ปรสิต | 07
รับเอาแก้วกาแฟร้อนออกมาจากตู้อัตโนมัติ มือหนึ่งล้วงอยู่ในเสื้อกาวน์ขณะที่อีกมือยกแก้วขึ้นจรดปาก ดวงตากลมโตวันนี้ไม่มีแววของความสดใส มันทั้งหมองคล้ำ อิดโรย และผิดปกติเกินกว่าที่พยาบาลหลายคนจะกล้าเอ่ยทักทาย
ศรัณย์รู้สึกว่าน้ำกาแฟร้อนน้อยกว่าปกติด้วยซ้ำในตอนที่เขาถือมันเดินกลับไปยังห้องตรวจ ทั้งที่ทำงานมาค่อนวันแล้ว แต่กลับนึกโมโหตัวเองที่ยังปล่อยให้หัวสมองคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหมือนคนไร้สติ ในตอนนี้เขาแทบท่องชื่อกระดูกได้ไม่ครบทุกส่วนด้วยซ้ำถ้าถูกถาม โชคดีว่าในตอนเช้าไม่มีผู้ป่วยหนัก
ยกปลายนิ้วขึ้นนวดขมับเบา ๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเตียงคนไข้แล้วรื้อฟื้นเรื่องเมื่อวานขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ศรัณย์นอนไม่หลับ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เช้าแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เขาต้องขอบคุณความอ่อนเพลียในการเป็นยานอนหลับชั้นเลิศ ครั้นก้นถึงเก้าอี้ก็ได้แต่ปล่อยตัวพิงพนักแล้วหลับพักสายตาอยู่ครึ่งนาที มีแฟ้มคนไข้กองอยู่เต็มโต๊ะ เห็นอย่างนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ ถึงได้หยิบเลือกแฟ้มแต่ละแฟ้มมาเปิดดูผ่าน ๆ
เดินออกไปทางเคาน์เตอร์ด้านหน้าด้วยคิ้วขมวดมุ่น แฟ้มสีส้มจากมือถูกยื่นให้พยาบาลวัยกลางคนในชุดกางเกงสีขาว หล่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรคะหมอ”
“คนไข้ไม่มาตามนัดเจาะเลือดสองอาทิตย์แล้วนะครับ รบกวนโทรเช็กญาติผู้ป่วยให้ที” ขณะที่พูดก็นึกหน้าคุณยายรูปร่างท้วม ผมดำแซมอยู่ตามผมหงอกที่ขึ้นครบทั้งหัว ทั้งยังสีหน้าหวาด ๆ จากการเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนที่แล้วอีก
“นางจำเนียร จันทร์โสภา” พยาบาลทวนชื่อในแฟ้มก่อนจะเสิร์ชข้อมูลในคอมพิวเตอร์เพื่อหาเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ หันไปหยิบโทรศัพท์และพูดคุยกับปลายสายไม่ถึงสองนาที คิ้วเธอก็ขมวดปมตามเขาไปอีกคนหนึ่ง “เอ่อ หมอคะ”
“ว่าไงครับ” ศรัณย์รู้สึกว่าการรอคอยคำตอบช่างยาวนานเหลือเกิน
“คนไข้ชื่อจำเนียร อายุเจ็ดสิบสี่ใช่ไหมคะ”
“คิดว่าใช่”
“คือ --” เธอดูอึกอัก อาจเพราะยังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก “ญาติบอกว่าคนไข้เสียชีวิตไปตั้งแต่สามวันที่แล้วค่ะ”
“ว่าไงนะ?”
