- 11 -
เฮือกก
ภาพวาดสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในกลางดึก หัวใจบีบรัดแน่นเสียจนต้องเอามือขึ้นเมากุมหน้าอกเอาไว้ เขาขยำเสื้อแน่น หอบหายใจแรง สมองพยายามทบทวนความทรงจำในฝันที่พึ่งผ่านมา แต่ดูเหมือนยิ่งนึกถึงเท่าไหร่หัวใจของเขาก็ถูกบีบรัดขึ้นเท่านั้น ภาพไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ออกมาได้ ร่างกายเหมือนถูกใครสักคนฟาดอย่างหนักด้วยความจริงที่คาดไม่ถึง มันอึดอัดแต่ดวงตากลับไม่อนุญาตให้น้ำตาไหลออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นที่มี
มันหน่วง
แต่ก็ร้องไห้ไม่ออก
นาฬิกาตรงผนังกำแพงบอกเวลาตีสี่กว่า เขาหลับไปได้สักพักแต่ไม่รู้สึกเหมือนได้นอนเลยด้วยซ้ำ ภาพของคนสองคนในร้านอาหารยังวนเวียน รอยยิ้มอบอุ่นคู่นั้นที่ตอนนี้กลับมีภาพของอีกคนซ้อนทับขึ้นมา
ทินกรคือพี่หมอจริงๆ
ไม่จำเป็นต้องเดา ไม่จำเป็นต้องลังเล สับสน หรือคิดสงสัย ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างที่เขาเจอทั้งในความจริงและความฝันได้ให้คำตอบทุกอย่างแก่ภาพแล้ว
แล้วจะทำอย่างไรต่อไป
นั้นคือคำถามที่เขาถามตัวเอง
แต่ภาพก็ไม่อาจหาคำตอบของมันได้เลย
“ฮัลโหลโอม” เมื่อตัวเองไม่สามารถหาทางออกให้เรื่องราวนี้ได้ ภาพคิดถึงเพียงเพื่อนสนิทที่เป็นที่ปรึกษาตลอดมา
“สัส มึงโทรมาทำไมตอนนี้วะไม่หลับไม่นอน”
“มึงมาหากูหน่อยได้มั้ย” ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปลายสายชะงักไปก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ภาพ มึงเป็นอะไร”
.
.
.
“กูไม่ไหวแล้ว”
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเพื่อนรักของเขาก็มาถึง ต้องขอบคุณถนนในกรุงเทพตอนเกือบรุ่งสางที่มีรถสัญจรไม่มากนักทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวนานเกินไป
“มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าพี่หมอคือเฮียทินจริงๆ” โอมถามขึ้นหลังจากที่ภาพเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด
“ทุกอย่างมันใช่หมดเลยมึง กูก็ไม่รู้จะพูดยังไง ครั้งแรกที่กูรู้ชื่อเขากูก็แค่รู้สึกคุ้นเคย แต่พอเรื่องทุกอย่างมันมาถึงจุดนี้ กูก็รู้แล้วว่าทำไมกูถึงได้คุ้นนัก ”
“…”
“ในที่สุดกูก็หาเจอ แต่ทำไมกูแม่งถึงไม่รู้สึกดีใจเลยวะ”
“มึงถามตัวเองก่อนนะว่ามึงรักใคร”
“พี่หมอ” ภาพตอบไปได้ทันทีแบบไม่ต้องคิด
“แล้วถ้าเฮียทินคือพี่หมอแสดงว่ามึงก็รักเฮียทินด้วยงั้นหรอ”
“เปล่า กูรักแค่พี่หมอ”
“นั้นแหละสิ่งที่กูอยากบอก”
“…”
“เฮียทินจะใช่พี่หมอแล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง”
“…”
“เฮียเขาไม่ได้ฝัน ไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย พี่หมอก็ยังคงเป็นพี่หมอ เฮียทินก็ยังเป็นเฮียทิน นั้นคือตัวของเฮียเขา เฮียทินเป็นพี่หมอให้มึงไม่ได้ กูว่ามึงก็รู้ดี”
