Chapter 6
หลังจากกลับมาจากวัดวารินทร์ก็มีท่าทีที่ผิดปกติไปนิดหน่อยจนนารินทร์รู้สึกได้เพราะว่าไม่ว่านารินทร์จะไปไหนหรือจะทำอะไรวารินทร์ก็จะคอยถามตลอด นารินทร์ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรเพียงแต่ว่ามันผิดวิสัยปกติแค่นั้นเอง
ส่วนทางด้านของพายุหลังจากกลับจากวัดใจเค้าร้อนรุ่มดั่งไฟที่แผดเผากายเค้า อยากพบหน้า อยากเจออีก อยากพูดด้วยมากกว่านี้อีกแม้ว่าวารินทร์จะไม่เคยตอบโต้การสนทนากับเค้าเลยสักครั้งแต่เค้าจะสามารถเจอวารินทร์ได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เค้าคิดอยู่ในตอนนี้
“พี่พายุเป็นอะไรวะ ตั้งแต่กลับจากวัดรู้สึกจะเหม่อๆเพ้อเจ้อแปลกๆนะ” วายุพูดถึงอาการผิดปกติของพี่ชายตัวเองให้เจ้าตัวฟัง
“ก็นิดหน่อย”
“คิดถึงวารินทร์ล่ะสิ สวยซะด้วยนะ” วายุพูดแล้วแกล้งทำท่าทางเหมือนอยากจะกินวารินทร์ทำให้พายุส่งสายตาคุกคามวายุอย่างเปิดเผย
“เห้ยๆ ผมล้อเล่นไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้” วายุรีบบอกพายุทันทีเพราะถ้าหากพี่ชายเค้าโกรธเมื่อไหร่ เค้าคนหนึ่งแหละที่ขอไม่ยุ่งและวายุก็รู้ดีว่าสิ่งหนึ่งที่พายุและวายุมีเหมือนกันคือหากอยากได้อะไรก็ต้องได้
ถัดจากนั้นอีกประมาณอาทิตย์กว่าทางมหาวิทยาลัยก็พึ่งจะจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่และสถานที่ที่พวกเค้าจะต้องไปคืออุทยานขนาดใหญ่ในต่างจังหวัดที่เต็มไปด้วยป่าไม้และธรรมชาติ
“พี่วารินทร์จ๋า อาทิตย์หน้านาจะไปรับน้องนอกสถานที่แล้วนะ” วารินทร์ครุ่นคิดทันทีว่าควรจะปล่อยน้องของตัวเองไปดีไหมยิ่งลางสังหรณ์แปลกๆที่ยังไม่จางหายไปนี่อีก
“ไปที่ไหน” นารินทร์อธิบายสถานที่และวันเวลาที่ไปกลับอย่างละเอียดซึ่งวารินทร์สังเกตได้ว่าอาการของนารินทร์คงอยากจะไปมากๆ วารินทร์จึงไม่อยากขัดก็เลยยอมตกลงอนุญาตให้ไป
“แต่ต้องโทรหาพี่ตลอดเวลา เช้า กลางวัน เย็น เข้าใจไหม” วารินทร์ยื่นข้อตกลงให้นารินทร์ฟัง ซึ่งนารินทร์เองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแค่โทรรายงานความเคลื่อนไหวของตัวเองให้พี่ชายฟัง
เช้าตรู่ของวันออกเดินทางนารินทร์ให้พี่ชายมาส่งที่มหาวิทยาลัยซึ่งในขณะเดียวกันวายุก็ขับรถมาส่งโอเหมือนกันทำให้นารินทร์และวายุต้องเจอหน้ากันโดยบังเอิญ แต่เป็นความบังเอิญที่วายุรู้ล่วงหน้าไว้แล้วว่านารินทร์นัดเจอกับเพื่อนๆตรงไหนก่อนจะรวมตัวกับนักศึกษาคนอื่นๆ
