34
เหยินหยางผิงเดินเข้าในสถานีพร้อมกับเหมี่ยนจื่ออู่ เมื่อเข้ามาถึงก็พบผานกู่นั่งดูเอกสารสีหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะตัวเอง เขากับเหมี่ยนจื่ออู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความหนักใจ
“พี่กู่”
“อืม พวกนายไปพักเถอะ เมื่อคืนคงยังไม่ได้นอนสินะ”
“พี่กู่ เรื่องรถคันนั้น”
“ฉันรู้แล้ว พวกนายคงไม่เจออะไรผิดสังเกตุใช่ไหม?”
“พี่รู้ได้ไง?”
“นี่ไง” ผานกู่ส่งเอกสารในมือให้พวกเขา
“พี่ไปได้รูปพวกนี้มาจากไหน?” เหมี่ยนจื่ออู่ถามขึ้นหลังจากเห็นรูปในเอกสาร เขาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อรอคำตอบจากผานกู่
“เฟ่ยซานเอามาให้เมื่อเช้า”
“ที่นี่มัน โกดังของเยี่ยนหวอนี่” เขาจำพื้นที่แถวๆ นั้นได้ มันเป็นโซนใกล้ ๆ กับโซนที่พวกเขาเข้าไปช่วยคนที่ถูกขังไว้
“อืม เฟ่ยซานไปขอมาจากดอกเตอร์เหมิ๋น”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็สามารถสืบหาเฝิงฉินฉินต่อได้แล้วสิ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดขึ้นอย่างดีใจ
“พี่กู่ พี่เป็นอะไรรึเปล่า?” เขาถามขึ้นเพราะเห็นว่าผิดสังเกตุ เหมี่ยนจื่ออู่ที่จะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่พูดออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก พวกนายไปพักเถอะ เรื่องตามหาต้วนเจียจง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เขาที่กำลังจะถาม แต่กลับเป็นเหมี่ยนจื่ออู่ที่ดึงเขาออกมา เมื่อพ้นออกจาสถานีแล้ว เหมี่ยนจื่ออู่จึงพูดกับเขา
“เจ้าหมาบ้า นี่นายดูไม่ออกเหรอว่าพี่กู่เป็นอะไร”
“ฉันว่าเขากังวลเรื่องอื่น ถึงในรูปนั้นจะไม่เห็นหน้าผู้ชายคนที่สวมฮูด และเราก็แน่ใจได้ว่า ต้วนเจียจงรู้จักกับฆาตกรแน่นอน”
“พี่กู่คิดถึงเรื่องเฟ่ยซาน”
“เฟ่ยซาน? เฟ่ยซานทำไม”
“ตั้งแต่เฟ่ยซานไปทำข่าวบนเรือ ก็ดูเหมือนกับเขาจะสนิทสนมกับดอกเตอร์เหมิ๋นมากขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ไปขอรูปจากกล้องวงจรปิดภายในโกดังมาให้พวกเราง่าย ๆ แบบนี้หรอก แล้วยังตอนที่พี่กู่อยู่ที่โรงพยาบาลอีก เฟ่ยซานไม่ได้มาเยี่ยมพี่กู่เลย มัวแต่ไปทำข่าวที่โรงแรม”
“นายจะบอกว่า เฟ่ยซานกับดอกเตอร์จอมหยิ่งนั่น...”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาสนิทกันมากแค่ไหน แต่มันก็ทำให้พี่กู่ของเราไม่สบายใจ”
“แต่ไอ้ดอกเตอร์นั่น ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะสนใจอะไรเฟ่ยซาน”
“พวกเราไม่เห็นก็จริง แต่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น”
“ชักเริ่มเป็นห่วงพี่กู่แล้วสิ”
“อืม ไว้ฉันจะลองถามเฟ่ยซานดู”
“แล้วนี่นายจะไปไหน ไอ้หมากระเป๋า”
“ก็กลับไปพักสิไอ้หมาบ้า ฉันไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่เหมือนนายนี่” เหมี่ยนจื่ออู่เดินไปยังรถของตัวเองโดยมาสนใจเขาที่วิ่งตามหลังมา
.........................................................................
