บทที่ 48
“มึงจะรับเลี้ยงลูกแมวนั่น!”
“แค่คิด แล้วมึงจะโมโหทำไม”
“กูไม่ให้เลี้ยง!”
“กูก็ไม่ได้เลี้ยงเอง! จะให้น้องอันต่างหาก!”
ผมกับพาร์ยืนเถียงกันแถวลานจอดรถกลางแสงอาทิตย์อัสดง โดยมีพยานเดินไปมา เลี้ยวมองตามเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของพวกผม ส่วนเจ้าเหมียวในหัวข้อ ป่านนี้คงนอนกลิ้งเกลือกตากแอร์เย็นช่ำอยู่ในห้องสโมฯ นิติ
“แมวนั่นมาตั้งสี่วันแล้ว ทำไมมึงพึ่งคิดอยากเลี้ยง?”
ผมชะงักกับคำถามพาร์ เผลอนึกถึงตอนพักเที่ยง…
-------------
แค่ผมเดินถือกล่องขนมที่พึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เข้าห้องสโมฯ รุ่นพี่ทั้งหลายก็รีบหาข้ออ้างหนีออกจากห้องทันที ส่วนใหญ่ยกเรื่องงานมาบังหน้าทั้งนั้น เหลือแค่ท่านประธานที่ต้องจัดการพวกเอกสารอยู่ในห้อง
พี่ดินเปรยตามองกล่องขนมแวบเดียวก็เอาแต่ก้มหน้ามองเอกสาร “อีกแล้วเรอะ”
ผมยิ้มแห้งให้พี่ดิน
“ถ้าจะกินเอาไปกินข้างนอก” พี่ดินสั่งเสียงเฉียบ
พี่ดินไม่ใช่พวกเกลียดของหวาน แต่หลังจากต้องกินติดต่อกันสี่วันคงเริ่มเอียนของหวานแล้ว ผมก็ไม่ต่างกันหรอก คิดพลางพ่นลมหายใจออกมา
‘ของจีบ’ วันนี้เป็นของโปรดผมเอง เพราะเมื่อวานผมยืนยันเสียงหนักแน่น ถ้ามันให้ขนมที่มีครีม หรืออย่างอื่นมา ผมจะไม่รับ เถียงกันอยู่ตั้งนานแบบไม่ได้ข้อสรุป แต่วันนี้…
ผมมองของในมือ เป็นคุกกี้ใส่ขวดโหลทรงสูง และใส่อยู่ในกล่องกระดาษทรงสูงอีกที
หมายความว่าผมเถียงชนะใช่ไหม?
คิดถึงตรงนี้ก็แอบสงสัย ปกติพาร์ทำขนมตามใจผู้กิน แล้วทำไมหลายวันที่ผ่านมาถึงทำตามใจคนทำก็ไม่รู้ ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ แม้ว่าผู้เริ่มต้นลั่นระฆังให้พาร์ทำขนมให้กินจะเป็นผมก็ตาม
ย้อนกลับไปเมื่อสี่วันที่แล้ว หลังประชุมนิติเสร็จ พาร์ก็ขับรถมาส่ง ช่วยผมติวเลขให้น้องๆ จนอยู่ยาวถึงเวลาอาหารเย็น นั่งเล่นบ้านผมต่ออีกสักพักถึงได้พาเบอร์ดี้กลับ หลังจากนั้นแค่ครึ่งชั่วโมงก็ส่งข้อความไลน์หาผม คุยเป็นพักๆ ผมก็ทำนู้นทำนี่จนถึงเวลาอาบน้ำเตรียมเข้านอน จัดการตัวเองเรียบร้อยก็มานอนกลิ้งบนเตียงพิมพ์โต้ตอบกับพาร์ยาวๆ จู่ๆ พาร์ก็ถามขึ้นมา
PAR: ว่าแต่ตอนนี้สถานะของเราคืออะไร
ผมครุ่นคิด
TEE: คนจีบกับคนถูกจีบ?
PAR: สติกเกอร์หัวเราะ
PAR: แต่สำหรับกู เหมือนเรากำลังดูใจมากกว่า
ผมชะงัก ก่อนกดพิมพ์ตอบ
TEE: หมายถึงเดตแบบฉบับมึงอ่านะ
PAR: ไม่ใช่ มากกว่านั้นอีกหนึ่งขั้น แต่ยังไม่ใช่แฟนสักที เมื่อไหร่มึงจะตอบรับครับ?