“เดี๋ยวพี่ช่วยขนนะ” วารินทร์หิ้วกระเป๋าให้น้องชายตัวเองส่วนนารินทร์ก็เดินมาหาโอแต่ก็ต้องหน้าบึ้งทันทีเพราะคนที่มากับโอก็คือวายุ เมื่อวายุเห็นว่านารินทร์หน้าบึ้งที่เห็นหน้าตัวเองก็ยิ่งสะใจที่ทำให้อีกฝ่ายมีอารมณ์โมโหได้
“นารินทร์…อย่าไปเต้นตามเกมของเค้าอยู่นิ่งๆไปซะ” วารินทร์บอกกับน้องชายของเค้าแบบเดิมซึ่งวายุได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่ชอบใจจึงเผลอปล่อยวาจาจิกกัดวารินทร์ออกไป
“แหม…มีพี่ชายคอยสั่งสอนดีจังเลยนะครับ กลัวคุณพี่จะเหนื่อยตายฝากไว้ให้ผมสั่งสอนก็ได้นะครับ ผมจะสั่งสอนทั้งเช้าทั้งเย็นเลย” วายุคิดว่าวาจาของตัวเองคงพอจะทำให้วารินทร์ได้แสดงอาการโกรธบ้างแต่เปล่าเลย วารินทร์ยังคงนิ่งดั่งน้ำแข็งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้…พี่ไปก่อนนะ” วารินทร์สั่งเสียกับน้องก่อนจะกลับ แต่วายุก็ยังไม่ยอมเลิกราจ้องจะทำให้วารินทร์โมโหเจ้าตัวให้ได้
“ไม่ต้องดูแลตัวเองหรอกครับน้องนารินทร์…เพราะรับน้องครั้งนี้พี่เป็นหัวหน้าทีม เดี๋ยวพี่จะปรนนิบัติพัดวีเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี นอนกับพี่เลยเป็นไงครับจะได้ปลอดภัย” สำเร็จ เพราะวารินทร์หยุดการเคลื่อนไหวและหันกลับมามองวายุทันที วายุแอบยิ้มอยู่ในใจว่าคำพูดของเค้าคงไปสะกิดต่อมอะไรสักอย่างเข้า วารินทร์เดินกลับมาหาน้องชายตัวเองแต่พูดบางอย่างกับวายุ
“ขอบคุณนะครับสำรับความหวังดีจนเกินไปของคุณ…แต่ไม่รบกวนดีกว่าครับ…โอ พี่ฝากนารินทร์ไว้กับโอนะดูแลดีๆด้วย” วารินทร์พูดจบวายุก็แทบจะบินเข้าไปหักคอวารินทร์ซะตรงนี้ การพูดที่เหมือนว่าวายุเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ข้างใน
“ขอเตือนอะไรอย่างนะ…ถ้าคิดจะเล่นกับพี่รินทร์ล่ะก็ อย่างนายน่ะไม่ได้ขี้เล็บพี่รินทร์หรอกจำเอาไว้ด้วย” นารินทร์รู้ดีว่าวารินทร์เป็นคนเงียบไม่ค่อยพูดเหมือนยอมคน แต่นิสัยจริงๆของพี่เค้าไม่มีใครรู้ได้หรอกนอกจากตัวนารินทร์เพราะถ้าหากวารินทร์โกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ เอาช้างมาฉุดหรือเอาพระอินทร์พระพราหมณ์มาขวางก็ไม่มีอะไรหยุดวารินทร์ได้
ตลอดการเดินทางมีการจัดกิจกรรมบนรถที่สนุกสนานตลอดเส้นทางแต่มีเพียงนารินทร์ไม่รู้สึกสนุกด้วยเพราะเจ้าตัวถูกวายุบังคับให้นั่งมาบนรถส่วนตัวของเค้า ตอนแรกนารินทร์ก็ปฏิเสธแทบตายแต่แล้ววายุที่แสนจะเจ้าเล่ห์ก็แกล้งทำให้นารินทร์ตกรถจนนารินทร์ไม่มีทางเลือกต้องไปรถส่วนตัวของวายุ