“อืม กูเข้าใจ”
“ทีนี้กูอยากจะถามอีกอย่าง”
“…”
“เป็นมึงคนนี้ที่รักพี่หมอ หรือเป็นมึงในฝันกันแน่ที่รักเขา”
บางครั้งการอยู่บนรอยแยกของความฝันและความจริงนานเกินไปก็ทำให้เราเริ่มสับสนว่าอะไรกันแน่ที่เป็นความจริง
“มึงคงต้องการเวลาทบทวนตัวเอง เดี๋ยวกูลงไปซื้อน้ำเต้าหู้ข้างล่างให้แล้วกัน กินอะไรร้อนๆคลายเครียด”
“โอเค ขอบคุณมึง” โอมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและกุญแจหอก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป
“กูยังคิดถึงรอยยิ้มของภาพคนเดิมอยู่นะ”
เวลาเที่ยงมาถึงโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว ภาพนั่งเหม่อคิดอะไรหลายๆอย่างอยู่ริมระเบียง ไม่น่าเชื่อว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้มากว่าหกชั่วโมงแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แดดร้อนจ้าส่องลงมาจนเขาทนไม่ไหวนั้นแหละถึงได้เดินกลับเข้าห้องมา
ไอ้โอมยังไม่ทิ้งไปไหนเมื่อเขาเอ่ยปากว่ายังไม่อยากอยู่คนเดียว มันนอนแผ่หลาหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนของเขา ภาพแอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่โทรไปขัดเวลานอนของเพื่อนขี้เซา แต่ตอนนั้นภาพนึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากไอ้เพื่อนบ้าๆบอๆคนนี้
มันเป็นเพื่อนที่ดี
และเขาก็นึกขอบคุณอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้มีเพื่อนแบบมัน
ไอ้โอมตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจเหมือนรับรู้ได้ว่ากำลังถูกใครนินทาอยู่ในใจ มันเหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ยถาม
“เล่นเอ็มวีเสร็จแล้วหรอมึง”
“ถ้าฉากเมื่อกี้เป็นหนังกูคงได้ออสการ์ ”
และเป็นเพื่อนที่ทำให้เขายิ้มได้เสมอ
“แล้วยังไง มึงหิวยัง กูนี่ไส้จะขาด น้ำเต้าหู้ไม่ได้ช่วยเติมเต็มท้องกูเลย”
“สรุปที่ตื่นมาเพราะว่าหิวถูกมั้ย”
“ถูกต้องนะจ๊ะ”
“งั้นก็ออกไปหาอะไรกินกัน เสร็จแล้วก็พากูแวะร้านกล่อมกรุงด้วย” โอมหันหน้ามามองแบบปิดความสงสัยไว้ไม่มิด
“กูแค่อยากจะไปเจอเขา”
แดดร้อนจ้าแต่ก็คงไม่ร้อนเท่าหัวของเจ้าของร้านบาร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในตอนนี้ ภาพกับโอมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าเมื่อเห็นทินกรยืนคุยโทรศัพท์กับใครสักคนด้วยความร้อนรน คนตัวสูงดูเกรี้ยวกราดกว่าที่เคย
“แล้วเป็นอะไรกันมากรึเปล่า อืม เค เดี๋ยวเฮียไปหา บอกไอ้ภีมว่าเตรียมตัวตายไว้เลย” กดวางสายเสร็จจึงหันมาเห็นพวกเขาสองคนที่ยืนอยู่
“โทษทีนะคุณ วันนี้ร้านปิด”
“อ่อ โอเค ไม่เป็นไร”
“พวกคุณมีใครมีรถมั้ย”
“ผมมีครับ” โอมตอบ
“ดี ว่างมั้ย กูยืมไปชลบุรีหน่อย”
“เกิดอะไรขึ้นหรอเฮีย”
