Trai to fondness<โลกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 16 Come back home
“วาตะๆ”วินด์เรียกวาตะเมื่อมาจอดที่จุดพักรถ
“อื้อ...”วาตะงัวเงียขึ้นซึ่งตอนนี้สีตัวของวาตะดีขึ้นมากทีเดียวเมื่อเทียบกับเมื่อคืนแล้ว แต่สำหรับวินด์วินด์มันกลับกันทุกอย่างเพราะเขารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้หน่อยๆสงสัยคนเป็นผลมาจากที่ขับรถในตอนกลางคืน
“นายอยากเข้าห้องน้ำมั้ย”วินด์ถาม วาตะพยักหัวเบาๆเป็นเชิงตอบ
“นี้ถึงไหนแล้วชนะลม”วาตะถาม
“จุดพักรถน่ะแต่เดี๋ยวอีกชักชั่วโมงก็น่าจะถึงแล้ว”วินด์บอกก่อนที่จะประคองวาตะลงไปเข้าห้องน้ำทำให้คนอื่นที่อยู่ในจุดพักรถมองมาที่วินด์แปลกๆเพราะเห็นวินด์กำลังทำท่าทีประหลาด
“นี้ชนะลมไม่ต้องพยุงดเราก็ได้นะคนมองหมดแล้ว”วาตะบอกเพราะสงสารวินด์
“จะไปสนใจทำไม่ล่ะ ก็นายไม่สบายอยู่ทั้งคนหนิ ถ้าจะให้ฉันไปสนคนพวกนั้นแล้วไม่ดูแลนายฉันไม่เอาด้วยหรอก”วินด์บอกออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักแต่นั้นก็ทำให้วาตะรู้สึกดีมากทีเดียวที่เขามีความสำคัญต่อวินด์มากขนาดนี้
“ชนะลมแล้วนายยจะพาเราไปที่ไหนหรอ”วาตะถามขึ้นหลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“บ้านฉัน”วินด์บอก
“บ้านนายงั้นหรอ”วาตะถามขึ้นด้วยความตกใจ
“อือ”วินด์ตอบ ไม่ได้ใส่ใจ “งั้นนายรอฉันอยู่ตรงนี้นะเดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้กิน”
“อือขอบใจนะ”วาตะบอกพร้อมกับยิ้มให้วินด์แล้วจึงนั่งรอวินด์รอวินด์อยู่ที่ม้านั่งก่อนที่จะรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา แล้วอยู่ๆวาตะก็มาอยู่ในห้องสีขาวที่เขาเคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่เมื่อคืน แต่ในตอนนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่นอนอยู่บนเตียงนั้นพร้อมกับสายต่างๆที่เชื่อมต่ออยู่กับตัวเขาเต็มไปหมด ก่อนที่จะเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับใส่เสื้อคลุมสีขาว วาตะมองผู้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
“ทนเจ็บนิดนึงนะครับ”ผู้ชายคนนั้นบอกพร้อมกับหยิบเอาเข็มจากถาดที่ผู้หญิงที่ใส่ชุดสีขาวยื่นให้
“ปล่อยกู”วาตะพูดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ไม่ได้ครับ”ผู้ชายคนนั้นบอก
“ไอ้เชี่ยเอ้ย! กูบอกให้ปล่อยกูไงกูไม่ได้ป่วยปล่อยกู”วาตะพูดออกมา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบางคำนั้นแปลว่าอะไร ก่อนที่เขาจะค่อยๆดิ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้(นี้มันอะไรกันทำไมความคุมอะไรไม่ได้เลยเราไม่ได้ต้องการแบบนี้)วาตะได้แต่คิดแต่พูดออกมาไม่ได้ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะบอกให้ผู้หญิงสองคนเดินมาจับตัวของวาตะไว้ แล้วชายคนนั้นจึงค่อยเอาเข็มเข้ามาใกล้วาตะมากขึ้นๆ “ปล่อยกูสิวะ แม่งเอ้ยถ้ากูออกได้กุจะฆ่ามึง ไอ้ชัวปล่อยกู ปล่อยกู...”