“หิวหรือเปล่าครับ คนดีของพี่” นารินทร์ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมยิ่งมาเจอคำกวนประสาทของวายุยิ่งทำให้นารินทร์สติหลุดเอาเสียง่ายๆ
“ไม่ใช่เรื่องของนาย รีบๆขับไปไม่ต้องพูดมาก เห็นหน้าแล้วอยากจะอ้วก!!!” นารินทร์พูดกระแทกเสียงตอนท้ายและนั่งหันหน้าออกนอกหน้าต่าง ผิดกับวายุที่อารมณ์ดีเพราะได้แกล้งอีกฝ่ายได้อย่างที่ตั้งใจไว้
“ถึงแล้วครับที่รัก” วายุพูดกระซิบข้างหูนารินทร์จนคนตัวเล็กขนลุกซู่ พลาดจนได้นารินทร์คิดอย่างนั้นเพราะแค่เผลอหลับไปเจ้าตัวอาจจะโดนแกล้งอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่กลับกันเพราะวายุหลงใหลในตัวของนารินทร์มากขึ้นเมื่อเห็นหน้าของคนตัวเล็กในยามหลับ จากปกติตอนตื่นๆก็น่ารักอยู่แล้วพอตอนหลับน่ารักมากขึ้นไปอีก
“ขอร้องเลยนะ อย่ามายุ่งกันอีก รำคาญ!!!” พูดจบนารินทร์ก็กระแทกประตูดังสนั่นพร้อมกับขนของๆตัวเองลงจากรถทันที วายุรู้สึกคับแค้นในใจที่นารินทร์ไม่แม้แต่จะพูดดีกับเค้าแม้ว่าเค้าอุตส่าห์อดทนพูดดีด้วยทำดีด้วยต่างๆนานา วายุจึงคิดได้ว่าต้องจัดการอะไรสักอย่างให้นารินทร์เชื่อฟังเค้าให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม
ส่วนทางด้านของวารินทร์ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนตัวเค้าเริ่มอยู่ไม่สุขคิดถึงแต่ว่านารินทร์จะปลอดภัยดีหรือเปล่า จะมีใครคิดไม่ดีกับนารินทร์ไหม โดยเฉพาะยิ่งเมื่อรู้ว่าวายุไปกับกลุ่มรับน้องกลุ่มนี้ด้วย แถมวายุยังเล็งน้องชายของตนไว้อีก เพียงแค่มองตาวารินทร์ก็รู้แล้วว่าวายุคิดยังไงกับนารินทร์ไม่เว้นแม้แต่สายตาของพายุที่มีต่อตัววารินทร์เอง แต่เค้ารู้สึกไม่ชอบใจเอามากๆทั้งพายุและวายุ
“ติ๊ง…ต่อง…ติ๊ง…ต่อง” เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นทำให้วารินทร์ต้องคิดหนักยิ่งกว่าเดิม วารินทร์รู้ทันทีว่าใครคือคนที่อยู่หน้าบ้านของเค้าตอนนี้ วารินทร์นิ่งเฉยทำเสมือนว่าไม่มีใครอยู่บ้านแต่เสียงออดก็ยังไม่เบาลงหรือมีที่ท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งเสียงออดหายไปวารินทร์คิดว่าคนๆนั้นคงยอมแพ้แล้วกลับไปแล้ว แต่วารินทร์คิดผิดเพราะตอนนี้พายุได้ยืนอยู่ข้างหลังวารินทร์แล้ว
“ทำไมคุณไม่เปิดประตูให้ผมครับ…ใจร้ายจัง” วารินทร์ตกใจมากแต่ก็ยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไรออกไปทั้งที่ในใจนั้นวุ่นวายคิดไปต่างๆนานาว่า ทำไมเจ้าตัวถึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าพายุกำลังเข้ามาในถิ่นของเค้าจนถึงขนาดที่มายืนอยู่ข้างหลังเค้าได้
