คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 35
หันหน้าเข้าหากัน
---------
ตรัสไม่รู้ว่าก่อนเขาจะมาถึง รติและรสนาพูดคุยกันนานเพียงใดและพูดคุยกันเรื่องอะไร แต่เมื่อเขาถามหญิงสาว นางก็เพียงทำสีหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
“เรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องใส่ใจ เรื่องที่ท่านควรใส่ใจคือครอบครัวของท่าน ตัดสินใจดีแล้วหรือที่จะมีภรรยาเป็นชาย”
“นั่นคือการตัดสินใจของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“มีภรรยาเป็นชาย ย่อมหมายความว่าจะมีลูกไม่ได้ สกุลอหัสกรจะสิ้นสุดที่ท่าน”
“ตลอดชีวิตของข้า ทำเพื่ออหัสกรเสมอมา หากสุดท้ายต้องสิ้นสุดเพราะไร้ทายาท บรรพชนก็คงไม่โมโหนัก”
“ความคิดนี้จะอยู่ได้อีกสักกี่ปีกันหนอ ตรัส”
“นั่นมันเรื่องของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
รสนามองสหายสมัยยังเยาว์ที่บัดนี้เติบใหญ่ เขาไม่เพียงเป็นผู้ใหญ่ แต่ยังมุ่งมั่นและแน่วแน่
“รติโชคดี”
หญิงสาวพึมพำแล้วยิ้มจางกับตนเอง พยักหน้าคล้ายยอมรับ
“เอาเถอะ ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องของท่านกับภรรยาของท่าน ข้าไม่เกี่ยวจริงๆ มาที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะมาลา...”
“ลา?”
“อืม...ไปเที่ยว คงไม่กลับมาสักระยะ ระหว่างนี้ก็ขอให้ง้อภรรยาให้สำเร็จด้วย”
ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร ทว่าท่าทีของเขากลับทำให้หญิงสาวฉุกใจ
“อะไร ท่าทางเช่นนั้น อย่าบอกนะว่า...ไม่เคยได้เสียกัน?”
คนนิ่งถึงกับตาเหลือก แต่คนตาเหลือกยิ่งกว่าคือรสนา นางร้องเสียงสูง
“ท่านบ้าไปแล้วหรือ?! ยังไม่ได้เสียกันอีก?!”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ตรัสอาศัยท่าทีเคร่งขรึมหมายจะให้สหายหยุดพูดเรื่องนี้ แต่คนเยี่ยงรสนา เรื่องที่นางอยากพูด มีหรือจะไม่พูด
“ก็เพราะมันเรื่องของท่านน่ะซี! ตรัส ท่านแต่งงานแล้วนะ แล้วรติก็ไม่ใช่สตรีแรกรุ่นต้องถือพรหมจรรย์”
“ข้าบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่อง...”
“เรื่องของท่านแต่ท่านนิ่งเฉยแบบนี้น่ะสิ เรื่องถึงเลยเถิด”
ตรัสกะพริบตาปริบๆ จู่ๆก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนผิดขึ้นมาชอบกล
“ท่านกับภรรยาแต่งงานกันแล้ว ถึงจะแต่งงานคลุมถุงชน ตอนแต่งไม่รัก แต่ตอนนี้ฝ่ายนั้นหึงหวงอย่างกับอะไร ฝ่ายท่านก็มั่นคงไม่วอกแวกไปไหน เป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะปล่อยให้แยกย้ายกันนอนอีกรึ?!”
“เจ้า...” ตรัสพูดไม่ออก รสนาก็คร้านจะหงุดหงิด นางโบกมือไปมา เชื่อแล้วว่าท่านอมราช่างหูตามีแวว จับแต่งงานได้ถูกคู่เสียจริง กิ่งทองใบหยกโดยเนื้อแท้ ซึมกะทือซื่อบื้อพอกันทั้งสามีภรรยา
“เอาเถอะ! ข้าจะแนะนำเรื่องดีๆในฐานะที่แต่งงานก่อนและหย่าก่อน บางทีคำพูดก็สำคัญกว่าการกระทำ บางทีการกระทำก็สำคัญกว่าคำพูด บางทีก็ต้องใช้ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ท่านต้องพิจารณาให้ดีว่าเวลาใดควรใช้อะไร อ้อ...แล้วอย่าซื่อคิดว่าการกระทำแปลว่าทำเรื่องดีๆให้แก่กัน นั่นก็ใช่ แต่การกระทำในความหมายของข้าคือ...การร่วมหลับนอน”
“รสนา!”