ผานกู่สลัดความคิดเรื่องของหนานเฟยซานออกไป แล้วกลับมาดูข้อมูลตรงหน้าแทน เขาจะมาเสียเวลาคิดเรื่องส่วนตัวไม่ได้ เพราะมีชีวิตของเฝิงฉินฉินเป็นเดิมพันอยู่
“อากู ฉันได้ยินว่านายได้เบาะแสเกี่ยวกับฆาตกรในคดีฆ่ารัดคอ” ชิวกัมหงเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับตู้เห่า
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก พวกนายดูนี่” เขาส่งรูปภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดให้คนทั้งสองดู “นี่เป็นรูปที่ได้จากกล้องวงจรปิดของโกดังเยี่ยนหวอ”
“รถคันที่ขับไปดักรถจากบริษัททำความสะอาด เราน่าจะสืบจากทะเบียนรถได้ ว่าเป็นรถของใคร” ตู้เห่าออกความเห็นหลังจากดูรูปภาพ
“ไม่ต้องไปตรวจสอบที่ไหนหรอก นี่ไงเจ้าของรถ” ชิวกัมหงวางรูปลงบนโต๊ะก่อนชี้ไปที่ต้วนเจียจง
“จากมุมนี้เราเห็นแค่รถสองคัน กลับกลุ่มคนออกมาคุยกัน แต่เราไม่เห็นเฝิงฉินฉินเลยนะ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าต้วนเจียจงกับอีกคนเป็นคนจับเฝิงฉินฉินไป”
“มีกล้องอีกตัวหนึ่งจับภาพคนทั้งหมดไว้ได้ และอาจจะเห็นเผิงฉินฉินด้วย แต่เป็นเพราะกล้องตัวนั้นอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ เฟ่ยซานเลยไม่ได้ปรินส์รูปมาให้ เขาให้เราขอความร่วมมือไปที่โกดังของเยี่ยหวอเพื่อขอดูเทปบันทึก”
“มันคงอยู่นอกเหนือความสามารถของเฟ่ยซานสินะ”
“แล้วทางต้วนเจียจงเป็นยังไงบ้าง ตามหาตัวเจอไหม?” เขาหันไปถามตู้เห่าผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้
“วันที่พวกเราเข้าไปช่วยคนออกมาจากโกดัง ต้วนเจียจงคงจะไหวตัวทัน มันกลับจากฮ่องกงมาตอนสองทุ่มเศษ แล้วก็หายไปเลย บ้านก็ไม่ได้กลับ จู้ชุนกำลังสืบอยู่ว่ามันหนีออกนอกประเทศไปรึยัง?”