“วาตะ วาตะ!”เสียงวินด์เรียกวาตะทำให้วาตะหลุดออกจาผวังก่อนที่จะมองเห็นวินด์ทำสีหน้าเป็นห่วงอยู่ “นายเป็นอะไรวาตะ”วินด์ถามขึ้นทำให้วาตะโผเข้ากอดวินด์ทันที
“ชนะลม...เราฝันอีกแล้วเราเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว”วาตะพูดเสียงสั่น
“ไม่เป็นไรนะวาตะ มันก็แค่ฝันร้ายน่ะ”วินด์ปลอบพลางลูบหลังวาตะ
“แต่เรากลัวชนะลม”วาตะบอกพลางกระชับกอดแน่น
“ไม่เป็นไรนะฉันอยู่นี้แล้ว”วินด์บอกก่อนที่จะพาวาตะขึ้นรถไปจนวาตะสงบสติอารมณ์ลงได้
“ชนะลม”วาตะเรียกวินด์ขณะที่กำลังกินขนมปังอยู่บนรถ
“ว่าไง”
“บ้านนายอยู่ที่ไหนหรอ”วาตะถามด้วยความอยากรู้
“ฉันจะอธิบายยังไงให้นายเข้าใจดีล่ะ”วินด์ว่าพลางคิด “คือมันอยู่ในอำเภอ อำเภอหนึ่งที่มีต้นไม้เยอะมากๆฉันว่ามันน่าจะทำให้นายดีขึ้นได้แต่ดูตอนนี้นายก็ดูดีขึ้นเยอะแล้วนะ”วินด์บอกเพราะสีตัวของวาตะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยแต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าดี
วินด์ขับรถมาประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ เขาก็มาถึงทางเข้าหมู้บ้านที่มีต้นไม้เต็มสองข้างทางราวกับเป็นอุโมงสีเขียวที่จะนำเขาไปสู้อีกโลกนึงที่แตกต่างออกไปจากโลกที่เขาจากมา(เมืองกรุง)
“ว้าว...ชนะลมต้นไม้เยอะจัง”วาตะบอกอย่างตื่นเต้นวินด์เลยลดกระจกลงเพื่อให้วาตะได้สัมผัสกับอากาศด้านนอก “สนชื่นจัง”วาตะพูดพลางสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด
“ชอบมั้ย”วินด์ถาม
“อื้อ”วาตะตอบพร้อมกับหันไปยิ้มให้วินด์อย่างมีความสุข
“ถึงแล้ว”วินด์บอกเมื่อดับรถลงก่อนที่ทั้งสองจะลงมาจากรถ “มีคนอยู่มั้ยนะ”วินด์พูดพลางมองเข้าไปในบ้านที่เงียบสนิท
“ว่าแต่บ้านของนายมีใครอยู่บ้างหรอ”วาตะถาม
“แม่กับยายน่ะ”วินด์บอก
“อ่าวแล้วพ่อของนายล่ะ”วาตะถาม
“ตายไปตั้งนานแล้วล่ะ”วินด์ตอบเสียงเรียบ
“เราขอโทษนะที่ถาม”วาตะบอกอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกอย่าไปสนใจเลยบางคน พูดว่าฉันเป็นลูกไม่มีพ่อด้วยซ้ำไป แต่ก็ตลกดีนะที่ตั้งแต่ฉันเกิดมา ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าพ่อเลย มันก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะพูดแบบนั้น”วินด์พูดให้เป็นเรื่องปกติ
“ไม่หรอกชนะลม มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก คนพวกนั้นใจแคบกันเองต่างหากล่ะ เพียงเพราะพวกเขาต้องการจะทำตัวให้เหนือกว่านายก็เลยเลือกที่จะพูดแบบนั้นออกมา คนที่พูดแบบนั้นออกมาได้จิตไม่ปกติเลยซักนิด”วาตะพูดออกมาฉุนๆ
“ฮึๆ”วินด์หัวเราะให้กับท่าทีของวาตะ “ขอบใจนะ”
“ขอบจงขอบใจอะไรกัน เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ก็นะถ้าเราเจอพวกที่พูดเรื่องเลวๆแบบนั้นกับนายนะเราจะซัดให้น่วมเลย”วาตะบอกพลางออกท่าทางไปด้วย
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าเตี้ย”วินด์พูดก่อนที่จะเอามือไปขยี้หัววาตะพลางยิ้ม “ตัวเล็กขนาดนนี้ยังจะมาทำซ่าอีก”
“อะไรกันชนะลมเราไม่ได้ตัวเล็กซักหน่อย”วาตะเถียงพลางมองหน้าวินด์ที่ยิ้มด้วยความสดใส ไม่ใช่แบบเจ้าเล่ห์หรือสะใจเวลาที่ได้แกล้งวาตะแบบทุกครั้ง “ยิ้มได้แล้วสินะ”
“ฮึ”วินด์ไม่ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มให้วาตะ