ผมเม้มปาก เงียบอยู่นานถึงพิมพ์ตอบ
TEE: รีบร้อนไปไหน มึงพึ่งเริ่มจีบเอง
PAR: ก็แค่ถาม เผื่อมึงจะใจอ่อน
ผมพ่นลมหายใจโล่งอกที่พาร์ไม่ได้เร่งรัดในเรื่องนี้ เป็นแฟนกันผมไม่กลัวหรอก แต่หลังตกลงเป็นแฟนสิที่น่ากลัว ลุงนิกยังบอกเลยว่าสมัยวัยรุ่นจ้องจะจับแฟนกินอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่อยากโดนจับกินในเร็วนี้ อย่ารีบตอบรับเป็นแฟนเด็ดขาด ผมเชื่อครับ (หลังจากแอบโทรไปถามยืนยันจากทากะซังมาแล้ว) และได้คำแนะนำจากทากะซังเพิ่มว่าถ้าไม่อยากก็อย่าเปิดช่องให้ว่างง่ายๆ และยังย้ำแล้วย้ำอีกว่ารอให้อายุยี่สิบก่อน
…ทากะซังก็หวงผมเหมือนกันนะครับ ถึงจะไม่ออกนอกหน้าเท่าลุงนิกก็เถอะ
PAR: ที? เงียบไปเลย หลับแล้วเหรอครับ?
TEE: ยัง กำลังคิดคำตอบให้อยู่
PAR: อ้อ แล้วคิดได้ยัง
ผมพิมพ์ตอบไปทันที
TEE: จะถามมาอีกกี่รอบ กูก็ไม่มีคำตอบให้หรอกวะ
PAR: นี่กูต้องไล่ต้อนให้มึงจนมุมก่อนใช่ไหม มึงถึงจะยอมตกลง
TEE: 555 แล้วแต่มึงสิ กูให้สิทธิ์มึงจีบเต็มที่แล้วนี่
ฝ่ายพาร์หายไปพักหนึ่ง จนผมจะวางมือถือลงแล้ว คำตอบก็มา
PAR: กูก็จะใช้สิทธิ์ที่ได้มาให้เต็มที่เหมือนกัน
ก็…เป็นคำตอบที่ดูธรรมดา แต่เมื่อนึกถึงวิธีการจีบของมัน ผมแอบรู้สึกผวาเล็กๆ ล่าสุดพึ่งเสียจูบให้มันไปเมื่อวาน แค่คิดถึงเรื่องนั้นหน้าผมก็ร้อนผ่าว จนต้องคิดเรื่องอื่นเร่งด่วน คิดไปกวาดมองรอบห้องไป สายตาก็สะดุดเข้ากับกล่องกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ
อ้าว ผมลืมเอาไปให้นี่หว่า ผมรีบพิมพ์บอก
TEE: ของขวัญปีใหม่ของมึงยังอยู่บ้านกูอยู่เลย
PAR: ก็กูให้มึงแล้วนี่
TEE: กูหมายถึงกระเป๋าตังค์!
PAR: อ้อ
TEE: พรุ่งนี้จะเอาไปให้
PAR: จะบุกถิ่นเลียนแบบเหรอ
ผมแยกเขี้ยวใส่หน้าจอ แบบที่มันให้กำไลผมอ่ะนะ ไม่มีทาง!!
TEE: เรื่องสิ กูจะให้มึงแบบปกติ!
ขอย้ำอีกประโยคเหอะ
TEE: เหมือนคนทั่วไปให้ของกัน!
PAR: ครับๆ ขอแค่เป็นของจากมึง กูก็ดีใจแล้ว
นับวันมันยิ่งปากหวาน แรกๆ ก็ขนลุกอยู่หรอก แต่พอได้ยินบ่อยเข้าผมชักเริ่มชิน
PAR: พรุ่งนี้ไปมหาลัยด้วยกันไหม เรียนตึกด้วยกันทั้งเช้าทั้งบ่าย
PAR: เวลาเข้าเรียนตอนเช้าก็ตรงกัน และกูจะขับรถรับส่งให้เอง
TEE: …ถ้ามึงไม่คิดว่าตัวเองลำบาก กูก็โอเค
PAR: จีบมึงลำบากกว่าอีก
ผมหัวเราะขำ แต่อีกใจก็แอบรู้สึกเห็นใจไม่น้อย เลยพิมพ์ข้อความส่งไป
TEE: เห็นแก่ความลำบากของมึง เดี๋ยวกูไปรับ
TEE: จอดแค่หน้าบ้าน ไม่แวะเข้าบ้านมึงนะ
PAR: ตกลง! พรุ่งนี้เจอกันครับ
TEE: อือ
PAR: ไม่บอกฝันดีเหรอ?
