บทที่ 13
ดูเหมือนว่าคราวนี้ไข้ของผมจะหนักหนาสาหัสกว่าคราวที่แล้ว
ไซม่อนขับพาแดนไปส่งที่บ้านแล้วจึงขับมาที่บ้านของผม ผมไม่มีโอกาสได้ลงไปทักทายแองเจลีน่าครั้งนี้เพราะรู้สึกปวดหัวจนคอแทบจะพับอยู่แล้ว และไซม่อนก็กำชับนักหนาให้ผมนอนอยู่เฉย ๆ จนกว่าจะถึงบ้าน ซึ่งต่อให้หมอนี่ไม่พูดแบบนั้นผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แค่หายใจแรงขึ้นมานิดหนึ่งก็สะเทือนจนมึนหัวแล้วเนี่ย
“ออสติน” เสียงคนข้างตัวเอ่ยเรียกหลังจากที่รถจอดสนิท ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างไม่ชอบใจ การที่รถจอดแล้วก็หมายความว่าเราถึงบ้าน และถ้าเราถึงบ้านแล้ว ผมก็ต้องอดทนกัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านน่ะสิ
ไม่อยากลุกเลย… ปวดหัวเป็นบ้า ขอนอนในรถเลยได้ไหมเนี่ย
“ออสตินครับ คนดี” เสียงทุ้มต่ำว่าพร้อมกับเลื่อนมือลงมาแตะหน้าผมเบา ๆ สัมผัสอบอุ่นนั่นชวนให้รู้สึกดี แต่ตอนนี้ผมปวดหัว อยากจะอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่า “ลงจากรถกันเถอะครับ เดี๋ยวผมพาคุณไปนอนแล้วก็เช็ดตัวให้นะ แล้วคุณก็ต้องกินอะไรสักหน่อยจะได้กินยา”
“อืม” ผมครางรับงึมงำ นี่ผมเป็นหมอนะเว้ย ไม่สิ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ไม่ต้องเป็นหมอก็รู้ “ไซม่อน ผมปวดหัว”
“ผมรู้แล้วครับ ตัวคุณร้อนจี๋เลย คุณรอตรงนั้นแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวผมอุ้มคุณเอง”
อื๊อ? อะไรนะ เมื่อกี้ไอ้หมอนี่บอกจะอุ้มผมงั้นเหรอ?
เออ แต่มันก็เคยแบกผมขึ้นหลังมันขี่คอมาก่อนนี่หว่า เพราะงั้นจะปล่อยให้ไซม่อนอุ้มอีกสักรอบก็คงไม่ต่างอะไรกันมากเท่าไรหรอกมั้ง
ไซม่อนเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ ผมอาศัยฟังจากเสียงเอาเพราะตาทั้งสองข้างยังปิดสนิทอย่างอ่อนล้า มือหนาเลื่อนมาประคองร่างผมอย่างระมัดระวัง ผมรู้สึกได้ถึงความพยายามของเขาที่จะไม่ทำให้ร่างกายผมสะเทือนมากเท่าที่จะทำได้
ผมชอบที่เขาทำแบบนั้นจัง มันรู้สึกเหมือนเขาใส่ใจผมทุกอย่างจริง ๆ นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าเขามีเรื่องอะไรปิดบังผมไว้และเพราะอะไร
“อดทนหน่อยนะครับ ออสติน เดี๋ยวผมพาคุณขึ้นไปด้านบน อาจจะกระเทือนตอนขึ้นบันไดหน่อย”
ผมพยักหน้ารับแผ่วเบา รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ จนครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ทรมานจัง อยากกินยาแล้วนอนพักให้หายเร็ว ๆ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดต่อว่าจะถามไซม่อนยังไงดีเกี่ยวกับเรื่องของแบรด
ร่างของผมค่อย ๆ ถูกวางลงที่เตียง ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มอีกคนเดินห่างออกไป จากนั้นทุกอย่างก็ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไร เหมือนได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากก๊อก เสียงเปิดประตูสลับกับเสียงฝีเท้า สัมผัสของผ้าอุ่นที่แตะลงมาบนตัว เสียงโทรศัพท์มือถือ
นั่นไม่ใช่ริงโทนที่ผมตั้งค่าเอาไว้ ดังนั้นผมจึงแน่ใจว่ามันเป็นของไซม่อน ได้ยินเสียงเขากรอกคำพูดลงในนั้น มันฟังดูจริงจังและเคร่งเครียดไม่น้อย คงจะเป็นเรื่องงาน ผมอาจจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่เขากำลังคุยกับคนปลายสาย แต่ก็พอจะจับใจความได้