“ชนะลมนายรู้มั้ยเราชอบมากเลยนะเวลาที่นายยิ้ม แล้วยิ่งเป็นยิ้มด้วยความสดใสแบบนี้ชอบยิ่งกว่า ตอนยิ้มแบบเจ้าเลห์และชั่วร้ายแบบทุกครั้งอีก”
“อะไรนะ นายจะหาว่าฉันชั่วร้ายอย่างงั้นหรอ”วินด์ถามขึ้นฉุนๆ
“เปล่าซักหน่อย นี้ทำไมนายชอบคิดในแง่ลบอยู่เรื่อยเลยฮะ”วาตะเถียงกลับก่อนที่ทั้งสองจะเถียงกันจนนเหนื่อย วินด์จึงพาวาตะเข้าไปในบ้านโดยเอากุญแจสำรองมาจากที่ซ่อนในกระถางต้นไม้ ก่อนที่จะขนของทั้งหมดเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่ให้วาตะช่วย พร้อมกับบอกให้วาตะไปนั่งรอที่เก้าอี้หน้าาบ้าน
“ที่นี่น่าอยู่จังชนะลม”วาตะพูดขึ้นหลังจากที่เอาโคโค่กับลูซี่ออกจากลังแล้วมานั่งลงข้างวินด์
“แล้วไง จะมาอยู่ตลอดไปเลยมั้ยล่ะ”วินด์ถามขึ้นพลางมองหน้าวาตะทำให้ดวงตาของทั้งสองคนประสานกัน
“อ่าววินด์”เสียของใครคนหนึ่งดังขึ้นนทำให้ทั้งสองคนละสายตาออกจากกัน
“อ่าวแม่!”วินด์พูดขึ้นพลางมองไปที่ผู้หญิงที่ถือตะกร้ายืนอยู่ข้างกับหญิงชราคนหนึ่งก่อนที่วินด์จะวิ่งเข้าไปกอดให้หายคิดถึงโดยที่มีวาตะคอยนั่งมองการกระทำของทั้งสาคนอย่างอดอิจฉาซะไม่ได้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะได้กลับไปทำแบบนี้กับพ่อแม่บ้าง
“นี้แม่กับยายไปไหนมาครับ”
“ก็ไปวัดน่ะสิ แล้วนี้มากับใครหรอ”แม่วินด์ถามขึ้นพลางมองมาทางวาตะ
“มาคนเดียวครับ”
“แล้วนั่นใครล่ะ”ยายถามขึ้นทำให้ทั้งสองคนถึงกับตกใจ
“นะ...นี้ยายมองเห็นด้วยหรอครับ”วินด์ถามอึ้งๆ
“ก็ต้องเห็นสิคนทั้งคนนะ เจ้าหลานคนนี้พูดแปลกๆ”ยายตอบ
“แม่ก็เห็นนะจ๊ะ”แม่บอก
(เห็นได้ไงเนี้ย)วินด์คิดในใจ
“ไหนพาเพื่อนคนไหนมาแล้วเจ้าธีมาด้วยหรือเปล่า”แม่วินด์ถามพลางเดินเข้าไปหาวาตะที่ตอนนี้ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน “ชื่ออะไรจ๊ะ”
“เราชื่อ...”วาตะว่าพลางหันไปมองหน้าวินด์ก่อนที่จะเห็นวินด์ส่งสัญญาณบอกให้พูดว่า ‘ผม’แทน “อ๋อ...ผมชื่อวาตะครับ วาตะ ฮายาซิ่น”
“เอ๊ะ ชื่อแปลกจัง”แม่วินด์ว่าพลางก่อนที่จะก้มไปมองวาตะใกล้ๆเพราะเห็นว่ามีอะไรแปลก “เอ๊ะ! อย่าบอกนะว่า...”แม่วินด์พูดพลางจับมือของวาตะขึ้นมาดู “แม่!”แม่ของวินด์เรียกยายขึ้นอย่างตกใจก่อนที่จะหันหน้าไปส่งสัญญาณให้ยายเข้ามาดู ยายจึงค่อยๆเดินเข้ามาหาวาตะก่อนที่จะมองอย่างพิจารณา
“แย่แล้วล่ะ ขวัญ”ยายบอกกับแม่ของวินด์ “มานี้ก่อน “ยายวินด์บอกพร้อมกับดึงแขนของแม่วินด์เข้าไปในบ้าน
“เอเลเมนท์แพลนเน็ตใช่แน่ๆ...”วาตะได้ยินเสียงของยายพูดเบาๆกับแม่ของวินด์
“นี้มันเรื่องอะไรกันเนี้ยวาตะ”วินด์เดินเข้ามาหาวาตะ “แม่กับยายมองเห็นนายได้ยังไง”
“เราก็ไม่รู้”วาตะบอกอย่างไม่เข้าใจ
“หรือว่ามันจะเป็นพันธุกรรม!”
“...”วาตะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “แต่ก็อาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็ได้”
“ยังไงของนายเนี้ยวาตะเอาให้มันแน่ซักอย่างซิ”
“ก็เราไม่แน่ใจหนิ ถ้าเป็นเพราะพันธุกรรมจริงๆล่ะก็ถ้าอย่างนั้นคนในครอบครัวของธาราทุกคนก็ต้องมองเห็นพี่วาริสิแต่ธาราบอกว่าไม่มีใครมองเห็นพี่วาริเลย”
“มันก็จริงของนาย”วินด์บอกอย่างเห็นด้วย “แล้วแม่กับยายเห็นนายได้ยังไงกันหล่ะ”
“เราก็ไม่รู้”วาตะส่ายหัวอย่างจำยอม
“หรือว่าจะเพราะ...”