คำบอกเล่าของตู้เห่าทำให้เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเลือกหารูปที่สามารถเห็นชายที่สวมฮูดได้ชัดที่สุดเท่าที่มีในตอนนี้
“นายเจออะไร อากู่” ชิวกัมหงถามขณะเขาพยายามเลือกรูป
“ฉันยังไม่แน่ใจ”
“รูปพวกนี้ก็เหมือน ๆ กันหมด นายต้องการหาอะไรกันแน่” ตู้เห่ามองดูรูปภาพที่วางกองอยู่ตรงหน้า
“ชายคนนี้มองดูแล้ว รูปร่างเขาคล้าย ๆ กับคนที่ทำร้ายฉันเมื่อสัปดาห์ก่อน”
“จริงสิ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนคนเดียวกัน” ชิวกัมหงเห็นด้วย “ครั้งแรก เฟ่ยซานถ่ายรูปของฉินหรุยกวงอยู่กับเยียนจูเฟิง ที่โกดัง F23 ต่อมา เป็นภาพของไอ้คนนี้” ชิวกัมหงชี้ไปที่รูปของชายที่สวมฮูดในรูป “อยู่กับต้วนเจียจง แถว ๆ โซนโกดัง K”
“อืม ว่าต่อเลยกัมหง”
“สิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างภาพสองภาพนี้คือต้วนเจียจง”
“ใช่ เรารู้ว่าต้วนเจียจงอาศัยฉินหรุยกวงลักลอบนำเข้าส่วนประกอบของปืนมากับสินค้า” ตู้เห่าขยายความ
“ต่อมา อากู่นายโดนใครสักคนลอบทำร้ายบนเรือของเยี่ยนจูเฟิง”
“อืม...เยี่ยนจูเฟิง ฉินหรุยกวง ต้วนเจียจง รวมถึงไอ้หมอนี่ น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน” เขาพึมพำออกมา
“ใช่แล้ว ตัดฉินหรุยกวงไป เพราะหมอนี่โดนฆ่าปิดปากไปแล้ว”
“ก่อนที่ฉันจะถูกทำร้าย ฉันได้ยินว่าชาวต่างชาติคนนั้นพอใจสินค้าของเยียนจูเฟิง”
“ถ้าวันนั้น ไอ้หมอนี่ไม่โยนนายลงทะเล พวกเราอาจจะคาดเดาไปว่า ชายคนนั้นคงซื้อเรือสักลำจากเยี่ยนจูเฟิง แต่การที่มันร้อนตัวทำร้ายนายแบบนั้น เป็นไปได้ว่าเยี่ยจูเฟิงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนเจียจง และถ้านายบอกว่า ไอ้หมอนี่รูปร่างคล้ายกับคนที่ทำร้ายนายคืนนั้น ฉันว่ามีความเป็นไปได้มาก”
“ถ้าเป็นจริงอย่างที่กัมหงอนุมาน อย่างนั้นก็ไม่ยากเลยถ้าเยี่ยนจูเฟิงจะให้ต้วนเจียจงลักลอบขึ้นเรือสักลำ เพื่อหนีออกนอกมาเก๊า” ตู้เห่าออกความเห็น
“อีกข้อหนึ่ง สิ่งที่ฉันยังสงสัยอยู่ ก็คือ ต้วนเจียจงรู้ตัวได้ยังไงว่าโกดังของเขาถูกตรวจค้น”
“เป็นไปได้ไหมว่า นอกจากโกดัง F23 F13 F14 แล้ว คนพวกนั้นอาจจะเช่าโกดังอื่น ๆ ใกล้เคียงอยู่” เขาออกความเห็น
“เป็นไปไม่ได้ ฉันกับจู้ชุนได้รายชื่อผู้เช่าโกดังทั้งหมดมาจากเยี่ยนหวอแล้ว ไม่มีโกดังไหนที่เป็นของคนพวกนี้อีกเลย”
“นายเช็คดูดีแล้วใช่ไหมอาเห่า”
“ฉันกับจู้ชุนตรวจสอบกันหลายรอบแล้ว ไม่อย่างนั้น คืนที่นายโดนแทง จู้ชุนคงไม่บังเอิญไปเจอนายเข้าหรอก”
“คืนนั้นนายรู้เหรอ ว่าจู้ชุนไปสืบคดีที่นั่น”
“เขาบอกฉันแล้ว ว่าจะแอบเข้าไปอีกตอนกลางคืน คงคิดว่าจะเจอเบาะแสอะไรดีๆ อย่างเฟ่ยซานเจอบ้างก็เป็นได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในคืนนั้น เพิ่งมารู้ทีหลังก็ตอนที่นายอยู่โรงพยาบาลแล้วนั่นแหละ”
“อืม...ตอนนี้ทางเดียวที่เราจะสืบเรื่องนี้ต่อได้ ก็มีเพียงเยี่ยนจูเฟิงเท่านั้น” ชิวกัมหงพูดกับตู้เห่า
“เดี๋ยวก่อนนะ” เขาเริ่มเอ๊ะใจอะไรบางอย่าง
“อะไรของนายอีก อากู่”
“ถ้าไอ้หมอนี่มันไปจับเผิงฉินฉินที่แอบหนีจากโกดังของต้วนเจียจง”
“ใช่ แล้วทำไม”
“ไม่ต้วนเจียจง ก็เป็นไอ้หมอนี่ หนึ่งในสองคนนี้ที่เป็นฆาตกรฆ่ารัดคอ” ตู้เห่าและชิวกัมหงต่างพากันตกใจ และเห็นด้วยกันกับเขา
หนึ่งในสองคนนี้เจอเฝิงฉินฉินเป็นพวกสุดท้าย และอดีตพนักงานที่อยู่ในรูปก็ต่างเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น สองคนนี้น่าสงสัยที่สุด
.........................................................................
