(ต่อครับ)
เสร็จธุระแล้ว อธิปก็เดินหาร่างประเปรียวที่หายไปจากสถานที่ที่นัดไว้ไปทั่ววัด จากอุโบสถไล่ไปตามศาลาต่าง ๆ ที่รายเรียงกระทั่งเห็นเจ้าของดวงหน้าพริ้มเพรากำลังหยิบข้าวฟ่างวางลงบนกระทะ
แม้จะเป็นภาพที่ให้ประหลาดใจยิ่งนัก แต่ความเป็นกังวลนั้นมีมากกว่า
"อยู่ที่นี่เองหรือครับ"
อารามรีบร้อนทำให้เพิ่งสังเกตเห็นร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ อธิปยกมือไหว้ชายหนุ่มเจ้าของที่ติดกับผืนดินซึ่งเจรจาอยู่ เขารู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี รู้ก่อนที่จะได้พบหน้าจริงในวันที่มีรังวัดและระวังชี้เมื่อสองเดือนก่อน ชื่อของ ม.ร.ว. ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ บุตรชายเพียงคนเดียวของ ม.จ. เขียนนิรมิต อธิบดีในกระทรวงกลาโหมกับหม่อมแม้นพิศนั้นเป็นที่เลื่องลือพอสมควร ทั้งความสามารถด้านการดนตรี หรือแม้แต่ความคมคายของสติปัญญาที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปร่างหน้าตา แม้จะมีเพียงส่วนน้อยที่ได้พบเห็นด้วยไม่ใคร่สมาคมกับใครดั่งลูกผู้ดีคนอื่น ๆ แต่ส่วนน้อยที่ว่าต่างก็พูดต่อกันจนกลายเป็นเสียงของผู้คนทั้งพระนคร
ไม่คิดว่าจะบังเอิญจะมาพบในอำเภอชั้นนอกแบบนี้
"มาติดต่อเรื่องที่หรือครับ" ขวัญสรวงเอ่ยทักในตอนที่รับไหว้
"ครับ แต่ยังตกลงเรื่องราคากันไม่ได้"
อธิปตอบพลางย่างเท้าเข้ามาใกล้คนที่ตามหาอยู่ พลันสายตาก็สะดุดกับสิ่งที่อีกฝ่ายถือในมือ อากัปกิริยาที่ดูปิติแตกต่างจากทุกครั้งทำให้ชายหนุ่มนึกแปลกใจ
"นั่นอะไรครับ"
"ข้าวตอกดอกไม้ สวยไหมอธิป" เรียมลลิตรตอบช้าเนิบ
เห็นรอยยิ้มแย้มพรายในแววตาสีอ่อน ชายหนุ่มก็พลอยยิ้มตาม
"สวยครับ"
ขวัญสรวงไม่ใคร่ใยดีกับว่าที่ผู้เป็นเพื่อนบ้านเท่าไรนัก ยังพึงใจกับชีวิตสงบสันติของตนเองมากกว่าจะข้องเกี่ยวกับชีวิตเอิกเกริกแบบหนุ่มสังคมสมัยใหม่ แม้จะมีเพื่อนฝูงในแวดวงอยู่มาก หากแต่คุณชายขัตติยพงศ์ก็เลือกที่จะผูกมิตรสนิทด้วยเพียงไม่กี่คน
ร่างสูงเบี่ยงตัวออกมาทิ้งระยะ ใบหน้าคมสันพยักหน้าเพียงน้อย บริวารทั้งสองที่คอยอยู่ห่าง ๆ ก็รุดเข้ามาโดยไม่ต้องออกเสียงให้วุ่นวาย
"ลงมือกันต่อเถอะเยื้อน เปี๊ยก จะได้เสร็จเสียที"
บ่าวผิวเข้มกุลีกุจอแข็งขัน หากแต่เมื่อวางรวงข้าวบนทรายแล้วต้องรออีกหลายอึดใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง เยื้อนและเปี๊ยกจึงได้แต่นั่งยิ้มแฉ่ง ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้อธิปเยี่ยงบ่าวที่ได้รับการอบรมมาดี
"ว่าไงเยื้อน สบายดีนะ"
"สบายดีครับ" เยื้อนตอบเสียงดังฟังชัด "มาธุระเรื่องโฉนดที่กับกำนันหรือครับ"
ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตเรียบโก้แบบฝรั่งพยักหน้ารับอย่างเคร่ง ๆ
"ยังไม่ได้ความเหมือนเดิม"
เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ไอ้เยื้อนก็ได้แต่ยิ้มแหย รีบเสเปลี่ยนเรื่อง "แถวนี้น้ำดี ปลูกข้าวปลูกผลไม้งามนะครับ"
ขวัญสรวงได้แต่อ่อนใจในความช่างจุ้นของบ่าวสนิท จะห้ามปรามก็ดูจะขัดมารยาทเมื่ออีกฝ่ายกลับสนทนาอย่างไม่ถือตัวแม้แต่น้อย ผิดกับภาพของหนุ่มสังคมนักเรียนนอกปรกติที่ตนเองอคติล่วงหน้าไปไกล
"เปล่าหรอก นี่ก็ตั้งใจจะสร้างบ้านน่ะ" อธิปตอบ
ถ้อยคำที่ได้ยินนั้นแม้แต่ขวัญสรวงเองก็ยังให้แปลกใจ มีหรือที่ผู้เป็นบ่าวจะไม่ร้องเสียงหลง
"ที่กว่ายี่สิบไร่ แบบนี้ไม่ใหญ่เป็นวังดอกหรือ"
"ไม่ถึงขนาดหรอก" คนฟังยิ้มขำ
"คุณจะมาอยู่สินะครับ" เปี๊ยกถามอย่างตื่นเต้น
"ไม่ใช่หรอก" ใบหน้าหล่อเหลาไหวนิด ๆ แล้วเบือนสายตาไปมองร่างประเปรียวที่ยืนอยู่เคียงข้าง
"แต่เป็นคุณเรียม"
คำตอบที่ได้ยินนั้นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของขวัญสรวงอย่างประหลาดมาตั้งแต่ที่เห็นทั้งคู่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันโก้นั้น
แปลกประหลาดมากทีเดียว
คนที่จะมาเป็นเพื่อนบ้านในอนาคตตัวจริงกลับไปพร้อมกับอธิปเมื่อครึ่งค่อนชั่วโมงก่อน คล้อยหลังจากแขก บ่าวสนิทจอมจุ้นอย่างเจ้าเยื้อนก็เริ่มคันยุบยิบตามประสาคนสู่รู้อยู่ไม่สุขจนคนตัวโตสู้รำคาญแทน เพียงมีช่องให้แทรกประเด็น เจ้าเยื้อนก็จัดแจงได้อย่างแนบเนียน ถามจบก็ยิ้มโชว์ฟันขาวเสียนอบน้อม
"คุณเรียมคนนั้นใครน่ะคุณชาย"
ขวัญสรวงหน้านิ่ง เอ่ยเรียบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ
"ปกติก็รู้ทุกเรื่องไม่ใช่รึ"
"อุ๊บ่ะ! คุณชายก็พูดเป็นเล่น"
เยื้อนย่นหัวคิ้วจนเป็นริ้วขมวด แต่เพียงครู่เดียวรอยยับก็คลี่ออกเป็นแววตาเคลิบเคลิ้มชื่นชม
"หน้าตาจิ้มลิ้มอย่างกับตุ๊กตาฝรั่ง ตอนที่คุยอยู่กับคุณชายมีแต่ชาวบ้านแอบมองจนเหลียวหลัง นี่ขนาดพวกสาว ๆ ยังไม่ได้เห็นนะ"
คนพูดพูดเสียใหญ่โต พูดจบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"คนที่งามเสียยิ่งกว่าภาพเขียนแบบนั้นจะมาอยู่ข้าง ๆ เราจริงหรือครับ บุญของไอ้เยื้อนแล้ว จะได้เห็นคนหน้าตาแบบนั้นทุกวัน"
ถามเองแล้วก็ตอบเอาเองจนคนเป็นนายส่ายหน้า
"เพลา ๆ หน่อยไอ้เยื้อน"
หน้าคล้ำกรำแดดให้สลดลงนิด แต่ก็ยังไม่วายพล่ามพูดตามประสา "แต่กำนันรักแกคงโก่งราคาน่าดู ยิ่งถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายดูท่าว่าจะร่ำรวยขนาดนี้"
ขวัญสรวงถอนใจยาว เขี่ยทรายจากข้างกระทะขึ้นกลบข้าวรวงสุดท้ายที่เหลือ เสร็จแล้วก็เสียบพลั่วไปกับกองทรายที่คั่วจนไหม้เป็นสีดำที่อยู่ใกล้ ๆ
"ถ้าเขาไม่ตกลงกับราคา แบบนี้ก็อดเป็นเพื่อนบ้านกับขัตติยพงศ์สิครับ ราคาแพงไปนักมันก็ไม่ไหวนา" เยื้อนลุกขึ้น กอบข้าวตอกดอกไม้ขึ้นเต็มสองมือ "คุณชายจะไม่ช่วยคุยกับกำนันจงรักให้เขาหน่อยหรือครับ คุณเรียมเธอก็ไม่น่าจะรู้จักใคร"
"จะไปทำอย่างนั้นทำไม ไม่ใช่ธุระของเรา"