“อ่าวเด็กๆจ๊ะ”แม่ของวินด์เรียกทั้งสองคนขึ้นพร้อมกับยายของวินด์ที่ทำตัวแปลกๆโดยการเอาแว่นตากันแดดมาใส่
“ยายใส่แว่นกันแดดในบ้านทำไม่น่ะ”วินด์ถามอย่างจับผิด
“ก็ฉันอยากสวยฉันผิดด้วยหรอ”ยายเถียงกลับอย่างไม่มีเหตุผลทำให้วาตะเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าวินด์เอานิสัยอย่างนี้มาจากใคร
“ยิ่งอายุเยอะยิ่งทำตัวแปลกนะยายเนี้ย”
“สวยออก ใช่มั้ยจ๊ะวาตะ”ยายถามพลางหันมามองวะตะซึ่งทำได้แต่ยิ้มแห้งๆเป็นการตอบ
“โอ้ยสองยายหลานพอแล้วจ๊ะอย่าเถียงกันอายวาตะเขา เข้าไปกินข้าวในบ้านกันดีกว่านี้แม่ทำแกงจืดกับผัดกะเพาไว้”พลางเดินมาหาวาตะก่อนที่จะจูงตัววาตะเจ้าไปในบ้าน “นี้แม่ทำไว้เยอะเลยคงจะเหนื่อยสินะเดินทางมาตั้งไกล”แม่วินด์บอกพลางพาวาตะไปนั่งที่โตะทานข้าวแล้วเริ่มตักเข้าให้ทุกคน ก่อนที่ยายกับวินด์จะเดินเถียงกันเข้ามา
“นี้แม่กับยายไม่เห็นอะไรแปลกๆเกี่ยวกับวาตะจริงๆหรอ”วินด์ถามขึ้นทำให้แม่กับยายหยุดชงักไป
“จะบ้าหรอจะเห็นอะไรล่ะ”แม่พูดขึ้น
“จริง!จะเห็นอะไร”ยายสนับสนุนแม่
“เช่นเห็นวาตะตัวจางลงหรืออะไรแบบนี้”วินด์พูดทำให้ยายที่ตอนนี้ใส่แว่นกันแดดอยู่ถึงกับทำช้อนตก
“ไม่! ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
(ดูก็รู้ว่ามีพิรุธคนแก่นี้อ่านง่ายชะมัด)วินด์คิดในใจ
“แม่ก็ไม่เห็น”แม่พูดพลางเก็บจาน “แม่หนูอิ่มแล้ว”
“เออฉันก็อิ่มแล้ว”ยายบอกพร้อมกับยื่นจานให้แม่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปจากห้อง
“ทำไมเรารู้สึกเหมือนมารดากับยายของนายกำลังโกหกอะไรเราอยู่เลยล่ะ”วาตะถามขึ้น
“ก็กำลังโกหกอยู่น่ะสิแสดงอาการชัดชนาดนี้ยังไม่รู้อีก แล้วอีกอย่างเรียกแม่ก็พอไม่ต้องเรียกมารดา”วินด์บอกวาตะก่อนที่ทั้งสองจะกินเสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะแบ่งอาหารไปให้โคโค่กับลูซี่
“เอาสองคนนี้ไปไว้ไหนดีล่ะชนะลม”วาตะถามขึ้นขณะที่อุ่มกล่องที่มีลูซี่กับโคโค่อยู่ข้างใน
“อือ...”วินด์คิดอยู่ซักพักก่อนที่จะพาวาตะเดินไปที่หลังบ้าน “นี้ไง”วินด์บอกวาตะให้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ว้าวววว”วาตะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “นี้เขาเรียกว่าอะไรชนะลม”
“บ้านต้นไม้”
“หรอสวยจังคล้ายกับต้นโฮมทรีที่บ้านเราเลย”วาตะบอกโดยที่ไม่ละสายตาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเพราะมันทำให้เขาคิดถึงบ้านมากเนื่องจากบ้านต้นไม้ที่วินด์บอกมันดูเป็นส่วนหนึ่งกับต้นไม้อย่างมากทั้งกิ่งก้านของต้นไม่ที่โผล่ออกมาจากลังคาและบันไดวนที่พาขึ้นไปที่นั้นอีก
“เหมือนต้นไม้ที่บ้านนายหรอแล้วต้นโฮมทรีที่ว่านี้มันเป็นยังไงล่ะ”วินด์ถามอย่างสนใจ