ถึงนี่จะเป็นเรื่องสุดแสนปกติของการเป็นแพทย์ แต่ถึงอย่างนั้นศรัณย์ก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไรนัก เขารีบเดินอ้อมไปทางด้านข้างก่อนถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปด้านในห้องระเบียน หยุดยืนอยู่หน้านางพยาบาลคนเดิมแล้วว่า “ขอผมคุยกับญาติคนไข้เอง”
เอี้ยวตัวไปดูหมายเลขบนจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะกดเบอร์ลงไปบนโทรศัพท์ เสียงรอสายดังเข้ามาในหู ไม่ถึงสิบวินาทีเสียงจากปลายสายก็ตอบรับ
--------------------------------------------------
ช่วงบ่ายวันนี้แผนกจิตเวชมีคนไข้น้อยกว่าทุกที รายสุดท้ายที่มาปรึกษาอาการนอนไม่หลับกลับไปตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อน แพทย์หนุ่มพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นจนถึงศอก ถอดแว่นออกพักสายตาแล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ จากที่นัดกันไว้ เขายังต้องรอชนกันต์ออกเวรในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า
ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนในช่วงนี้ส่งผลให้กลางคืนดูยาวนานกว่าปกติ ถึงใจอยากจะออกไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อย แต่อธิศก็ตัดสินใจใส่แว่น แล้วจับจ้องอักษรภาษาอังกฤษละลานตาบนหน้าจอแล็ปท็อปต่อ ค่อยรอออกไปทีเดียวตอนชนกันต์เลิกงานแล้วกัน
นึกถึงเรื่องจูบนั่นขึ้นมาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ เขาเลือกไม่พูดถึงมันเพราะคงแลกมาด้วยการทำตัวไม่ถูกและอึดอัดยิ่งกว่าเดิมแน่ พอมาคิดดูตอนนี้ นั่นเป็นการกระทำที่สิ้นคิดมาก ซึ่งเขาคงทำได้แค่โมโหตัวเองอยู่อย่างนี้และขอบคุณชนกันต์ที่ไม่พูดถึงมันขึ้นมาอีก ในเวลาทำงานทั้งคู่ไม่ได้ก้าวก่ายกัน มีบ้างที่เดินผ่านในตอนเที่ยงแล้วแอบมองเข้าไปเห็นว่ายังทำงานได้ปกติดี ข้างกันมีเภสัชกรอีกคนคอยคุยเป็นเพื่อน เพราะอย่างนั้นอธิศถึงไม่ห่วงอะไร
แต่ถึงจะบอกตัวเองให้จดจ่ออยู่กับกรณีศึกษาที่หาข้อมูลมาได้ ทว่าเขารู้ตัวดี ในหัวเอาแต่พะว้าพะวงอยู่กับภาพผู้หญิงผมยาวในห้องคนนั้น ไม่รู้ว่านี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ถึงอยากบอกตัวเองว่ามันเป็นภาพหลอน แต่หลังจากลำดับความคิดตามขั้นตอนแล้วมันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี
‘พอลืมตาผมก็เห็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงตัวซีด ๆ ใส่ชุดสีขาว กำลังมองมาที่ผมแล้วก็อ้วกโคลนออกมาเต็มไปหมด’ทั้งที่เคยคิดจะสรุปว่าชนกันต์นั้นมีอาการจิตหลงผิดไปแล้วแท้ ๆ แต่อธิศกลับไม่คิดว่าเขาเกิดภาวะประสาทหลอนจากสิ่งที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟังตามไปด้วย นี่มันน่าโมโห สิ้นดี จะให้เชื่อว่าผีสางวิญญาณมีจริงนี่มันดูถูกคนเป็นจิตแพทย์ชัด ๆ อธิศทำได้แค่พยายามหาเหตุผล แต่พอหาได้แล้วเขาก็รู้ว่ากำลังหลอกตัวเอง
เพ่งมองไปยังบานประตูสีไข่และห้องที่ว่างเปล่า ตอนนี้อธิศอยากเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง อยากให้มีสิ่งปกติเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเพื่อย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงและสมควรแก่การเชื่อ