ในวันหยุดของย่านช้อปปิ้ง ผู้คนมากมายต่างออกมาเดินเที่ยว จับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ตนเองพอใจ รวมไปถึงซือเมิ่งอิ๋งที่มาเดินเที่ยวพร้อมกับสามี ตั้งแต่เธอได้ร่วมงานกับดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง เธอได้มีโอกาสวิเคราะห์น้ำตากิเลน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งท้าทายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
หลังจากที่ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง ได้น้ำตากิเลนมาจากการขุดค้นครั้งล่าสุด เธอก็ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องแลปซึ่งก็นานร่วมเดือน และจากที่เธอสามารถคิดค้นยาที่ช่วยหนานเฟ่ยซานได้ในครั้งนี้ ทำให้เธอได้โบนัสพิเศษ แถมวันหยุดยาวอีกต่างหาก
“ฉันอยากไปดูเครื่องประดับร้านนั้น” เธอบอกกับสามีของเธอ หลังจากที่ทั้งคู่เดินมองดูนั่นนี่ไปรอบ ๆ แต่ยังไม่เจออะไรที่น่าสนใจ
“ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องเครื่องประดับคุณก็รู้... คุณเข้าไปเถอะ ผมจะไปรออยู่ที่ร้านหนังสือเก่าข้าง ๆ นั่น” สามีของเธอชี้ไปที่ร้านที่ตั้งอยู่ข้าง เธอก็ไม่ได้ขัดอะไร จากนั้นทั้งสองก็ต่างแยกย้ายเข้าไปในร้านที่ตนสนใจ
ซือเมิ่งอิ๋ง เข้าไปในร้านเลือกเครื่องประดับ 2-3 ชิ้น ไม่นานเธอก็ตามสามีเข้าไปในร้านหนังสือเก่า เธอพบสามีของเธอยืนอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่งอย่างสนใจ เธอไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ จึงเลือกที่จะเดินดูหนังสือภายในร้าน
ระหว่างที่เธอกำลังเลือกดูหาหนังสือเพื่ออ่านฆ่าเวลาอยู่นั้น เธอบังเอิญได้ยินคนในร้านพูดคุยกัน และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงก็เป็นคนที่เพิ่งให้รางวัลเธอเมื่อไม่นานมานี้เอง เธอจึงหยิบหนังสือส่ง ๆ จากชั้นขึ้นมาทำทีอ่านโดยไม่ได้มองว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร
“เมื่อวานเหมิ๋นหยวนฮ่างไปงานเปิดตัวกล่องสำริดที่พิพิธภัณฑ์ โดยมีนักข่าวคนนั้นตามไปด้วย” ชายที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นผู้ที่พูดพาดพิงถึงเจ้านายของเธอ
“ทำไมในข่าวฉันไม่เห็นมัน” คนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกค้า ส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้คนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ซือหวูเห็นพวกมันอยู่ด้วยกัน นักข่าวคนนั้นไม่ได้เข้าไปในงานด้วย”
“แล้วเมื่อไรซือหวูจะจัดการนักข่าวคนนั้น”
“มันเกาะติดเหมิ๋นหยวนฮ่างแจ ซือหวูยังไม่มีโอกาสลงมือ”
