บทที่ ๓๗
เสพรักพิษนาคา
“จริงหรือครับ มาตะยังมีโอกาสรอดใช่ไหม”
มหาราชครูก็รับว่าจริง แล้วว่า
“มาตรว่าการคาดคะเนของอาตมันมิผิดพลาดคลาดเคลื่อน วิญญาณมาตะยังหาได้ถูกปีศาจช่วงชิงครอบครอง”
“ต้องทำยังไง ต้องทำวิธีไหนถึงจะนำวิญญาณมาตะกลับมาได้ โปรดบอกผม กรุณา...” พจน์ถลาคุกเข่าเบื้องหน้าพราหมณ์โกสินธพ รอยยิ้มบางเบาคลี่ใต้กลุ่มหนวดเคราขาว
“ลุกยืนให้เป็นปรกติก่อนเถิด อาตมันจำต้องเล่าตำนานเรื่องหนึ่งให้มหาบุรุษท่านฟังเสียก่อน แม้นอาตมันเล่าจบแล้วจงตรึกตรองดูว่า หนทางนั้นคือที่ใด” เจ้าหนุ่มภัทรพจน์ก็พยักหน้ารับผุดยืน ร้อนรนจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ โกสินธพมหาพราหมณ์หลับตาลงแล้วเอ่ยเป็นคำกลอนก้องกังวาน
(ถ้าหากเห็นไม่ชัดกรุณากดซ้ำที่รูปภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วจะขยายใหญ่ขึ้น)
สิ้นคำกลอนมีแต่ความเงียบงันปกคลุม ดุจเหตุการณ์ในตำนานก่อเกิดเป็นลีลาเคลื่อนไหว
“ตำนานโกสันต์ปัทมทับทิมนี้เป็น...”
“อดีตชาติ” พจน์ระงับความอ่อนแอ หลุดพูดคำที่ตอนนี้แทบไม่อยากได้ยิน “ของผมกับมาตะ...ใช่หรือเปล่าครับ”
โกสินธพมหาพราหมณ์ล่วงรู้ความทุกขเวทนาผ่านสายตาแข็งกร้าวสีน้ำตาล แต่จำต้องพยักหน้ารับว่าจริง
“
โกสันต์ปัทมทับทิม พัชรพีนิลกาฬ อนันตวัชรมรกต ล้วนคือสิ่งล้ำค่าซึ่งท่านครอบครองมาแล้วเมื่ออดีตชาติ แต่เหตุอันอาตมันเล่าถวายนี้มิใช่ตอกย้ำให้รู้สึกอ่อนแอในยามวิกฤตการณ์ แต่เป็นหนทางเยียวยารักษามาตะ ท่านฟังสิ้นแล้วยังจักพบหนทางออก ฤา มิใช่”
“
อนันตวัชรมรกต สินะครับ” พจน์พยายามลบภาพท้าวปัทมราชกับท้าวโกสันต์ออกจากความคิด แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน “ผมต้องนำอนันตวัชรมรกตมาช่วยมาตะ ใช่ไหมครับ”
“ท่านมีเพลาก่อนรุ่งอรุณจักเปล่งเยือนท้องพระโรงจักรวรรรดิรัตนพิมาน หาไม่แล้ววิญญาณมาตะจะมิอาจเรียกกลับมาได้อีกชั่วนิรันดร จงบอกอาตมันว่าท่านรู้แหล่งเก็บซ่อนอนันตวัชรมรกต”
“ครับ”
“อาตมันจำต้องตั้งโรงพิธีปกป้องดวงวิญญาณอื่นไม่ให้มาอาศัยร่างมาตะ ท่านจงเร่งไปเถิด ใช้พลังแห่งท่านข้ามพิภพไปนำมา มหาบุรุษ” ราชครูพราหมณ์สั่งความเสร็จก็ยอบกายลงพื้นกระทำคารวการ เจ้าหนุ่มภัทรพจน์หลับตาให้ใจนิ่งสงบนึกถึงแต่เพียงต้นลีลาวดีเพลิงมอดไหม้ ใต้พื้นดินของโคนต้นอดีตอาวุธพิฆาตนาม จุมพิตสีเลือด มีบางสิ่งที่พจน์เห็นมากับตาตนเองว่าถูกฝังไว้ อนันตวัชรมรกต รอก่อน...มาตะ อย่าเพิ่งไปไหน รอเรากลับมาช่วยนาย
