บทที่ 55
“ไอ้ทีรีบรับเร็วๆ โว้ย กูหนวกหู!”
หมอนถูกปาจากทางไวไวปะทะเข้าเต็มหน้าผม เลยลืมตาปาคืนเจ้าของ แต่ดันตกใส่หัวพี่ใหญ่ของกลุ่ม
“ที!!”
ผมรีบคว้าเจ้าเครื่องที่ส่งเสียงกรีดร้องไม่เลิกขึ้นมารับสาย หนีจากการถูกด่ารับเช้าวันอาทิตย์ทันหวุดหวิด
“ครับ?”
[อยู่ไหนลูก?]
“คอนโดเพื่อนครับ” ตอบไปอ้าปากหาวไป “วันนี้พวกผมต้องไปช่วยเขาทำความสะอาดในมหาลัย พาร์กับผมเลยตกลงอยู่ค้างห้องเพื่อนแทนกลับบ้าน…” พูดถึงตรงนี้ก็เผลอนิ่วหน้า อาการเมาขี้ตาหายไปจนระลึกขึ้นได้ “เมื่อวานผมโทรบอกพ่อไปแล้วนี่”
ปลายสายเงียบไปนานจนต้องหันมือถือดูหน้าจอ สายไม่ได้ตัดเลยแนบหูพูดฮัลโหลๆ จนได้ยินเสียงพ่ออีกครั้ง
[จะเสร็จเมื่อไหร่]
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่เกินช่วงเย็นล่ะมั้ง…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
แต่ใจแอบคิดไปแล้วว่าพ่อแม่คงอยากหนีเที่ยว เลยโทรตามตัวผมกลับไปดูแลน้องที่บ้านเหมือนทุกที
[คุณปู่กลับมาไทยแล้ว]
“จริงเหรอ!” ผมยิ้มดีใจทันที ก่อนแอบขอโทษพ่อในใจที่คาดเดาไปนู้น
[คุณย่าด้วย]
รอยยิ้มหุบทันควัน หน้าเริ่มซีดนิดๆ
“กะ…กลับมาเรื่อง เอ่อ แฟนของที?”
ไม่หรอกมั้ง…ถ้าคุณย่ารู้น่าจะมีคำสั่งฟาดเปรี้ยงให้ผมย้ายที่เรียนกะทันหัน และน่าจะต้องบินข้ามทะเลเหมือนลุงนิกที่ต้องแยกกับทากะซังไปช่วยคุณปู่ทำงานถึงนู้น
พ่อไม่ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนสูดน้ำมูก...
“เอ๊ะ พ่อร้องไห้เหรอ!”
ร่างผมหนาวเยือกทันที เริ่มสังหรณ์ใจพิกล ความคิดในทางเลวร้ายผุดขึ้นมาไม่หยุดจนมือเริ่มสั่นเทา
ไม่ๆ คิดในทางที่ดีไว้ไอ้ที ไม่มีใครเป็นอะไรไปหรอกน่า!
[ที จำยายศรีได้ไหม ก…แกกลับมาด้วยนะลูก] ถ้อยคำขาดหายเหลือเพียงเสียงสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง [คุณย่าพาอัฐิกลับมาทำพิธี…]
สมาท์โฟนถูกปล่อยร่วงจากมือ
ยายศรี…
สมองเริ่มมีภาพเก่าๆ วนไปเวียนมา คุณยายใจดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทางสายเลือดเลย แต่ก็รักเอ็นดูผมไม่แพ้ญาติผู้ใหญ่คนไหน เป็นคนพูดน้อย จึงมักคอยนั่งอยู่ข้างๆ ลูบหลังปลอบพลางฟังผมพูดระบายความอัดอั้นในใจ คนที่จูงผมเข้าครัวสอนทำอาหาร…
น้ำตาร่วงหล่นทีละหยดๆ สุดท้ายก็กลั้นเสียงสะอื้นไม่ไหว
“เฮ้ย!!”
“ร้องไห้ทำไมเนี่ย!”
เสียงไวกับยำประสานกัน ก่อนจะโดนเทมตวาดใส่ ในจังหวะที่ตัวผมโดนพาร์ดึงไปกอด ผมซบหน้าผากกับไหล่พาร์ กำเสื้อมันแน่น
“อย่าพึ่งไปถามมัน ปล่อยให้ร้องไปก่อน”
หูได้ยินอีกเสียงแทรกมา
“ฮัลโหล ผมกายนะครับ…อ้อ ครับ…จะฝากบอกให้ครับ”
ผมสัมผัสได้ถึงแรงตบเบาๆ ที่หลัง ตามด้วยเสียงกาย
“ที พ่อมึงบอกว่าทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้ตามไปที่วัด แต่ถ้าเลิกเลยบ่ายสามให้ไปบ้านคุณย่าแทน”
แม้จะได้ยินทุกเสียงรอบตัว แต่ผมกลับไม่สนอง กลับเลือกร้องไห้ต่อไป ระบายทุกอย่างในใจตอนนี้ออกมาให้หมด แล้วหลังจากนี้…ผมจะพยายามทำใจยอมรับความจริงให้ได้
-------------
“สวัสดีเด็กๆ ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มกันแล้ว”
ชายชราที่สุขภาพยังแข็งแรงดีคลี่ยิ้มทักทายกะทันหัน พวกผมสะดุ้งหันรีบไปยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณปู่” เสียงแทบจะประสานกัน
“ไหนเจ้าอรรถบอกว่าทีติดกิจกรรมที่มหาลัย?”