“ไม่เห็นต้องดุ ข้ามีผัวมาแล้วถึงได้กล้าพูด แล้วตอนนี้ก็หย่าผัวแล้วถึงได้กล้าแนะ ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ปล่อยเอาไว้เช่นนี้ต่อไป แล้วถ้าข้ากลับมาอีกทีเห็นท่านกับภรรยาแยกกันอยู่ จะหัวเราะให้”
หญิงสาวหมุนตัวจากไปแล้ว แต่ตรัสยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
---------
แม้จะรู้สึกกระดากกับคำแนะนำของสหายเก่า แต่เมื่อเห็นภรรยายังคงเงียบซึม ตรัสก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาควรทำอะไรสักอย่าง ไหนจะเรื่องที่รสนาและรติคุยกันก่อนที่เขาจะมาถึงอีก ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร แต่ลงท้ายแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร
รสนาชอบปั่นหัวคนอื่นเพื่อความสนุก แม้ไม่มีใครสนุกกับนางเลยสักคนเดียว
ค่ำนั้น สองสามีภรรยาใช้เวลาด้วยกันที่โรงครัวเพื่อทำผงสมุนไพรสำหรับขายในวันรุ่งขึ้น ตรัสคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกัน แต่รติกลับมีท่าทีมุ่งมั่นอยู่กับการผสมสมุนไพรจนเขาไม่กล้าพูดสักคำ
จนพระจันทร์ลอยเด่นขึ้นกลางท้องฟ้า ถึงเวลาเข้านอน รติกำลังจะขอตัวไปนอนที่ห้องของน้องชาย แต่ตรัสฉวยข้อมือจับจูงเชิงบังคับให้กลับมาที่เรือนพักผ่อนของพวกเขา
“ระพีโตแล้ว หากฝันร้ายก็ต้องรู้จักแก้ฝันร้ายด้วยตนเอง”
อีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาก็โตแล้ว หากมีเรื่องขัดข้องหมองใจก็ควรแก้ไขด้วยตนเอง มิใช่หนีปัญหา
เมื่อถูกพูดเช่นนี้ รติย่อมได้แต่เม้มปาก ไม่ดื้อรั้นจะขอแยกไปนอนห้องของน้องชาย แต่พอเข้าเรือนพักผ่อนได้ เขาก็บิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินหนีเข้าไปด้านใน ตรัสต้องรีบก้าวเท้าตามไปดักหน้าไว้
“รติ...คุยกับข้าก่อน”
“ข้าง่วงแล้ว”
“คุยไม่นาน”
รตินิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ทว่าก็ยืนอยู่กับที่ราวกับพร้อมจะเข้านอนทุกเมื่อที่คุยเสร็จ
“รสนาคุยอะไรกับเจ้า”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือ...อยู่กับข้า ใยทำหน้าไม่มีความสุข”
...เพราะว่าสุขต่างหาก เพราะว่าเคยสุข วันนี้จึงทุกข์แสนสาหัส...
รติไม่อยากฟื้นฝอย เขากลืนก้อนสากในคอ แล้วเอ่ยพร่า
“ตรัส...หากท่านต้องการแต่งภรรยาใหม่ หรือต้องการมีลูก...ข้าไม่ใช่อุปสรรคของท่าน”
ฝ่ายสามีขมวดคิ้วฉับ ย้อนถามน้ำเสียงติดหงุดหงิด “รสนาพูดกับเจ้าเรื่องนี้หรือ”
“ข้าเพียงขอให้เราแยกจากกันแต่โดยดี มีเงื่อนไขเพียงเรื่องเดียวคือรุจีและระพี ขอให้พวกเขาได้เรียนหนังสืออย่างที่ท่านเคยบอกข้า ส่วนเรื่องการหย่า หากกังวลเรื่องชื่อเสียงของอหัสกร ข้ายินดีไม่ทำเอกสารในเวลานี้ แต่ขอไม่ร่วมเรือนด้วย จะให้ข้าย้ายออกไปปลูกเรือนที่ไหนก็ได้”
“ข้าไม่ให้เจ้าย้ายไปไหนทั้งนั้น!”