เขากำลังลังเลใจว่าควรจะไปสมทบกับคู่หูของเขาในภารกิจยามค่ำคืนรึเปล่า เขารู้ว่าเขาโดดมาทั้งวันเพื่อพาหลานเที่ยวแล้ววันนี้ เพราะงั้นเขาควรจะไปตามที่อีกฝ่ายขอ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก ผมไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยดูแลตอนป่วยนะ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น… ผมจับน้ำเสียงร้อนรนของเขาได้ว่าเขาอยากไปทำงาน
“ไปเถอะ ไซม่อน” ผมเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกขมคอไปหมด
ไซม่อนหันมามองผมด้วยสีหน้าลำบากใจทันที จากนั้นจึงกรอกเสียงลงในโทรศัพท์เพื่อบอกปลายสายว่าจะโทรกลับไปใหม่ในอีกสิบนาที ขาเรียวก้าวเข้ามาประชิดข้างเตียง
“แต่คุณ--”
“ผมไม่เป็นไรหรอก” ผมส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา ปล่อยให้อีกฝ่ายไล้ฝ่ามือลงมาบนแก้มอย่างอ่อนโยน ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาตอบ ใจจริงแล้วไม่อยากให้เขาไปเลย แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้รุนแรงมากเท่ากับที่อยากให้เขาไป “คุณไปทำงานเถอะ ไซม่อน วันนี้เล่นมาทั้งวันแล้ว”
“พูดอย่างกับผมเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นแล้วก็ไม่ยอมเรียนหนังสือหรือทำการบ้านไปได้” ชายหนุ่มแสร้งตีหน้ามุ่ยเหมือนงอน นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมานิดหนึ่ง
“ก็จริงไหมล่ะ คุณ ถ้าไม่ตั้งใจโฟกัสกับคดีคุณก็จับคนร้ายได้ยากนะ”
“ผมรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วน่า คุณหมอ” น้ำเสียงเขาออดอ้อนเล็กน้อย ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ กระตุกเสื้อให้อีกฝ่ายโน้มหน้าลงมานิดหนึ่งจากนั้นจึงหอมแก้มเขาแผ่วเบา
ไซม่อนยกยิ้มอย่างพึงพอใจทีเดียว “แค่แก้มเองเหรอครับ?”
“นี่คุณ ผมไม่สบายอยู่นะ แค่นี้ก็พอแล้ว” ผมว่า เห้นสายตาวับ ๆ ล้อเลียนของหมอนี่แล้วชักอยากถีบมันออกจากห้องตอนนี้เลย “ไปทำงาน… แค่ก ได้แล้วคุณ ยิ่งมีคุณมากวนผมยิ่งไม่หายแหง”
“กล่าวหากันแบบนี้ใจร้ายจัง” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ยี่หระ เอื้อมมือไปรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วเลื่อนมาบริเวณริมฝีปากผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นไปดื่มน้ำแก้วนั้น ไซม่อนก็หยุดมือลงเสียก่อน ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ นี่มันรู้ใช่ไหมเนี่ยว่าผมตัวร้อนไข้ขึ้นอยู่ “ผมว่าคุณคงลุกมาดื่มน้ำไม่ไหวใช่ไหม”
“ไม่ ผมลุกไหว” ผมว่าพลางใช้แขนดันตัวเองขึ้น แต่ไซม่อนดันร่างผมกลับลงไปบนเตียง ส่งยิ้มบางให้ก่อนจะกระดกน้ำในแก้วขึ้นดื่ม เลื่อนหน้าลงมาทาบริมฝีปากแน่น
ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ หลับตาแน่นขึ้น ของเหลวอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาในโพรงปาก ผมกลืนมันลงคอดังอึก และแทนที่จัดการงานของตัวเองเสร็จแล้วจะถอยออกไป ไซม่อนกลับกวาดลิ้นเข้ามาอย่างอ่อนหวาน มันลากบนเพดานปากไปมาทำเอาผมตัวสั่น มือเลื่อนไปพยายามดันอีกฝ่ายออก ไซม่อนตบท้ายจูบนั้นด้วยการลากลิ้นลงบนฟันล่าง จากนั้นจึงเลื่อนใบหน้าออกแล้วส่งยิ้มยียวนมาให้
“อะ… อือ” ผมครางออกมาเบา ๆ พร้อมกับเลื่อนมือผลักเขาออกด้วยความเขิน “ไปทำงานได้แล้วคุณ ให้คู่หูรอนานแย่แล้ว ผมเองก็ต้องพักนะ”
“คุณแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียวได้”
“ผมอยู่ได้น่า”
“ถ้าคุณอยากให้ผมหาใครมา--”