“พวกผมโดดกิจกรรมมาครับ โอ๊ย!”
ยำยำโดนไวไวตบหัว “มึงก็พูดตรงเกิน!”
คุณปู่กวาดตามองด้วยแววตาดุๆ แต่ละคนเลยยิ้มเจื่อนๆ รับ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแก้สถานการณ์
”แล้วคุณปู่มาทำอะไรตรงนี้?”
ระหว่างถามก็หยิบกุญแจไขเปิดประตูรั้วให้พวกเพื่อนๆ เอารถเข้ามาจอด ที่จริงใช้รีโมตเปิดรั้วสะดวกกว่า แต่กดเปิดเท่าไหร่ประตูก็นิ่งจนพวกผมต้องลงมาดูเนี่ยแหละ
คุณปู่ชูกระดาษขนาดเอสี่กับเชือกในมือ
‘ประตูเสีย ใช้ระบบมือเอานะหลานชาย’
“แต่สงสัยคงไม่ต้องใช้แล้วมั้ง”
ผมหัวเราะตามปู่ ขยับตัวไปกอดด้วยความคิดถึง เลยได้มือตบหลังเบาๆ กลับมา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
“ทีต้องเป็นคนพูดต่างหาก”
รถหกคันวิ่งผ่านรั้วตรงไปยังลานจอดติดหลังคาด้านข้าง ผมกับยำช่วยกันเลื่อนปิดประตูรั้ว
“มากี่ครั้งที่นี่ก็ยังใหญ่เหมือนเดิม”
ผมหันมองยำแล้วยักไหล่ “ใหญ่แบบนี้ก็ไม่ดีหรอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน”
ยำหน้าเจื่อน “กูขอโทษ ถ้าทำให้มึงนึกถึงเรื่องไม่ดี”
ผมพึ่งนึกได้ว่าตัวเองหลุดพูดอะไรออกมาก็ทำหน้าเจื่อนตามอีกคน ชำเลืองมองปู่...อยู่ห่างออกไปแบบนั้นคงไม่ได้ยิน เฮ้อ ต้องระวังคำพูดมากกว่านี้
“อยากออกกำลังกายกันไหมเด็กๆ”
คุณปู่หันมาถามพวกผมที่รวมตัวกันครบ พวกผมส่ายหน้าทันที ยกเว้นแขกมาครั้งแรกทั้งสองคนที่มีสีหน้าไม่เข้าใจ
ยำเลยรีบชี้บอก “สองคนนี้ไม่ส่ายหน้า แสดงว่าอยากเดินครับ”
พี่ภูขมวดคิ้ว พาร์หันมองผมเป็นเชิงถาม
“น่าเสียดาย ปู่ให้เขาเอารถมาแค่คันเดียว นั่งได้อีกสี่คน ใครที่คิดว่าตัวเองไม่แข็งแรงก็ขึ้นมาแล้วกัน”
พวกผมมองหน้ากันทันที สุดท้ายได้แต่ปล่อยปู่ขึ้นรถกอล์ฟคนเดียว
“ค่อยๆ เดิน ไม่ต้องรีบ ระวังโดเบอร์แมนด้วยล่ะ”
สิ้นเสียงปู่ ยำก็สะดุ้งโหยง รีบร้องเสียงหลง
“ปู่ครับ ผมไปด้วย!!”
แต่รถกอล์ฟขับไปนู้นแล้ว ไม่มีชะลอ แว่วเสียงหัวเราะมาอีกต่างหาก
ผมส่ายหน้าระอา เจอหน้ากันปุ๊บก็หยอกหลานๆ ปั๊บ หรือเพราะเห็นพวกผมทำหน้าเครียดกัน?
“...โดเบอร์แมนที่นี่น่ากลัว?”
