ถ้าให้รักก็อย่าร้าย ตอนที่ 27“เออฝากดูด้วยแล้วกัน กูขอเฝ้าทางนี้ก่อน น้องยังไม่ฟื้นเลย เออๆเดี๋ยวโทรบอก”
“ผมเป็นอะไรเหรอครับ” ผมถามพี่โยเสียงเบาหลังตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง และพี่โยยื่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
“วี! ฟื้นแล้วเหรอ เป็นไงบ้างปวดหัวรึเปล่า หิวน้ำไหม” พี่โยถามเสียงตื่นเมื่อหันมาเห็นผม
“ไม่ครับ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนและเป็นอะไรมากกว่า” ผมส่ายหน้าช้าๆก่อนถามอีกครั้ง
“ตอนนี้วีอยู่ห้องพยาบาลของทางรีสอร์ทน่ะ จำได้ไหมว่าวีเป็นลมตอนทำกิจกรรม หมอมาดูแล้วบอกว่าวีพักผ่อนไม่เพียงพอ แถมร่างกายังขาดสารอาหารด้วยต้องให้น้ำเกลือกับกลูโคส ถ้าหมดขวดก็คงอาการดีขึ้น” ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลังมือตัวเองมีเข็มเจาะอยู่แล้วมันก็โยงสายไปที่กระปุกน้ำเกลือที่อยู่บนยอดเสาข้างเตียง
“ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ผมว่าเสียงอู้อี้
“ไม่ได้เป็นอะไรล่ะ ร่วงทั้งยืนขนาดนั้น ดีนะที่ทางรีสอร์ทมีห้องพยาบาลกับหมอที่โทรตามได้ตลอด”
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยพาผมมาที่นี่” จำได้ว่าก่อนจะหมดสติผมกำลังทำกิจกรรมอยู่แล้วเสียงพี่โยกับไอ้แบตก็ดังขึ้นพร้อมกัน ภาพสุดท้ายที่เห็นคือทั้ง 2 คนกำลังวิ่งมาที่ผมหน้าตาตื่น
“วีจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้เหรอ” พี่โยนั่งลงข้างเตียงก่อนถาม
“จำได้แค่พี่กับไอ้แบตกำลังวิ่งมาหาผมพร้อมกัน เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับหรือผมเข้าใจผิด จริงๆแล้วไอ้แบตเป็นคนพาผม” ผมชักเริ่มไม่แน่ใจ
“เปล่าหรอก ไอ้แบตไม่ได้พาวีมา”
“แล้วตอนนี้มันไปไหนเหรอครับ” ตั้งแต่ตื่นมายังไม่เห็นมันเลยครับ
“อ๋อ! มันไปตักข้าวต้มมาให้วีน่ะดึกแล้วเผื่อตื่นมาแล้วจะหิว พี่เลยอยู่เฝ้าวีก่อน นั่นไงมาพอดีเลย” พี่โยว่าก่อนประตูห้องพยาบาลจะถูกผลักเข้ามา
“ไอ้วีตื่นแล้วเหรอวะ มึงรู้ไหมกูเป็นห่วงแทบแย่ มึงนอนไป 5 ชั่วโมงเลยนะเว้ย” เสียงดังมาแต่ไกลมือยังไม่วางชามข้าวต้มด้วยซ้ำครับ
“ตื่นแล้วทีโทษนอนนานไปหน่อย แล้วลูกแพรไปไหนล่ะ” ผมแกล้งว่าก่อนถามหาลูกแพรหลังมองหาแล้วไม่เห็นเดินตามเข้ามาด้วย
“ลูกแพรก็อยากมาเฝ้ามึงนะ แต่ถูกขอให้ไปช่วยดูแลเรื่องอาหารเลยมาไม่ได้เห็นบอกว่าถ้าเสร็จแล้วจะรีบมา ว่าแต่มึงกินข้าวเลยไหมกูป้อน”
“กูยังไม่หิวเลยว่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ” ผมตอบก่อนขยับตัวนั่งแล้วมองไปข้างนอกตอนนี้มืดสนิทแล้วครับ
“สองทุ่มครึ่ง ถึงไม่หิวมึงก็ต้องกินใช่ไหมครับพี่โย” มีการหันไปหาผู้ช่วยด้วยนะ
“ใช่ครับ วีต้องกินนะจะได้หายไวๆ ข้าวต้มร้อนๆ หอมมากเลยพี่ป้อนก็ได้” พี่โยว่ายิ้มๆก่อนรับชามข้าวต้มจากไอ้แบตขึ้นมาทำท่าสูดกลิ่นหอมโชว์ผม
“เอ่อ.....”