“อาตมันขอติดตามด้วย ขอรับ”มารุตพราหมณ์ผลักประตูเรือนทิมดาบถลันพรวดเข้ามา แม้แต่ศิษย์นักบวชของมหาราชครูก็มิอาจหยุดรั้ง ต่างดึงห้ามปรามพัลวัน มารุตก็สะบัดออกพุ่งเข้าเกาะต้นแขนพจน์แน่น
“อาตมันขอติดตามท่านไปด้วย ขอรับ” เจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยวอนขอด้วยแววตากลมใส “ชั่วแวบหนึ่งท่ามกลางจิตใจด้านร้ายเข้าครอบงำ อาตมันผุดความทรงจำได้ว่า เคยรู้จักท่านมาก่อน ขอรับ ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่ความผูกพันล้ำลึกเกิดก่อมากมายแทบล้นอกนี้ไม่มีเหตุผลใดนอกจากเราสองเคยร่วมชะตาชีวิต ณ ห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ท่านได้ช่วยชีวิตอาตมันจากอำนาจร้ายสิงสู่ในครานี้ ขออาตมันตอบแทนด้วยการอารักขาติดตามเถิดขอรับ ภัทรพจน์”
“
วายุ” พจน์ซาบซึ้งน้ำใจของเจ้าพราหมณ์หน้าซื่อจนเกือบเผลอให้ด้านอ่อนแอเข้าครอบงำ แต่หักใจได้รวดเร็วแล้วว่า “มารุต เราไม่รู้ว่าการไปนำอนันตวัชรมรกตกลับมาจะง่ายดายหรือว่ามีสิ่งใดรออยู่ปลายทาง เราไม่อาจเสี่ยงนำนายไปเผชิญกับสิ่งใดก็ตามเหนือคาดคิด อยู่ที่นี่ คอยเรากลับมานะ”
มารุตส่ายหน้าทันควัน อาการดื้อรั้นทำให้หวนนึกถึงวายุข้าคนสนิทของพระเจ้าวัชรโกมลไม่ผิดตัว พจน์ส่งสายตาของความช่วยเหลือจากอาจารย์โกสินธพ
“ท่านแลมารุตพราหมณ์มีชะตาผูกพันล้ำลึกมาเมื่อครั้งอดีตชาติ แลภพชาตินี้หวนกลับมาเจอกันได้ก็ด้วยบุญกุศุลซึ่งสร้างสม จักด้วยแรงอธิษฐานใดก็ตาม แต่ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุแลผล สิ่งชักนำท่านมาพบกันคงมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง ทั้งพราหมณ์น้อยผู้นี้คะเนแล้วคงเรียนรู้พระเวทคาถาเชี่ยวชาญพอตัว เมื่อหลุดพ้นจากอำนาจทมิฬด้วยพลังแห่งมหาบุรุษท่านก็เห็นจะกลายเป็นกำลังแรงกายช่วยสู้ศึกในครานี้ได้อีกผู้หนึ่ง จงพาสหายผู้นี้คอยเคียงท่านด้วยเถิด อย่าชักช้าอยู่เลย เพลาล้วนดำเนินมิหวนคืนกลับ”