พี่ภูถามขึ้นมาหลังเห็นยำคว้าแขนผมไปกอดตัวสั่นระริก เทมที่ยืนใกล้ๆ เลยเป็นคนตอบ
“ถ้ามีแค่ตัวสองตัวก็ไม่ แต่ที่นี่มีเป็นสิบ ยำเคยโดนพวกมันกระโดดใส่ตอนเป็นเด็กเลยกลัวฝังใจมาถึงตอนนี้...ความผิดไอ้ทีคนเดียว แกล้งเพื่อนจนได้เรื่อง”
...ตอนนั้นผมร้อนวิชา แล้วยำก็ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ ใส่หมาน่าแกล้งจะตาย เลยผิวปากออกคำสั่งให้เห่าใส่เฉยๆ แต่ผิวปากพลาดไปนิดกลายเป็นคำสั่งคุมตัว ยำเลยถูกโดนกระโจนใส่ผลักล้มกับพื้น แล้วมันก็แผดเสียงร้อนลั่นจนทั้งผมทั้งผู้ร่วมแผนการสี่ขาตกใจ
ผมหลุดจากภวังค์ มองแขนยำถูกแกะออกไป ทันทีที่พี่ภูทำสำเร็จ พาร์ก็รีบโอบไหล่ผม ลากตัวเดินนำหน้าทันที
“ทำอะไรของมึง! กูจะไปกับที!!”
“อยู่กับกูนี่!”
“ไม่เอา มึงช่วยกูไม่ได้! ทีรอกูด้วย”
พาร์ลากผมเดินเร็วขึ้นอีก ผมพยายามเอียวคอไปมองก็เจอยำโดนพี่ภูล็อกตัวดิ้นกระแด่วๆ อยู่กับที่
“...มึงกับพี่ภูเหมือนกันจริงๆ”
ขี้หวงเหมือนกันไม่มีผิด ผมถอนหายใจ “รอเพื่อนกูก่อน แถวสนามหญ้าหน้าบ้านนี่ถิ่นเจ้าพวกนั้นเลย”
พาร์ยอมหยุดลาก ระหว่างรอมันกวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมกับทำหน้าสงสัย
“โล่งขนาดนี้ไม่น่าเกิดเรื่อง”
“...เพราะมันเปลี่ยนไปหลังเกิดเรื่องต่างหาก”
“เอ๊ะ?”
ผมยิ้มบางให้พาร์ แต่แววตาหม่นลงยามนึกถึงในอดีต
“ที่นี่เคยเป็นบ้านสวนมาก่อน ต้นไม้สูงใหญ่เยอะ เข้ามาแล้วก็เหมือนมาเดินในป่า ร่มรื่นเย็นสบาย อากาศดีมาก แต่หลังเกิดเรื่องสวนก็เปลี่ยนไปทันที จากพื้นดินเป็นสนามหญ้า ต้นไม้ใหญ่บางตาลง ความร่มรื่นเย็นสบายหายไป และแทนที่ด้วยความโล่งโปร่งที่ดูปลอดภัยมากกว่าเก่า”
ผมชี้นิ้วไปอีกทาง “แต่เพราะโล่งเกินไป แปลงพืชสวนครัวจึงถือกำเนิด เมื่อก่อนมีกรงไก่ด้วยนะ เลี้ยงให้ไข่ แต่ตอนหลังไก่หายไปไหนไม่รู้ กูเสียวๆ อยู่เหมือนกันว่าอาจ...ลงมาอยู่ในท้องไม่รู้ตัว เลยเลิกกินไก่ไปพักหนึ่ง ส่วนสนามหญ้าตรงนี้ นอกจากให้กูกับเพื่อนๆ ไว้วิ่งเล่น ยังเป็นที่วิ่งออกกำลังและที่นอนของพวกน้องหมาด้วย แลกกับห้ามไปซนแถวแปลงพืช เนอะ”
พยักหน้าขอความเห็นจากเจ้าหูตั้งที่ย่องมาดมพาร์เงียบๆ คนข้างผมหันไปเห็นถึงกับสะดุ้งโหยง
“ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ดมไป” ผมให้คำแนะนำ ยืนนิ่งปล่อยอีกตัวมาดม สักพักก็กระดิกหางให้ ยอมให้ผมลูบหัวอย่างว่าง่าย เสียงมือถือทำให้พวกมันชะงัก ผมรีบกดรับสาย เจอเทมพูดมาสั้นๆ
“พวกกูโดนหมาบ้านมึงล้อม ช่วยด่วน!”