“อ่ะ…อ้าปากครับ” พี่โยว่าพร้อมยื่นช้อนที่ตักข้าวต้มทะเลมาตรงหน้า
“งั้นผมกินเองได้ครับ” ผมชะงักไปก่อนบอกพี่โยเสียงเบา ทำไมทั้งที่ตรงหน้าเป็นพี่โยแท้ๆแต่ผมกลับเห็นเป็นใครอีกคนหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา ภาพที่เคยหยอกล้อป้อนข้าวให้กันในวันที่มีความสุขกว่านี้
“ไม่ได้ตอนนี้วียังไม่มีแรงเดี๋ยวทำหก ให้พี่ป้อนดีแล้ว” เมื่อพี่โยว่าอย่างนั้นผมก็ไม่อยากดื้อดึงเอาชนะยอมปล่อยให้พี่โยป้อน หลังจากคำแรกหมดคำใหม่ก็ถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนไอ้แบตก็นั่งยิ้มบ้าอะไรของมันคนเดียวก็ไม่รู้ครับ
“ไอ้โยวีฟื้นรึยังวะ” ช้อนที่กำลังยื่นมาจนเกือบถึงปากผมมีอันต้องชะงักพร้อมกับผมที่หันไปมองที่มาของเสียง
“ฟื้นแล้วนี่ไงกำลังกินข้าวอยู่” พี่โยตอบพี่ชินก่อนยื่นช้อนมาตรงหน้าผมอีกครั้ง
“ผมอิ่มแล้วครับพี่โย” ผมว่าก่อนส่ายหน้า
“อิ่มอะไรเพิ่งกินไปไม่กี่คำเอง กินอีกหน่อยสิ”
“แต่ผมไม่ไหวแล้วจริงๆครับ” ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกอยากอาเจียนเอาสิ่งที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาให้หมดไส้หมดพุง
“อีกคำเดียวจริงๆ หมดคำนี้แล้วพอเลยนะ” พี่โยประเลาะผมเป็นเด็กเลยครับ แต่เห็นรอยยิ้มจริงใจแบบนี้แล้วผมก็ปฏิเสธไม่ลง
“พอแล้วนะครับ” ผมว่าก่อนอ้าปากรับข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก ทั้งที่ความรู้สึกมวนท้องยังไม่หาย
“ทำไมต้องป้อนกันด้วย”
“ก็วีไม่สบายมึงก็เห็น ไม่ป้อนแล้วจะให้น้องกินเองรึไง” พี่โยหันไปตอบพี่ชินเสียงดังเลยครับ
“แค่เป็นลมไม่ได้เป็นง่อย มึงไม่ต้องบริการขนาดนั้นก็ได้มั้ง” ไม่รู้พี่ชินไปโมโหอะไรมารึเปล่าถึงได้พูดเสียงแข็งจนผมจับอารมณ์ได้ว่าตอนนี้คงอารมณ์ไม่ดีแน่ๆครับ
“มันเป็นเรื่องของกูมึงไม่เกี่ยว” ผมเห็นพี่โยจ้องหน้าพี่ชินนิ่งๆเหมือนพยายามสงบอารมณ์ก่อนว่าช้าๆและเน้นประโยคสุดท้าย
“..........................” พี่ชินยืนเงียบ แต่สายตาขุ่นมัวพร้อมจะมีเรื่องเต็มที่ ผมเห็นแล้วไม่สบายใจเลยครับ ถึงจะรักพี่ชินแค่ไหนแต่ทำแบบนี้มันไม่ถูก ไม่รู้ไปโกรธใครมาแล้วจะมาลงที่พี่โยได้ยังไง พี่โยไม่ใช่ที่จะรองรับอารมณ์ใครนะ
“พี่ชินผมอยากพักผ่อน ขอร้องเถอะครับอย่าหาเรื่องกันเลย พี่โยขอบคุณนะครับ” ผมว่าก่อนล้มตัวลงนอนบนที่นอนอีกครั้ง
“เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้นะ”
“ไม่ต้อง!!” เสียงพี่ชินแทรกขึ้นก่อนที่พี่โยจะพูดจบประโยคซะอีกครับ
“...........................” ผมกับไอ้แบตมองหน้ากันนิ่งๆ เหมือนขอคำปรึกษาไม่รู้ว่าระว่างพี่โยกับพี่ชินมีอะไรกันมาก่อนหน้ารึเปล่าถึงได้อารมณ์เสียใส่กัน ผมสงสัยตั้งแต่ตอนนั่งรถมาพี่โยก็ไม่นั่งเบาะเดียวกับพี่ชินทั้งที่ออกจะสนิทกัน
“วีพี่ว่า..........”