TEE: ถึงกูไม่บอก มึงก็คงฝันดีอยู่แล้ว
PAR: งั้นมึงอย่าฝันร้ายล่ะ แต่ถ้าฝันร้ายล่ะก็อย่าลืมคิดถึงกู แล้วมึงจะฝันดี
โอ้โห…มุขจีบของมันหวานเลี่ยนเป็นบ้า ผมเม้มปาก ก่อนพิมพ์โต้
TEE: ขอโทษนะ ช่วยใส่ความหวานของมึงลงขนมเถอะ กูอยากกินมาก
PAR: จะดีเหรอ มึงคงเป็นโรคเบาหวานก่อน
TEE: ก็ช่วยใส่น้ำตาลให้มันพอดีๆ แบบที่กูชอบสิ
PAR: ได้ครับ^^
ผมรู้สึกเอะใจว่าเราอาจจะคุยกันคนละเรื่อง เลยย้ำไปอีกที
TEE: กูพูดถึงขนมนะ
PAR: ขนมก็ส่วนขนม พรุ่งนี้จะเอาไปให้
PAR: อยากได้ขนมอะไร ไม่สิ อยากได้ขนมในหน้าไหนครับ?
คำถามของพาร์ทำให้ผมนึกถึงมินิ โฟโต้บุ้คทันที มันไม่มีหมายเลขหน้าสักหน่อย สงสัยต้องนับหน้าเอาเอง แต่…
TEE: อยากได้คุกกี้
พาร์เงียบไปนาน ก่อนจะส่งสติกเกอร์ถอนหายใจ พร้อมคำบ่นมา
PAR: มึงนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยวะ
TEE: 555+
และนั่นคือจุดเริ่มต้นทำให้ผมได้ขนมวันละหนึ่งกล่อง และรับรู้ความหวานจากพาร์อย่างหนักหน่วงจนเข็ดไปอีกนาน ถ้าพรุ่งนี้มันทำครีมหวานเลี่ยมมาอีกล่ะก็ ผมจะ…จะหาเหยื่อ แอ่ม…คนช่วยกิน เอ่อ คงไม่ใช่พี่ๆ ห้องสโมฯ ผู้มีพฤติกรรมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ (ตอนแรกแย่งผมกินเกือบหมด เข้าวันที่สามก็หยิบไปชิ้นสองชิ้น และวันนี้ถึงขั้นหนี)
สมองเริ่มนึกถึงเพื่อนพ้อง เพื่อนคณะก็ไม่ค่อยได้คุย เพื่อนเก่าแก่ก็เงียบหาย
…เหมือนคนโดนเพื่อนทิ้งเลยวะ
“แล้ววันนี้ได้ขนมอะไรมา?”
ผมหยุดคิด มองพี่ดินอย่างประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะโดนถาม “คุกกี้ครับ…” กำลังจะชวนกินด้วยกัน แต่พี่ดินกลัยตะโกนลั่นซะก่อน
“คุกกี้!!” พี่ดินโบกมือไล่ “เอามันไปไกลๆ พี่!”
หือ?
ผมเอ่ยถามทันทีหลังเห็นปฏิกิริยาอย่างกับเจอของแสลง “พี่เกลียดคุกกี้?”
พี่ดินทำหน้าแปลกๆ ท่าทางไม่อยากพูดถึง แต่สุดท้ายก็ยอมเล่า
“ก่อนหน้านี้ไม่ แต่หลังงานลอยกระทง เหลือคุกกี้ที่เตรียมไว้ขายพอสมควร พี่พยายามติดป้ายประกาศแจก หรือเรียกคนทำมารับกลับคืน แต่ผลคือไม่มีใครโผล่หัวมาเอาสักคน ตอนแรกคนในสโมฯ ก็ช่วยกินอยู่หรอก แต่นานวันเข้าก็เหลือพี่กินอยู่คนเดียว ทุกคนอ้างเหตุผลว่าเพราะพี่คำนวณปริมาณสินค้าผิดพลาดจึงควรเป็นผู้รับผิดชอบ!”
เล่าถึงตรงนี้สีหน้าพี่ดินยิ่งแย่กว่าเก่า “ทุกวันต้องมีกาแฟพร้อมจานคุกกี้วางอยู่ตรงหน้า ต้องฝืนใจกินอยู่ทุกวันจนหมด ตอนนี้พี่เกลียดคุกกี้ไปเลย”
โธ่ แล้วก็ไม่บอก ถ้าผมรู้คงมาช่วยกินทุกวัน
“เมี้ยว!”