เมื่อผู้เป็นนายพูดตัดบท บ่าวอย่างเยื้อนก็ได้แต่สงบคำ
รถยนต์สีฟ้าอ่อนสัญชาติอเมริกันแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จากทัศนียภาพของทุ่งนาสีเขียวกลายเป็นบ้านไม้ขนาดสองชั้น กระทั่งกลายเป็นตึกปูนแบบสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่
หากแต่ทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของชายหนุ่มที่สวมรองเท้าหนังสีดำมันปลาบที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้นแม้แต่น้อย
อธิปกำลังตรวจสัญญาซื้อขายเทียบกับเอกสารจากกรมที่ดินอย่างละเอียดละออ ก่อนจะเก็บเข้าซองกระดาษสีน้ำตาลแล้วมัดป่านบนปากซองอย่างดี
แม้จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยม แต่อธิปกลับเลือกจะทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของร่างประเปรียวที่นั่งอยู่ด้านข้างตามคำแนะนำของผู้เป็นพ่อ ตัวงานเกือบทั้งหมดแทบไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาแต่กลับเป็นการดูแลอำนวยความสะดวกและเป็นเพื่อนสนทนาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างกลับทำให้อธิปรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ทำงานใกล้ชิดท่านชายพระองค์นั้น
พระองค์เจ้า เรียมลลิตร ภัทรกุล
เจ้านายของชายหนุ่มเป็นคนนิ่งสุขุม มีความเป็นธรรมชาติอย่างไม่ปรุงแต่ง ทั้งยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่าผู้ใดที่อธิปเคยพบเจอรู้จัก คนทั่วไปอาจจะคิดว่าทั้งหมดนั้นคือกิริยาไว้ตัวอย่างนักเรียนนอกสมัยใหม่ที่เติบโตในราชสกุลใหญ่โต แต่ความเป็นจริงแล้วเจ้านายของอธิปเป็นเพียงคนไม่ชอบความวุ่นวายทั้งยังมีนิสัยขี้อายยิ่งนัก ส่วนบุคลิกที่เงียบขรึมแลน้ำเสียงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากการอบรมในแบบผู้ดีเก่าจากพระพี่เลี้ยงในตำหนักแต่เยาว์ รูปลักษณ์กระทั่งกิริยาจึงพริ้มเพราดั่งแพรเนื้อนวลชั้นดี ไม่ฉูดฉาดบาดตา งามสมดั่งชื่อที่พระบิดาทรงประทานให้ว่า "เรียมลลิตร"
บุรุษที่พร้อมด้วยความงามสง่า
"พระองค์ทรงรู้จักกับคุณชายขวัญมาก่อนหรือเพคะ"
อธิปถามจากภาพที่เห็นในวัด ปรกติแล้วไม่ใคร่เห็นผู้เป็นนายสนทนากับใครจนดูสนิทสนมนัก
ดวงตางามหมดจดละจากภาพเบื้องหน้าและนิ่งไปสักครู่ ในที่สุดเรียมลลิตรก็เอ่ยขึ้น
"ไม่เชิงว่าอย่างนั้น"
"กระหม่อม" ชายหนุ่มเอ่ยรับด้วยเสียงนอบน้อม
เรียมลลิตรไม่เคยยินดียินร้ายอะไร และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องใด ๆ เป็นพิเศษ ทว่าตั้งแต่กลับออกมาจากวัดที่อำเภอบางกะปิ ผู้เป็นนายก็เอาแต่มองต้นข้าวรวงเล็กที่คั่วจนแตกดอกขาวด้วยความสนอกสนใจ อธิปในฐานะที่เป็นผู้ช่วยจึงได้แต่นั่งมองด้วยรอยยิ้มชื่นบานจากดวงใจ
"ทรงชอบข้าวตอกดอกไม้หรือเพคะ ประสงค์ให้กระหม่อมจัดหาเป็นส่วนองค์ไหม"