ผมโบกมือขึ้นกลางอากาศ ปฏิเสธข้อเสนอนั้น
“ผมแค่ต้องการนอนเงียบๆ น่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้ว คุณไม่เคยเป็นไข้หรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีวิธีรักษายังไง”
ไซม่อนยกยิ้มบาง จูบลงบนหน้าผากของผมอีกรอบอย่างแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ ออสติน ฝันดีครับ”
“อื้ม” ผมบีบมือเขาแน่นเป็นครั้งสุดท้าย สงสัยจะเพ้อจนเริ่มคิดอะไรไม่ออก “ระวังตัวด้วยนะ ไซม่อน”
เขารับปากยิ้มๆ หากเมื่อหันหน้ากลับไป ควักโทรศัพท์ขึ้นมารอยยิ้มอ่อนโยนพวกนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศรอบตัวเขาตอนอยู่กับผมกับตอนทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมสังเกตตั้งแต่ตอนที่เห็นเขานั่งอ่านแฟ้มคดีของตัวเองเงียบๆ ครั้งแรกแล้ว เหมือนมีบรรยากาศหนักอึ้งบางอย่างโอบรอบตัวเขาไว้เวลาที่เป็นเรื่องของคดี
ความเอาจริงเอาจังนั่น แววตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววเย็นชา ผมเดาว่านั่นคงเป็นสายตาที่เขามีให้คนที่ตัวเองกำลังตามล่าอยู่ มันต่างกับสายตาที่เขามองผมอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่รู้สินะ ผมชอบทั้งสองแบบเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมว่ามันเหมาะกับไซม่อนทั้งคู่
ผมปรือตาลงเพราะยาที่กินลงไปเริ่มออกฤทธิ์ ความเงียบสงบทำให้ความกลัวในเบื้องลึกของจิตใจผมค่อย ๆ คืบคลานออกมา
ผมล้วงมือลงไปใต้หมอน ควานหาเครื่องช็อตไฟฟ้าที่มักวางไว้ตำแหน่งนั้นเสมอ พอมือสัมผัสกับตัวเครื่องนั่นความกังวลใจของผมก็หายไปเปราะหนึ่ง บางทีเจ้าเครื่องนี้อาจจะมีประโยชน์ตรงนี้ก็ได้ ช่วยทำให้ผมหลับสบาย ก็เหมือนกับการที่คนเราเอาไม้กางเขนมาอยู่ใกล้ตัวเพราะเชื่อว่ามันจะขับไล่ปีศาจให้เราได้นั่นแหละ ถึงเราจะไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันจะได้ผลรึเปล่า แต่อย่างน้อยการได้มีติดตัวเอาไว้ก็ทำให้อุ่นใจ เครื่องช็อตไฟฟ้าของผมก็เป็นอะไรคล้ายๆ แบบนั้น
พอความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม และผมอยู่ตัวคนเดียว ความคิดทั้งหมดทั้งปวงก็เริ่มโผล่ขึ้นมาตีกันในหัว
ตอนแรกก็เริ่มจากสัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือของคนที่เพิ่งเดินจากไป ผมยังรู้สึกอุ่นซ่านบนแก้มตรงบริเวณที่เขาสัมผัสอยู่เลย การคิดถึงสัมผัสนั่นทำให้ผมอบอุ่นใจ ช่วยให้ผมผ่อนคลายตัวเองลงอย่างเต็มที่ หากความคิดที่ผ่านเข้ามาต่อจากนั้นก็ทำลายมันลง ความคิดที่ว่าบางทีไซม่อนอาจมีอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับผม ผมก็คงไม่สนใจมากนักหรอก แต่จากสิ่งที่ผมพบเจอมามันมากเกินกว่าที่ทุกอย่างนี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ
เขาจะปิดบังผมเรื่องแบรดกับคริสเตียนไปทำไม… ไซม่อนเคยปิดบังผมเรื่องที่เขารู้ว่าผมเคยโดนข่มขืนมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง นั่นทำลายความเชื่อใจของผมที่มีต่อเขาลงหน่อย แต่ผมก็แก้ตัวให้เขาไปว่ามันคงเป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดถึงลำบาก งั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันตกไป ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย แต่เรื่องที่ผมกำลังขบคิดอยู่นี่สิ มันดูไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ
ตกลงว่าคริสส่งของพวกนั้นมาทำไม?