“แต่ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่ของท่าน”
“ข้าไม่เคยคิดจะมีครอบครัวใหม่”
รติถอนหายใจ เหนื่อยเกินกว่าจะเหนี่ยวรั้งสิ่งใด
ภรรยาที่เป็นชาย ไม่สามารถมอบทายาทให้ได้
อีกทั้งภรรยาที่มาจากการคลุมถุงชน ย่อมไม่อาจสู้ภรรยาที่เลือกด้วยหัวใจ
ทางเลือกเดียวของรติคือการถอยออกมา
“แต่ข้าไม่ใช่ภรรยาที่เกิดจากความพึงใจของท่าน ตรัส...ถ้าท่านต้องการสร้างครอบครัวใหม่ ข้ายืนยันตามที่เคยพูดไปแล้ว ข้าตามใจท่าน”
น้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าก็เรียบเฉย แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจเจ็บปวดเพียงใด
ยิ่งเจ็บ...ก็ยิ่งไม่อยากอยู่ต่อให้นานกว่านี้
รติพูดแล้วก็หมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่อีกฝ่ายดึงแขนเอาไว้
ดึงอย่างเดียวไม่พอ ตรัสกวาดแขนรั้งร่างของภรรยาเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากกับกลีบปากซีดนั่น
รติตะลึงงัน ตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย พอรู้สติจะถอยห่าง สองแขนของตรัสก็โอบรวบร่างของเขาแนบชิด ดิ้นไม่หลุด
“อื้อ!!”
สองแขนทั้งผลักทั้งดัน ใบหน้าพยายามเบี่ยงหนี หากแต่ก็หลุดจากจูบจาบจ้วงนั่นเพราะตรัสเป็นคนยอมปล่อยเอง
“ท่าน!...” รติไม่รู้จะพูดเช่นไร มองสบเข้าไปในดวงตาของคนที่ยังกอดเขาแนบชิดแล้วก็ยิ่งงุนงง เขาไม่รู้ว่าตรัสเป็นอะไร อยู่ๆถึงได้ถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้
“จากนี้ ถ้าเจ้าพูดกับข้า ถามคำถามข้า แล้วไม่รอฟังคำตอบจากข้า ข้าจะจูบเจ้า”
“ท่าน!...เพี้ยนไปแล้ว!” รติดุ ผลักอีกฝ่ายออกห่างแล้วหมุนตัวหนี แต่แขนของตรัสรวบกลับมาอยู่ในอ้อมกอดเช่นเดิมแล้วมอบรสจูบหนักหน่วงลงกับริมฝีปากที่เริ่มขึ้นสีเรื่อนั่นอีก
“อื้อ!” รติได้แต่ร้องเครือในคอ สองมือของเขาขวางกลางระหว่างอกของเขาและร่างสูง แต่เพราะอ้อมกอดนี้ช่างแนบแน่น สองมือย่อมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพยายามดันอกอีกฝ่าย...แต่ไม่เป็นผล
สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายตรัสที่ปล่อยริมฝีปากออกเอง
“ท่านทำบ้าอะไร!” ทั้งไม่เข้าใจทั้งโมโห รติไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแล้ว
“เจ้าไม่ฟังข้าพูด”
รติอ้าปากพะงาบ ไม่เข้าใจคนที่ยังกอดเขาแนบแน่นเลยสักนิด
“ท่าน...ท่านจะให้ข้าฟังอะไร”