“ผมขอพักผ่อนก่อน พี่โยไม่ว่ากันนะครับ” ผมว่าเมื่อพี่โยทำท่าจะไม่ยอม ผมเห็นสายตามุ่งมั่นอยากเอาชนะมาจากดวงตาคู่นั่น แต่ผมต้องไม่ใช่เครื่องมือ
“ไม่ว่าครับงั้นน้องวีนอนไปเถอะ อีกซักครึ่งชม. น้ำเกลือคงหมดเดี๋ยวพี่มาดูใหม่นะ”
“ครับ” ผมตอบรับก่อนพี่โยจะยิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป ผมหันกลับมองพี่ชินที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง แล้วก็เดินออกไปไม่พูดอะไรซักคำ
“เกิดเป็นมึง ชีวิตแม่งหน้าปวดหัวชิบหาย”
“มึงว่าอะไรนะ” ผมหันไปถามไอ้แบตที่พูดอะไรแว่วๆแต่ผมฟังไม่ทัน
“ป่าว แล้วมึงจะนอนรึยังกูจะได้ไปกินข้าวบ้าง”
“เออๆ มึงไปกินเลยเดี๋ยวกูหลับอีกตื่น น้ำเกลือคงหมดพอดีว่ะ อยากออกไปดูการแสดงรอบกองไฟ” ป่านนี้คงเริ่มการแสดงกันไปแล้วครับ ไม่รู้ใครจะมาเล่นแทนผมแต่คงหาคนได้ไม่อยากเพราะผมไม่ได้รับบทเด่นอะไร
“กูจะรีบไปรีบมานะ” ไอ้แบตว่าผมก็พยักหน้าให้มันถึงยอมเดินถือชามข้าวต้มที่เหลือออกจากประตูไป
โอ๊ก!!...........โอ๊ก!!...........
เสียงโก่งคออาเจียนดังไปทั่วห้องน้ำ ตอนนี้ผมแทบเกาะขอบชักโครกอาเจียนถ้าไม่ติดสายน้ำเกลือที่ต้องหิ้วมาด้วย หลังจากไอ้แบตออกไปยังไม่พ้นประตูดี ความรู้สึกปั่นป่วนก็ตีขึ้นจากช่องท้องมาจุกอยู่ที่คอ ผมรีบก้าวลงจากเตียงอย่างทุลักทุเลเพื่อพาเจ้าขวดน้ำเกลือมาเข้าห้องน้ำด้วย แล้วทุกสิ่งที่อยู่ในท้องมันก็ถูกระบายออก ผมอาเจียนจนแสบจมูกแสบคอ น้ำตาก็ไหล ทั้งที่อาเจียนจนมีแต่น้ำ ไม่เหลืออะไรแล้วมันก็ยังรู้สึกอยากอาเจียนอยู่เลยครับ
“มึงกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่”
“กูจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับมึง ทำไมหวงของที่ทิ้งไปแล้วรึไง” หลังอาการดีขึ้น ผมป้วนปากเสร็จแล้วออกจากห้องน้ำเพื่อจะเดินกลับไปที่เตียงแต่ก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันดังลอดเข้ามาในห้อง
“ไอ้สัส! กูบอกแล้วว่าไม่ได้ทิ้ง แล้วมึงก็เคยรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับวี”
“นั่นมันเรื่องสมัยไหน กูไม่ยุ่งเพราะเห็นว่าเพื่อนอย่างมึงจีบไง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ตัวเองไม่เอาก็อย่ามาหวงก้างเพื่อน กูจะดูแลวีเองมึงนั่นแหละหลบไป”
“กูไม่หลบจนกว่ามึงจะรับปากกูว่าจะไม่ยุ่งกับวีอีก”
“ เรื่องนี้วีต้องเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่เรื่องของมึง!!”