หันไปด้านหลังพวกเพื่อนๆ ยืนรวมกันเป็นกระจุก เบียดอัดกันเหมือนปลากระป๋อง มีโดเบอร์แมนหกตัวนอนหมอบในท่าเตรียมพร้อมเข้าจู่โจมทุกเมื่อถ้ามีใครแตกกลุ่มวิ่งหนีออกมา
ผมผิวปากไม่กี่ครั้ง ทั้งหกกระดิกหู ยืดตัวขึ้นแล้ววิ่งกลับมาทางผม ต้องลูบหัวชมทุกตัวครับ ไม่งั้นตัวที่ไม่ได้คำชมจะงอนใส่ เห็นเพื่อนๆ ยืนมองกล้าๆ กลัวๆ ก็ผิวปากอีกครั้ง พวกมันก็แยกย้ายหายไปจากสายตา
“ไม่ต้องกลัวหรอก ชุดกลางวันไม่ค่อยดุ ชุดกลางคืนดุกว่าเยอะ”
เหล่าคนฟังทำหน้าแปลกๆ ผมเลยพูดปิดท้ายก่อนพาแขกของบ้านเดินต่อ
“เดินกันตามสบาย หมาบ้านย่ากูไม่มาแล้ว”
เดินประมาณเกือบครึ่งกิโลก็ถึงตัวบ้าน ตั้งแต่หน้าประตูถึงในห้องโถงมีคนอยู่พอประมาณ บรรยากาศเศร้าโศกอบอวนไปทั่ว ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้สำรวมกายใจทันที ผมสูดลมหายใจนำขบวนเพื่อนๆ ที่กลับไปอาบน้ำแต่งตัวกันมาใหม่ให้เหมาะสมตรงไปจุดธูปกราบพระประธาน ก่อนจุดธูปไหว้อัฐิของยายศรีที่ตั้งวางบนโต๊ะอีกตัว
ผมได้แต่นั่งถือธูปมองกรอบรูปของยายศรีมือสั่น คิดอะไรไม่ออกจนกระทั่งโดนเพื่อนๆ สะกิด ถึงได้ตั้งสตินึกสิ่งที่อยากบอกเป็นอย่างแรก และน่าจะเป็นสิ่งที่ยายศรีอยากได้ยินที่สุด
ยินดีต้อนรับกลับบ้านเราครับ ทีดีใจที่ยายศรีกลับมา...
ผมทำน้ำตาร่วงทั้งที่ตั้งใจจะไม่ร้องอีก ยังจำได้ว่าก่อนไปต่างประเทศ ยายศรีพูดว่าหากมีโอกาสก็จะกลับมา รีบปาดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้าถ่ายทอดความในใจออกไปทั้งหมด
ที...อาจเลือกเส้นทางที่ทำให้ยายศรีผิดหวัง ขอโทษครับ แต่ทีจะไม่เสียใจทีหลัง ขอบคุณที่คอยดูแล คอยสอนทีมาตลอด ทีโตจากวันนั้นมากแล้ว ยายศรีไม่ต้องห่วงทีอีกแล้ว...พักผ่อนให้สบายนะครับ
หลังปักธูปถอยออกมาให้เพื่อนๆ เคารพยายศรีต่อ ผมยืนน้ำตาซึม มองรูปถ่ายที่แก่ชรากว่าในความทรงจำ หากสีหน้าและแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยนไม่เปลี่ยน มีหลายมือตบบ่าตบไหล่ปลอบใจคนละทีสองที หลังเคารพผู้ตายกันครบทุกคน พวกมันก็เป็นฝ่ายลากตัวผมไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่
“สวัสดีครับคุณย่า” เพื่อนๆ ยกมือไหว้ประสานเสียง
“สวัสดี”
“สวัสดีครับอาอรรถ”
“หวัดดี”
ผมคุกเข่าตรงไปกราบที่ตักคุณย่า ใจแอบหวั่นหน่อยๆ ตามประสาคนมีความผิดติดตัว
“ที”
มือเหี่ยวย่นตามวัยลูบหัวผมเบาๆ คุณย่าดูเหนื่อยอ่อนกว่าทุกที ไม่เหมือนหญิงแกร่งในความทรงจำ…หวนนึกขึ้นได้ว่าคุณย่าสูญเสียคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่สาว พวกท่านโตมาด้วยกัน คอยดูแลกันมาตลอด ความเสียใจของคุณย่าต้องมีมากกว่าผมแน่ๆ
“คุณย่า...” ผมคว้ามือท่านมากุมแน่นๆ
“ย่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงย่า แม่สายสิ อาการน่าเป็นห่วงกว่าย่าอีก”
ผมหันไปมองตามสายตาคุณย่า เจอป้าสายมองเหม่อรูปยายศรี น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด
“ย่าน่ะได้ทำใจก่อนแม่ศรีจะเสียจริงๆ แต่แม่สายรู้ข่าวตอนย่ากลับมาพร้อมอัฐิแล้ว กะทันหันเหลือเกินคงทำใจลำบาก”
ยังไม่ทันพูดอะไรกันมากกว่านี้ก็มีคนเดินมาแจ้งว่าพระสงฆ์มาถึงแล้ว พวกผมเลยต้องแยกย้ายไปหาที่นั่งก่อน
กว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรมก็เกือบเที่ยงแล้วครับ ทางผู้ใหญ่จะนั่งรถไปโปรยอัฐิกันเลยตามประสงค์ของผู้ตาย และป้าสายยินยอมลัดขั้นตอนพิธีกรรมตามคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นมารดา
ผมอยากไปด้วยจะแย่ แต่จำต้องกลับมหาลัย เพราะถ้าผมไม่ยอมกลับ เพื่อนทั้งกลุ่มคงตามผมไปต่อทั้งที่แต่ละคนโดนโทรตามตัวเป็นรายคน คนละหลายครั้งทั้งจากเพื่อนทั้งจากรุ่นพี่
“เดี๋ยวพ่อถ่ายรูปให้ดู ทีไปจัดการเรื่องที่มหาลัยเถอะ”
“อือ”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ปู่กับย่ายังอยู่อีกหลายวัน พ่อกะจะรั้งให้พวกท่านอยู่ถึงสงกรานต์”
“แต่สุขภาพคุณย่า...”