“ฟังในสิ่งที่ข้าจะพูด” ดูเหมือนรติจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร จึงไม่ยอมหันมอง เป็นฝ่ายตรัสที่ต้องแตะปลายคางเบี่ยงใบหน้าคนที่เอาแต่มองทางอื่นให้หันกลับมามองตรงที่เขา ทีแรกไม่ยินยอม แต่เมื่อเขาดื้อดึง สุดท้ายใบหน้าของภรรยาก็หันกลับมา
ตาสบตา ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนเจ้าตัวจะเข้าใจไปแล้วว่าเขาต้องการแต่งงานใหม่และมีทายาท
“เป็นความจริง...ที่ข้าไม่คิดจะแต่งงานกับเจ้า”
รติเงียบ ดวงตาหลบลงมองพื้น
“และก็เป็นความจริง...ที่ข้าอยากมีลูก”
“ถ้าเช่นนั้น...ก็แต่งงานกับคนที่ท่านอยากแต่ง มีลูกอย่างที่ท่านอยากมี”
ไม่อาจทนฟังได้อีกแล้ว เพียงเท่านี้ก็เข้าใจแล้ว ไม่สิ...เข้าใจมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก
พวกเขาไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก อีกทั้งยังเป็นชาย ชีวิตคู่หาได้มีความสุขไม่ ลูกก็มีไม่ได้เช่นกัน
ร่างโปร่งหมุนตัวจะเดินหนีอีกครั้ง แต่ก็ถูกคว้ากลับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนอีก ตรัสก้มลงมาหมายจะทำจริงอย่างที่เปรยเอาไว้ว่าถ้าหนีเขา ไม่ฟังคำพูดเขา จะจูบเสียให้เข็ด
“ไม่ต้องจูบแล้ว!” รติรีบยกสองมือปิดปากอีกฝ่าย แต่ตรัสนั้นแข็งแรงกว่า เขารวบร่างภรรยาผู้แสนพยศด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างดึงมือของรติออกจากปากเขา
“เจ้าไม่ฟังที่ข้าจะพูด”
“ก็ได้ๆ! ฟังแล้วๆ!” รติต้องก้มหน้าหลบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะถูกจูบอีกกี่ครั้ง
“นึกว่าจะให้ข้าจูบจนปากบวมเสียก่อน จึงจะยอมฟัง” รติเงยหน้าพลัน ดวงตาเบิกโตคิดไม่ถึงว่าคนเงียบขรึมอย่างตรัสจะพูดจาเช่นนี้ แล้วพอเงยหน้าขึ้น ฝ่ายสามีก็ถึงได้เห็นว่าริมฝีปากของคนในอ้อมแขนบวมน้อยๆ
“บวมจริงๆด้วย”
“ก็...ก็ท่าน...บดลงมาได้...” พูดแล้วก็หลบสายตา ทั้งอายทั้งโกรธ อายเพราะแม้จะเป็นสามีภรรยา แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น โกรธเพราะอีกฝ่ายตั้งเงื่อนไขอย่างเอาแต่ใจ ‘ไม่ฟังจะจูบ’ โดยไม่ถามถึงความรู้สึกของเขาเลย
เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าหนี ตรัสจึงต้องเชยปลายคางขึ้นมา ในดวงตาของภรรยามีทั้งแววโกรธเคือง เสียใจ น้อยใจ เห็นแล้วสะท้อนหัวใจจนเย็นวาบไปทั้งอก
“รติ...ข้าขอโทษ...เจ็บรึเปล่า”
รติไม่กล้าบอกว่าต่อให้จะเจ็บ ก็ยังเจ็บไม่สู้ที่ใจ ไม่เข้าใจว่าตรัสทำเช่นนี้ทำไม ในเมื่อว่าอยากแต่งงานมีภรรยาเป็นคนอื่น
“...เจ็บก็บอกข้า อยากให้ข้าทำอะไรก็บอกข้า ได้โปรด...อย่าเงียบเช่นนี้”
รติยังเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ กลายเป็นฝ่ายตรัสผู้เงียบขรึมรู้สึกร้อนผ่าวจนอยากพูดให้มากกว่านี้
“เจ้าก็รู้ว่าเราแต่งงานเพราะถูกบังคับ เป็นความจริงที่ข้าไม่คิดจะแต่งงานกับเจ้าตั้งแต่แรก แต่ในเมื่อแต่งแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะแต่งกับใครอีก ส่วนหนึ่งเพราะข้า...เคยสาบานกับตนเองเอาไว้ว่าจะแต่งงานเพียงครั้งเดียว แต่นั่นก็เพียงช่วงแรกเท่านั้น นานวันเข้า ไม่ใช่คำสาบานต่อตนเองที่ทำให้ข้าไม่คิดแต่งงานกับใครอีก แต่เป็นเพราะเจ้า”
“...เพราะเจ้า...การมีเจ้าเป็นคู่ชีวิต ข้ารู้สึกว่าครบถ้วนแล้ว ไม่อยากแต่งงานใหม่ เรื่องลูกก็ไม่จำเป็นสำหรับข้าแล้วเช่นกัน ข้าอยากย้อนเวลากลับไปในคืนแต่งงานด้วยซ้ำ คืนนั้นข้าไม่ได้ดื่มสุรามงคลสักอึก น่าเสียดาย”
“ท่าน...ท่านพูดอย่างกับ...ดีใจที่แต่งงานกับข้า...”
“ความหมายข้าเป็นเช่นนั้น”
“...เพราะฉะนั้น...อย่าเข้าใจว่าข้าต้องการแต่งงานใหม่กับใครอีก อย่าคิดว่าข้าอยากมีลูกอีก และอย่าขับไสไล่ส่งข้าไปกับใคร ข้าพอใจที่ภรรยาของข้าผู้นี้...พอใจที่เป็นเจ้า”
สิ้นประโยคนั้น รสสัมผัสที่บอกถึงความพอใจ ความพึงใจก็ประทับลงมาอีก
รตินิ่งตะลึงในคราแรก จุมพิตนี้แตกต่างจากจุมพิตก่อนหน้านี้ มันอ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ ไม่จำเป็นต้องต่อต้านให้กับสัมผัสที่แสนหวานซาบซ่านเช่นนี้ทั้งๆที่หัวใจก็เรียกร้อง
เขาหลับตาลงรับรสหวานละมุนนั้นอย่างเต็มใจ อึดใจต่อมา สัมผัสแสนอ่อนโยนนั้นก็ผละออกห่างเล็กน้อย ก่อนที่ประโยคหนึ่งจะดังขึ้น
“ถ้าเจ้า...พอใจที่ข้า...คืนนี้กลับมานอนกับข้าได้ไหม...”
“...กลับมานอนด้วยกันนะ รติ”
ช่างเป็นคำอ้อนวอนที่ทำเอาหัวใจของคนถูกขอร้องสั่นสะท้าน
“ข้า...ข้าจะไปบอกระพีก่อน...”
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย”
สองสามีภรรยาออกจากเรือนพักผ่อนไปยังห้องของระพี เพื่อแจ้งข่าวแก่เด็กชายว่าคืนนี้ รติจะกลับไปนอนกับตรัส
และคืนนี้ ระพี...ต้องนอนคนเดียวเหมือนเคย
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
เหมือนจ่ายค่าตัวตรัสมากกว่า 30 กว่าตอนแรกทั้งหมดรวมกันเลยค่ะ เป็นตอนที่ตรัสพูดเยอะที่สุดแล้ว
หวังว่าพอจะให้อภัยตรัสได้บ้างนะคะ ถึงแม้ว่าจะจู่โจม เอาแต่ใจไปสักหน่อย แต่ทั้งหมดนั่นก็เพราะตรัสที่เคยใจเย็น กลายเป็นเดือดเนื้อร้อนใจทำอะไรไม่ถูก (คนไม่เคยมีความรัก มันก็...ไร้ชั้นเชิงอย่างนี้//รสนาฝากบอกมาค่ะ ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณสำหรับการอ่านเสมอมาค่ะ