนคนที่ยืนอยู่หงายหลังลงกับพื้น
คนที่เป็นเป้านิ่งเหลือบมองเกาทัณฑ์ทั้งหมดสี่ดอกที่ส่งออกมาจากบุคคลปริศนาก็แทบจะยืนไว้ไม่อยู่
ดูผิวเผินเหมือนดั่งกับว่าคนปล่อยลูกธนูนั้นยิงพลาดเป้าไป
หากแต่ว่าคนที่เคยเป็นทหารรับจ้างเก่าเช่นหัวหน้าคนงานสกุลเจิ้งมาก่อนนั้นรู้ว่าฝีมือการยิงลูกธนูเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ได้คลาดเคลื่อนไปใดๆ ทั้งสิ้น!
กลับกันมันตรงเข้าเป้าหมายในทุกการปล่อยรั้งสายเลยต่างหาก...
ลูกธนูดอกแรกมองเหมือนดั่งทำไปเพื่อข่มขู่ขวัญ หากแต่แท้จริงแล้วกลับปล่อยเพื่อสร้างบาดแผลไว้บนใบหน้าเขาได้อย่างแม่นยำดั่งจับศีรษะของเขาไปวางให้ยิงทะลุเล่นคล้ายหัวของสัตว์ที่ถูกล่าจากพรานมือฉมังต่างหาก
สามนัดต่อมานั้นต่างหากที่มีจิตสังหารบรรจุอยู่อย่างเต็มเปี่ยมหมายจะเด็ดหัวเขาทิ้งหากเมื่อครู่ไม่ยอมผละมือแล้วถอยออกมา
หัวของเหล็กกล้าวาววับที่สะท้อนอยู่กับแสงอาทิตย์จนเห็นหยาดเหงื่อที่ใบหน้าหยาบกร้านตรงหน้าตอนนี้อยู่นั้นคงปักเข้าที่กลางหน้าอกของตนเองเข้าอย่างจังจนไม่อาจมีแม้แต่โอกาสร้องขอลมหายใจแม้เพียงเสี้ยวคำ
กลุ่มคนงานเมื่อเห็นท่าทีดังนั้นต่างวิ่งหนีหายไปทิ้งลูกพี่ของตนไว้กับลูกศิษย์สำนักตงฝางเพียงสองคน
ไม่ว่าใครต่างก็รักชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น!
ร่างกักฬะของหัวหน้าคนงานเมื่อเห็นว่าตนเองไร้ทางสู้แล้วก็สบถหยาบคายออกมา พลางลุกขึ้นจ้องวงหน้าหวานก่อนเร้นกายวิ่งหายลับไปเช่นเดียวกับพวกลูกน้องตน
คุณชายตัวขาวที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาหมาดๆ ยังคงเบิกตาโพลง ในใจเต้นระรัวดั่งแทบจะหลุดออกมานอกอก
เสียงเนื้อผ้าขยับสวบซาบดังขึ้นมาในสายลมเรียกสายตาของผู้มองให้หันตามไปอย่างระแวดระวังตัว
ร่างสูงโปร่งของบุคคลผู้นึงที่สวมชุดดำทมิฬทั้งตัวเผยกายออกมา ในมือคนผู้นั้นถือคันศรใหญ่โตเอาไว้ คนที่เพิ่งโดนช่วยชีวิตมาหยก ๆ ก็เข้าใจได้ในทันที
ฟู่เชิงที่รวบรวมสติได้ยกมือขึ้นประสานค้อมตัวลง “ขอบคุณท่านที่ช่วยข้าไว้”
สายตาดำทะมึนจ้องมองร่างบางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไรแล้วก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนอีกฝ่ายจะคำนับยบย่อตัวให้เด็กตัวขาวตกใจเล่น
“ท่าน..คำนับข้าทำไม” เรียวมืองามหมายจะไปคว้าตัวของชายปริศนาเอาไว้ไม่ให้กระทำเช่นนั้น
หากแต่แผ่นหลังเล็กชนเข้ากับอกแกร่งที่ไม่รู้ว่ามายืนซ้อนเขาตั้งแต่เมื่อใด ฝ่ามือใหญ่โอบรอบเอวสอบบางนั้นเอาไว้ในวงแขนกว้างไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันดิ้นหนี
ลมหายใจอุ่นร้อนที่ปัดป่ายอยู่แถวพวงแก้มใสทำให้เด็กหนุ่มเผลอหดคอหนีอย่างลืมตัว
ก่อนจมูกโด่งรั้นดั่งหยดน้ำค้างแข็งจะได้กรุ่นกลิ่นหอมประจำกายที่ไม่ได้มาจากถุงผ้าแพรภัณฑ์เครื่องหอมใด หากแต่เป็นกลิ่นของดอกเถาฮวาที่อวลอยู่รอบกายใครบางคนตลอดเวลานั่นต่างหากที่เขาได้เชยกลิ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
คล้ายกับว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของร่างเล็กในอ้อมแขนเขาไปเสียแล้ว
“หยางเกอ!”
ใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ไม่ได้พบหน้ากันเกือบเจ็ดราตรีอยู่ใกล้เพียงแค่แพขนตากระพริบทำให้คนมองเผลอเรียกเสียงดัง
สายตาล้ำลึกเย็นชาดังผืนมหาสมุทรกว้างใหญ่ยังคงพร่างพรายดั่งมีดวงดาวนับพันล้านดวงแต่งแต้มเอาไว้เช่นเดิม
นัยน์ตาคู่นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดชวนให้มองอย่างประหลาด แต่ในขณะเดียวกันก็กลับอ้างว้างดั่งภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านไร้หุบเขาเคียงคู่
ทั้งสวยงามและโดดเดี่ยวไปพร้อม ๆ กัน
ใบหน้าคร้ามครันเพียงแต่ก้มลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนรับรู้ถึงปราณที่ปลายจมูกโด่งเคลื่อนออก เจ้ากระต่ายตัวขาวที่หลงติดกับดักนายพรานหนุ่มวางล่อลวงเอาไว้ได้แต่ย่นคอหนีจนแทบมุดหายจมลงไปในอกอีกฝ่าย
สุ้มเสียงทุ้มนุ่มแผ่วเบาที่คลอเคลียปัดป่ายข้างใบหูขาวซึ่งบัดนี้ย้อมสีแดงระเรื่อจนคล้ายดั่งกลีบดอกท้อในหน้าวสันต์แรกแย้ม มิรู้ว่าเป็นเพราะด้วยสภาพอากาศแวดล้อมหรือถ้อยคำที่ร่างสูงจงใจใช้พูดอยู่กันแน่จึงทำให้คนฟังรู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้าแบบนี้
“เป็นอะไร”
“.....”
‘
ใจเจ้าเต้นเสียงดัง...’
TBC
_____________________________________________________________________
(1) เจิงกั่วจ้ง (蒸裹粽) : ทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุกคลุกน้ำตาล ห่อด้วยใบไผ่แล้วนึ่งอีกครั้ง เป็นของว่างชนิดนึงของจีน
_____________________________________________________________________
Talk : เสียงไม่ดังเลยจ๊ะ ไม่ดังเลยยยยยย~
เป็นยังไงช่วยคอมเม้นท์พูดคุยกันด้วยนะครับ
พูดคุย ทวงงาน หวีดกันได้ Twitter @IndigomoonXii