ผมก้มมองเจ้าตัวน้อยมีหูมีหางกำลังตะครุบขากางเกงผม ถ้าให้จำกัดความควรเรียกว่า ลูกแมวสามสีเพศเมีย อายุไม่รู้ ประวัติ/ความเป็นมา: รุ่นพี่นิติขับลัดเลาะรถติดช้าๆ ได้ยินเสียงแมวก็เลยหันไปมอง เจอลูกแมวในกล่องเดินทางสัตว์เลี้ยงตกอยู่บนขอบเกาะกลางถนนไร้คนเหลียวแล ด้วยความเห็นใจเลยเก็บมาทั้งกล่อง แต่เพราะเอาเข้าห้องเรียนไม่ได้ เลยมาฝากไว้ที่ห้องสโมฯ ชั่วคราว
พี่คนนั้นก็ดีไปหาสาเหตุที่ลูกแมวน่าจะมีเจ้าของไปอยู่แถวนั้นจนพอสันนิฐานว่าเจ้าของแมวน่าจะเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุข้างทาง โดนห้ามไปโรงพยาบาลแล้ว แต่พอตามไปที่โรงพยาบาลกลับย้ายไปรักษาที่อื่น ที่ไหนก็ไม่รู้ มืดแปดด้าน แม้จะระดมเพื่อนพ้องช่วยกันตามหาเจ้าของแมวจนถึงวันนี้ก็ตาม
ผมรีบยกของในมือขึ้นเหนือหัว เอ่ยเสียงดุลูกแมว “อันนี้กินไม่ได้”
“มี้ๆ”
ไม่ฟังกันเลย ผมละกลัวขากางเกงนักศึกษาโดนเล็บแมวเด็กเกี่ยวเป็นรูจริงๆ
“สงสัยจะหิว” พี่ดินเดา
“น่าจะครับ เห็นหน้าผมที่ไหนร้องแต่จะกินตลอด”
ผมส่ายหน้า เดินไปวางกล่องขนมบนชั้นสูงๆ ที่ลูกแมวกระโดดไม่ถึง ปีนป่ายไปหาไม่ได้ แล้วอุ้มเจ้าตัวยุ่งที่ตอนมาแรกๆ เอาแต่นอนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหนจนน่าเป็นห่วงถึงขั้นต้องพาไปตรวจร่างกาย ผลคือพกช้ำที่ลำตัวเล็กน้อย แถมคนพาแมวไปดันบอกหมอว่าเป็นแมวจรจัด หมอคำนวณอายุแล้วจับฉีดยาเลยครับ
ลูกแมวเลยมีอาการมึนๆ ซึมๆ อยู่สองวัน หลังจากนั้นก็ชักเริ่มออกลายซน จนพี่ดินต้องรีบประกาศว่าถ้าภายในอาทิตย์นี้หาเจ้าของไม่เจอ จะหาคนรับเลี้ยงใหม่แล้ว
“กลับมาแล้วจ้า ฮิเมะอยู่ไหนเอ่ย?”
ผมหันมองรุ่นพี่สาว หนึ่งในสมาชิกสโมฯ บุคคลแรกที่ตั้งชื่อให้แมว แถมยัง… เหล่มองลูกแมวที่วิ่งปรู๊ดไปหลบใต้ตู้ใกล้ๆ
“อ้าว หลบไปอยู่ใต้ตู้หนังสืออีกแล้ว ออกมาเร็วเหมียวๆ”
ลูกแมวส่งเสียงขู่ใหญ่ อีกคนก็ไม่หวั่น จนพี่ดินที่มองมาสักพักทนดูไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากดุ
“ก็เธอเล่นแรงไป แมวเลยกลัวเธอน่ะสิ”
“แรงที่ไหน”
“พูดมาได้ อุ้มไม่ยอมวาง เด็กดิ้นหนีก็ตามไปจับมาอุ้มอีก เธอน่ะอยู่ห่างๆ ลูกแมวดีแล้ว”
“ก็เห็นแล้วมันอดอุ้มไม่ได้นี่”
“อุ้มมากเดี๋ยวเฉามือตายหรอก ถ้ารู้ว่าทนไม่ได้ก็มานี่ เอางานไปทำ”
“ดินนน!”