“ก็จะเป็นต้นไม้ใหญ่ๆใหญ่พอๆกับบ้านนายเลย ข้างในของมันจะกลวงโบ๋เลยนะฐานรากก็ใหญ่คนที่โลกของเราจะใช้เจ้านั่นแหละเป็นบ้านเพราะมันจะออกผลทุกๆสิบห้าปี แล้วก็ต้องปลูกไปอีกยี่สิบปีถึงจะใช้เป็นบ้านได้ พอมันต้นใหญ่พอแล้วคนที่โลกของเราก็จะเอากิ่งไม่ที่หักและต้นไม้ที่ตายไปตอกเสริมเติมแต่งเข้าไปให้ข้างในต้นโฮมทรีมีหลายชั้นแล้วก็หลายห้องบางต้นที่มีกิ่งเยอะๆหน่อยตอนกลางคืนขึ้นไปนั่งดูดาวได้เลยล่ะ”วาตะบอกอย่างมความสุขที่ได้พูดถึงบ้านของตัวเอง
“หรอน่าอยู่จังเลยเนาะ”วินด์บอกพลางหันหน้ามามองวาตะที่ยิ้มด้วยความสดใส
“แล้วเจ้านี้มันเกิดขึ้นเองหรอ”วาตะถามอย่างใสซื่อ
“ไม่หรอกพ่อฉันสร้างไว้เอง”วินด์ทำให้วาตะหันกลับไปมองเขาคืนบ้าง “จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยนะเวลาคิดถึงพ่อฉันก็จะชอบขึ้นไปเล่นบนนั้นแหละตลกดีนะรูปถ่ายซักใบของพ่อฉันยังไม่มีเลย”
“ไม่หรอกชนะลมนายหน้าเหมือนพ่อจะตาย”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ฉันเดาเอาน่ะ”วาตะส่งยิ้มให้วินด์ “ก็นายเป็นลูกพ่อกับแม่จะให้ไปเหมือนใครเล่า”
“ฮึ นายนี้เริ่มไปกันใหญ่แล่วนะ เอาสองตัวนั้นไว้ที่นี่แหละ”
“เอ๋ นายจะให้สองคนนี้อยู่บนนั้นเลยหรอ”วาตะถามตาโต
“ก็ลองดูสิท่าไม่อยากตาย”
“เอาก็เห็นพามาดู”
“แค่โคนต้นไม้ก็พอมันน่าจะมีโพรงอยู่ตรงนั้น”
“หรอ ง้นพาไปดูหน่อยสิ”วาตะบอกก่อนที่จะเดินตามวินด์ไป “ว้าวมีจริงด้วยวาตะบอกก่อนที่จะปล่อยสองเพื่อนตัวน้อยเข้าไปในโพรง “ชอบใช่มั้ยล่ะ ชนะลมสองคนนี้บอกว่าชอบที่นี่มากแลยล่ะอากาศก็ดี”
“อากาศมันต้องดีอยู่แล้วล่ะนี้มันต่างจังหวัดหนิ”
“จะไม่ขัดเราซักเรื่องได้มั้ยชนะลม”วาตะพูดเคืองๆ
“ขึ้นดูข้างบนกัน”วินด์บอกก่อนจะเดินนำพาวาตะขึ้นไปบนบ้านต้นไม้
“อะไรของเขานะ”วาตะเดินตามขึ้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนที่วินด์จะเปิดประตูออก
“โหแม่มาทำความสะอาดที่นี่ตลอดเลยหรอเนี้ย”วินด์ว่าพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องที่สะอาดเอี่ยมอ่อง
“ว้าว น่าอยู่จัง”วาตะเดินตามเข้ามาพร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆก่อนที่จะเห็ภาพแม่ของวินด์ใส่ชุดแต่งงานยืนอยู่คนเดียว “นี้แม่นายหรอชนะลมสวยจัง”วาตะถามขึ้นทำให้วินด์หันไปมอง
“ก็รู้อยู่แล้วหนิยังจะมาถามอีก”
(ตอบเราดีๆนายจะตายมั้ยชนะลม)วาตะคิดในใจก่อนที่จะมองไปที่ภาพแม่ของวินด์กำลังอุ้มวินด์อยู่ “ชนะลมตอนเด็กๆก็น่ารักเหมือนกันนี่นา”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
(ชมไม่ได้เลยนะเป็นคนยโสธรหรือยังไง(เห็นในทีวีเขาพูดกัน))วาตะสำรวจไปเรื่อยๆก่อนที่จะมาสดุดอยู่กับภาพของวินด์ตอนเด็กที่แก้ผ้ายืนกลางแขนกางขาอย่างอารมณ์ดี “ฮึๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”วาตะกลั้นหัวเราะอย่าสุดกำลัง
“เป็นบ้าหรือไงวาตะ”วินด์ดุก่อนที่จะมองไปที่วาตะซึ่งตอนนี้กำลังเอามือชี้ไปที่รูปที่มีเขายืนโชว์น้องน้อยอยู่ในสมัยเด็ก
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ชนะลมนายนี้โรคจิตตั้งแต่เด็กเลยนะ”เอามือชี้ไปที่น้องน้อยของวินด์ในรูป “ดูสิน่ารักเชียว”วาตะหัวเราะออกมาอย่างบ้าครั้ง
