Chapter 1
วันที่ผมเจอกับเพลิงครั้งแรก เป็นวันที่แดดร้อนอย่างนี้เหมือนกัน
.
.
เสียงร้องเพลงดังโหวกเหวก นักศึกษาเข้าใหม่ต่างนั่งตากแดดร้องเพลงตามที่รุ่นพี่สั่งให้ทำอยู่อย่างนั้น เชื่อว่าหลายคนคงร้อนจนไม่อยากทำตาม แต่ก็ขัดกระแสส่วนมากไม่ได้
ผมที่พึ่งกลับจากอเมริกาไม่เข้าใจในวัฒนธรรมแบบนี้เท่าไหร่ จึงไม่ได้มาเข้าร่วมตั้งแต่วันแรก และเพราะสาเหตุนั้นทำให้ต้องแยกออกมายืนตากแดดอยู่คนเดียวอย่างคนที่ถูกทำโทษ
...ทำไมต้องเชื่อฟังด้วยนะ
คิดหาสาเหตุให้ตัวเองไปด้วย ไม่ได้โกรธหรือหงุดหงิดอะไร แค่ไม่เข้าใจเท่านั้น เพียงแค่ไม่ร่วมงานรับน้องก็ถูกมองเขม่นแล้วหรือ และดูท่าผมจะทำให้รุ่นพี่บางคนไม่ชอบหน้าเอามากๆ เพราะหลังจากเลิกงานวันนั้นก็ถูกกลุ่มรุ่นพี่หมางเมิน และส่งผ่านความกดดันผ่านนักศึกษารุ่นเดียวกันด้วยเช่นกัน
และในเมื่อเป็นอย่างนั้น...สุดท้ายผมจึงตัดสินใจไม่ไปร่วมงานรับน้องใดๆ อีก
ไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังหรือทำให้ใครพึงพอใจเพื่อให้มาสนใจตน แม้การเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยจะไม่สวยนัก แต่ผมก็เคยชินเสียแล้วกับการอยู่คนเดียว
ทว่าความคิดที่จะอยู่คนเดียวก็จบลงเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในหอพักนักศึกษาตามที่ครอบครัวต้องการ ผมไม่รู้มาก่อนว่าห้องพักเป็นห้องสำหรับสองคน เมื่อขนย้ายข้าวของมาถึงถึงได้รู้ว่าต้องอยู่ร่วมห้องกับใครคนหนึ่งด้วย
กลางวันที่ร้อนจัด ประตูห้องพักเปิดออกให้เห็นภายในที่สว่างจ้า มีคนร่างสูงยืนอยู่ด้านในก่อนแล้ว ผมจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่อยู่ในวงรับน้องนั้น ใบหน้าหล่อเหลาแบบคมเข้มทำให้ดึงดูดสายตาได้ง่าย ทั้งเขายังมีร่างกายกำยำสูงใหญ่เด่นกว่าคนอื่น
คนที่เห็นแวบเดียวก็จำได้ ไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นเพราะรูปร่างหน้าตา หรือเพราะสายตาอันแสนเฉยชากันแน่
จำได้ว่าขณะที่รับน้องเจ้าตัวก็ไม่ส่งเสียงร้องเพลงนัก ทว่าไม่มีใครหาเรื่องลงโทษ ช่างน่าแปลกกับการเลือกปฏิบัติของคนเราเสียจริง
“นายเองสินะ ที่พักห้องนี้ด้วย”
เมื่อลากสัมภาระเข้าไปภายใน อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นให้ได้ยิน น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ ทำให้คาดเดาไม่ออกว่าคนร่างสูงกำลังคิดอะไรอยู่
ผมยิ้มฝืด ก่อนจะเอ่ยถาม
“นายเลือกเตียงฝั่งไหน?”