ผมปล่อยรุ่นพี่สองคนถกเถียงกัน หยิบถ้วยน้ำจิ้มกับช้อนมาเตรียมไว้ ฉีกซองอาหารแบบเปียกสำหรับลูกแมวออกมา (เห็นแช่ซองในน้ำอุ่น สงสัยพี่ดินเตรียมไว้ให้ล่ะมั้ง) พอได้กลิ่นของกิน เจ้าหัวฟูก็ยอมโผล่หน้าออกมา วิ่งพรวดมาถูตัวกับขาของผมไม่หยุด
“มี้ๆ”
“รู้แล้วๆ รอแปบหนึ่ง”
ผมรีบใช้ช้อนตักอาหารในซองใส่ถ้วย วางลงพื้นตรงหน้าให้ มาดมแปบเดียวก็กินใหญ่เลยครับ สงสัยจะหิวจริงๆ พอหมดก็เลียปาก ร้องขอเพิ่ม ผมก็ให้อีกช้อนพูนๆ ตัวแค่นี้กินไปเยอะหรอกครับ ที่เหลือก็มัดซองเก็บไว้ให้มื้อต่อไป
ผมเทน้ำเปล่าใส่ถ้วยน้ำจิ้มอีกใบวางใบใกล้ๆ แอบนึกสงสัยว่ามันเห็นผมเป็นทาสหรือเปล่า หิวทีไรชอบมึงมาหาผมเรื่อย ไม่สิ เวลาปกติก็วิ่งมาหาผม แต่ถ้าผมไม่อยู่ถึงค่อยไปหาพี่ดิน
“ที อย่ามัวมองแมว ไปประจำที่ได้แล้ว”
“ครับๆ” ผมผละออกมา เดินไปนั่งประจำที่คือหน้าคอม นั่งไม่ทันก้นร้อน เจ้าสี่ขามาแล้วครับ คราวนี้กางกรงเล็บจิกปีนขากางเกงขึ้นมาบนตักผม อ้าปากหาวหวอด เตรียมขดตัวนอน แต่ช้อนใต้หัวมันทัน ดึงทิชชู่มาเช็ดปากให้ก่อน ไม่งั้นกางเกงผมได้เลอะไปด้วยแน่นอน
พี่ดินเดินมาพร้อมสมุดงาน ก้มมองเจ้าลูกแมวที่หลับสบายไปแล้ว พลางเอ่ยถาม
“สนใจรับเจ้าเด็กนี่ไปเลี้ยงไหม”
“จะให้ผมไปเลี้ยงที่ไหนล่ะ”
“ที่บ้านไง”
ผมนึกถึงบ้านพ่อ บ้านทากะซัง จนมาถึงบ้านย่า ถ้าบ้านย่าน่าจะเลี้ยงได้ติดแต่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ บ้านทากะซังคงไม่ไหว ไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแบบนั้นคงไม่เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ สุดท้ายก็บ้านพ่อ…ไม่รู้จะยอมให้เลี้ยงหรือเปล่า แต่ถ้าให้เลี้ยง คนดีใจมากสุดคงเป็นเจ้าตัวเล็ก
…จะว่าไปจะถึงวันเกิดอันแล้วนี่น่า
ผมก้มมองลูกแมว สำรวจดูว่าโตพอเป็นเพื่อนเล่นให้เด็กกำลังจะหกขวบได้ไหม น่าจะพอไหว อันชอบสัตว์อยู่แล้ว ผมเคยเห็นน้องเล่นกับแมวที่โรงเรียนอนุบาล อ่อนโยนกับแมวจนผมอึ้ง ดังนั้นไม่น่ามีปัญหา
“ขอไปถามที่บ้านดูก่อนแล้วกันครับ”
“งั้นพี่ให้สิทธิ์ทีคนแรก”
“เฮ้ย แล้วเราล่ะ” รุ่นพี่สาวประท้วง
จะว่าไปผมยังจำชื่อพี่คนนี้ไม่ได้เลย จะถามตอนนี้คงไม่ไหวมั้ง รอฟังตอนโดนคนอื่นเรียกชื่อดีกว่า
“เธอไม่เหมาะจะเลี้ยงแมวหรอก บ้าคลั่งเกินไป ขนาดแมวยังกลัว”
พี่ดินเล่นตอกย้ำจนเพื่อนเถียงไม่ออก ส่วนผมทำตัวเสมือนเป็นอากาศ นั่งพิมพ์งานเงียบเชียบ
ปี4 เขาคุยกัน ปี1 อย่างผมไม่เกี่ยวครับ
-------------
(มีต่อด้านล่าง)