“ก็ไอ้ภีมกับหยกอะดิ ไปรับน้องแต่ขับรถไปเองแล้วเสือกรถชน กูเลยจะตามไปหา”
“แล้วเป็นไรกันมากมั้ย”
“ไม่เป็นไรมาก แต่มันบอกว่ารถยับอยู่ สัสเอ้ยรถกู”
“เอารถผมไปก็ได้เฮีย”
“เออแต้งกิ้วมากมึง” ทินกรเดินเข้ามาตบไหล่โอมเบาๆเพื่อแสดงความขอบคุณก่อนจะรับกุญแจและเดินไปเตรียมปิดร้าน
“เออว่าแต่ มีใครขับไปให้ผมได้บ้างมั้ย คือไม่อยากขับรถตอนอารมณ์ร้อนเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ”
“ไอ้ภาพเลย มันขับได้ โคตรใจเย็นเลย ผมติดงานไปไม่ได้ เนอะๆ” ไอ้โอมพูดพร้อมเอาศอกกระแทกแขนเขายิกๆ แถบยังลอบกระพริบตาส่งส่งสัญญาณให้เขาอีก ถึงจะงงๆแต่ภาพก็ตอบตกลงไป
“ผมขับให้ได้”
คนตัวสูงนิ่งเหมือนใช้ความคิดสักพักก่อนตอบตกลง
“โอเค ขอโทษที่รบกวน แล้วก็ขอบคุณมากโอม”
“ปิดร้านฟรีให้พี่เอกถ่ายหนังสักวันก็พอครับ”
“สัส”
“ฮ่าๆๆๆ”
รถยนต์ขนาดกลางมุ่งสู่ท้องถนน แม้ว่าตอนแรกคนที่นั่งข้างๆจะอารมณ์เสียเพราะการจารจรติดขัดจนรถแทบไม่ขยับแต่พอขึ้นทางหลวงพิเศษที่วิ่งได้ง่ายและรถไม่มากนักก็ดูเหมือนจะใจเย็นลง ทินกรกดวางสายเมื่อบอกกับน้องสาวของตนว่าออกมาได้ครึ่งทางแล้ว พร้อมถอนหายใจแรง
“คุณไม่ต้องกังวลมากหรอก ทุกคนปลอดภัยแล้ว”
“เห้ออออ ผมไม่น่าให้รถพวกมันไปเลย”
“อุบัติเหตุมันก็เกิดได้ตลอดนั้นแหละ ผมเชื่อว่าภีมก็ขับระวังแล้ว”
“ผมก็ไม่อยากจะโทษมันหรอกเพราะรู้ว่ามันก็ไม่อยากให้เกิดเหมือนกัน แต่งานนี้มันได้ล้างห้องน้ำทั้งเดือนแน่” ทินกรพูดติดตลกพร้อมหมายหัวไอ้เจ้าพนักงานเสิร์ฟตัวดีเอาไว้
ภาพรู้ดีว่าไอ้เด็กภีมเกลียดการล้างห้องน้ำขนาดไหน
งานนี้คงต้องขอไว้อาลัยล่วงหน้า
ภาพกดเปิดเพลงหลังจากที่เขาคิดว่าคนตัวสูงเข้าสู่อารมณ์ที่คงที่แล้ว เขาเป็นคนที่ไม่ชอบขับรถเงียบๆสักเท่าไหร่มันรู้สึกอึดอัดหน่อยๆ เพลงดิสนี่ย์ประจำรถของไอ้โอมดังขึ้น เหตุเป็นเพราะหม่ามี๊ของมันชอบเปิดให้ไอ้โอมฟังตั้งแต่เด็กจนมันชอบฟังไปซะงั้น พอมีเพลงดิสนี่ย์ออกมาใหม่ไอ้โอมก็โหลดมาฟังไว้เสียหมด
“คุณฟังได้มั้ย”
“ได้ ผมฟังได้ทุกแนว”
“ผมแค่คิดว่ามันไม่เข้ากับหน้าคุณสักเท่าไหร่ ฮ่าๆ”
“มีปัญหาอะไรกับหน้าผม”
“ป๊าววว ไม่ได้มีอะไร”
“’งั้นหรอออออ” ลากเสียงยาวเลียนแบบเสียงสูงของเขา
“งั้นแหละ”
“แล้ววันนี้คุณมาร้านผมทำไม”
“ก็…ไม่รู้สิ”
“หืมมม” อีกคนทำหน้าสงสัย ประมาณว่าไม่รู้แล้วมึงจะมาทำไม
“ผมไม่รู้จริงๆหนิ…ก็แค่อยากเจอ” ประโยคหลังภาพพูดอ่อมแอ้มกับตัวเองเสียงเบา
“ติดใจอะไรผมรึไง ก็พอรู้ตัวอยู่อะนะว่าผมหล่อ แต่ถ้าจะจีบก็ควรทำให้เนียนกว่านี้นะ”
เห้อออ
ไม่น่าเสียเวลาเป็นห่วงเลยให้ตายสิ
ภาพกลอกตาขึ้นบนพร้อมเบะปาก
“หลงตัวเองชะมัด”
“ไม่ปฏิเสธ”
จริงๆไอ้พวกมุขหลงตัวเองกับการบ้ายอของตาลุงนี่ก็พอๆกับพี่หมอเลยนะ
“นี่คุณรู้มั้ยเมื่อวานผมตกใจมากเลยตอนเห็นสีตาคุณ มันเหมือนกับคนในฝันผมแบบเป๊ะๆเลย”