“ไอ้โย!!”
“มึงเป็นคนตีตัวออกมาจากน้องเองแล้วจะมาโวยวายอะไร ทำตัวจะเป็นตายทั้งที่มีแฟนใหม่แทบทันที มึงบอกกูสิว่าควรให้กูสงสารมึงไหมที่มึงทำตัวเองแบบนี้”
“..............................”
“วีเป็นคนไม่ได้เป็นตุ๊กตา น้องมันมีหัวใจนะเว้ยไม่ใช่มึงอยากให้ชีวิตน้องเป็นแบบไหน น้องก็ต้องทำตาม เป็นตามที่มึงอยากให้เป็น มึงไปกำหนดชีวิตน้องไม่ได้มึงไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล”
“กูไม่ได้................”
“มึงไม่ได้อะไร มึงนั่นแหละตัวดี กูจะบอกให้หายโง่ มึงมันเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ดูน้องมันดิตอนนี้มีความสุขไหม มีความสุขอย่างที่มึงอยากให้มีไหม ถ้ากูปล่อยให้มึงจีบน้องแล้วมึงทำกับน้องแบบนี้ ต่อไปมึงอย่างหวังว่ากูจะให้แม้แต่เข้าใกล้ ”
“ถึงกูจะโง่ที่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของวี แต่มึงก็ไม่มีสิทธ์ยุ่งกับเรื่องนี้”
“ความสุขเหี้ยอะไรของมึง มึงมองบ้าง น้องมันมีความสุขจนต้องเป็นลมเป็นแร้ง หามกันมาถึงห้องพยาบาลแบบนี้เหรอที่มึงเรียกความสุข กูจะไม่ทนดูมึงทำร้ายทั้งร่ายกายและจิตใจน้อง โดนไม่ทำอะไรอีกต่อไป หลบ”
“เฮ้ย! ไอ้วีมึงเป็นอะไรทำไมมานั่งร้องไห้ตรงนี้”
“อึก...ไอ้แบตกะ...กูไม่รู้ กูสับสน อึกมึงช่วย....ช่วยกูนะช่วยกูด้วยนะ อึก....กูเจ็บ เจ็บตรงนี้เจ็บเหลือเกิน” ผมโผเข้ากอดทันทีที่มันยื่นมือเข้ามาจะช่วยพยุงผมที่นั่งอยู่หน้าประตูขึ้นยืน จานใส่ผลไม้ที่มันถือมาร่วงไปกองอยู่ที่พื้นข้างตัว หลังจากเสียงคุยกันด้านนอกเงียบไปผมก็ได้แต่นั่งสับสนอยู่ตรงนี้ ไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองยังไงดี
“มึงเป็นอะไร ใจเย็นๆค่อยๆเล่านะ”
ตอนนี้หัวใจผมมันไม่แข็งแรงเลยครับ เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นเลย ทั้งที่รู้ว่าพี่โยเป็นห่วงและหวังดีกับผมมากขนาดไหนแต่มันก็ยังไม่ดีใจเท่ารู้ว่าพี่ชินยังหวงผมอยู่ นั่นแปลว่าพี่ชินยังมีผมอยู่ในหัวใจใช่ไหม แม้มันจะเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆแต่มันก็ยังมีเหลือใช่ไหม เพียงเท่านี้ความตั้งใจที่จะลืมพี่ชินของผมก็พังทลาย ผมแทบอยากวิ่งเข้าไปขอร้อง อ้อนวอนให้พี่ชินกลับมา กลับมาเถอะกลับมารักกันเหมือนเดิม
แต่ความถูกต้องมันกำลังตีกับความต้องการจนยุงเหยิงไปหมด ผมต้องเตือนตัวเองว่าตอนนี้พี่ชินมีแฟนแล้ว พี่ชินไม่ใช่ของผมแล้วผมต้องทำใจ ต้องตัดใจให้ได้แต่มันยากเหลือเกิน
“กู....อึก....กูจะทำยังไงดี กูลืมพี่ชินไม่ได้”
“...............................”