ถ้ามีอยู่จริงก็ออกมาสิทันทีที่คำพูดในใจมันผุดขึ้นมาอย่างนั้น อธิศก็รู้ตัวแล้วว่าเขาควรยอมจำนนต่ออีโก้ได้แล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูสามทีดังขึ้นก่อนมันจะถูกเปิดออก นี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่เพื่อนอายุรแพทย์มาเยือนแผนกจิตเวชถึงสองวันติด
“ว่าไง” อธิศยิ้มทักทาย มองคนตรงหน้าเลื่อนเก้าอี้ออกจากโต๊ะแล้วนั่งลงอย่างช้า ๆ ศรัณย์อยู่ในชุดเสื้อสีเข้มและกางเกงผ้าสุภาพไม่มีสวมกาวน์ทับ ซึ่งนั่นไม่ได้ดูแปลกตาเท่าไรนักถ้าไม่ติดว่ามันกอปรเข้ากับสีหน้าอิดโรยของเจ้าตัว วันนี้ศรัณย์ไม่ได้ยิ้มแบบคนอารมณ์ดีนัก มันติดจะฝืน ๆ และดูออกว่าทำไปตามมารยาท
“เห็นพยาบาลข้างหน้าบอกว่านายยังไม่กลับ ก็เลยเข้ามา”
อธิศพยักหน้ารับ พับจอแล็ปท็อปปิดลงเพราะรู้ตัวดีกว่าคงอ่านต่อไปไม่รู้เรื่อง วันนี้ทั้งวันเขาเองก็ไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์และสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีฟ้า เกินครึ่งของเสื้อเชิ้ตในตู้เสื้อผ้าของอธิศเป็นสีโทนอ่อน มันช่วยให้คนไข้รู้สึกสบายใจขึ้นในตอนที่พูดคุยกัน
พอไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับเป็นเสียงพูด ศรัณย์ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอีกครั้งในการคิดคำพูดดี ๆ ขึ้นมาสักประโยคเพื่อเริ่มต้นบทสนทนา
“คือว่า... ฉันไม่ได้อยากให้นายมองว่าฉันเป็นคนไข้หรืออะไร ช่วยคิดเสียว่านี่คือการที่เพื่อนคุยกันได้ไหม”
“พูดมาสิ” ทั้งคู่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ต้น ว่ากันจริง ๆ แล้วอธิศกับศรัณย์ก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนร่วมงานที่มารู้จักกันในวันอบรมตอนเข้าบรรจุเป็นหมอโรงพยาบาลนี้ ใหม่ ๆ ถึงจะสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่จากคำพูดของคนตรงหน้าร่างสูงคิดว่าเขาคงทำได้แค่
แกล้งทำตามคำขอ ศรัณย์รู้สึกไม่ดีนักกับการเป็นคนไข้เสียเอง
“ฉันทำคนไข้ตาย
อีกแล้ว”
“....” ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่ได้ฟังคำพูดร้ายแรงออกมาจากปาก เขาเคยคุยเรื่องนี้กับคนตรงหน้าไปสองสามครั้งเมื่อตอนเกิด
เรื่องนั้นใหม่ ๆ “ช่วยเล่าอย่างละเอียดได้ไหม”
ศรัณย์สูดลมหายใจลึก ดูไม่สบายใจนักแต่ก็ตัดสินใจเล่า “ครั้งนี้ฉันคงไม่โดนเรียกไปสอบ เพราะคนไข้ไม่มาตามนัดเอง”
“แล้วทำไมนายถึงพูดว่าทำคนไข้ตายล่ะ”
“ยายแกเป็นคนไข้ในความดูแลของฉัน” เหตุผลนี้ดูฟังไม่ขึ้นนักถ้ากอปรกับประโยคข้างต้น “เบาหวานกับความดันโลหิตสูง อยู่ในระยะรักษาและประเมินอาการ”
“....”
“ครั้งล่าสุดที่เจอแกคือเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนั้นฉันเผลอดุไปเรื่องผิดนัดไปเป็นสัปดาห์ แกดูท่าทางกลัวมาก แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร”
“....”
“จนเลยนัดตรวจของเดือนนี้มาเป็นสัปดาห์อีก ฉันถึงได้ให้ฝ่ายระเบียนโทรตาม แต่ลูกแกบอกว่าแกช็อกตายไปเมื่อสี่วันก่อน”
“....”