ใคร่ครวญคิดสองจิตสองใจ แต่พจน์จะชักช้าอยู่ไม่ได้ก็พยักหน้ารับคำขอมารุต เจ้าพราหมณ์น้อยก็โผเกาะมือภัทรพจน์ แววตากล้าหาญฉายชัด ส่งยิ้มให้แก่กันแลกันแล้วพจน์ก็พนมมือหลับตา หมอกควันเยือกเย็นสีขาวผุดขึ้นนำพาเด็กหนุ่มทั้งสองเดินทางข้ามพิภพกาลเวลามาปรากฏยังดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ท้องฟ้ามีเมฆดำปกคลุม ต้นไม้แห้งโกร๋นยืนต้นเดียวดาย บางต้นมีใบไม้สีดำติดอยู่ตามกิ่งก้าน พื้นดินปกคลุมด้วยกรวดทรายสีนิล พุ่มไม้ดำกระจายอยู่รายล้อม เทือกเขาสูงใหญ่ภายใต้กลุ่มเมฆทมิฬทอดตัวเป็นมหาปราการ สรรพเสียงคำรนกู่ก้องร้องดังแว่วอยู่ไกลๆ ทั้งเสียงกลองกระหน่ำตีเป็นจังหวะแทรกผ่านดงซากไม้มาจากฟากป่าด้านขวามือ พจน์สังเกตภูมิประเทศสถานที่ตนข้ามพิภพมาโดยละเอียด มารุตพราหมณ์ก็ประพฤติเช่นเดียวกัน
“ที่ใด ฤา ขอรับ”
“ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรอนันตาทมิฬ อาณาจักรเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ แต่ทำไมสภาพแวดล้อมถึงผิดต่างจาก...” พจน์จำความเขียวชะอุ่มของพืชพรรณนานาชนิดเมื่อครั้งระลึกชาติวัชรโกมลได้
“ความชั่วร้าย ขอรับ มันเปลี่ยนสรรพชีวิตให้มืดทมิฬไร้วิญญาณเสียสิ้น แลเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ผู้ครอบครองมหาอาณาจักรโบราณมิได้ปกครองอนันตาทมิฬแล้วขอรับ” มารุตอธิบายพร้อมหยิบไม้ใบสีดำจากพื้นดิน มันบุบสลายเป็นผุยผงทันที “เผ่าพันธุ์ปีศาจทำสงครามรุกรานแลสถาปนานคราแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองความโฉดชั่วทั้งปวง”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารุต”
“รัชกาล...เอ่อ...พระเจ้าอนันตราช ขอรับ พระองค์พ่ายศึกครานั้น จนต้องระเหเร่ร่อนลี้ภัย” พจน์เข้าใจถึงสาเหตุที่พระบรมศพของพระองค์ตั้งอยู่ชายแดนอาณาจักรสุวรรณครา “พระเจ้าวัชรโกมล...”
มารุตรีบเงยหน้ามองพจน์ ดวงตารื่นด้วยหยดน้ำคลอ
“พระเจ้าวัชรโกมลมีเชื้อสายมนุษย์กับคนธรรพ์อย่างละครึ่งใช่ไหม” พจน์ถามน้ำเสียงนิ่ง “นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าอนันตราชถูกฝังอยู่ ณ เทวาลัยแห่งนั้น การอยู่ใกล้ชิดบ้านเมืองของชายคนรักจนวาระสุดท้ายคือพระประสงค์ของพระองค์ใช่หรือเปล่า”
เจ้าพราหมณ์ก้มหน้าสลด
“ตามพระราชพงศาวดารจดจารไว้เช่นนั้นขอรับ”
“การสละชีวิตคราวนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดเลย มารุต ไม่มีประโยชน์เลย” เจ้าภัทระเงยมองความมืดมัวบนท้องฟ้าเพื่อไม่ให้หยดน้ำตาไหลดิ่งลงตามแรงดึงดูด “มันสายเกินไป...”