“เราไม่ควรพบกัน…เชิญคุณกลับไปเถอะครับ” วารินทร์พูดเสียงนิ่ง
“อะไรกันครับนี่ผมพึ่งมาเอง คุยจะไม่เลี้ยงกาแฟผมสักแก้วเลยหรอ” เมื่อสิ้นเสียงพายุวารินทร์ก็ยันตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปชงกาแฟในครัวตามคำขอเพื่อที่คนบุกรุกตรงหน้าเค้าจะได้กลับๆไปสักที วารินทร์เดินถือกาแฟมาส่งให้พายุแล้วนั่งลงที่เดิมที่ลุกไป พายุจึงถือวิสาสะโอกาสนั่งตรงข้ามกับเจ้าของบ้านโดยไม่ขออนุญาต
“กาแฟแก้วนี่ อร่อยที่สุดเท่าที่ผมกินมาทั้งชีวิตเลยนะ” พายุไม่ได้โกหกเลยเพราะเค้ารู้สึกแบบนั้นจากใจจริงๆ วารินทร์ก็เอาแต่นิ่งเงียบและหวังว่าคนตรงหน้าเค้าจะดื่มกาแฟให้หมดเร็วๆแล้วกลับไปซะ
“ผมชื่อ สุบรรณ วายุเทพ” เมื่อวารินทร์ได้ยินชื่อนี้ก็เกิดอาการกระตุกเล็กน้อย เพราะชื่อนี้เมื่อตีความหมายออกมาแล้วมันก็หมายถึง พญาครุฑ นั่นเองและมันก็เป็นสิ่งที่วารินทร์คอยหลีกเลี่ยงมาตลอดแต่หลีกยังไงก็คงไม่พ้น…จริงๆแล้วในงานวันเกิดของพายุวารินทร์อาจจะรู้จักชื่อของพายุเร็วกว่านี้หากตั้งใจฟังตอนที่พายุพูดบนเวที แต่ตอนนั้นวารินทร์กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวขึ้นรำเพราะใกล้จะได้เวลาที่ตกลงกันไว้ในตอนนั้น
“คุณกลับไปเถอะ” วารินทร์พูดโดยที่ไม่มองหน้าพายุเลยสักนิดแต่หันมองน้ำตกตรงหน้าของเค้าแทน
“คุณนี่เย็นชากว่าที่ผมคิดอีกนะ” วารินทร์ยังคงไม่ตอบและไม่สนใจพายุ จนพายุรู้สึกท้อใจนิดๆกับกำแพงอันสูงและแข็งแกร่งของคนสวยตรงหน้า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พายุทิ้งความพยายามเพราะเค้าคิดเสมอว่าอะไรที่ได้มายากๆ ของสิ่งนั้นย่อมสูงค่าเสมอ
“โอเคๆ ผมยอมคุณก็ได้ ผมจะกลับละ” พายุลุกขึ้นแล้วเดินลงจากบ้านแต่ในระหว่างทางเดินออกมาจากบ้านพายุก็ได้ยินเสียงแว่วบางอย่าง
‘ไปซะ แล้วอย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก’
“…” พายุหันกลับไปมองที่ระเบียงทันที แต่ก็เห็นว่าวารินทร์ยังนั่งอยู่กับที่และยังคงนั่งมองน้ำตกนั้นอยู่…แล้วเสียงมาจากไหน พายุสะบัดความคิดนั้นออกไปแล้วเดินกลับออกไปอย่างไม่คิดอะไร และทันใดนั้นเองตาของวารินทร์ก็เรืองโรจน์เป็นสีแดงอีกครั้งพร้อมกับความอาฆาตพยาบาทที่กำลังจ้องมองไปยังสุบรรณเพราะความแค้นบางอย่างที่มีต่อเหล่าพญาครุฑมันยังคงติดตัวเค้ามาจนถึงทุกวันนี้