“ภาวะคีโตซิส” ศรัณย์ดูลำบากเหลือเกินในการกลืนน้ำลายลงคอ ราวกับมีก้อนเหนียว ๆ ติดอยู่จนทำให้หายใจไม่ออก “แกไม่ยอมบอกลูกว่าอินซูลินหมดแล้วไปหาซื้อยาเอาเอง พอรู้ว่าเป็นความดันสูงด้วย เภสัช ฯ ก็สั่งจ่ายคลอโรทาลิโดน”
“....” ไม่ต้องพูดอะไรชัดเจนนัก อธิศก็พอเข้าใจได้จากพื้นฐานการเป็นแพทย์ที่ผ่านมาว่าผู้ป่วยคงช็อกตายในที่สุด เขาเข้าใจดีถึงสิ่งที่ศรัณย์ต้องการสื่อ แม้ว่าจะเจ้าตัวจะเริ่มพูดมันออกด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ก็ตาม
“ถ้าฉันไม่เผลอขึ้นเสียงใส่แกไปครั้งนั้น แกคง --”
ยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นปื้นแดงจนเหมือนคนร้องไห้ จิตแพทย์อย่างเขาเข้าใจดีถึงสภาพจิตใจของศรัณย์หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อเกือบสามสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถูกเรียกสอบเสียยกใหญ่ แม้สุดท้ายแล้วผู้อำนวยการจะลงความเห็นว่านั่นเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ตามที แต่การที่ศรัณย์กลับมาทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเรื่องที่เจ้าตัวระงับการขอทุนเพื่อเรียนต่ออนุสาขาด้านระบบหายใจอย่างที่คิดไว้มาตลอดระยะเวลาการเป็นแพทย์
“นายก็เลยโทษว่าเป็นความผิดตัวเองเหมือนกับเรื่องครั้งนั้น?”
“...”
คนถูกถามไม่ตอบ แต่นี่คือสิ่งยืนยันคำตอบที่อยู่ในใจของอธิศได้เป็นอย่างดี ร่างสูงโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วยกมือขึ้นวางประสานกันบนโต๊ะอย่างหลวม ๆ ใช้เวลาคิดไม่นานนักก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่โอนอ่อนลง
“ฉันเข้าใจว่านายกำลังรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แต่ -- เสือ นี่มันคนละเรื่องกัน” ใช้ปลายนิ้วดันแว่นขึ้นให้เข้าที่ก่อนจะพูดต่อ “หรือแม้แต่เรื่องในครั้งนั้นก็ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของนาย”
“ฉันรู้ดีแก่ใจ” ศรัณย์เถียง
“เราทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าการเป็นหมอต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง เราช่วยพวกเขาเท่าที่เราจะช่วยได้ แต่ถ้าพูดแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง”
“....”
“นายได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว”
“....”