“อยากตายหรือยังไงฮะ แล้วตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ”วินด์บ่นออกมาอายๆ
“หรอออออ”วาตะว่าพลางทำสายตามองไปที่เป้าของวินด์กับในรูปสลัปกัน “แต่เราว่าตอนนั้นกับตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ”วาตะหัวเราะออกมาที่เห็นวินด์ทำหน้าอายๆ
“หมายความว่าไงฮะเจ้านี้ อยากลองมั้ยล่ะ!”วินด์พูดออกมาทำให้วาตะถึงกับหัวเราะไม่ออก
“เจ้า...เจ้าชนะลม เจ้าบ้า โรคจิต”วาตะด่าออกมาอายๆทั้งที่ไปแกล้งวินด์ไว้ก่อนแท้ๆ
“ฮะว่าไงอยากลองมั้ย”วินด์สะใจที่แกล้งวาตะได้สำเร็จ ก่อนที่จะเดินเอาไหล่ไปชนวาตะเชิงหยอกล้อ
“นายมันโรคจิตชนะลม”วาตะว่าก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพราะไม่อยากให้วินด์เห็หน้าของเขาว่าตอนนี้มันแดงซักแค่ไหน
“เอาก็เห็นว่ามันเหมือนกันก็เลยอยากให้ดูว่ามันเหมือนกันมั้ย จะดูมั้ยเปิดให้ดูเลยนี้เอ่า”วินด์ยิ้มอย่างสะใจที่เห็นวาตะเอาแต่หันหน้าหนี
“นายมันปีศาจ ไอ้ปีศาจโรคจิต”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”วินด์หัวเราะอย่ามีความสุขที่โดนวาตะด่าสงสัยเขาคงจะเป็โรคจิตรอย่างที่วาตะว่าไปแล้ว
“ชนะลม”วาตะเรียกอย่าสงสัย
“อะไร”(ทำไมเปลี่ยนอารมณ์เร็วจังวะ)
“นั่นอะไรน่ะ”วาตะถามพลางมองไปที่ไฟสีทองที่กำลังลุกโชนอยู่ในห้องพระที่เปิดหน้าต่างไว้
“ก็ไฟไง”วินด์ตอบ
“แปลกจัง”
“แปลกยังไง”
“ไม่รู้สิ ทำไมเรารู้สึกเหมือนมีใครซักคนที่เหมือนกับเราอยู่ที่นี้ก็ไม่รู้”(แล้วทำไมไฟนั่นถึงได้มีการเผาไม้ที่สมบูรณ์แบบนี้นะ)
“ไม่แปลกหรอกฉันเห็นมันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ฉันเกิดแล้ว แต่ก็อาจจะแปลกก็ได้นะ ใช่สิ!เจ้าไฟนี้ไม่เคยดับเลยหนิ”วินด์พูดอย่างคิดได้
“ไม่เคยดับเลยอย่างนั้นหรอ”วาตะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อือ ไม่เคยดับเลย มันก็ไม่แปลกหรอกก็ยายฉันเข้าไปในห้องพระตลอดยายก็คงจะเติมไฟบ่อยๆนั่นแหละ”วินด์บอกอย่างไม่สนใจเพราะเห็นจนชิน
(บนดาวดวงนี้มีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยหรอเนี้ย)วาตะคิด
“นี้เด็กๆจ๊ะทำอะไรกันอยู่”แม่ของวินด์ตะโกนเรียกขึ้นมาจากข้างล่าง “ลงมานี้ก่อนสิแม่มีเรื่องจะให้ทำ”
“คร้าบบบบ”วินด์ขานรับ “ลงไปกันเถอะวาตะ”ว่าแล้วทั้งสองก็พากันเดินลงมาข้างล่างแล้วแม่ของวินด์ก็เลยพาทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้านแล้วไปขนผ้าห่มกับเครื่องนอนต่างๆออกมาจกตู้ช่วย
“เอ่อ...แม่ของชนะลม”
“ว่าไงจ๊ะวาตะ”
“คือเรา...เอ่อหมายถึงผมขอไปนอนที่บ้านต้นไม้ได้มั้ย”วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
“อ๋อได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”แม่ของวินด์พูดอย่างใจดีพร้อมกับยิ้มให้วาตะ “แล้ววินด์ล่ะจ๊ะ”
“เหมือนกันครับ”
“แล้วนายจะตามเรามาทำไมเนี้ย!”วาตะว่าพลางหันไปมอง
“ใครตามนายนั่นพ่อฉันสร้างนะฉันอยากไปนอนที่นั่นผิดตรงไหน”วินด์เถียงกลับ
“ก็...”