“พี่หมออะไรนั้นอะหรอ”
“ใช่”
“แล้วไง คุณเลยคิดว่าผมเป็นพี่หมอ?”
“อะไรประมาณนั้น”
“นี่คงเป็นเหตุผลที่คุณมาหาผมวันนี้สินะ”
“แค่มาดูให้แน่ใจ”
“จะยังไงผมก็คือผมอยู่ดี”
“อืม ไอ้โอมก็พูดแบบนี้ มันแค่ยังรู้สึกค้างคาในบางอย่างแต่ก็ช่างเถอะ ยังไงผมก็ไม่มีวันได้เจอพี่หมออยู่ดี”
ช่างเถอะ
มือหนาเอื้อมมาตบที่ขาเขาเบาๆ คงเป็นวิธีปลอบตามแบบฉบับคุณทินกรเขาแหละ
“ขอโทษนะ ที่ผมเป็นพี่หมอให้คุณไม่ได้”
“มันไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย”
“อืมม” ทำเพียงแค่ส่งเสียงตอบรับก่อนที่เขาสองคนจะเงียบกันไป ปล่อยให้เสียงเพลงดิสนี่ย์รุ่นเก่าจากเรื่องเจ้าหญิงนิทราได้ขับกล่อม ภาพรู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้เพราะเป็นเพลงที่ค่อนข้างดังและยังถูกนำไปประกอบภาพยนตร์เมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย ‘Once Upon A Time กาลครั้งหนึ่งในฝัน’
เคยได้เจอ ได้เคียงข้างกับเธอในฝันรื่นรมย์
เคยพบเธอ และแววตาที่เห็นคุ้นเคยยังจำได้ไม่ลืม
และจะคอยสักวันความฝันจะเป็นจริง สุขใจชื่นชม
หากพบเธออีกครั้งเธอฉันคงชื่นชู
แรกพบก็รักกัน เป็นรักชั่วนิรันดร์
รักเราไม่เลือน
ทำไมเพลงมันจะต้องแทงใจดำอะไรกันขนาดนี้วะ
ภาพเหลือบตามองคนข้างกายที่ตอนนี้ก็หันมองเขาอยู่เช่นกัน
อีกคนส่งรอยยิ้มมาให้
รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้เขาอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ
ไม่มีใครพูดอะไรตลอดทางแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด
เมื่อเข้าสู่อำเภอสัตหีบทินกรจึงโทรหาน้องหยกอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เธอส่งโลเคชั่นที่อยู่มาให้ น้องบอกว่าตัวเองและภีมออกมาหาอาหารกินกันข้างนอกให้ขับมาเจอกันที่ร้านเลย ภาพเลี้ยวขวาตามคำบอกเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย โซนนี้จะเป็นโซนติดทะเลทำให้ภาพนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนที่เพิ่งบาดเจ็บมาถึงยังจะแบกสังขารมากินถึงร้านดีๆริมหาด
กว่ารถจะวิ่งเข้ามาจอดในร้านก็เป็นเวลาเกือบหกโมงพอดี ฟ้าเริ่มจะมืดลง นี่พวกเขาติดอยู่กับการจราจรในกรุงเทพนานขนาดนี้เลยหรือเนี่ย
เมื่อรถจอดเสร็จเรียบร้อยอีกคนไม่รอช้ารีบลงจากรถในทันที เขาเดินมุ่งหน้าไปทางร้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีดำที่คุ้นตา
ไหนบอกว่ารถชนยับไงวะ
แล้วมาจอดอยู่นี่ได้ยังไง
แถมสภาพยังครบสมบูรณ์เหมือนก่อนจากมาอีกด้วย
ภาพล็อครถแล้วเดินตามหลังคนตัวสูงไปติดๆ พวกเขาเดินเข้าไปในร้านที่สภาพเหมือนยังไม่เปิด มันดูวังเวงมืดๆชอบกล แถมไม่มีเสียงคนพูดคุยกันเลยสักคน นี่เขากำลังถูกหลอกมารายการท้าผีอะไรอย่างนี้รึเปล่า ภาพเริ่มมองหากล้อง และทันใดนั้นเอง
ปัง!!!