เขาส่งรูปครอบครัวของแบรดมาให้ผมทำไม?
อะไรคือจุดเชื่อมโยงของของทุกอย่างนั่น?
บางทีผมอาจต้องแวะไปที่สถานีตำรวจแล้วคุยกับฮันนาห์ แลนดี้ เจ้าหน้าที่สืบสวนที่จัดการกับคดีคริสเตียนเสียหน่อยแล้ว เผื่อว่าหล่อนจะมีทฤษฎีดีๆ ที่เชื่อมโยงของทั้งหมดนั่นด้วยกันกับคริสเตียน แล้วก็เผื่อมีความคืบหน้าอะไรใหม่ๆ ด้วย
“อา…” ผมครางออกมาเบาๆ เพราะรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกระลอก พลิกตัวให้หันตะแคงไปอีกทาง แต่ไม่ว่าขยับตัวยังไงผมก็หาตำแหน่งที่นอนสบายๆ ไม่ได้เสียที
คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน
ผมหยุดคิดเรื่องของเขาไม่ได้เลยตั้งแต่หลังกลับมาจากศาลนั่น และผมไม่ได้หมายถึงว่าผมกำลังคิดถึงเขาเพราะอาลัยอาวรณ์อะไรแบบนั้น ผมคิดถึงเขาเพราะนึกอยากฆ่าเขาให้ตายต่างหาก
“อึก” เสียงครวญครางดังออกมาอีกรอบเหมือนเด็กเล็ก ๆ นึกอยากให้คนที่เพิ่งจากไปอยู่กับผมตรงนี้ ความกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นโถมเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง และคราวนี้ผมหยุดมันไม่อยู่ รู้สึกได้เลยว่าร่างกายสั่นง่ก
ผมหนาวเพราะว่าเป็นไข้ และบางทีก็อาจจะเพราะอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นความดำมืดที่อยู่ในจิตใจของผมเอง หรือไม่ก็ภาพความทรงจำที่ย้อนกลับมาหลอกหลอนอยู่ซ้ำๆ
ผมข่มตาลง พยายามบังคับให้ตัวเองหลับๆ ไปซะจะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องพวกนั้น แต่แน่นอนล่ะว่านั่นทำได้ไม่ง่ายเลย
ผมไม่สามารถลบภาพในอดีตได้ และตอนนี้มันก็กำลังกลับมาเล่นงานผมอีกครั้ง
…
เช้าวันนั้น หลังจากที่คริสเตียนเหวี่ยงผมลงเตียงไปเมื่อคืน
ผมตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้า รู้สึกร่างกายปวดไปหมดทุกส่วนจนไม่อยากขยับไปไหน นัยน์ตากวาดมองรอบๆ ห้องนอนของตัวเองอย่างสำรวจ ทุกอย่างในนี้ยังคงปกติดี มีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ที่มุมห้อง โต๊ะสำหรับอ่านหนังสือแล้วก็ทำงานอยู่ข้างๆ ตู้หนังสือที่ทำจากไม้ซึ่งใช้งานมาหลายสิบปีแล้ว ทันใดนั้นเองผมก็สะดุ้งตัววาบด้วยความตกใจเมื่อนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ตัวเองจะลืมตาตื่นขึ้นมาแบบนี้
คริสเตียนเพิ่งจับผมกดลงกับเตียง ไอ้ระยำนั่น คิดว่าเป็นแฟนกันแล้วจะมาขืนใจกันแบบนี้ก็ได้เหรอ นี่ยังไม่นับรวมที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนของทางรัฐบาลด้วยนะ ไม่เลวไปหน่อยเหรอ ไม่กลัวเลยรึไงว่าผมจะเอาไปบอกที่ทำงานเขาแล้วมันจะกระทบถึงหน้าที่การงาน
“อือ…” ผมครางออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้มือยันตัวลุกขึ้นนั่งบนฟูกเตียง ผมก้มลงมองข้อมือของตัวเอง ตอนนี้มันเป็นอิสระออกจากกันแล้ว ขอบคุณมากเลยที่เอากุญแจมืองี่เง่านั่นออก หมอนั่นมันรู้ระเบียบของงานที่ตัวเองทำอยู่บ้างไหมวะ ที่เขาทำลงไปเมื่อคืนนั่นถือว่าอุกอาจมากเลยนะ แล้วเซ็กส์เมื่อคืนนั่น… ให้ตายสิ คือปกติเวลาที่เราทำกันมันก็ค่อนข้างรุนแรงนั่นแหละ เพราะงั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถ้าให้เทียบกับที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมมากเท่าไรหรอก ทางด้านกายภาพน่ะนะ แต่ถ้าพูดกันทางด้านจิตใจแล้ว… ผมบอกได้เลยว่าป่นปี้
เขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ก็เขาเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่ารักผม บอกว่าจะคอยดูแลผม แล้วไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันอะไรกัน มันสวนกับสิ่งที่เขาพูดออกมาชัดๆ คนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก ถูกไหม
“อุบ…” ผมยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนจนอยากจะสำรอกออกมา แต่ผมก็รู้ดีว่าต่อให้โก่งคอยังไงก็คงไม่มีอะไรออกมาหรอก ผมไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ปวดท้องชะมัด แล้วก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด
ผมเดินเซไปเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ที่หดหู่ถึงขีดสุด ผมต้องไปทำงาน… ตอนนี้งานของหน่วยล้นมือจนแทบจะต้องเกณฑ์คนจากเขตอื่นมาช่วย ผมไม่อยากขาดงานเพราะเหตุผลส่วนตัว โดยเฉพาะกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยแล้ว
ผมโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหลังจากที่อาบน้ำ เตรียมอาหารเช้าวางอยู่ตรงหน้าเรียบร้อย ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับดูสิ่งที่อยู่ในนั้น มีข้อความจากคริสเตียนส่งมาถึงผม ข้อความที่ว่านั่นยาวเหยียดราวกับรายงานปลายภาคการศึกษาของเด็กมหาลัย ผมกวาดตาอ่านข้อความที่ว่านั้นด้วยอารมณ์เฉยชา สรุปสั้นๆ ออกมาให้ได้ใจความก็คือ… เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปกับผมเมื่อคืน อยากจะขอโทษ อยากให้ผมให้อภัยเขา ทุกอย่างเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ
ไอ้ระยำเอ๊ย…
ผมสูดหายใจเฮือกเพื่อระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง กดปุ่มพักหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางมันบนโต๊ะด้วยแรงที่มากกว่าปกติเล็กน้อย ยกถ้วยกาแฟขึ้นมากรอกปากอีกรอบอย่างหัวเสีย กลิ่นหอมกรุ่นที่ลอยมาแตะจมูกไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีอะไรขึ้นมาเท่าไหร่นัก ผมต้องหาใครสักคนคุยด้วยเรื่องนี้ ผมต้องหาที่ระบาย มันอึดอัดจนเหมือนข้างในจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเนี่ย
“เฮ้อ…” อดไม่อยู่ ต้องถอนหายใจยาวออกมาจนได้ จนถึงตอนนี้ ผมมีแค่คำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวเท่านั้น
เขาทำกับผมได้ยังไง? นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เราทะเลาะกันมาทั้งหมดเลยนะ ก็ไหนเขาบอกว่ารักผมไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าเราสองคนรักกันหรอกเหรอ? แล้วทำไมมันถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ไปได้วะ?
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าอย่างอ่อนล้า รู้สึกถึงแรงกดดันที่กดทับลงมาบนบ่า มันหนักอึ้งจนแทบจะรับเอาไว้ไม่ไหว
ผมทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ
.
.
.
(50%)
-----------------------------------------------
Talk: เมื่อวาน.... ลืมอัพนิยาย 5555555 //แงงงง เค้าขอโทษ
มานึกขึ้นได้ตอนทำงานวันนี้ เหลือบไปมองปฏิทินแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง วันนี้วันศุกร์ ทำงานวันสุดท้าย
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า.... เมื่อวานวันพฤ... แต่ลืมอัพ
ถถถถถถถ ไม่มีใครทวงเลย!!!
#ไซออส #sweetsanctuary