มารุตกุมมือมหาบุรุษปลอบโยน “ไม่ขอรับ ไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ความทรงจำอดีตชาติซึ่งผุดขึ้นหว่างความชั่วร้ายเข้าเล่นงานอาตมันทำให้อาตมันเห็นว่า พระองค์...เอ่อ ท่านสละชีวิต แต่มิได้สละอำนาจครอบครอง รีบเถอะขอรับ เบื้องหลังหมู่แมกไม้นี้คงเป็นเขตพระราชฐานที่ประทับของพระเจ้าวัชรโกมล”
เด็กหนุ่มทั้งคู่เดินลัดเลาะผ่านแนวพฤกษามอดไหม้จนกระทั่งถึงเขตกำแพงแก้ว มีสภาพพังทลายผุพังตามกาลเวลา สีขาวซึ่งเคยฉาบลงหม่นมัว ซุ้มประตูลวดลายวิจิตรถูกสายลมแสงแดดแผดเผาหลงเหลือเพียงร่องรอยของฝีมือช่างศิลป์เมื่อบรรพกาล
สนามหญ้าสีเขียวสดถูกฉาบไว้ด้วยละอองเถ้าของภูเขาไฟระเบิด ดุจเกล็ดหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ กลิ่นกำมะถัน กลิ่นควันไฟไหม้ตลบอบอวล เส้นทางศิลาทอดสู่กลางอุทยานท้ายซากตำหนักที่ประทับ บุปผานานาพรรณเคยงอกงามแห้งเหี่ยวอับเฉาฉับพลันดุจถูกสาป ไร้สีสันอื่นใดนอกจากดำและดำ
ท่ามกลางความพังพินาศของทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต แลเห็นต้นไม้หนึ่งแผ่กิ่งก้านเป็นพุ่มสูงตระหง่าน ดอกและใบอันเคยมีประดับหายลับสิ้น รูปทรงเดียวกับเมื่อครั้งพจน์กับไอ้กันได้เคยมาทำการลบล้างคำสาปมนตราลีลาทมิฬ ไม่ผิดต่างไปจากนี้ นี่คือต้นลีลาวดีเพลิง สิ้นฤทธิ์สิ้นพลังยืนเดียวดายเหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านแห้งกรอบไร้พิษสงเท่านั้น
“ที่นี่แหละ มารุต” พจน์กวาดสาดตามองพื้นดินดำไหม้โดยรอบ จดจำได้ทันทีว่าตรงไหนคือบริเวณที่พระเจ้าวัชรโกมลล้มลงและสิ้นพระชนม์
“ท่านจงเข้าไปนำมาเถิด อาตมันจักคอยระแวดระวังภัยอยู่ตรงนี้”
มารุตกล่าวหนักแน่น พจน์เร่งฝีเท้ากำลังจะมุ่งสู่โคนต้นก็ปรากฏเงามืดทะมึนผุดพุ่งจากกองเถ้าถ่านใกล้กับซากต้นลีลาวดีเพลิง มันเคลื่อนคล่องสู่ท้องฟ้าแล้วดิ่งกลับคืนพสุธาลับหาย ต่อมาก็โจนกายขึ้นด้านหลังมารุตหลอมรวมจากเศษเถ้าถ่านดำเป็นลำตัวของสิ่งมีชีวิตคลับคล้ายงูแต่ขนาดมหึมากว่ามาก ปลายหางจรดศีรษะยาวเหยียดอย่างเดียวกับรูปปูนปั้นขนาบบันไดโบสถ์เผยดวงตาสีเหลืองอาฆาตมนุษย์
พญานาค“มารุต!” พจน์พุ่งตัวถลากอดเจ้าพราหมณ์น้อย พญานาคเกล็ดดำกระหน่ำฉกกระแทกลงตรงจุดที่มารุตเคยอยู่ ทั้งคู่ล้มกระเด็นเกลือกกลิ้ง เจ้างูยักษ์ทะยานฉกซ้ายฉกขวา กวาดดวงตาสีอำพันหันหาผู้รุกราน ปลายหางลายกนกกวาดเถ้าละอองกระจุยกระจาย ขู่คำราม ครั้นเห็นเจ้าหนุ่มทั้งสองถนัดตาก็ม้วนขนดหางโอบสะบัดรัดให้สิ้นใจ