เนื่องจากห้องเป็นห้องเตียงคู่ หากเขาเลือกเตียงก่อนแล้ว จะเอาของไปวางสุ่มสี่สุ่มห้าก็คงไม่ดี
และเมื่อเพื่อนร่วมห้องชี้มือไปที่เตียงฝั่งหนึ่ง ผมก็เดินไปยังฝั่งตรงข้าม ทิ้งตัวนั่งลงกับเตียง มือพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองสามเม็ด อากาศอบอ้าวทำให้ต้องวักลมเข้าหาตัวอย่างต้องการความเย็นมาช่วยดับความร้อน
“ฉันวายุ เรียกวาก็ได้ นายล่ะ”
“เพลิง”
เขาตอบเพียงสั้นๆ ห้วนๆ ดูแล้วคงเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ไม่ดีนัก สายตาก็ออกจะดุดัน ผมสังเกตเห็นเรียวคิ้วเขากระตุกนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะใช่ว่าตัวเองจะดีไปกว่ากัน หากมีการสอบด้านมนุษยสัมพันธ์ ผมคงสอบตกแบบคะแนนติดลบ
การแนะนำตัวจบลงแค่นั้น หลังจากนั้นเราก็เหมือนเป็นแค่คนร่วมห้องกันจริงๆ ไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องของใคร พูดกันนับครั้งได้ ผมไม่รู้สึกอึดอัด เหมือนกับที่เพลิงไม่คิดจะสนใจ
แต่ความคิดของผมเกี่ยวกับเพลิงก็เปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นเขาในชั้นเรียนที่ลงเรียนตรงกันและเวลาที่เขาอยู่กับเพื่อนทั้งในคณะและต่างคณะ
เพลิงมักดึงดูดสายตาผมเสมอ เขาเป็นคนตั้งใจเรียน เวลาที่อยู่ในหอพักก็มักเห็นเขาอ่านหนังสือเตรียมล่วงหน้า ในเวลาเรียนก็ดูตั้งใจ
ผมมักลอบมองแผ่นหลังกว้างที่เอาแต่ตั้งตรงแน่วแน่ ไม่มีอาการวอกแวก ไม่มีการแสดงท่าทีเบื่อหน่ายใดๆ ออกมาให้เห็น หลายต่อหลายครั้งก็ยกมือตอบคำถามอาจารย์ผู้สอน ช่างน่าชื่นชมในความตั้งอกตั้งใจ ไม่แปลกเลยที่เพลิงมักจะได้คะแนนระดับท็อปของวิชา
ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นเด็กเรียนยังไง ตามปกติก็จะเห็นเด็กเรียนคนนี้สุงสิงกับเพื่อนที่ไม่ใช่เด็กเรียนสักเท่าไหร่ บางครั้งบางครา ก็เห็นเข้ากลุ่มสังสรรค์กับเพื่อนต่างคณะบ้าง เรียกได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์แย่อย่างที่เคยเข้าใจผิด
จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้
...ทำไมสายตาเวลาที่เพลิงมองผมถึงได้เฉยชานัก
ถึงแม้คนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจะไม่ได้มองผมในแง่ดีเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครที่จะใช้สายตาแบบที่เพลิงมองผม
ที่บางครั้งก็เมินเฉย บางครั้งก็ดุดัน
จริงอยู่ที่เขาอาจไม่ชอบใจเพราะได้ยินข่าวแย่ๆ เกี่ยวกับตัวผมที่คนอื่นเขาพูดกัน ทว่าสายตาที่ใช้มองมานั้นแปลกแยกจากใครทั้งหมด
คนอื่นๆ จะมองผมด้วยสายตาอย่างต้องการจับผิด ส่วนเพลิง...เขาไม่แม้แต่จะฉายแววลังเลสงสัย แต่เป็นแววตาที่ตัดสินผมไปแล้ว
เขาไม่ร่วมวงนินทา แต่ก็ไม่คิดจะคุยกับผมเช่นกัน
น่าแปลกที่ผมกลับแคร์สายตาเขา มากกว่าคนอื่นเสียด้วย
(มีต่อค่ะ)