“กูรู้ว่า.....อึก....มันผิด...แต่กูพยายามแล้ว .....กูจะทำยังไงดี มึงบอกกูหน่อยว่ากูควรทำยังไง แค่ได้ยินเสียง แค่รับรู้ว่าเขายังห่วงยังหวง กูก็ดีใจแทบบ้า อึก.....กูเกลียดตัวเองว่ะ ทำไมวะทำไมกูถึงลืมไม่ได้ซะที” ผมร้องไปพูดไปจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ตอนนี้เสื้อมันคงเปียกไปด้วยน้ำตาแต่ผมก็ไม่สนใจ
“มึงต้องเข้มแข็งนะ กูรู้ว่ามึงทำได้แต่มันคงต้องใช้เวลา กูอยู่ตรงนี้อยู่กับมึงตรงนี้มีอะไรบอกกู”
“บอกกูที กูต้องทำยังไงถึงจะลืมพี่ชินได้”
“มึงต้องเข้มแข็งไง เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจแล้วมึงก็จะเอาชนะความรู้สึกนั้นได้เอง”
“มึงต้องช่วยกูนะ สัญญาสิว่าจะช่วยกู ทำให้กูลืมพี่ชินให้ได้ กูไม่อยากทรมานแบบนี้อีกแล้ว”
“ความทรมานมันอยู่ที่ใจ ถ้ามึงปล่อยได้เมื่อไหร่มึงก็จะสบายเอง”
“ปล่อยเหรอ” ผมเงยหน้าจากเสื้อที่ชื้นน้ำตา ขึ้นจ้องหน้า
“อืม อะไรที่ทำให้มึงไม่สบายใจก็ปล่อยมันไปอย่าไปยึดติด เอาแบบนี้ไหมมึงก็ถือซะว่าครั้งนี้เรามาเที่ยวพักผ่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะพาไปปั่นรถเล่น ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างมึงอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“ปั่นรถจักรยานเหรอ”
“ใช่รถจักรยานปั่นไปตามแนวสนช่วงเช้าๆอากาศดีนะ” ครั้งก่อนผมก็ถีบรถจักรยานกับพี่ชินเหมือนกัน แต่ครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้
“ไปสิ” ผมไม่อยากทำให้ไอ้แบตมันผิดหวังที่อุตส่าห์ช่วยคิดหาทางออกให้เลยยอมตกลงไป ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิมแน่
“งั้นวันนี้มึงไปนอนที่เตียงก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปกัน”
“แต่กูอยากออกไปดูการแสดงรอบกองไฟ”
“มึงป่วยขนาดนี้ยังอยากจะไปอีกนะ ไม่ต้องเลยมึงไปนอนที่เตียงเดี๋ยวนี้”
หลังจากมันพยุงผมกลับมานอนที่เตียงได้สำเร็จมันก็นั่งเฝ้าไม่ยอมให้ผมขยับตัวไปไหนอีก ผมก็เอาแต่นอนคิดวกวนในเรื่องเดิมๆซ้ำมาซ้ำไปจนลูกแพรเข้ามาเยี่ยมพร้อมพี่โย ไอ้แบตเลยขอตัวไปอาบน้ำก่อนจะกลับมานอนเฝ้าผมอีกครั้ง ตอนแรกน้ำเกลือหมดผมจะกลับไปนอนที่บ้านพักของตัวเองแต่ไอ้แบตกับพี่โยไม่ยอมจะให้ผมนอนที่นี่เพื่อดูอาการก่อน ผมเลยจำใจนอนจนถึงเช้า
เมื่อคืนผมฝันด้วยครับเป็นฝันดีที่มีพี่ชินอยู่ข้างๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วมีคนมานั่งอยู่ข้างเตียงคอยจับมือผมไว้แล้วฟุบหน้ากับเตียงที่ผมนอน ตอนแรกผมนึกว่าไอ้แบตแต่มองไปในเงาสลัวกลับเห็นมันก็นอนอยู่ที่โซฟาไม่ห่างกัน ดังนั้นคนที่จับมือผมต้องไม่ใช่มันแน่ๆ ความอบอุ่นที่ได้รับผ่านสัมผัสที่ปลายนิ้วบอกผมว่ามันเป็นสัมผัสที่ผมคุ้นเคย สัมผัสที่ผมโหยหามาหลายเดือน ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นพี่ชินของผมแน่ๆ
อยากเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมนุ่มตรงหน้าเหลือเกินแต่ก็กลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป เป็นเพียงนโนภาพที่ผมสร้างขึ้น ผมเลยได้แต่นอนมองและรับสัมผัสอบอุ่นจากมือที่โดนจับไว้จนหลับตอนไหนไม่รู้ ตื่นเช้ามาในห้องก็ไม่เหลือใครนอกจะผมคนเดียว ผมเลยคิดว่าเมื่อคืนผมต้องฝันแน่ๆครับ ก็ผมไม่ได้เจอพี่ชินมาตั้งนานพอเจอเลยเก็บมาฝันสินะ
“ไอ้วีทางนี้ มึงปั่นไหวแน่นะ”
“ไหวดิ กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเว้ย” ผมว่าไอ้แบตก่อนยิ้มให้ลูกแพรที่ยืนอยู่ข้างกัน หลังจากกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็เดินมาหาไอ้แบตที่ยืนรอไปปั่นจักรยานด้วยกันตามนัด
“ถ้าไหว งั้นก็กันเลยเนอะ” ลูกแพรว่ายิ้มๆ เมื่อผมพยักหน้าไอ้แบตกับลูกแพรก็เริ่มปั่นจักรยานนำหน้า ผมก็ปั่นตามไปติดๆ เช้าๆแบบนี้อากาศเย็นสดชื่นมากเลยครับ ลมเย็นๆปะทะหน้าไปตลอดทาง ผมปั่นไปเรื่อยๆพร้อมกับนึกถึงวันเวลาที่เคยมีความสุขร่วมกับใครอีกคนหนึ่ง ตอนผมเราปั่นจักรยานคันเดียวกัน ถึงผมจะโดนแกล้งให้เอาผู้ชายตัวโตซ้อนท้าย แต่ก็ยังยิ้มได้ไม่เหมือนตอนนี้ที่ต้องปั่นคนเดียวมันไม่สนุกเอาซะเลยครับ
“ไอ้แบต ลูกแพร ปั่นไปกันก่อนเลยนะ” ผมบอกพร้อมชะลอความเร็วรถลงเรื่อยๆ
“อ้าวทำไมล่ะวี” ลูกแพรหันมาถามพร้อมหยุดรถตาม
“วีปั่นไม่ไหวแล้ว ขอเดินเล่นแถวนี้แทนนะ”
“แบตงั้นเราเดินเล่นกันไหม”
“เดินเล่นก็ดีนะ”
“เฮ้ย! ไม่ต้องไปปั่นรถจักรยานเล่นกันเถอะ ข้างหน้าคงจะสวยกว่านี้” ผมเคยไปแล้วสวยจริงๆเลยอยากให้มันไปปั่นรถเล่นกัน ไม่อยากให้มาคิดมากกับเรื่องของผม
“แต่.......”
“กูขอเดินเล่นคนเดียวนะ ขอให้กูได้คิดอะไรหน่อย” ผมบอกไอ้แบตเบาๆ มันจ้องหน้านิ่งเหมือนกำลังตัดสินใจ
“มึงจะไม่ทำอะไรโง่ๆใช่ไหม” มันถามเสียงนิ่ง
“กูไม่ได้สิ้นคิดขนาดนั้นมึงไม่ต้องห่วง ไปเที่ยวกันเถอะ” ผมว่าก่อนยิ้มให้ทั้ง 2 คน
“งั้นเดี๋ยวกูกลับมารับนะ”
“อืม ไม่ต้องรีบ” ผมว่าก่อนมันจะเริ่มปั่นนำลูกแพรออกไป ผมมองจนลับตาก่อนเข็นรถจักรยานมาแอบไว้ข้างต้นสน แล้วเดินจากถนนลงไปริมชายหาดที่ทอดยาวและมีแสงแดดอ่อนๆ ตอนนี้ยังไม่ร้อนมาก
ผมถอดรองเท้าเดินไปเรื่อยๆตามทางที่ทอดยาว ปล่อยให้น้ำทะเลซัดฟองคลื่นมากระทบขาให้ความรู้สึกเย็นสบาย ตอนนี้เหมือนใจจะสงบลงเมื่อได้อยู่กับธรรมชาติ แบบนี้หรือป่าวนะที่เขาเรียกกันว่าปล่อยให้ธรรมชาติได้เยี่ยวยาหัวใจ
----- โปรดติดตามตอนต่อไป -----
ไม่รู้จะบอกว่าอะไร นอกจากอย่าเกลียดพี่ชินเลยค่ะ