อีกคนที่ถูกพูดถึงคงจะเป็นคุณหนานสินะ แต่ที่คนพวกนี้ไม่รู้ก็คือ คุณหนานไม่ได้เกาะติดเจ้านายของเธอ แต่เป็นเพราะดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ยอมปล่อยคุณหนานมากกว่า
“ให้ซือหวูสืบมาให้ได้ว่า หยวนฮ่างเสร็จจากงานเปิดตัวกล่องสำริดแล้วจะกลับมาที่นี่เมื่อไร เพราะถ้าไอ้นักข่าวนั่นมันตามมาด้วย ฉันจะได้จัดการมันด้วยตัวของฉันเอง”
“ทั้งหมด 50 ดอลล่า”
ชายคนที่เป็นเจ้าของร้านส่งถุงหนังสือพร้อมทั้งเรียกเก็บเงิน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่สามีเธอเข้ามาทัก มันทำให้เธอสะดุ้งตกใจ
“อะไรกัน อ่านเพลินขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนี้คุณอ่านอะไรอยู่”
“อ่ะ อ่าน” เธอยกหนังสือในมือขึ้นมาดูหน้าปก การเตรียมตัวของคุณแม่มือใหม่ เธอยิ่งตกใจเข้าไปอีกเมื่อสามีของเธอดูจะดีใจจนออกนอกหน้า
“เมิ่งอิง นี่คุณ ผมดีใจที่สุดเลย” สามีเธอส่งเสียงดังพร้อมทั้งเข้ามากอดเธอไว้แน่น นั่นทำให้เรียกสายตาจากคนในร้านให้หันมามอง ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าที่เพิ่งจะคุยกับเจ้าของร้านเสร็จเมื่อครู่
“คุณ” เธอพูดอะไรไม่ออก รีบวางหนังสือเล่มนั้นลง แล้วลากสามีเธอออกมาจากร้าน ก่อนที่จะเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ เพราะเธอไม่อยากให้ ชายคนนั้นจำเธอได้ แต่เธอจำเขาได้ดี เพราะชายคนนี้ คือคนที่ยืนกอดคอยิ้มอย่างสนิทสนมกับเจ้านายของเธออยู่ในรูปที่แขวนไว้ในห้องทำงานของเขาที่แลป... ต้วนเจียจง
.........................................................................
ผมส่งข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมดให้พี่กู่ตามที่สัญญากับดอกเตอร์เอาไว้ จากนั้นก็เข้ามาทำงานที่สำนักงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ ดอกเตอร์คอยตามประกบผมตลอด ถึงจะไม่แสดงตัวแต่ผมก็รู้ว่าเขาอยู่แถว ๆ นี้
“เฟ่ยซาน ๆ ๆ” โฮวจีเจียนร้องเรียกชื่อของผมตั้งแต่ยังไม่ยังเห็นตัว ก่อนที่ผมจะเห็นร่างอวบ ๆ ของเขาวิ่งเข้ามา
“เป็นอะไร หรือว่านายมีอะไรให้ฉันช่วยอีก”
“นี่นายเห็นฉันเป็นคนยังไง” โฮววจีเจียนยืนเอามือท้าวกับโต๊ะของเขาไว้ ก่อนหายใจหอบออกมาเป็นระยะ ๆ
“ถ้าไม่มีอะไร ทำไมถึงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาฉันแบบนี้ละ”
“เดี๋ยว ขอพักหายใจแป๊บ”
“นายหายเหนื่อยแล้วตามฉันไปที่คลังข้อมูลก็แล้วกัน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะถูกโฮวจีเจียนกดให้นั่งลงดังเดิม และหันเก้าอี้เข้าหาเขา
“เมื่อวานฉันเห็นนายกับดอกเตอร์เหมิ๋นที่ร้านอาหารแถว ๆ พิพิธภัณฑ์”
“แล้วยังไง?”