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่าเฮียยยยยยยยย” พลุวันเกิดอันเล็กถูกดึงออกอย่างพร้อมเพรียงจากคนหลายๆคนที่แอบซ่อนอยู่ทำให้บนหัวของทินกรและภาพวาดเต็มไปด้วยไส้หลากสีของพลุนั้น
น้องหยกและภีมปรากฏตัวขึ้นมาด้วยร่างกายสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นพร้อมกับมงกุฎกระดาษสีทอง
“เซอร์ไพร์ !!!”
“สัส เหี้ยไรเนี่ย” คนที่ถูกสวมมงกุฎกระดาษเหวี่ยงใส่ทุกคนในงานแต่ภาพก็ยังเห็นนะว่าแอบยิ้มอยู่
“ไม่เซอร์ไพร์รึไง น้องๆอุส่าห์ตั้งใจทำให้” น้องหยกถามขึ้นมา
“สัสกูก็เป็นห่วงจะตาย พวกมึงแม่งหลอกกู”
“แหม่เฮียแก่แล้วก็ต้องหาเรื่องให้กระชุ่มกระชวยหัวใจกันบ้างดิ โอ๋ๆไม่ต้องห่วงเค้าแล้วนะ” เด็กภีมวิ่งเข้ามาควงแขนสะบัดไปมา
“กูไม่ได้ห่วงมึง กูห่วงรถไอ้สัส”
“ปากแข็งนะเรา”
“ปากดีนักนะไอ้ภีม เดือนนี้มึงโดนล้างห้องน้ำทั้งเดือน ข้อหาทำให้กูตกใจฟรี”
“โถ่วเฮียยยไม่เอาแบบนี้ดิ”
“แล้วนี่ถึงขนาดปิดร้านเลี้ยงกูเลยหรอ” ภาพหันไปมองรอบๆแล้วก็พบว่าไม่เจอลูกค้าคนอื่นๆนอกจากพวกเขาจริงๆ
“ก็เพื่อนพี่นี่แหละที่หารๆกัน ลำพังพวกผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก” นอกจากหยกและภีมแล้วก็ยังมีเพื่อนๆของทินกรอีกประมาณห้าหกคน หนึ่งในนั้นรวมพี่พิมคนที่ภาพคุ้นเคยดีไว้ด้วย
ลืมไปเลย
ความฝันที่พึ่งผ่านมาเขาและพี่หมอก็ไปทานอาหารเพื่อฉลองวันเกิดล่วงหน้าเหมือนกันสินะ
คงไม่มีอะไรทำให้ตกใจและแปลกใจไปมากกว่านี้แล้วมั้ง
“อ้าวน้องภาพมาด้วยหรอ ” พี่พิมหันมาถาม
“ครับช่วยขับรถมา”
“ก็ว่าอยู่ว่าไอ้ทินคงไม่ขับมาเอง ช่วงนี้มันไม่ค่อยจะขับ เสียดายรถมัน ซื้อมาตั้งแพงแต่เจ้าของไม่สนใจ”
“กูก็มีเหตุผลของกูน่า”
“เออๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วนี่หิวกันยังมาๆกินกัน พวกกูหิ้วท้องรอตั้งนาน น้องภาพมา ตามเจ๊มา” พี่พิมพูดพร้อมเดินนำทางไปที่โต๊ะที่มีเค้กชิ้นใหญ่วางอยู่ ภาพเดินเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อมองตัวอักษรที่เขียนอยู่บนหน้าเค้กให้ชัด
ไอ้แก่
“ใครแม่งคิดวะสัส”ทินกรสบถขึ้นมาเมื่ออ่านเสร็จ ภาพขำออกมาเสียงดังจนเจ้าของวันเกิดมองค้อนเสียยกใหญ่
“เอาน่ามาๆร้องเพลงให้เจ้าของวันเกิดสักหน่อย” เทียนถูกจุดไฟขึ้นมาให้สีเหลืองนวลตาในความมืด พวกเขาร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์กันสามรอบก่อนที่คนตัวสูงจะอธิษฐานและเป่าเทียนทั้งหมดให้ดับไป