“เดี๋ยวพ่อลองปรึกษาลุงหมอของลูกดูก่อน ไปได้แล้ว พาร์ติดเครื่องรอลูกอยู่”
-------------
การทำความสะอาดภายในมหาลัย คือการกวาดเก็บขยะที่หลงเหลือจากการจัดกิจกรรมเมื่อวานนี้
หากรุ่นพี่บอกว่าไม่บังคับ ใครมีจิตอาสาอยากมาทำก็มา คิดว่าจะมีมาสักกี่คนกัน? งานนี้รุ่นพี่จึงพกแฟ้มชื่อทั้งคณะมา เช็คชื่อกันตั้งแต่เช้า ใครไม่มาก็มีทั้งโทรตาม โทรแล้วยังไม่มาก็อยู่ที่รุ่นพี่แต่ละคณะจะจัดการยังไง
เวลาเกือบบ่ายโมง
“ขอโทษครับ”
พวกผมยกพลไปยกมือไหว้รุ่นพี่คณะแพทย์ ชี้แจ้งสาเหตุไปตามตรงว่าไปร่วมงานศพมา รุ่นพี่ปีสามของกายไม่ได้มีสีหน้าตกใจ สอบถามกลับมาตามสองสามคำถามก็พยักหน้ายอมติ๊กชื่อกายให้ แต่แทนที่มันจะอยู่กับคณะตัวเอง กลับไปคุยอะไรกับรุ่นพี่ไม่รู้ อีกฝ่ายถึงปล่อยมันเดินมากับกลุ่มผมต่อ
“ไหงมาเดินกับพวกกูต่อล่ะ?” ผมถามกายอย่างสงสัย
“โดดมาด้วยกัน ก็ต้องไปขอโทษด้วยกันสิ”
“กายพูดถูก” เสียงเทม
“กูก็เห็นด้วยวะ” เสียงยำ
“งั้นไปด้วยกันหมดนี่แหละ ขอโทษครบแล้วค่อยกระจายกลับคณะ” ไวไวพูดสรุป
ไล่จากแพทย์ มาเภสัช บริหาร สถาปัตย์ วิศวะ...
ไม่มีใครโกรธหรือต่อว่าเรื่องหนีงาน มีแต่โดนด่าเรื่องที่ไม่แจ้งบอกตั้งแต่แรก ต้องให้โทรไปถามไปตามถึงจะรู้คำตอบ มีของรุ่นพี่คณะบริหารที่ต่อว่ายาวหน่อย เนื่องจาก...
“โทรไปแล้วไม่มีเสียงใครพูด มีแต่เสียงพระสวดแบบนั้น รู้ไหมว่าพี่หลอนแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะช่วยตอบกลับมาว่า ‘ผมอยู่งานศพครับ’ ก็ยังดี!”
พวกผมมองรุ่นพี่ที่ท่าทางขวัญหนีอย่างเห็นใจ เหลือบมองเพื่อนตัวเองที่มีนิสัยเงียบขรึมกับคนนอกกลุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้ามันพูดสิคงประหลาด
และของวิศวะที่ไปขอโทษปุ๊บ โดนสั่งลงโทษด้วยการกอดคอลุกนั่งยี่สิบครั้งปั๊บ ไม่พร้อมทำใหม่ ถ้าไม่ผ่านสมาชิกวิศวะสามคนจะไม่ได้รับการเช็คชื่อ กว่าจะผ่านมาได้แทบแย่ และทำให้พวกผมรู้ว่าวิศวะชินกับการโดนทำโทษแบบนี้มาก เพราะวิน ยำ พี่ภู ไม่มีอาการล้าสักนิดเดียว
เหลืออีกสองคณะ...