“หรือแม้แต่เรื่องของผู้หญิงคนนั้น ในฐานะเพื่อนแล้วฉันขอพูดเหมือนกับคนอื่น ๆ เธอมาช้าไป”
ภาพการเจาะน้ำออกจากปอดในคืนที่ฝนตกหนักผุดขึ้นมาในหัวของอายุรแพทย์หนุ่มราวกับการฉายซ้ำ คืนนั้นเขาต้องเวียนมาเข้าเวรเสริมที่แผนกฉุกเฉิน เสียงชีพจรที่ค่อย ๆ เบาลง เสียงพยาบาลตะโกนบอกค่าความดันและค่าออกซิเจนดังเข้าหูไม่ขาด เขาทำอินเทิร์นคนหนึ่งร้องไห้ และเรื่องก็จบด้วยเสียงแหลมลากยาวจากเครื่องวัดชีพจร
คืนนั้นศรัณย์ใช้เวลาทั้งคืนอยู่ที่ม้านั่งหน้าห้องฉุกเฉิน ในตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่แม้แต่ชุดสครับ ไม่ได้คิดว่าเป็นวันที่ต้องทำให้คนไข้สักคนตาย แม้ว่าการถูกเรียกไปสอบสวนในวันรุ่งขึ้นจะผ่านไปด้วยดีเพราะเหตุผลว่าคนไข้มาถึงโรงพยาบาลช้าไปก็ตาม
ศรัณย์เจียดเวลาทั้งอาทิตย์เพื่อมาปรึกษาเพื่อนจิตแพทย์จนคิดว่าตัวเองมีสภาพจิตใจดีขึ้น หรือแม้แต่รามิลที่เป็นห่วงจนยอมใจอ่อนย้ายมาอยู่ด้วยหลังจากที่ปฏิเสธมาตลอด เขาคิดว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ก็ตลกดีที่สองสัปดาห์ต่อมากลับต้องมานั่งเป็นคนไข้ของเพื่อนคนนี้อีกครั้ง
“ฉันคงวิตกจริตไปเอง” ศรัณย์พูดหลังจากตั้งสติได้ พยายามใจเย็นลงถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะยังส่งผลต่อจิตใจไม่ปกติก็ตามที “คงจะประสาทไปเองจริง ๆ”
ประโยคพึมพำนั้นทำเอาอธิศขมวดคิ้วน้อย ๆ เขาคิดจะถามต่อ ถ้าไม่เพียงแต่ว่าเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“อ่า...”
ชนกันต์นั่นเอง ร่างเล็กเก้อไปเมื่อถูกศรัณย์หันไปมองอีกคน นั่นทำให้อธิศนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เขาผิดสังเกตเมื่อวานในตอนที่ชนกันต์เดินเข้ามายังโต๊ะเขา ถึงได้พยายามสังเกตท่าทีของศรัณย์เป็นพิเศษ น่าแปลกว่าครั้งนี้อายุรแพทย์หนุ่มไม่ได้รู้สึกเหม็นสาบดินโคลนเช่นตอนเจอเด็กคนนี้ครั้งก่อน ครั้นหันสีหน้าแปลกใจกลับมาก็ต้องสบเข้ากับเพื่อนหมอที่นั่งประสานมือมองอยู่ก่อนแล้ว มีอีกเรื่องที่ศรัณย์อยากระบาย แต่การมีบุคคลที่สามอยู่ร่วมห้องจึงทำให้เขาตัดสินใจเก็บมันไว้ในใจก่อน ถ้าพูดต่อหน้าคนอื่นคงมีหวังถูกเรียกว่าหมอบ้าแน่ ๆ
“ผมเข้ามากวนหรือเปล่าครับ” ชนกันต์ถาม นั่นทำให้ศรัณย์ฝืนยิ้มและหยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ไม่เป็นไร ผมคุยธุระเสร็จพอดี”
หลังจากชั่งใจว่าเด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ ในที่สุดศรัณย์ก็นึกออกว่าคงเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ประจำอยู่ห้องยาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่หันไปคุยกับอธิศแทน
“ขอบคุณมากนะอธิศ จริง ๆ แล้วถ้านายว่างก็ว่าจะชวนไปดื่มสักหน่อย”