ความเจ็บแล่นพล่านเช่นเดียวกับลมหายใจติดขัด พจน์ไม่อาจเรียกพละกำลังข้ามพิภพหลบหนีได้ เพราะอำนาจสิทธิศักดิ์ในเลือดผู้ปกปักรักษาล้อมกีดกั้น มารุตเห็นการเข้าตาร้ายเช่นนั้นก็บริกรรมคาถาถามภาษาพญานาค
“ท่านทวารบาล ไฉนเลยจึ่งประพฤติผิดต่างจากกฎบัญญัติ อึก” มารุตจ้องเขม็งดวงตาเหลือบเหลือง มันลดหัวลงมายังเหยื่อ ขยับปากขบเขี้ยวแหลมยาว ด้วยครั้งคราวกำเนิดเป็นนาคา ภัทรพจน์จึ่งเข้าใจวาจานาคราชโดยสิ้น
“เจ้าทั้งสองบุกรุกเขตต้องห้าม แลจักมีสิ่งใดสั่งเสียตามจงเร่งว่า ก่อนพิษนาคาจักสังหารเจ้าตามโทษานุโทษ” คำรามกึกก้อง
“ก็แหละท่านถูกสาปไว้ให้เฝ้าแหล่งที่นี้ประดุจนายประตูเฝ้าขุมสมบัติ กฎอย่างหนึ่งอันพึงปฏิบัติคือถามปริศนาผู้ลักลอบ หากมันผู้ใดไขความลับนั้นออก จงปล่อยตัวตามหลักถูกต้อง ก็แหละบัดนี้ท่านละเมิดสิ้น อาตมันท้วงคำข้อประการนี้ท่านจงตรองดูเถิด”
พญานาคกะพริบเปลือกตาเจ้าเล่ห์ หงอนลายกนกเชิดสูงอย่างไม่พึงใจแล้วตวาดกลับว่า
“เช่นนั้นข้าจักขอถามปริศนาดั่งเจ้าวอน แลหากผิดแล้วจงยอมตายเสียโดยพิษเรา” เจ้าพญานาคกายมหึมาคลายขนดลำตัว มารุตกำบังพจน์ไว้เบื้องหลัง คำนับเคารพแล้วจดจ้องดวงตามลังเมลืองไม่ครั่นคร้าม
“จงเร่งว่ามาเถิด แลหากผิดพลาดแล้วไซร้ท่านจงปลดปล่อยคนนอกผู้นี้เสียอย่าได้ขัดขวางทำอันตราย อาตมันจักยอมตายวายชีวาเซ่นคำตอบตนเอง” พญานาคพยักหน้ายอมรับ แล้วมันจึงกล่าวปริศนาคำทาย
“
สิ่งใดใดในโลกกำเนิดจาก เปลี่ยนสิ่งยากเป็นง่ายกระไรหนอ ทุกชีวิตไขว่คว้าเฝ้าคอยรอ แม้นขาดสิ้นดั่งคอขาดกระเด็น”
พจน์ทวนเงื่อนงำปริศนาซ้ำ ลูบไล้คลำลำคอขณะใคร่ครวญ แล้วจึ่งสัมผัสสร้อยเส้นหนึ่งคล้องอยู่เมื่อไรไม่อาจทราบ จำได้ว่าเป็นสร้อยทองห้อยเครื่องประดับหน้าผากของพระเจ้าวัชรโกมล แล้วก็ค้นคิดแผนได้อย่างหนึ่ง คือหากถ่วงเวลาให้พญานาคเผลอตัวได้ชั่วขณะ ระยะทางจากตรงนี้จนถึงโคนต้นลีลาวดีเพลิงไม่ใช่ห่างไกลนัก อาจอาศัยห้วงจังหวะนั้นขุดหาอนันตวัชรมรกตได้ก่อนที่มันจะสงสัย ป้องมือกระซิบแผนการให้มารุตทราบ แล้วเจ้าพราหมณ์จึงป่าวร้องว่า
“ท่านผู้มีความยุติธรรม ปริศนาใดๆในโลกย่อมมีคำตอบเฉพาะคน แต่จักต้องใจท่านหรือไม่มิอาจรู้ ก็แหละเชาวน์ปัญญาเลิศประดับในกายสิ่งมีชีวิตหามีเท่าเทียมกันดั่งนี้” มารุตขยับเดินเลี่ยงสู่ด้านหนึ่ง พญานาคยักษ์ก็ขยับจ้องตามค่อยๆหันลำตัวส่วนหลังให้ต้นลีลาวดีเพลิง พจน์อาศัยจังหวะนี้เร้นกายตรงดิ่งไปยังโคนต้นลีลาวดี “ท่านเป็นถึงพญานาคราชช่ำชองปัญญาด้านคิดปริศนามาแต่ถือกำเนิด บิดามารดรต่างฝึกปรือทักษะนี้มาแต่หนต้น แตกต่างจากอาตมันซึ่งถูกฝึกปรือในทางพระเวทคาถา ไหนเลยจักมีสติปัญญาเทียบเทียมท่านได้...” มารุตยังพูดจ้อตามคำแนะของพจน์