“แล้วยังไง นายมาถามฉันกลับแบบนี้ได้ยังไง นายตั้งใจจะไปสัมภาษณ์ดอกเตอร์เหมิ๋นไม่ใช่เหรอ แล้วได้ความว่ายังไง”
“เปล่า ฉันแค่ไปกินข้าวกันเฉย ๆ”
“ไปดักรอเพื่อไปกินข้าวกับเขาเฉย ๆ เนี่ยนะ”
“ไม่ได้ไปดักรอ” ผมละไว้ไม่ได้บอกกับจีเจียนตรง ๆ ว่าผมไปกับดอกเตอร์ตั้งแต่ต้น
“นายจะบอกว่าบังเอิญเจอกับดอกเตอร์ เลยได้กินข้าวด้วยกัน แค่นั้น?”
“อืม” โฮวจีเจียนดูเหมือนคนหมดแรงในทันที เขาปล่อยมือออกจากผม ถอยหลังลงไปนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป
“เฟ่ยซานนะเฟ่ยซาน โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ ทำไมไม่เป็นฉันบ้างนนะ สวรรค์นะสวรรค์” โฮวจีเจียนยังคงพร่ำบ่นไปเรื่อย ๆ โทษนั่นโทษนี่ไปตามประสา
“นายก็อย่าโลภให้มาก สำนักงานของเราได้ทั้งสัมภาษณ์คุณฝู่ก็แล้ว คุณนายเหมิ๋นก็แล้ว แค่นี้สำนักข่าวอื่น ๆ เขาก็อิจฉาเราจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะชื่อเสียงของนายที่มากขึ้นอีก งานมีเขามาเยอะไม่ใช่หรือไง”
“เออ ฉันยอมรับว่าช่วงนี้งานมันเข้ามาเยอะ ก็เพราะข้อมูลที่นายให้มานั่นแหละ แต่การได้ลงบทสัมภาษณ์ของดอกเตอร์เหมิ๋นนี่ถือเป็นความใฝ่ฝันของฉันเลยนะ ยิ่งงานส่งมอบกล่องสำริดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่รู้ว่าดอกเตอร์จะกลับเกาลูนเมื่อไร”
“ดอกเตอร์จะกลับเกาลูนอย่างนั้นเหรอ” ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลย
“ก็ใช่นะสิ ครั้งนี้ถือว่าเขาอยู่ที่มาเก๊าได้นานที่สุดแล้ว ภาวนาขออย่าให้ดอกเตอร์ไปขุดค้นอะไรที่ไหนอีกเลย ไม่อย่างนั้นคงได้หายไปเป็นปี ๆ แน่”
“หายไปเป็นปี ๆ เลยเหรอ?”
“ก็ใช่นะสิ อย่างครั้งนี้กว่าจะได้กล่องสำริดใบนี้มา ดอกเตอร์ก็หายไปกับทีมสำรวจเกือบ 3 ปีเลยนะ”
“3 ปี”
“อืม”
ในหัวของผมตอนนี้มีแต่คำว่า 3 ปี ดอกเตอร์ใช้เวลานานแค่ไหนกันแน่ กว่าจะค้นพบน้ำตากิเลน และเมื่อค้นพบกลับต้องมาเสียของมีค่านั้นให้กับคนอย่างผม ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ผมเคยเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจให้กับดอกเตอร์ไปแล้วหรือยัง
“นี่นายจะไปไหน?” โฮ่วจีเจียนถามในขณะที่ผมเก็บของเข้ากระเป๋า
“ฉันจะออกไปหาข่าวข้างนอกสักหน่อย”
“ตอนนี้ไม่เห็นจะมีคดีอะไรดังไปกว่าคดีฆ่ารัดคอนั่น เฮ้ย!...อย่าบอกนะว่านายจะไปหาข่าวเกี่ยวกับคดีอันตรายนั่นน่ะ”
“อืม ฉันจะไปหาพี่กู่หน่อย ฝากนายบอกบอ. ด้วยก็แล้วกัน
“ได้ ๆๆ ถ้านายไปที่สถานี ฉันก็หายห่วง...”