[สวัสดียามบ่ายสองครับ หลังฟังเพลงเพราะๆ ระหว่างทำความสะอาดไปแล้ว มาฟังผมประกาศอันดับคะแนนสงครามกันต่อดีกว่า]
พวกผมแหงนหน้ามองเสียงที่ออกจากลำโพง ก่อนหันมองหน้ากันเองด้วยความสงสัย เป็นพี่ภูที่ช่วยอธิบายให้ฟัง
“วันทำความสะอาดจะมีประกาศบอกว่าคณะไหนได้อันดับที่เท่าไหร่ ตั้งแต่เช้าจะเริ่มจากอันดับสุดท้ายไล่มาเรื่อยๆ กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ประกาศคณะที่ได้อันดับหนึ่งพอดี”
[แต่ก่อนอื่นขอแจ้งคณะที่ได้บ๊วยห้ารส 1 ถุงใหญ่เป็นของปลอบใจ ของรางวัลมาถึงแล้วนะครับ สามารถส่งตัวแทนไปรับได้ที่ตึกนิเทศครับ]
บ๊วยห้ารส?
อีกครั้งที่หันมองรุ่นพี่คนเดียวในกลุ่ม
“บ๊วย...ชื่อก็บอกอยู่แล้วนี่” พี่ภูบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่พอโดนยำซักถามด้วยความสงสัยก็ยอมเปิดปากอธิบายเพิ่ม “ถ้าให้ชัดกว่านี้ คณะที่เสียฐานหลักไปก่อนหมดกำหนด พวกนี้จะได้บ๊วยไปโดยปริยาย และใครที่ได้อันดับเกินกว่าห้าจะไม่มีของรางวัลให้”
“แล้วของรางวัลมีอะไรบ้าง?”
ยำถามอย่างสนใจ แต่พี่ภูกลับส่ายหน้า “ใครจะไปจำได้”
“ปีที่แล้วพี่ได้อะไร?” ผมถามบ้าง
“บัตรสวนน้ำฟรี ไปเล่นกันยกคณะซะมันหยดเลยล่ะ”
ปีหนึ่งวิศวะตาเป็นประกายทันที เป็นยำที่ถามขึ้นมาก่อนวิน
“ปีนี้ล่ะได้เหมือนกันไหม?”
“ถ้าได้ที่หนึ่งมาคงเหมือนมั้ง...” พี่ภูหยุดพูด รีบชี้หน้ายำ “ไปเล่นน้ำได้พี่ไม่ว่า แต่ถ้าไปเหล่หนุ่ม โดนลงโทษแน่!”
“เหอะ ใครบางคนมากกว่ามั้งที่คงเหล่ทั้งสาวทั้งหนุ่ม!”
พวกผมพร้อมใจกันหันหน้าหนี จ้ำเท้าผละจากมา ปล่อยสองคนนั้นส่งเสียงเถียงกันต่อไป
“ตกลงมึงรู้ยังว่าอีคอนนัดทำความสะอาดที่ไหน?”
ผมกรอกตามองฟ้าให้กับคำถามของเทม “ตรงๆ นะ กูรู้แต่ของนิติวะ”
“นี่มึงจะย้ายมาอยู่คณะสามีเต็มตัวแล้วใช่ปะ กิ๊วๆ”
ตวัดตามองไวไว กล้าแซวมา ผมก็กล้าแซวกลับ
“แล้วมึงล่ะ จะเปิดตัวกับวินเมื่อไหร่”
ไวไวถลึงตาใส่ผม “ใครจะเปิดตัวห๊ะ!”
“พูดถึงเรื่องนี้” เทมกวาดมองหาอะไรสักอย่าง แล้วถามไวดื้อๆ “แหวนหมั้นมึงไปไหน? ไม่ใช่ว่าต้องใส่ติดตัวเหมือนวิน...”
เจ้าของประเด็นกระชากมือซ้ายไวขึ้นทันที พอไม่เห็นก็จ้องคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาน่ากลัว
พวกผมพร้อมใจกันเบือนหน้าหนีอีกหน จ้ำเท้าจากมาอีกรอบ หูยังได้ยินเสียงสองคนนั้นทะเลาะกันดังลั่น
“มึงจะอะไรหนักหนา ก็กูอยากไม่ใส่!”
“ไม่ใส่ไม่ได้!”
ผมพูดลอยๆ อย่างอดไม่อยู่ “...วินเปลี่ยนไป หรือมันเป็นแบบนี้นานแล้ว แต่พวกเราไม่เคยรู้?”
“ถ้าอย่างหลังต้องเรียกว่าเก็บไว้ลึกมาก ถึงได้ไม่มีใครดูออกสักคน”
หลังเทมพูดความเห็น พี่ใหญ่ของกลุ่มก็ถอนหายใจออกความเห็นบ้าง
“สงสัยจะตกหลุมเพื่อนขุด และดูท่าคนขุดจะไม่ได้อยากให้อีกคนตกลงมา”
ต่อหัวเราะหึๆ “ฝ่ายคนตกไม่เห็นอยากปีนขึ้นมา”
“หรือไม่ก็ยังไม่รู้ตัว” พอผมพูดเสริมจบ ก็เจอพาร์มองมาแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ เลยย่นคิ้ว “กูพูดอะไรผิด?”