โคกดินใต้โคนต้นเป็นสีดำแห้งระแหง พจน์ใช้มือขุดทุลักทุเลอาศัยจดจำทิศทางซึ่งพระเจ้าวัชรโกมลเคยกลบฝังอัญมณีสีเขียวไว้
“จงอย่าได้กล่าวอันใดให้มากความ หากสติปัญญาเจ้าด้อยต่ำกว่าข้าก็ด้วยเพราะเจ้าไร้ค่าโง่เขลาสมควรตาย จงตอบมาอย่าช้าที”
“รัก
ความรัก” ขึงตาเหลืองด้วยอารมณ์กริ้วขุ่นมัว ชั่วครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นว่าเหยื่อมนุษย์อีกคนมิได้อยู่เบื้องหลังเจ้าพราหมณ์ก็หันหัวเหลียวหา เห็นภัทรพจน์อยู่บริเวณต้นลีลาวดีเพลิงก็ตวัดหางฟาดโครมใส่ พจน์ถลาถอยหลบทันท่วงที มารุตเห็นความรุนแรงเกิดมีต่อพจน์ก็วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าพญานาคทวงหาสัจจะวาจา
“คำตอบของอาตมันถูกต้องหามีสิ่งใดคัดค้านได้ หากไขปริศนาสำเร็จครบถ้วนแล้วไยจึ่งคืนคำคิดทำร้ายสหายเราอีก สัจจะแห่งมนตร์คาถาศักดิ์สิทธิ์มิอาจละเมิดได้ด้วยประการทั้งปวงจงยอมถอย มิเช่นนั้นชะรอยอำนาจปริศนาจักพรากวิญญาณเจ้ามิหวนกลับ”
พญานาคสำแดงโทสะเคืองจัดชัดเจน สอดส่ายหัวฉุนเฉียวโยกเอน ดวงตาก็ลุกวามดุร้าย ก่อนจะสงบลงพลางขำขันหัวเราะ พจน์ขยับถอยเคียงคู่มารุต
“คำตอบของปริศนาข้อนั้นถูกต้องทุกประการ” มันขดหางซ้อนกันเป็นแท่นสูงชูลำคอค้ำตระหง่านเหนือร่างมนุษย์ “แต่...เจ้ามาด้วยกันถึงสองคน จะรอดพ้นความตายก็เฉพาะเพียงหนึ่งของผู้ที่ตอบคำถามได้ ฉะนั้นจำเราจะต้องถามปริศนาอีกข้อตามกฎศักดิ์สิทธิ์”
“ตระบัดสัตย์ เจ้าให้สัจจะวาจาว่าจะไม่ยุ่งกับสหายเรา”
“ข้อตกลงนั้นหมายเฉพาะหากเจ้าตอบปริศนาผิดพลาด อันตรายใดๆจะเกิดเพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้เจ้าตอบถูกแลพวกเจ้ามีถึงสองคน ข้าจึ่งมีสิทธิ์ถามอีกปริศนาหนึ่ง”
มารุตส่งสัญญาณบางอย่างมาให้พจน์ เขาส่ายหน้าไม่เข้าใจ ขนดหางแผ่โอบล้อมมนุษย์แน่นหนา
“จงฟังให้ดี
ทั้งมืดมนอนธการนานชั่วกัป ทั้งลี้ลับล่องลอยถวิลหา ไม่ยากได้ก็จักได้ตามชะตา เช่นสนธยาลาลับดับอรุณ จงตอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” พจน์กับมารุตอยู่ห่างกันพอสมควรโดยมีลำตัวส่วนหางของพญานาคกั้นขวางไว้ มารุตนึกตรึกตรองครุ่นคิด “เจ้ามีเพลามิมากนัก หากแสงจันทร์ทอลอดพ้นเมฆาเมื่อใด มาตรแม้นข้ายังมิได้คำตอบก็จง...ตาย”