“พอกันเลยทั้งสองคน”แม่ว่าเสียงไม่ดุมากแล้วก็ปล่อยให้ทั้งสองคนจัดการเรื่องที่นอนกันเองแต่สุดท้ายถึงวาตะจะไม่อยากให้วินด์ตามไปด้วยเพียงใดแต่ก็ห้ามคนดื้ออย่างวินด์ไม่ได้อยู่ดี
เมื่อตอนเย็นทั้งสองคนเห็นนกฮูกตัวหนึ่งมาเกาะอยู่ที่ต้นไม่แล้วมองลงมาที่โพรงด้านล่างที่มีโคโค่กับลูซี่อยู่อย่างไม่วางตาแต่ก็ไม่นานนักเมื่อนกตัวนั้นเห็นทั้งสองเดินมาก็รีบบินจากไปทันที เมื่อวาตะลองเข้าไปคุยกับลูซี่เธอก็บอกว่าเจ้านกตัวนั้นจ่องจะกินเธอเพราะมีครั้งหนึ่งที่มันโฉบลงมาที่บากโพรงของรากต้นไม้ด้วยและเพื่อความสบายใจ วาตะเลยขอร้องให้วินด์ทำประตูปิดตามซอกของรากต้นไม้ให้เพื่อนตัวเล็กของวาตะให้หน่อยซึ่งวินด์ตอบมาว่า ‘ไร้สาระ’ ทำให้วาตะโกรธอย่างมากที่วินด์เห็นชีวิตของเพื่อนร่วมโลกเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่สุดท้ายวินด์ก็ต้องยอมหาแผ่นไม้กับตาข่ายมาปิดตามช่องต่างๆของรากไม้ให้อยู่ดี โดยที่เขากับวาตะไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั้งกลับขึ้นมาบนบ้านต้นไม้อีกครั้ง
ปัง! เสียงวินด์เปิดประตูห้องใต้หลังคาออกทำให้วาตะหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนที่จะเห็นวินด์ดึงบันไดลงมาจากห้องใต้หลังคา แล้วตั้งท่าปีนขึ้นไป “ไปด้วยกันมั้ย”วินด์ถามแทรกความเงียบขึ้น แต่ผลที่ได้ก็คงรู้ๆกันอยู่ว่าวาตะไม่ตอบแน่นอน
วินด์จึงเริ่มปีนขึ้นไปคนเดียวจนวาตะได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกเปิดออกก่อนที่จะได้ยินเสียงวินด์ร้องขึ้น
“โอ้ย!วาตะ วาตะช่วยฉันด้วย”
“ชนะลมเป็นอะไร!”วาตะถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ช่วยด้วย!”วินด์ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดทำให้วาตะรีบปีนบันไดตามขึ้นไปทันทีก่อนที่จะโผล่หัวผ่านพ้นรูสี่เหลี่ยมเล็กๆขึ้นไปแล้วเห็นว่าวินด์กำลังส่งยิ้มมาให้เขาอยู่
“อะไรของนายเนี้ยชนะลมแบบนี้เราไม่ตลกด้วยนะ!”วาตะบอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ฉันขอโทษ”วินด์บอกอย่างอ่อนโยน “มองขึ้นไปข้างบนสิ”
วาตะค่อยๆมองตามขึ้นไปแล้วก็พบกับดวงดาวนับล้านที่ส่องแสงสดใสสุกสกราวอยู่บนท้องฟ้า ราวกับมีหิ่งห้องนับ
ล้านๆตัวกำลังบินอยู่เต็มท้องฟ้าอย่างไงอย่างงั้น
“สวยใช่มั้ยล่ะ”วินด์ถามขึ้น
“อื้อ”วาตะตอบออกมาโดยลืมไปแล้วว่ากำลังโกรธวินด์อยู่เพราะภาพแบบนี้เขาไม่ได้เห็นมานานแล้วเนื่องจากที่เมืองหลวง มันมีแสงสว่างมากเกินไปจนทำให้มองไม่เห็นดวงดาวจนกระทั้งวาตะคิดไปแล้วว่าโลกของวินด์อยู่ในจักรวารที่ไม่มีดวง
“ขึ้นมาสิ”วินด์พูดพลางยื่นมือให้วาตะจับแล้วขึ้มานั่งที่แผ่นไม่ที่ถูกตีกาดไว้บนต้นไม้นี้ราวกับเป็นดาดฟ้า
“เรานึกว่าจักรวารของพวกนายไม่มีดวงดาวซะอีก”วาตะพูดขึ้นเมื่อขึ้นมานั่งอยู่บนแผนไม้ได้แล้ว
“ทำไมล่ะ”
“ก็ที่ที่นายอยู่มันไม่มีไง หมายถึงห้องของนายน่ะ”วาตะบอกพลางมองไปที่ดาวนับล้านๆดวงอย่างไม่วางตา
“ก็ไม่แปลกหรอกที่นั้นมันมีแสงจากไฟเยอะก็กรบแสงจากดาวเป็นธรรมดา”วินด์บอกพร้อมกับมองขึ้นไปดูดาวบนนั้นบ้าง “แล้วนายคิดว่านายมาจากดาวดวงไหนหรอ”