“มึงไม่มีสิทธิ์พูดประโยคเมื่อกี้ครับ เพราะกว่ามึงจะรู้ตัวก็ปล่อยให้กูรอซะนาน”
ผมอ้าปากจะพูดก็ไม่มีเสียงออก เพื่อนอีกสามคนรีบจ้ำเท้าเดินขึ้นนำไปนู้น อ้าวเฮ้ย!
แว่วเสียงพวกมันคุยกันเข้าหู ระดับเสียงแบบนี้จงใจให้ได้ยินชัดๆ
“เหลือแค่เราสามคนวะที่ยังโสด” เทมนำคนแรก
“มีอะไรให้น่าอิจฉา?” เสียงกาย
“ไม่มีสิดี” เสียงต่อ
“แล้วใครว่ากูอยากมี ไม่มีก็ไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม ไม่ต้องวุ่นวาย ดีจะตาย”
เทมหัวเราะประสานเสียงไปกับอีกสองคน ในขณะที่ผมโดนพาร์จับให้หันหน้ามองตามัน
“สนใจกูนี่”
“แล้วกูไม่สนมึงตรงไหน?”
“ตรงที่วันนี้ไม่ค่อยมองหน้ากูเลยนี่แหละ กูรู้ว่ามึงกำลังเศร้าและคิดมาก แต่สนใจกูหน่อย...นะครับ”
ผมปลดมือพาร์ออก เบือนหน้าหลบพูดงึมงำ “...มึงเข้าใจผิดแล้ว”
“ผิดยังไง ไหนบอกให้เข้าใจหน่อย”
“อย่ากอดในที่สาธารณะ!” ผมดุ แต่มันฟังที่ไหน
“อย่าบ่ายเบี่ยงสิ”
ผมเม้มปาก
“ไม่พูดจะทำมากกว่ากอดนะ”
ผมผลักพาร์ออก รีบพูดรัวๆ แล้วจำเท้าหนีทันที
“ห...เห็นหน้ามึงแล้วชอบนึกถึงลูกโป่งต่างหาก”
เดินได้ไม่ไกลก็โดนอีกคนตามทัน มียิ้มล้อกันอีกต่างหาก
“ลูกโป่งที่อยู่ในรถ?”
“จะลูกโป่งไหนอีกเล่า!”
“ฮะๆๆ เขินบ่อยๆ นะกูชอบ”
“ไม่มีทาง!”
-------------
“เป็นอะไร? หรือเสียใจที่คณะตัวเองได้ที่หก?”
ผมหันไปมองคนขับรถ “ถึงอีคอนไม่ได้รางวัล แต่นิติได้ กูก็ได้ส่วนแบ่งอยู่ดี”
พาร์ยิ้มล้อ“เห็นข้อดีของสะใภ้คณะยัง”
ผมเบ้ปาก นึกถึงเรื่องที่พึ่งรู้มาหมาดๆ ก็รีบพูดออกไปทันที
“กูจะลาออกจากการเป็นสะใภ้! ปีหน้ากูจะไปเล่นสงครามกับเพื่อนบ้าง!”
“เสียใจด้วย สะใภ้พันธมิตรลาออกไม่ได้ครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ แค่พี่ดินเซ็นอนุมัติ จะสะใภ้เดิมพัน สะใภ้พันธมิตร จบศึกก็ยื่นลาออกจากตำแหน่งได้หมด!”
“แล้วพี่ดินจะเซ็นให้มึงไหมล่ะ?”
ผมเงียบกริบ ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่ดินพูดเปรยๆ ว่าไม่คิดคืนผมให้อีคอน ตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เฮียแกหมายถึงไม่เซ็นอนุมัติให้ลาออก!
นึกถึงหน้าประธานนิติปีสาม ไม่รู้ปีหน้าจะยอมเซ็นอนุมัติให้ผมหรือเปล่า เฮ้อ...
เสียงมือถือคุ้นหู ดึงผมออกจากภวังค์ ดึงจากกระเป๋ากางเกงมองหน้าจอแวบหนึ่ง เห็นรูปพ่อก็รีบกดรับสายทันที
[พ่อถึงบ้านแล้วนะลูก]
ผมรีบถามกลับ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?”
[อืม...คืนนี้ทีจะไปนอนไหน?]
ทำไมเสียงพ่อฟังดูแปลกๆ
“ผมกำลังคิดอยู่ครับ บางทีอาจไปนอนบ้านย่า...”