ดวงตาของทินกรเป็นประกายแห่งความสุขอย่างเห็นได้ชัดแม้เจ้าตัวจะพยายามเก็กนิ่งทำเป็นหล่ออยู่ก็ตาม
บรรยากาศรอบตัวอบอวนไปด้วยความสุขเสียจนภาพอดยิ้มตามไม่ได้
“กูเกือบจะสั่งเค้กส้มมาปาหน้ามึงแล้ว”
“กูนี่แหละจะเอาตีนขยี้เค้กแล้วปาใส่มึงกลับ”
“สัส แต่กูก็รู้ไงว่ามึงเกลียดส้มขนาดไหนกูเลยไม่ซื้อมา มึงดูสิความใส่ใจของเพื่อนมึง”
หืมม
ถ้าตาลุงนี่เกลียดส้มแล้วทำไมคราวนั้นถึงยอมกินล่ะ
ภาพได้แต่สงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟ ท้องของเขาร้องโครกครากเพราะหิวจัด ตอนกลางวันก็ไม่ได้กินอะไรเท่าไหร่เพราะเครียดจนกินไม่ลง แต่ตอนนี้ภาพเชื่อว่าเขาสามารถกินช้างได้ทั้งตัว
เมื่อทุกคนทานอาหารกันเสร็จก็ถึงเวลาให้ของขวัญ ต่างคนต่างมีของขวัญชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้างมามอบให้ ยืนถ่ายรูปส่งมอบ ร้องคาราโอเกะ เต้นกันเหมือนเป็นงานสงกรานต์ย่อมๆ เฮฮากันไปตามประสา จนย่างเข้าเกือบสี่ทุ่มนี่แหละที่ต่างคนต่างสิ้นฤทธิ์ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางคนฟุบหลับไปกับโต๊ะอย่างสิ้นสติ ไอ้เด็กภีมนี่นอนสลบอยู่ข้างเวทีกับเสื้อที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว คงเพราะได้เช่ารีสอร์ทของร้านไว้แล้วจึงปล่อยตัวปล่อยใจกันได้ขนาดนี้ เตรียมตัวกันมาดีจริงๆ ก็มีแต่ตาลุงทินนี่แหละที่เหล้าดูเหมือนจะทำอะไรลุงเขาไม่ได้สักเท่าไหร่
สงสัยคงกินเยอะจนร่างกายเริ่มด้านชา
“เอาดอกไม้ไฟไปเล่นกัน” คนที่เพียงแค่กึ่มๆเอ่ยชวนเขา ภาพวาดที่สติยังสมบูรณ์เพราะไม่ได้กินเยอะตอบตกลง ก่อนจะหยิบดอกไม้ไฟที่มีคนซื้อมาติดไว้แล้วเดินลงไปตามชายหาด
ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นเป็นแสงสว่างเดียวในความมืดของท้องทะเลยามค่ำคืน
แสงสีส้มสะท้อนใบหน้าของทั้งสองคนเป็นสีนวลตา
ภาพไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่าว่าบรรยากาศรอบตัวมันช่างเงียบเหงา
เช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกคนที่สะท้อนความเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด
น่าจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ทำให้คนตัวสูงแสดงอารมณ์ในด้านที่ภาพไม่เคยเห็นออกมา
ต่างคนก็ต่างมีเรื่องที่ไม่สบายใจกันทั้งนั้นสินะ
สบตากันสักพักก่อนที่อีกฝ่ายจะหลบสายตา
ภาพไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่คนตัวสูงอยากจะสื่อนัก
พวกเขานั่งลงข้างกันที่พื้นทรายก่อนจะจุดดอกไม้ไฟอีกแท่งขึ้นมา
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
“ขอบคุณ”
“เสียดายผมไม่รู้ ไม่อย่างนั้นคงเตรียมของขวัญมาให้”
“ไม่เป็นไร แค่คุณอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้ก็พอ”
“อืม”
ไม่มีใครพูดอะไรอีก พวกเขาเพียงจ้องมองแสงของดอกไม้ไฟที่ส่องสว่างได้เพียงไม่นานและดับลงไป
จุดขึ้นมาใหม่และเฝ้ารอจนมันดับไปอีกครั้ง
ทุกอย่างยังคงเงียบงัน
ต่างคนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง
เสียงของคลื่นที่กระทบฝั่ง
กลิ่นของทะเล
ทุกอย่างทำให้ภาพคิดถึงฝันครั้งล่าสุดที่พวกเขามาเที่ยวทะเลด้วยกัน พี่หมอกับแหวนวงนั้น คำมั่นสัญญา และคำบอกรัก
การหมั้นง่ายๆถูกจัดขึ้นโดยที่เขาไม่ได้เตรียมตัว
แต่ก็ดันตอบรับไปอย่างง่ายๆเช่นกัน
ภาพหันกลับมามองตัวเองในตอนนี้แล้วช่างแตกต่าง
ความสุขในครั้งนั้นกลับทิ้งไว้เพียงความอึดอัดในจิตใจ
“ผมขึ้นไปก่อนนะ คุณจะขึ้นไปด้วยกันมั้ย” เมื่อทนกับบรรยากาศที่แสนจะกดดันและเงียบเหงาไม่ไหว ภาพจึงลุกขึ้นสะบัดทรายที่ติดกางเกงก่อนเอ่ยถาม เขาคิดว่าถ้านั่งต่อไปคงห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้แน่ๆ พาลจะทำให้อีกคนรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่
“วาดขึ้นไปก่อนเลย พี่ขอนั่งต่ออีกสักพัก”
“โอเค”
เดี๋ยวนะ
ภาพวาดที่กำลังเดินกลับชะงักไป
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
“บอกว่าขึ้นไปก่อนได้เลย”
“ไม่ใช่ ผมหมายถึงว่าคุณเรียกผมว่าอะไร”
“ภาพวาดไง” อีกฝ่ายทำหน้าสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
“ไม่ใช่ คุณเรียกผมว่าวาด ไม่มีใครเคยเรียกผมแบบนี้ยกเว้นครอบครัว”
“…”
“กับพี่หมอ”
“…”
“ทีนี้คุณพอจะบอกผมได้มั้ย ว่าคุณรู้ได้ยังไง”
ร่างสูงนิ่งไปพักใหญ่
นิ่งไปนานเสียภาพเริ่มจะทนไม่ไหว อยากจะกระชากอีกคนขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่คนที่นั่งนิ่งกลับเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมเอื้อนเอ่ยวาจาที่ทำให้ภาพแทบจะทรุดลงไปตรงนั้น
“พี่ขอโทษที่โกหก”
“…”
“เป็นพี่เองวาด พี่หมอ”
#คุณในฝัน
ผ่ามพ่าม !!
ฝุ่นพึ่งเห็นว่ารูปที่ลงไว้ประกอบเเต่ละตอนมันมีปัญหารูปไม่ขึ้นหมดเลย งงมาก ฝากเว็บไหนก็เป็น จะพยายามหาทางแก้นะคะ