ผมไม่อยู่ฟังคำพร่ำเพ้อของจีเจียน และเร่งฝีเท้า เดินออกมาอย่างเร่งรีบ ผมรู้ว่าถ้าผมลงไปชั้นล่าง เมื่อออกไปนอกสำนักงาน ยังไงผมก็ต้องเจอเขา และก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้ เขาคอยอยู่ใกล้ตัวผมตลอด เมื่อผมเดินออกมายังลานจอดรถ รถของดอกเตอร์ก็เข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ ผมไม่รีรอรีบก้าวขึ้นไปทันที
“จะออกไปหาข่าวที่ไหนอีกละ เพิ่งเข้าสำนักงานได้ไม่ถึงครึ่งวันเลยไม่ใช่เหรอ?”
“พี่หยวนฮ่าง ผม...” อยู่ ๆ ผมก็พูดไม่ออก ความเสียใจมันจุกอกไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น” ดอกเตอร์จอดรถข้าง ๆ ฟุตบาทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานของผมนัก เขาหันมามองผม
“เรื่องน้ำตากิเลน”
“เรื่องนั้นทำไม?”
“ผมขอโทษ ผม ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจกลืนมันเข้าไป ไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่หยวนฮ่างเสียมันไป”
“เดี๋ยว ๆ เฟ่ยซานเกิดอะไรขึ้น” ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันเริ่มซึมออกมา พี่หยวนฮ่างก็ดึงผมเขาไปกอดเอาไว้ “ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด เราไปรู้ ไปเจออะไรมา ไหนบอกพี่มาสิ”
“พี่ ๆ ใช้เวลาตั้งหลายปี กว่าจะตามหามันเจอ แต่ ๆ แต่พี่กลับต้องเสียมันไป เพราะ เพราะคน คนอย่างผม”
“ไม่เอา ไม่ร้อง เฟ่ยซานของพี่ เฟ่ยซานที่กล้าหาญ ทำไมมาร้องไห้เป็นเด็ก 3 ขวบแบบนี้”
“ผมขอโทษ ผมไม่เคยขอโทษพี่เลย ผมขอโทษ”
ดอกเตอร์ดันตัวของผมออก ผมไม่กล้าเงยหน้ามองเขา ดอกเตอร์เช็ดน้ำตาของผมเบา ๆ ก่อนประคองใบหน้าของผมขึ้น ผมยังคงหลบสายตาจากคนตรงหน้า สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากของผมเรียกสายตาให้ผมมองไปข้างหน้า ดอกเตอร์จูบปากผมเบา ๆ ไม่ได้ล่วงล้ำ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง
“เมื่อก่อนฉันอาจจะโกรธ ที่เราทำให้ฉันเสียของมีค่าขนาดนั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับดีใจ ที่น้ำตากิเลนหนึ่งเม็ดนั้นได้ช่วยชีวิตของเราไว้ เฟ่ยซาน ฉันดีใจจริง ๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่”
“พี่หยวนฮ่าง...”
“ไหนจะบอกฉันได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไปรู้อะไรมา”
“ก็แค่ โฮวจีเจียน...”
“เฮ้อ...ฉันไม่ค่อยจะชอบเพื่อนของเราคนนี้เลย”
“เขาไม่มีอะไรสักหน่อย เขาแค่เล่าให้ฟังว่าพี่หยวนฮ่างหายไปนาน ๆ เวลาไปขุดค้น”
“นั่นก็จริง”
“ผมเลยคิดว่า พี่จะใช้เวลากี่ปีกัน ในการหาน้ำตากิเลน”
“ถ้าเราอยากรู้ฉันจะเล่าให้ฟัง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เรารีบออกมาจากสำนักงานใช่ไหม?”
ผมที่ออกจากอ้อมแขนของดอกเตอร์แล้ว ก็ได้แต่พยักหน้า ดอกเตอร์เองก็เริ่มออกรถ แล้วก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาน้ำตากิเลนให้ผมฟัง ตลอดทางที่เขาขับรถมาจนถึงบ้านที่ชุง ฮอม กอก
To Be Continue