คำชวนนี้ไม่ได้ทำให้คนฟังรังเกียจอะไร ศรัณย์เป็นเพื่อนดื่มที่ดีและกำลังมีสภาพจิตใจย่ำแย่ แต่หันไปเห็นพันธะกำลังยืนปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ด้านหลัง อธิศก็คิดปฏิเสธ
“เอ่อ...” ชนกันต์โพล่งขึ้นมาก่อนที่ผู้ปกครองชั่วคราวจะทันได้พูดอะไร “หมอไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมไม่เป็นไร”
ได้ยินอย่างนั้นศรัณย์ก็เลิกคิ้วกับประโยคสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอธิศไปสนิทกับเด็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ “ติดธุระเหรอ” เขาถาม และคนถูกถามขยับมือซึ่งประสานกันเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“กันต์เพิ่งมาพักอยู่กับฉันชั่วคราวน่ะ” หันไปเห็นบุคคลที่สามยืนยิ้มแห้ง ๆ แล้วศรัณย์ก็เข้าใจขึ้นมา แต่ไม่อยากเสียมารยาทถามรายละเอียด
“ถ้าไม่รังเกียจ จะไปดื่มด้วยกันก็ได้นะ” ประโยคนี้ศรัณย์พูดกับชนกันต์ ก่อนจะหันไปหาอธิศในประโยคต่อมา “หรือถ้าไม่สะดวก ไว้โอกาสหน้าก็ได้”
--------------------------------------------------
โชคดีที่รามิลยังศึกษาดูคนไข้เพื่อเตรียมสอบในสัปดาห์หน้า ศรัณย์ถึงได้สะดวกในการพามาด้วยกันโดยไม่ต้องแวะกลับไปรับที่คอนโดมิเนียม สีหน้าของเด็กหนุ่มไม่สดใสนัก เขาคิดว่าคงมาจากการที่เจ้าตัวอ่านหนังสือจนเกือบเช้า
“แน่ใจนะว่าจะไม่กลับไปนอนห้อง”
ถามย้ำอีกครั้งในขณะที่เลี้ยวรถเข้าจอดยังที่จอดรถหลังร้านอาหารกึ่งคลับเจ้าประจำ ซึ่งคนถูกถามก็รับคำด้วยรอยยิ้ม “แน่ใจครับ ผมอยากดื่มด้วย”
เห็นรถของอธิศกำลังเลี้ยวเข้ามาจอดเช่นกัน จึงตัดสินใจบอกคนรักให้ยืนรอจนจิตแพทย์กับว่าที่เภสัชกรเดินมาสมทบ วันนี้คนเยอะกว่าปกติเพราะเป็นวันทำงานสุดสัปดาห์ เป็นเรื่องดีที่ชนกันต์ก็ออกตัวว่าดื่มเป็น ศรัณย์จึงไม่ต้องลำบากใจในการเลือกเมนูนัก สั่งอาหารเบา ๆ และเหล้าหนึ่งกลมพอเป็นกระสัย เมื่อได้รับออเดอร์แล้วพนักงานก็เดินแยกไปทางหลังร้าน
“เหมือนผมเคยเห็นคุณในวอร์ดเลย” เป็นรามิลที่เปิดบทขึ้นก่อน นั่นทำให้นายแพทย์ทั้งสองคนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำคนทั้งคู่
“ผมฝึกงานบริบาลเภสัช ฯ น่ะ บางทีก็ต้องขึ้นวอร์ดไปดูพี่เขา แต่ส่วนใหญ่ต้องอยู่ห้องยา” ชนกันต์ตอบ เขาเพิ่งมาฝึกงานที่โรงพยาบาลได้ไม่ถึงสามเดือน ทั้งยังรู้สึกผิดที่ไม่คุ้นหน้าอีกฝ่ายเอาเสียเลย
“นี่เก้า รุ่นน้องผม” ศรัณย์แนะนำ แล้วรามิลก็ยิ้มรับ
“คลินิกปีสี่ครับ”
ได้ยินอย่างนั้นร่างเล็กจึงเข้าใจว่ารามิลเด็กกว่าเขาปีสองปี เพราะนักศึกษาเภสัชศาสตร์จะฝึกงานในปีสุดท้ายก็คือปีที่หก ชนกันต์จึงกลายเป็นพี่อย่างไม่ต้องสงสัย