[อย่าพึ่งไปดีกว่า! เอ่อ คือพ่อบอกคนบ้านนู้นไปแล้วว่าวันนี้ทีทำกิจกรรมเลิกดึก]
ผมที่ตกใจกับเสียงตวาดของพ่อเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลง ในใจบังเกิดความสงสัย
ทำไมพ่อต้องโกหก?
ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น จึงเอ่ยถามกลับด้วยความระมัดระวัง
“มี...ปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”
พ่อเงียบไปนานจนผมชักสังหรณ์ใจไม่ดี เหลือบมองพาร์แวบหนึ่ง ซ่อนความกังวลไว้ในใจ
[…วันนี้คุณปู่ถามเรื่องลูก พ่อเลยเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ไม่คิดว่าย่าของลูกจะได้ยินด้วย พ่อขอโทษ]
เหมือนโดนฟ้าผ่าใส่ ผมกำมือถือแน่นจนข้อนิ้วขึ้นขาว กัดฟันถามพ่อให้แน่ชัด
“พ่อพูดเรื่องพาร์ด้วยใช่ไหม”
[ลูกก็รู้ยิ่งเราโกหกหรือปิดบัง คุณย่ายิ่งโกรธ พ่อเลยต้องพูดเรื่องของลูกกับพาร์ไปทั้งหมดเท่าที่รู้]
ความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในจิตใจ ขณะเดียวกันก็แอบโล่งอกเล็กน้อยที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดเรื่องนี้เอง
[ทีโกรธพ่อไหม?]
“...ไม่ครับ เพราะสักวันคุณย่าก็ต้องรู้”
ใช่…ยังไงก็ต้องรู้
ผมหลับตาลง นึกถึงคู่ตัวอย่าง ลุงนิกกับทากะซังแอบคบกันมาตั้งนาน ก่อนผมเกิดจนผมโต สุดท้ายความก็แตกอยู่ดี
‘ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่ต้น! แกหลอกให้ฉันมีความหวัง! วาดฝันว่าแกจะแต่งงานมีหลานให้ฉันอุ้ม…’
ผมหลับตาลง ภาพในวันนั้นยังชัดเจนเหมือนพึ่งเกิดไม่นาน
‘ใจเย็นค่ะคุณ’ ยายศรีพยายามจับตัวคุณย่า ลูบหลังปลอบประโลม
‘คุณแม่ก็ได้อุ้มทีแล้วไง’
‘นั่นลูกของน้องชายแกนะ!’
‘ลูกของอรรถๆ แล้วไงล่ะ ในเมื่อมันไม่มีปัญญาดูแลถึงต้องยกทีให้ผมนี่ไง! คุณแม่ต่างหากที่ไม่เข้าใจ ผมคบกับผู้ชายแล้วยังไง ทากะเป็นแม่ที่ดีให้ทีได้ ไม่เชื่อถามไปทีดู!’
‘อย่าเอาหลานแม่มาอ้างนะ!’
‘หลานแม่ก็ลูกผม! คุณแม่เองนั่นแหละที่เกือบทำครอบครัวผมแตกแยก!!’
ผมสูดลมหายใจเข้าออก ลืมตาขึ้นมา กรอกเสียงลงมือถือด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พ่อไม่ต้องห่วง ผมเตรียมใจตั้งแต่ยอมตกลงคบกับพาร์แล้ว”
[...แต่ยังไงคืนนี้ลูกควรกลับมาตั้งหลักที่บ้านเราก่อน]
“ได้ครับ”
หลังวางสายก็พบว่าพาร์เอารถมาจอดข้างทางตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความสงสัย และรอคอยคำตอบอยู่เงียบๆ
ผมเม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนบอกไปตามตรง
“คุณย่ารู้เรื่องเราแล้ว...”
แววตาพาร์วูบไหวก่อนค่อยๆ สงบลง
“เลิกเรียนพรุ่งนี้...สงสัยกูจะโดนคุณย่าเรียกตัวเข้าพบ”
###########
ขอคั่นอารมณ์สักนิด
วันนี้เรามีเกมมาให้เล่นค่ะ
กติกา: ตอบคำถามเพียง 1 ข้อ ผู้ที่ตอบได้โดนใจคนแต่งที่สุดรับหนังสือชลนที 1 ชุดค่ะ (แจก 2 รางวัล)
กำหนดระยะเวลาตอบทั้งหมด 5 วัน (หมดเวลาวันที่ 2 พฤษภาคม 2017 เวลา 23.59 น.)
มาดูคำถามกันเลย
Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ
เรารอคำตอบจากคุณอยู่นะ ^^
และตอนนี้ที่เพจของเรามีเล่นเกมแจกหนังสือเช่นกัน
ใครสนใจก็ตามไปร่วมสนุกได้นะคะ : )