แม้จะนิ่งเงียบไม่มีการขยับไหว แต่ริมฝีปากที่กวาดสีจนอิ่มก็แย้มขึ้นเล็กน้อยเป็นการแสดงความปราโมทย์เท่าที่จะแสดงออกได้โดยไม่เคอะเขิน
"ไม่เป็นไรหรอกอธิป ไม่มีดอกไหนเหมือนดอกนี้"
เสียงช้าเนิบตามแบบของคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
ไม่ประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มจึงได้แต่นิ่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กระทั่งเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น
"อธิป เรามีเรื่องอยากขอร้อง"
"เพคะ"
"อย่างที่เคยพูดไป เราอยากให้อธิปเลิกใช้ราชาศัพท์กับเรา ฟังดูเหมือนเราเป็นคนแก่เลย" เอ่ยจบเจ้าของใบหน้านวลกระจ่างก็นิ่งเงียบเป็นเชิงถาม
อธิปเป็นคนที่เข้าใจบุคลิกอันดื้อดึงโดยลักษณะเฉพาะตัวของผู้เป็นนายเป็นอย่างดี และโดยปรกติเขาก็พร้อมทำตามประสงค์ทุกอย่างด้วยความยินดี เว้นแต่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวด้วยรู้สึกเหมือนตีเสมอกับผู้เป็นนายจนเกินสมควร
"กระหม่อมเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยพระองค์ เกรงว่าหากเสด็จท่านทราบจะกริ้วได้เพคะ"
"อธิปอยู่กับเรามาหลายปี แสวงหรือนมละเอียดก็เหมือนกัน"
เจ้าของดวงตาหวานสีน้ำตาลแลออกไปยังภาพความวุ่นวายที่ดูมีชีวิตชีวาด้านนอกหน้าต่าง
"ท่านพ่อไม่ใช่คนถือพระยศแบบนั้นหรอก ท่านแม่ยิ่งแล้วใหญ่ ท่านพี่ อธิปก็รู้จักเป็นอย่างดี"
ทุกถ้อยคำล้วนคมคายและเป็นความจริงทุกประการจนคนที่เป็นผู้ช่วยหมดเหตุผลจะโต้แย้ง
"ไม่ได้หรือ"
ใบหน้าคมเข้มจนปัญญาจะขืนจึงยิ้มและตอบด้วยท่าทีที่สบายขึ้น
"ครับ คุณชาย"
"เรียกว่าเรียมก็พอ"
"ครับ คุณเรียม"
ดวงตาที่ดูไร้ความรู้สึกมีแววแห่งรอยยิ้มผุดผาดขึ้น
"อีกเรื่องที่เราอยากขอคือเรื่องราคาที่ผืนแปลงนั้น ตัวเงินไม่ได้ทำให้เราลำบากไม่ใช่หรือ"
"กระหม่อม..." อธิปเอ่ยขึ้นตามนิสัย แต่ก็ชะงักด้วยนึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งรับปากไป "ผมเห็นว่าที่ดินน้อยลงจากโฉนดเดิมตอนระวังชี้และสอบที่ดินคราวก่อน แม้ตัวเงินจะไม่ได้เท่าไร แต่การที่เจ้าของแปลงที่ดินกลับตีราคาค่างวดขึ้นกว่าเท่านั้นดูไม่สมควรเลย"
เรียมลลิตรเงียบไปสักพักราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเนื้อเสียงที่ราบเรียบและแววตาที่หม่นลง
"อย่างนั้นหรือ"
คล้ายกับถ้อยคำที่เปรยขึ้นกลาง ๆ แต่หากพิจารณาลักษณะน้ำเสียงสูงต่ำที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ลักษณะการพูด และสถานการณ์ขณะนั้นก็จะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าประสงค์สิ่งใด อธิปทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเรียมลลิตรมานานพอประมาณ แม้แต่ถ้อยคำสั้น ๆ ที่ยากจะคาดเดาความหมาย ชายหนุ่มก็เข้าใจเป็นอย่างดี