“แล้วนี่ไปสนิทกันตอนไหน” อายุรแพทย์เพียงคนเดียวบนโต๊ะเปิดบทสนทนาใหม่หลังจากที่ทั้งโต๊ะเงียบไปจนน่าอึดอัด นี่เป็นการสังสรรค์ที่ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ยกขึ้นมาพูดคุยมากนัก เพราะนอกจากเขาและอธิศแล้ว ระหว่างคนที่เหลือก็แทบจะเรียกได้ว่าแปลกหน้า
“ไม่นานนี้ครับ” ชนกันต์ยิ้มเก้อรับคำถามนั้น อธิศไม่ตอบอะไร เขาไม่เคยชี้หน้าบอกว่าใครคือคนไข้ต่อหน้าผู้อื่น “ผมเป็นคนไข้ของหมออธิศ”
แต่ชนกันต์พูดออกมาเสียเอง ได้ยินอย่างนั้น ทั้งศรัณย์และรามิลก็รู้ตัวว่าไม่ควรถามต่อ แผนกจิตเวชนั้นมีแต่เรื่องละเอียดอ่อน พวกเขาไม่มีสิทธิ์รู้ว่าชนกันต์ป่วยทางจิตหรือแค่มีปัญหาชีวิตในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
สุดท้ายการร่วมดื่มด้วยกันครั้งนี้ก็มีแต่เรื่องสัพเพเหระอย่างที่ทั้งสี่คนจะร่วมวงเข้าใจได้เหมือนกัน ศรัณย์ไม่พูดเรื่องที่เขาเกือบร้องไห้ในห้องตรวจ ชนกันต์และอธิศไม่พูดเรื่องเหลือเชื่อที่ติดค้างอยู่ในใจ และแม้จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นพัก ๆ แต่รามิลก็ยังคงร่วมดื่มและพูดคุยได้ปกติดี
รามิลเริ่มรู้สึกร้อน ๆ แล้ว เขาไม่แน่ใจนักว่าหน้าแดงหรือได้ออกอาการอะไรไป ศรัณย์ถึงได้แย่งแก้วของเขาไปดื่มแล้วสั่งให้พอ ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งจะสั่งเหล้าเพิ่มไปอีกหนึ่งแบน หมออธิศดื่มน้อยที่สุดเพราะอ้างว่าต้องขับรถ แล้วดูคนข้าง ๆ นี่สิ เสียงอ้อแอ้แล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“พี่เมาแล้วนะ” เขากระซิบ เห็นว่าอธิศกำลังหัวเราะน้อย ๆ
“คุณเองก็ดื่มไปเยอะนะ”
คนถูกแซวหัวเราะเบา ๆ แล้วหาพวกด้วยการหันไปแซวชนกันต์ซึ่งเพิ่งจะกระดกเหล้าเข้าปากหมดไปอีกแก้ว “พี่กันต์ก็ดื่มเก่งนะครับ”
“ไม่ได้ดื่มนานน่ะ พอมาฝึกงานก็ไม่มีเพื่อนเที่ยวเลย”
“เขาไม่ได้ขับรถ กลับไปคงจะหลับสบาย” อธิศพูดเสริมหลังจากคนข้างตัวเอ่ยตอบไปแล้ว ได้ยินอย่างนั้น ชนกันต์จึงตอบแทนด้วยการหยิบแก้วของหมอมาชงให้อีก
“สงสัยผมคงต้องนอนร้านเหล้าถ้าหมอเสือคอพับกลางร้าน” ไม่วายหันไปค้อนใส่คนที่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มทั้งตาเชื่อม ๆ ถึงห้ามไปศรัณย์ก็คงไม่ฟัง เขาคิดแต่แรกแล้วว่าวันนี้คงได้กลับแท็กซี่
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกแล้ว ถึงรู้ตัวว่าหมออธิศมองเห็น แต่รามิลกลับไม่ได้สนใจอะไร นี่มันค่อนข้างปกติที่วัยรุ่นจะติดโทรศัพท์ และตราบใดที่เขาไม่พาตัวเองเข้าไปเป็นคนไข้ของจิตแพทย์ อธิศก็คงไม่สนใจจะอยากรู้นักหรอก
ครู่หนึ่งรามิลเลือกเก็บโทรศัพท์ลงเพราะไม่อยากเสียมารยาทจนเกินไป เขาคิดว่าควรชงเหล้าอีกแก้วเพราะปากว่าง ศรัณย์เอาแต่ดื่มไม่หยุด ถ้าไหน ๆ จะต้องกลับแท็กซี่ การดื้อเงียบคงไม่เลวร้ายเท่าไรนัก
“....!!”