“ไม่รู้สิ”วาตะบอกเศร้าๆพร้อมกับคิดคำถามที่วินด์ถามก่อนที่จะชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่งที่ส่องสว่างที่สุด “อาจจะเป็นดาวดวงนั้นก็ได้มั้ง”
“ไม่มีทางนั้นมันคือดาวประจำเมืองไม่มีสิ่งมีชีวิตที่นั่นหรอก”วินด์แย้ง
“หรือไม่ก็กลุ่มนั้น”วาตะชี้ไปที่กลุ่มดาวกลุ่มเล็กๆที่รวมกันอยู่เป็นกระจุก
“นั่นเขาเรียกว่าดาวลูกไก่มันเป็นแค่พวกเศษฝุ่นกับกลุ่มแก๊สในอาวกาศไม่มีสิ่งมีชีวิตอีกนั่นแหละ”วินด์บอก
“หรือไม่ก็คงจะไม่มีดาวของเราอยู่ก็ได้ในเมื่อเรามาจากโลกคู่ขนานมันก็คงไม่แปลกอะไรหรอกที่จักรวารของเราจะเป็นจักรวารคู่ขนานไปด้วย”วาตะบอกออกมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี
“ก็นั่นสินะ”วินด์เห็นด้วย “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้วดีกว่างั้นมานี้”วินด์บอกพลางดึงตัววาตะนอนหงายลงกับพื้นไม้ก่อนที่ตัวเองจะนอนลงไปบ้าง “เห็นดาวตรงนั้นมั้ย”วินด์ถามวาตะพลางชี้ไปที่ดาวกลุ่มหนึ่ง
“อื้อเห็น”
“มันชื่อว่ากลุ่มดาวนายพราน”วนิด์บอกพลางเว้นวรรคจะเล่าต่อแต่ก็โดนวาตะสวนขึ้น
“ไม่เห็นจะเหมือนเลย”
“ก็ฟังก่อนสิ”วินด์บอกพร้อมกับชี้มือขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง “สองดวงนั่นเป็นไหล่นายพราน ข้างบนเป็นหัว”วินด์บอกพรางขีดมือไปในอาศราวกับกำลังวาดภาพลงบนผ้าสีดำผืนใหญ่ที่มีรู้ให้แสงแดดสอดส่องเข้ามาเต็มไปหมด แต่นั่นก็ทำให้วาตะเห็นภาของนายพรานชัดขึ้นทีเดียว
“แล้วสามดวงนั่นล่ะ”วาตะถามขึ้นพลางชี้ไปที่ดาวสามดวงที่เรียงกันเป็นเส้นตรง
“นั่นเป็นเข็มขัดนายพราน ตรงนั้นเป็นดาบแล้วส่วนตรงนั้นเป็นโล่”วินด์บอกราวกับกำลังเป็นผู้บรรยายของท้องฟ้าจำลองที่ไหนซักที่ “แต่บางครั้งก็ถูกเรียกว่ากลุ่มดาวเต่า”
“ฮ่ะ!ดูยังไงถึงเป็นเต่า”
“ไม่รู้สิฉันจำไม่ได้”วินด์บอกไม่สนใจนักแล้วจึงชี้ไปดาวดวงสีแดงที่อยู่ด้างหน้าโล่ของนายพราน “นั่นเรียกว่าดาวตาวัว”วาตะพยักหน้ารับไม่ได้ถามเพราะรอให้วินด์อธิบาย “สามดวงนั่นเป็นหน้าของวัว แล้วสองดวงข้างบนนั่นเป็นเขาแต่ละข้างของวัว วัวตัวนี้ชื่อว่าธอรัส ถ้านายสังเกตดีๆนายจะเห็นว่ามันหันหน้าไปทางนายพรานเพราะ...”
“มันกำลังสู้กับนายพรานอยู่”วาตะตอบพลางหันหน้าไปหาวินด์รอคำตอบ
“ก็...ถูก ฉลาดดีหนิ”วินด์ชมทำให้วาตะยิ้มออกมา
“ไหนมีดาวกลุ่มไหนอีก”วาตะถามอย่างตื่นเต้นก่อนที่วินด์จะบอกให้ดูกลุ่มดาวต่างๆ เช่น กลุ่มดาวหงส์ กลุ่มดาวคนคู่(เจมินี้) กลุ่มดาวคนถือคอนโทรน้ำ(อะควาเรียส) และอื่นๆ อีกหลายกลุ่มถึงเล่าตำนานของดาวลูกไก่ให้ฟังซึ่งนั่นก็ทำให้วาตะถึงกับน้ำตาซึมแล้วก็เรื่องที่ทำให้วาตะเสียน้ำตาอย่างเรื่องของหญิงทอผ้ากับชายเลี้ยงวัวซึ่งทำให้วาตะถึงกับต้องก่นร้องขอให้เทพเจ้าเห็นใจทั้งสองนั้นทั้งๆเรื่องที่วินด์เล่ามันเป็นแค่ตำนานที่แต่งขึ้น...
ในคืนนั้นหลังจากลงมาจากข้างบนวาตะได้ฝันเห็นผู้ชายผิวเข้มคนหนึ่งที่พยายามจะคุยอะไรบางอย่างกับเขาแต่เก็ไม่รู้ว่าชายคนนนั้นเป็นใคร
โหหายไปนานเลยเพราะไรท์พยายามยากเขียนให้จบก่อนแล้วจะลงทุกวันยังไงคนที่รอก็ฝากตามอ่านด้วยนะคะ