ครั้งนี้ก็เช่นกัน อธิปนึกตำหนิตนเองครั้งใหญ่ที่ลืมคิดถึงความรู้สึกของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำมั่นด้วยความรู้สึกอันนอบน้อม
"ผมจะจัดการให้ครับ"
ค่ำนั้น อธิปได้โทรศัพท์ปรึกษาพระองค์เจ้า เริญดนุภพ ผู้เป็นพระเชษฐาของเรียมลลิตร ความคิดที่จะสร้างตำหน้กอันใหญ่โตรโหฐานที่อำเภอบางกะปิซึ่งเป็นเขตอำเภอชั้นนอกอันห่างไกลจากวงสังคมแห่งนั้นมาจากความเป็นห่วงของพี่ชายที่มีต่อน้องชายอันเป็นที่รักด้วยบริสุทธิ์ใจ
ตั้งแต่กลับมาจากยุโรป ตำหนักภัทรกุลต่างก็มีแขกมาเยือนไม่เว้นแต่ละวันทั้งหญิงและชาย เริญดนุภพที่ทำงานดูแลบริษัทมากมายที่เป็นกิจการของที่บ้านอยู่ ต่อให้ห่วงใยแค่ไหนก็ไม่อาจปลีกตัวมาดูแลน้องรักได้ดั่งความคิด
ชายหนุ่มจึงเลือกผู้ช่วยจากผู้ที่ไว้ใจมากที่สุด จนได้บุตรชายของวิศาล ทนายประจำตระกูลมาช่วยดูแล
"อธิปลองคุยดูแล้วกัน ถ้าเรียมชอบ เท่าไรก็ไม่ติดขัด"
"กระหม่อม"
"ขออย่างเดียว อย่าให้ใครรู้ถึงพระยศของเรียม กระทั่งขัตติยพงศ์ที่เป็นราชสกุลเช่นกันก็ห้าม"
เมื่อปลายสายรับคำอย่างมุ่งมั่น เริญดนุภพก็วางโทรศัพท์ด้วยความเบาใจ
เพราะรู้ว่าเรียมลลิตรนั้นช่างไม่ประสาต่อเล่ห์อุบายของกลุ่มผู้ดีใหม่ที่ถือมรรยาทฝรั่งแบบถึงเนื้อถึงตัวเป็นธรรมเนียม เริญดนุภพจึงเลิกที่จะสร้างตำหนักอีกแห่งที่ใหญ่โตพรั่งพร้อมทุกอย่างไม่แพ้ตำหนักที่พญาไท เลือกผืนดินแปลงที่งามที่สุดของคุ้งน้ำบางกะปิ และด้วยบังเอิญ ที่ดินผืนนั้นอยู่ติดกับคฤหาสน์ขัตติพงศ์ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มเบาใจขึ้นมาก
ราชสกุลขัตติยพงศ์ทำงานสนองคุณแผ่นดินมาหลายรัชสมัย เกียรติประวัติ คุณงามความดีเป็นที่รู้จักไปทั่วพระนคร หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตนั้น แม้จะไม่สนิทสนมแต่ก็ดูคล้ายจะคุ้นเคยกับบิดาอยู่บ้าง เริญดนุภพเองก็เคารพในความเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย
หากจะเป็นห่วงก็เพียงแค่เรื่องเดียว
เริญดนุภพไม่รู้ว่าคุณชายขวัญสรวงเป็นคนเช่นไร
+++++++++++++++++++++++++
สุภาษิตประจำวันนี้ขอเสนอสุภาษิต "ว่าแต่เขา อิ(พี่ขวัญ)เหนาเป็นเอง"
เขม่นอธิปสารพัดแล้วดูพี่แกทำเข้า ฮ่าๆๆๆ
ใครว่าชีวิตของพี่ขวัญว่าสุขสบายจนน่าอิจฉาแล้ว เจอน้องเรียมก่อน
เพื่อไม่ให้เป็นการงง ขอลำดับพระยศของท่าน ๆ ทั้งหลายนะครับ
เรียงจากลำดับสูงไปลำดับที่ต่ำกว่านะครับ
พ่อและแม่ของเรียม
v
พี่เริญและน้องเรียม
v
พ่อและแม่ของพี่ขวัญ
v
พี่ขวัญ
v
อธิป, น้ำทิพย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ใจจริงอยากจะต่อเป็น ๒.๓ มาก
แต่ตัดขึ้นเป็นตอน ๓ เลยก็แล้วกัน ไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส (แล้วจะบอกทำไม)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ ฝากติดตามเชียร์พี่ขวัญกับน้องเรียมต่อด้วยนะ
ปล. ได้คอมมาเมื่อไหร่จะอัพ LIE ที่ค้างไว้ต่อด้วยนะ 5555