“เฮ้ ผมตอบได้” พจน์ตะโกนเรียก เจ้าพญานาคหันส่วนหัวตามเสียง เพื่อปะทะเข้ากับแสงเขียวแผดจ้าจนดวงตาของมันฝ้ามัว มารุตอาศัยจังหวะนั้นกระโดดข้ามลำตัวกีดขวางโจนแตะกายพจน์ พญานาคนายทวารก็อ้าปากพ่นละอองพิษจากลำคอสาดใส่ศัตรู เงาหมอกควันพรั่งพรูโอบล้อมพร้อมพาตัวพจน์และมารุตหลบหลีก ปรากฏยังกลางมณฑลพิธีพรวดเดียว ปะรำพลับพลาชั่วคราวถูกสร้างขึ้นอยู่ตรงหน้าด้วยผ้าสีขาวขึงตึงเป็นหลังคา ตั้งฉัตรห้าชั้นประจำมุมเสา อาณาบริเวณขึงผ้าขาวเป็นแนวกำแพงล้อมรอบอีกชั้น พราหมณ์โกสินธพเร่งฝีเท้าทะยานหาเด็กหนุ่มทั้งสองว่องไว
“มหาบุรุษ ท่านได้มา ฤา ไม่
อนันตวัชรมรกต”
ภัทรพจน์หายใจหอบคลายฝ่ามือกำสร้อยคอคล้องเครื่องประดับหน้าผากออก แสงอัญมณีมรกตเจิดกระจ่างส่องเลื่อมระยับสะท้อนสู่ดวงตาพราหมณ์เฒ่า
“มาตะ เจ้าพ้นเคราะห์แล้ว” ราชครูพราหมณ์จ้องมรกตลือนามปลื้มปีติ “ท่านปลอดภัยดี ฤา มหาบุรุษ มารุต”
“ปลอดภัยขอรับ” พจน์อาศัยจังหวะมารุตล่อหลอกพญานาคด้วยคำพูด ค้นหาอนันตวัชรมรกตเพียงไม่นานจี้คล้องคอก็ดึงรั้งแล้วฉุดดึงมณีมีค่าพุ่งพ้นพื้นพสุธาสถิตกลางเครื่องประดับหน้าผาก ก่อนส่วนปลายหางนาคราชจะฟาดลงชั่วเสี้ยววินาที พจน์โผเข้ากอดมารุต หากไม่ได้เจ้าพราหมณ์น้อยถ่วงเวลา ตนคงไม่มีโอกาสทองเช่นนั้น
“ขอบใจนะ มารุต ขอบใจ วายุ”
ภัทรพจน์จ้องมองดวงตากลมโตของอีกฝ่ายที่จดจ้องกลับเสมอกัน ฉับพลันพจน์จึ่งสัมผัสได้ว่านัยนานั้นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ลองขยับถอยห่าง แล้วยกมือสั่นเทาโบกผ่านหน้ามารุต พราหมณ์หนุ่มเอาแต่ยิ้มไม่กะพริบไหว
“มะ...มารุต ตาของนาย”
“พิษนาคา ทำลายดวงตาเจ้าพราหมณ์มืดบอดเสียสิ้นแล้ว มหาบุรุษ” โกสินธพมหาพราหมณ์พิจารณาด้วยภูมิปัญญา พร้อมกล่าวคำหนึ่งที่ทำให้พจน์ถึงกับทรุดเข่าลงแทบเท้าสหายรักผู้มีคุณนับแต่อดีตชาติจวบกระทั่งภพปัจจุบัน
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไปหมายเหตุ ช่วงบทกลอนที่ผมลงแนบเป็นไฟล์รูปภาพนั้น เนื่องจากพอลงแบบปกติแล้วปรากฏว่าข้อความกลอนกระจัดกระจายไม่สวยงาม ดังจะเห็นได้จากบทก่อนๆที่เคยลง ถ้าหากเห็นไม่ชัดกรุณากดซ้ำที่รูปภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วจะขยายใหญ่ขึ้น ต้องขอภัยมา ณ ที่นี้________________________________
๑ นาเคศวร, วาสุกรี : นาคผู้เป็นใหญ่
๒ ภุชงค์, นาค : งูใหญ่มีหงอน