หากแต่เสี้ยวหน้าขาวของใครบางคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะห่างออกไปกลับทำให้ร่างโปร่งรู้สึกสร่างขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น รามิลวางแก้วที่เพิ่งมีแต่น้ำแข็งลงบนโต๊ะแล้วรีบลุกขึ้น มีแค่หมออธิศที่ละจากแก้วแล้วมองทางเขา เด็กหนุ่มจึงขออนุญาตแบบส่ง ๆ
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
แทรกตัวผ่านผู้คนที่เริ่มลุกขึ้นมาเต้นกันสนุกสนานหลังจากดึกได้ที่ สายตาพยายามจับจ้องโต๊ะตัวนั้นตลอด แต่ก็ต้องคลาดไปทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน
ไม่ผิดไม่ผิดแน่ ๆ เมื่อครู่เขาเห็นแพรพลอย
ขมวดคิ้วเมื่อหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะตัวนั้นในที่สุด มันทั้งว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่แก้วหรือก้นบุหรี่สักตัว รามิลเมาแล้วแน่ ๆ ที่เห็นผู้หญิงคนนั้นทั้งที่ไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ เขาคงประสาทหลอนไปเองเพราะเอาแต่คิดเรื่องนี้ พอคิดได้อย่างนั้น ร่างโปร่งกลับต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาอีกเมื่อเห็นคนในความคิดเดินลับไปอีกทาง
รามิลรีบพาตัวเองแทรกผู้คนในร้านไปจนถึงจุดที่เห็นเธอเมื่อครู่ นอกจากห้องน้ำชายหญิงแล้วก็เป็นทางที่เชื่อมออกไปยังหลังร้าน บางคนเพิ่งกลับออกมาทั้งกลิ่นบุหรี่เหม็นหึ่ง พอเลือกไม่ถูก เขาก็เห็นชายกระโปรงของเธอเลี้ยวไปทางตรงข้ามห้องน้ำราวกับจะนำทาง กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ในขณะที่ยกขาหนัก ๆ ก้าวไปข้างหน้าคล้ายคนมีตุ้มถ่วง เหงื่อกาฬไหลซึมลงมาตามขมับชื้น ทั้งเวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ทั้งสมองของรามิลขาวโพลน หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มันเหมือนมีกลองดรัมใหญ่ ๆ กำลังทุบอยู่ข้างในจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด
“....”
รามิลไม่เห็นใครเลยที่ประตูทางออกเปิดโล่ง ไม่มีแม้แต่คนกำลังยืนสูบบุหรี่หรือพูดคุยกันด้วยซ้ำ ขายาวค่อย ๆ ก้าวไปจนถึงธรณีประตู พื้นดินขรุขระสีน้ำตาลเข้ม จนกระทั่งมองเห็นพระจันทร์เสี้ยวเมื่อสายตาแหงนมองพ้นแนวกันสาด
แหมะหยดน้ำบนหน้าและกลิ่นชื้นลอยเตะจมูก สมองรามิลประมวลผลช้ากว่าทุกที จนกระทั่งสายฝนเทลงมาจนเสื้อเขาเปียกเป็นด่างดวงนั่นแหละร่างโปร่งถึงได้รีบพาตัวเองถอยเข้ามาหลบในแนวกันสาด ค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นและเดินกลับเข้าไปเหยียบพื้นปูนภายในธรณีประตูหลังรู้สึกถึงแรงยวบ ยกเท้าขึ้นมองด้วยความหัวเสียทันทีที่เห็นว่าชายกางเกงสแล็คสีดำเปื้อนดินโคลนเข้าให้เสียแล้ว
ไม่วายจะหันกลับไปมองทางด้านนอกร้านอีกรอบ เขาคงตาฝาดไปเองอย่างนั้นสินะ
เมาแล้ว รามิลบอกกับตัวเองในใจ
------------------------------------------------------
( มีต่อ )